ผลการค้นหา :

เปิดประสบการณ์เยาวชนไทย สู่ห้องปฏิบัติการวิจัย สวทช. กับโครงการฝึกทักษะวิจัยภาคฤดูร้อน ปี 2568
(วันที่ 10 มีนาคม 2568) ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพสูง ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดกิจกรรม “ปฐมนิเทศ: ยินดีต้อนรับสู่ สวทช.” โครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ครูวิทยาศาสตร์ฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. ภาคฤดูร้อน ปี 2568 ให้แก่นักเรียนและครูในโครงการฯ จำนวน 115 คน จากโรงเรียนทั่วประเทศกว่า 50 โรงเรียน เพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้าใจก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายไปฝึกทักษะการทำวิจัยในแต่ละห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. โดยมีนักวิจัย สวทช. เป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดความรู้และให้คำแนะนำเป็นระยะเวลา 2 เดือนระหว่างวันที่ 11 มีนาคม – 8 พฤษภาคม 2568
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงได้จัดกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการบรรยาย การฝึกอบรม กิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ และการประกวดแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เยาวชนได้ฝึกฝน เรียนรู้ และทำวิจัยภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดจากวิทยากรซึ่งเป็นนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของไทย เป็นการบ่มเพาะเยาวชนสู่เส้นทางการเป็นนักวิทยาศาสตร์ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ยังมีบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรซึ่งเป็นทั้งที่พักและพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมพัฒนาเยาวชน ที่มีความพร้อมและปลอดภัย รวมทั้งมีทีมงานที่มีความสามารถและประสบการณ์ด้านการพัฒนากำลังคนเข้าสู่อาชีพนักวิจัย
สวทช. ได้ริเริ่มโครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และครูวิทยาศาสตร์ ฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. ภาคฤดูร้อน เป็นปีแรกในปี 2561 จนถึงปัจจุบันนับเป็นปีที่ 8 การที่นักเรียนและครูมีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะวิจัยนักวิจัย สวทช. ได้มาเห็นบรรยากาศของการทำงานในห้องปฏิบัติการวิจัยของนักวิจัยแบบมืออาชีพ ได้ร่วมลงปฏิบัติงานจริง ได้ใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ในห้องปฏิบัติการวิจัย จะเป็นการช่วยเพิ่มพูนทักษะ ความรู้ต่างๆ เกิดความเข้าใจความสำคัญของการทำวิจัย อีกทั้งจุดประกายให้เห็นเส้นทางอาชีพนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ในอนาคตด้วย
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สวทช. ยินดีกับนักเรียนและครูทุกคนที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมฝึกทักษะวิจัยในครั้งนี้ ซึ่งทุกท่าน ถือเป็นผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านการคัดเลือกโดยนักวิจัย สวทช. ให้มาฝึกปฏิบัติการวิจัย ถือเป็นโอกาสหนึ่งที่สำคัญของนักเรียนสายวิทยาศาสตร์ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะได้รับความรู้จากกิจกรรมทั้งด้านการทำวิจัย และกิจกรรมเสริมประสบการณ์ต่าง ๆ ขอให้ใช้เวลาในช่วงปิดภาคเรียนนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขอให้เปิดใจและตั้งใจที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากนักวิจัยรวมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนต่างโรงเรียน
นอกจากนักเรียนและครูจะได้เรียนรู้ฝึกฝนทักษะทางด้านการทำวิจัยแล้ว โครงการยังได้จัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมโครงการ ดังเช่นกิจกรรมวันปฐมนิเทศ ได้จัดให้มีการบรรยายเกี่ยวกับงานวิจัยที่น่าสนใจโดยนักวิจัย สวทช. และกิจกรรมเกี่ยวกับกระบวนการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ การถ่ายทอดประสบการณ์และส่งต่อแรงบันดาลใจจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง และยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจในวันอื่น ๆ เช่น การอบรมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ “เร่งสปีดภาษาอังกฤษ: พูดให้เป๊ะ พรีเซนต์ให้ปัง” พร้อมด้วยกิจกรรมในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. NAC 2025 ในหัวข้อ “นักวิจัยแห่งอนาคต: AI สำหรับ STEM” เป็นต้น นอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านวิชาการแล้ว ยังช่วยสร้างบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักเรียนและครู ดร.พัชร์ลิตา กล่าวทิ้งท้าย
ข่าว

สวทช. ปฐมนิเทศนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์ฯ ประจำปี 2567 เสริมความรู้ เตรียมความพร้อมศึกษาต่อ
วันที่ 13-14 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น นาดา ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ฝ่ายพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษและอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งานทุนรัฐบาล กระทรวง อว. จัดงานสัมมนาและปฐมนิเทศนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ประเภททุนพัฒนาบุคลากรภาครัฐ) ประจำปี 2567 เพื่อเตรียมความพร้อมแก่นักเรียนทุนก่อนเดินทางไปศึกษาต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยมุ่งหวังที่จะสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพสูงเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรม โดยในปีนี้มีผู้ได้รับทุนฯ แบ่งเป็นทุนศึกษาในประเทศ จำนวน 15 คน และทุนศึกษาต่างประเทศ จำนวน 51 คน โดยมี ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับทุน
“ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2567 (ทุนพัฒนาบุคลากรภาครัฐ) การได้รับทุนพัฒนาบุคลากรภาครัฐไม่เพียงเป็นโอกาสในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น แต่ยังถือเป็นภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ผ่านความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม การจัดปฐมนิเทศในวันนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนทุนทุกคนได้รับทราบแนวทางการศึกษา ข้อกำหนด กฎระเบียบ ตลอดจนการเตรียมตัวใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสอันดี ในการสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักเรียนทุนด้วยกัน ตลอดจนพบปะ พูดคุย ทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ก.พ. และพี่เลี้ยงจาก สวทช. ซึ่งพร้อมให้การดูแลและสนับสนุนตลอดเส้นทางการศึกษา”
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ เทคโนโลยีชีวภาพที่ช่วยยกระดับระบบสาธารณสุข ไปจนถึงพลังงานสะอาดที่กำลังก้าวสู่ การเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลก ประเทศที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะมีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และประเทศไทยจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมเหล่านี้ไปข้างหน้า จึงอยากขอให้ทุกท่านใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากการเรียนรู้ทางวิชาการแล้ว ยังต้องพัฒนาทักษะการทำงาน การแก้ปัญหา และความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ขอให้ทุกท่านตระหนักถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับโอกาสนี้ ประเทศไทยกำลังรอการกลับมาของทุกท่าน ในฐานะผู้มีความรู้ ความสามารถ และพร้อมอุทิศตน เพื่อพัฒนาประเทศชาติขอให้มุ่งมั่น ตั้งใจ และทำให้ดีที่สุด เพื่ออนาคตของตนเองและประเทศ” ดร.พัชร์ลิตา กล่าว
การสัมมนาและปฐมนิเทศครั้งนี้ ครอบคลุมเนื้อหาสำคัญหลากหลายมิติ อาทิ การแนะนำระเบียบ กฎเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติของนักเรียนทุนรัฐบาล ก่อนเดินทางไปศึกษา และระหว่างศึกษา โดยสำนักงาน ก.พ. การเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจของนักเรียนทุนก่อนเดินทางไปศึกษา โดย ผศ.ดร.ศุภาพิชญ์ มณีสาคร โฟน โบร์แมนน์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ สำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา มาบรรยายในหัวข้อ “ชีวิตสดใส ปรับตัวอย่างไรเมื่ออยู่ต่างแดน” เพื่อให้นักเรียนทุนสามารถปรับตัว รับมือกับความเปลี่ยนแปลง และความท้าทายในการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมใหม่ได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ยังมีเวทีเสวนาเพื่อให้คำแนะนำและเล่าประสบการณ์การเรียนและการใช้ชีวิตต่างแดนตลอดจนแบ่งปันเคล็ดลับ และแนวทางการปรับตัวที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยนักเรียนทุนรุ่นพี่ที่สำเร็จการศึกษาจากประเทศต่าง ๆ ได้แก่พ.ท.ดร.นพ. อนุพงศ์ สิริรุ่งเรือง (สหรัฐอเมริกา) ดร.พรพล ธรรมรงค์รัตน์ (สหราชอาณาจักร) รศ. ดร.สาโรช พูลเทพ (สาธารณรัฐฝรั่งเศส) ผศ. ดร.เจนณรงค์ ตั้งตรงไพโรจน์ (สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี) และ ดร.วรัญญา อุสมา (ประเทศญี่ปุ่น) โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.อนรรฆ ขันธะชวนะ นักเรียนทุนรุ่นพี่ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ดำเนินการเสวนา”
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 โครงการทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์ฯ ได้จัดสรรทุนให้กับบุคลากร ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปแล้วกว่า 5,500 คน โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาแล้วกว่า 4,000 คน และกลับมาปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยของประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญ ของโครงการฯ ในการผลิตบุคลากรที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยในระดับสากล
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จับมือพันธมิตรร่วมจัดตั้งเครือข่าย TCCA หนุนเทคโนโลยี CCUS ขับเคลื่อนไทยสู่ความยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และหน่วยงานพันธมิตร ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือโครงการจัดตั้งภาคีเครือข่ายพันธมิตรด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance, TCCA) เพื่อขับเคลื่อนเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในประเทศ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี CCUS ของไทยในเวทีโลก สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนอย่างยั่งยืน ณ โรงแรมโนโวเทล ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ห้องนครรังสิต 1-3
ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายสำคัญของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ อุตสาหกรรม และวงการวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญของประเทศ สวทช. ในฐานะหน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งครอบคลุมไปถึงการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศที่เหมาะสมกับการพัฒนาเทคโนโลยีสู่การนำไปใช้จริงในอุตสาหกรรม การจัดตั้ง Thailand CCUS Alliance (TCCA) จะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในประเทศไทยอย่างก้าวกระโดด
โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและสถาบันอุดมศึกษา การวิจัย และการสร้างนวัตกรรม (บพค.) โดย สวทช. มอบหมายให้ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินการขับเคลื่อนร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และเครือข่ายพันธมิตร การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ตามกลยุทธ์ “การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand)” ของ สวทช. ด้วยเชื่อว่า CCUS จะไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ยังจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันระดับสากล นำมาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า โครงการภาคีเครือข่ายพันธมิตร ด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance; TCCA) มีเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี CCUS สู่การใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย โดย TCCA มุ่งเน้นการสร้างศูนย์กลางสำหรับการบูรณาการองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม เพื่อผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายที่เอื้อต่อการใช้เทคโนโลยี CCUS ในการลดการปล่อยคาร์บอนให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศ การรวมตัวเป็นเครือข่ายระดับประเทศ เช่น TCCA จะช่วยให้ทุกภาคส่วนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนการลงทุน ลดระยะเวลาดำเนินงาน ลดความซ้ำซ้อนของงานวิจัย และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงทุนสนับสนุนขนาดใหญ่จากระดับนานาชาติ ทำให้สามารถยกระดับความพร้อมของเทคโนโลยีสู่การใช้งานจริง และสร้างประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ
ดร. ขจรศักดิ์ เฟื่องนวกิจ หัวหน้าโครงการ TCCA กล่าวว่า โครงการ TCCA ภายใต้การสนับสนุนของ บพค. ตามแผนงานมีระยะเวลา 3 ปี (2567-2569) ปัจจุบันอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของโครงการปีที่ 1 ซึ่งเราสามารถผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่มภาคีเครือข่ายขึ้นมาแล้วอย่างเป็นทางการตามจุดประสงค์ของโครงการ และนำมาซึ่งการลงนาม MOU ร่วมกันในวันนี้ สำหรับปีที่ 2 จะเป็นการสร้างกลไกการทำงาน กำหนดบทบาทหน้าที่ และตั้งเป้าหมายที่เข้มแข็งเชิงปฏิบัติที่วัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ โดยดำเนินงานผ่านคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาวิจัย เราจะใช้เวที TCCA เป็นสื่อกลางในการหารือและผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ในทุกมิติ ทั้งในแง่ของการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเราเอง การผลักดันกฎระเบียบและนโยบายเพื่อปลดล็อกการพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างแรงจูงใจที่จะนำไปสู่การลงทุน และการสร้างและยกระดับทักษะของกำลังคนให้พร้อมกับอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะเป็น New S-curve ของประเทศไทยในอนาคต ในปีที่ 3 ของโครงการ มีเป้าหมายในการพัฒนาโครงการระดับชาติร่วมกันระหว่างสมาชิก เพื่อหางบลงทุนที่จะนำไปสู่การพัฒนาโครงการนำร่อง (Demonstration project) ของเทคโนโลยี CCUS ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย
ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) กล่าวว่า ประเทศไทยมีแผนจะส่งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ (NDC 3.0) ในปี 2568 ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบของแต่ละประเทศในการรับมือกับวิกฤตสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งภายในปี พ.ศ. 2573 โลกต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส และบรรลุการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ในช่วงกลางศตวรรษ โดยเป้าหมายใหม่ของ NDC 3.0 ที่จะต้องเข้มข้นขึ้นจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าโลกสามารถลดการปล่อยก๊าซได้ทันหรือไม่ สำหรับยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ หรือ LT-LEDS ในสาขาพลังงาน ได้กำหนดให้ต้องมีการนำ CCUS / BECCS เข้ามามีบทบาท ภายในปี ค.ศ. 2040 และ NDC Action plan ได้บรรจุมาตรการและค่าเป้าหมายการลด GHGs รายปี ในสาขาพลังงาน ของกลุ่มที่ 3 โครงการนำร่อง CCS ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ โดยมีค่าเป้าหมายในปี ค.ศ. 2027 – 2030 อยู่ที่ 0.25, 1.0, 1.0, 1.0 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี (MtCO2/y) ตามลำดับ นอกจากนี้ ผลการศึกษา CCUS Roadmap ของ สกสว. ระบุความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยี CCUS ที่มีบทบาทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี ค.ศ. 2050 อยู่ที่ 50-150 ล้านตันต่อปี (Mtpa) ซึ่งจะทำให้ CCUS เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่สามารถนำพาประเทศไทยเข้าใกล้ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้เร็วยิ่งขึ้น
“การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการพัฒนากลไกสนับสนุนที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการภาษีและการสนับสนุนด้านการเงินผ่านกองทุนต่างๆ รวมทั้งเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ อย่างไรก็ตามกรณีเงินสนับสนุนนั้นมีแนวโน้มที่จะสามารถบรรจุอยู่ในกรณีการขอรับการสนับสนุนจากต่างประเทศ หรือ Conditional เพื่อให้เจ้าของแหล่งเงินทุนในต่างประเทศ เล็งเห็นความสำคัญและความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนเพราะผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นส่งผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชาชน อีกทั้งการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความท้าทาย ทุกภาคส่วนจึงต้องร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวทางที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง” ดร. พิรุณชี้
คุณนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า CCUS มีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม โดยจะช่วยลดต้นทุนภาษีคาร์บอนและค่าปรับ เนื่องจากเทคโนโลยี CCUS ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้บริษัทสามารถหลีกเลี่ยงภาษีคาร์บอนและค่าปรับจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกำหนด รวมทั้งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยอุตสาหกรรมที่ใช้ CCUS จะได้รับการยอมรับในตลาดโลก โดยเฉพาะจากประเทศที่มีมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เช่น สหภาพยุโรป รวมถึงสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30-40% ภายในปี 2030 และ CCUS เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ โดยการนำ CCUS มาใช้สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติและสร้างโอกาสในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
รศ.ดร. สุพฤทธิ์ ตั้งพฤทธิ์กุล หัวหน้าศูนย์วิจัยการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน TCCA ใน 2 ด้านหลัก คือ งานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศและการพัฒนาบุคลากรทักษะสูง ในด้านการวิจัย มช. เป็นสถาบันวิจัยหลักที่ขับเคลื่อนงานวิจัยด้านการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีความเชี่ยวชาญให้มีความโดดเด่นมากขึ้น เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการสำรวจและกักเก็บคาร์บอนของไทยให้เกิดขึ้นได้ พร้อมกับการยอมรับจากสังคม และมีส่วนสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายของประเทศด้วยเทคโนโลยี CCUS นอกจากนี้ มช. ยังร่วมกับสถาบันวิจัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่น โดยเฉพาะด้านกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และกลไกทางการเงิน ผ่านการให้ความเห็นทางวิชาการเกี่ยวกับเทคโนโลยี CCUS ในด้านการพัฒนาบุคลากรทักษะสูง ในฐานะสถาบันอุดมศึกษา มช. มีพันธกิจสำคัญในการสร้างบุคลากรทักษะสูงให้กับประเทศ โดยควรมีบทบาทนำในการเป็นศูนย์กลางความรู้เทคโนโลยี CCUS มีกระบวนวิชาและหลักสูตรรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐ โดยเฉพาะการ Re-skill และ Up-skill รวมถึงการจัดการเรียนการสอนแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต
“ความร่วมมือนี้จะเป็นรากฐานสำคัญของการเชื่อมโยงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ภาควิชาการวิจัย เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเชื่อมต่อเครือข่ายระดับนานาชาติ เกิดเป็นภาพใหญ่ระดับประเทศ คือ กลุ่มพันธมิตรระดับประเทศจะมีศักยภาพในการเข้าถึงทุนขนาดใหญ่ระดับนานาชาติมากขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับความพร้อมทางเทคโนโลยีไปสู่ภาคปฏิบัติ (Implementation) เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero) ของประเทศ สุดท้ายปลายทาง เราจะสามารถมุ่งเป้าสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการส่งออก แทนที่จะมุ่งเป้าเพียงการลดการนำเข้าเทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้” ผู้อำนวยการ สวทช. ทิ้งท้าย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

นาโนเทค จับมือ Institute of Industrial Nanomaterials Kumamoto University เสริมสร้างความร่วมมือด้านวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยี
วันที่ 12 มีนาคม 2568 – ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) กับ Institute of Industrial Nanomaterials Kumamoto University ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านนาโนเทคโนโลยี พัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม และแลกเปลี่ยนบุคลากร โดย ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และ Prof. Shintaro Ida ผู้อำนวยการ Institute of Industrial Nanomaterials Kumamoto University เป็นผู้ลงนาม พร้อมทั้ง ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ Prof.Seiji Okada และ Prof.Tetsuya Kida ร่วมเป็นพยานจากทั้งสองฝ่าย ความร่วมมือนี้เปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนนักวิจัย นักศึกษา ร่วมพัฒนาโครงการวิจัย จัดกิจกรรมทางวิชาการ และเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร ร่วมกัน
นอกจากนี้ในงาน ได้จัดสัมมนา Nanotalk เรื่อง “Medicine and its Application" ซึ่งเป็นการนำเสนอแลกเปลี่ยน ความก้าวหน้า ผลงานวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยี และยังเป็นการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ของทั้งสองหน่วยงาน ความร่วมมือนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันเทคโนโลยีนาโนสู่ระดับสากล พร้อมสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อวงการวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เจาะลึก Security Assessment: กลยุทธ์ลดความเสี่ยงการโจมตีด้านไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ
🔑🔓 เผยทุกกลยุทธ์ลดความเสี่ยงไซเบอร์... ที่ IT Leader ต้องรู้ ! ในงาน NAC2025 🚀
.
🚨สัมมนา "เจาะลึก Security Assessment: กลยุทธ์ลดความเสี่ยงการโจมตีด้านไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ" ในงาน NAC2025 ชวน IT Leader มา "เปลี่ยน" ระบบ IT ขององค์กรให้แข็งแกร่ง ปลอดภัย ไร้ช่องโหว่ พบกับผู้เชี่ยวชาญด้าน Cybersecurity ที่จะมาแนะนำกลยุทธ์การประเมินความเสี่ยง, เครื่องมือที่ใช้ในการค้นหาจุดอ่อน และแนวทางปฏิบัติที่จะช่วยให้คุณป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแชร์ประสบการณ์จริง! กับเครื่องมือ Security Assessment
.
📅พบกัน 28 มี.ค. 68 | ⏰10.00 - 11.40 น.
📍ห้อง CC-308 อาคาร 14 (CC)
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
.
👉ลงทะเบียน https://www.nstda.or.th/nac/2025/seminar/nac-34/
.
🎯NAC2025 ยังมีหัวข้อสัมมนา นิทรรศการ Open House ที่เจาะลึกเรื่องราว AI ในหลากหลายมิติรอคุณอยู่ เข้าไปดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้เลยที่ https://www.nstda.or.th/nac/✨
.
📌 อย่าพลาดโอกาส... ที่จะได้เจาะลึกเรื่องราวการพัฒนาเทคโนโลยีและ AI ที่ใกล้ตัวคุณกว่าที่คิด ในงาน NAC2025 วันที่ 26 - 28 มีนาคม นี้
.
#NAC2025 #AIforSustainableFuture #ขับเคลื่อนไทยด้วยAI #SustainableThailand #NSTDA #สวทช
ปฏิทินกิจกรรม

การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสัตว์น้ำยุคใหม่ด้วยพลังเทคโนโลยีและนวัตกรรม
🌊 คลื่นเทคโนโลยี... กำลังจะเปลี่ยนอุตสาหกรรมสัตว์น้ำไทย! คุณพร้อมหรือยัง? ร่วมหาคำตอบและโอกาสใหม่ ๆ ของเทคโนโลยีสัตว์น้ำที่งาน NAC2025 🚀
.
🚨เตรียมตัวให้พร้อมรับ "คลื่นเทคโนโลยี" ที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมสัตว์น้ำไทยอย่างสิ้นเชิง! ในสัมมนา NAC2025 หัวข้อ “การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสัตว์น้ำยุคใหม่ด้วยพลังเทคโนโลยีและนวัตกรรม" พบกับการนำเสนอความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมหลากหลายด้านที่มีบทบาทต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำทั้งปัจจุบันและอนาคต ไม่ว่าจะเป็น AI เพื่อการเลี้ยงสัตว์น้ำแบบแม่นยำ, การแก้ไขยีน (Gene Editing) เพื่อพัฒนาสายพันธุ์, เทคโนโลยี Bacteriophage เพื่อควบคุมโรค, และเทคโนโลยีสัตว์น้ำอุ้มบุญ (Surrogate Propagation) ที่จะเข้ามาช่วยยกระดับการเพาะเลี้ยง, การบริหารจัดการฟาร์ม, และการพัฒนาสายพันธุ์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
.
📅 พบกัน 28 มี.ค. 68 | ⏰08.30 - 16:00 น.
📍ห้อง Auditorium อาคาร 18 (บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร)
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
.
👉ลงทะเบียน https://www.nstda.or.th/nac/2025/seminar/nac-31/
.
🎯NAC2025 ยังมีหัวข้อสัมมนา นิทรรศการ Open House ที่เจาะลึกเรื่องราว AI ในหลากหลายมิติรอคุณอยู่ เข้าไปดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้เลยที่ https://www.nstda.or.th/nac/✨
.
📌 อย่าพลาดโอกาส... ที่จะได้เจาะลึกเรื่องราวการพัฒนาเทคโนโลยีและ AI ที่ใกล้ตัวคุณกว่าที่คิด ในงาน NAC2025 วันที่ 26 - 28 มีนาคม นี้
.
#NAC2025 #AIforSustainableFuture #ขับเคลื่อนไทยด้วยAI #SustainableThailand #NSTDA #สวทช
ปฏิทินกิจกรรม

เกษตรกรยโสธร เฮ ปลูก ‘ถั่วเขียวพันธุ์ KUML’ แค่ 2 เดือน สร้างรายได้หลักหมื่น/ครัวเรือน ภายหลัง สวทช. ผนึก ธ.ก.ส.-เกษตร จ.ยโสฯ สอนปลูกครบวงจรเตรียมขยายพื้นที่ปลูก 1พันไร่! ปี 69
พี่น้องเกษตรกรจังหวัดยโสธร หันมาปลูก ‘ถั่วเขียว KUML’ เพียง 2 ปี สายพันธุที่สนับสนุนการวิจัยโดย สวทช. วิจัยสายพันธุ์ โดย ม.เกษตรฯ กำแพงแสน ระดมนักวิชาการถ่ายทอดความรู้ให้เจ้าหน้าที่และเกษตรกรปลูกแบบครบวงจร ‘ถั่วเขียว KUML’ ขึ้นแท่นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของชาวทุ่งกุลาร้องไห้ พืชจิ๋ว-ราคาแจ๋ว ราคารับซื้อสูงถึงกิโลกรัมละ 40 บาท ปลูกระยะสั้นเพียง 2 เดือนเศษ เก็บเกี่ยวผลผลิต-สร้างรายได้ 22,000บาท/ครัวเรือน ด้วยจุดเด่น ‘เมล็ดโต-น้ำหนักดี’ แถมต้นถั่วเขียวยังช่วยบำรุงดินเป็นปุ๋ยพืชสดให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น ช่วยทั้งลดต้นทุน-สร้างรายได้เพิ่ม และไม่สร้างฝุ่น PM2.5 จากการไม่เผาตอซังในนาข้าว ด้าน เกษตรจังหวัดยโสธร เตรียมส่งเสริมเกษตรกร ขยายพื้นที่ปลูกจาก 350 ไร่ในปี68 ขยายเป็น 1 พันไร่ ! ต้นปี 69
(11 มีนาคม 2568) ที่ณ บ้านกุดเสถียร ตำบลสร้างมิ่ง อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร น.ส.วิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผู้อำนวยการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) นำสื่อมวลชนร่วมงานวันเก็บเกี่ยวถั่วเขียว KUML และเปิดตัวศูนย์เรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML ระดับชุมชน จากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยี มีนายสันชัย พัฒนะวิชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เข้าร่วมงาน โดย น.ส.วิราภรณ์ กล่าวว่า ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สท. สวทช. ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน กลุ่มส่งเสริมพืชน้ำมันและพืชตระกูลถั่ว สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร และสำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธร จัดงานวันเก็บเกี่ยวถั่วเขียว KUML และเปิดตัวศูนย์เรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML ระดับชุมชน จากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยี เพื่อเป็นการเผยแพร่งานวิจัยและเทคโนโลยีของ สวทช. ให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์จริง สร้างกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวพันธุ์ KUML ที่มีองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML อินทรีย์ ให้ได้มาตรฐานและคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ สามารถขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ และสามารถเก็บและรักษาเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง ตามหลักวิชาการให้เป็นที่รู้จักของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสร้างเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียว KUML ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต ร่วมกับ หน่วยงานในพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดการเผา บำรุงดิน และเกิดการสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร โดยปัจจุบันมีจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกทั้งสิ้น 3 จังหวัดพื้นที่ทุ่งกุลาฯ (ยโสธร ศรีสะเกษ สุรินทร์ ) โดยในปี 2569 จังหวัดยโสธร จะเพิ่มจาก 350 ไร่ เป็น 1,000 ไร่ และตอบโจทย์ มิติลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ในโครงการทุ่งกุลาม่วนซื่น ตามกลยุทธ์ การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ของ สวทช.
น.ส.วิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
และผู้อำนวยการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.)
นายสันชัย พัฒนะวิชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร
สวทช.-ผนึก ธ.ก.ส. -เกษตรจ.ยโสธร นำเก็บถั่วเขียวKUML 350 ไร่
น.ส.ณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สท. สวทช. กล่าวเสริมว่า ปี 2567 สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานพืชหลังนา ร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธร ในฤดูกาลผลิตปี 2567/2568 สวทช.ได้สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML จำนวน 1,750 กิโลกรัม และไรโซเบียม พื้นที่ปลูก 350 ไร่ พร้อมทั้งจัดอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวพันธุ์ KUML แบบครบวงจร โดยมี สำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธรได้คัดเลือกพื้นที่และเกษตรกร จำนวน 14 กลุ่ม จาก 8 อำเภอ ได้แก่ เกษตรอำเภอค้อวัง เกษตรอำเภอมหาชนะชัย เกษตรอำเภอคำเขื่อนแก้ว เกษตรอำเภอเมืองยโสธร เกษตรอำเภอทรายมูล เกษตรอำเภอกุดชุม เกษตรอำเภอไทยเจริญ และเกษตรอำเภอเลิงนกทา เพื่อเข้าร่วมโครงการ และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุง บำรุงดินเพื่อเตรียมการเพาะปลูกในฤดูกาลถัดไป และมีการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ ให้เจ้าหน้าที่สามารถส่งเสริมให้พี่น้องเกษตรกรปลูกถั่วเขียวพันธุ์ KUML ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถกระจายสู่ทุกอำเภอภายในจังหวัดยโสธร โดยมี สหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทา จำกัด เป็นตลาดรับซื้อผลผลิตถั่วเขียว KUML
กรมส่งเสริมการเกษตร นำร่อง 32 จังหวัด ปลูกถั่วเขียว เป็นพืชหลังนา เพื่อเกษตรปลอดภัย
นายวีรศักดิ์ บุญเชิญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า นโยบายการส่งเสริมพืชหลังนาของกรมส่งเสริมการเกษตร และความร่วมมือกับ สวทช. ในการขยายผลการผลิตถั่วเขียว KUML แบบครบวงจรนั้น สวทช. ได้ดำเนินงานร่วมกับกลุ่มส่งเสริมพืชน้ำมันและพืชตระกูลถั่ว สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ที่ดำเนินงานส่งเสริมการปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา และมีกลไกการทำงานเชื่อมโยงกับสำนักงานเกษตรจังหวัด ทั้งสิ้น 32 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก นครสวรรค์ น่าน พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ ชัยนาท ลพบุรี อุทัยธานี กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ เลย ศรีสะเกษ สุรินทร์ หนองบัวลำภู อุดรธานี อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ และจังหวัดมหาสารคาม ภายใต้ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร กิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชตระกูลถั่ว ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น ด้านการเกษตร แผนแม่บทย่อย: เกษตรปลอดภัย
“โครงการนี้มีการพัฒนาต้นแบบเกษตรกร แปลงเรียนรู้ และพื้นที่ต้นแบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวในระดับชุมชน มุ่งหวังการสร้างกลุ่มผู้ผลิตถั่วเขียวเข้าโรงงานอุตสาหกรรมที่มีผลผลิตสูง (grain) ตรงกับความต้องการของตลาด และสร้างกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวระดับชุมชน (seed) ลดการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดีมีคุณภาพ โดยในโครงการจะดำเนินงานใน 1 จังหวัดนำร่อง คือ จังหวัดยโสธร เนื่องจากเป็นนโยบายการขับเคลื่อนของจังหวัดที่จะส่งเสริมให้ “ยโสธรเมืองเกษตรอินทรีย์ เมืองแห่งวิถีอีสาน” โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพการบริหารทรัพยากรการเกษตรเป็นเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นและไม่กระทบสิ่งแวดล้อม และพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกร การลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์สอดคล้องตามแนวทางวิถีท้องถิ่น สร้างความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน โดยมีการบรรจุถั่วเขียว เป็น 1 ใน 10 ชนิดสินค้าสำคัญที่จะขับเคลื่อนในรูปโครงการ ในปีงบประมาณ 2569”
เกษตรจังหวัดยโสธร เล็งขยายพื้นที่ปลูกจาก 350 ไร่ เป็น 1,000 ไร่ในปี69
นายนพดล ผุดผ่อง เกษตรจังหวัดยโสธร กล่าวว่า จังหวัดยโสธร มีพื้นที่เกษตรทั้งหมด 1.7 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ปลูกข้าว 1.35 ล้านไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทำนาอาศัยน้ำฝนและมีพื้นที่ชลประทานเพียง 7%ของทั้งจังหวัด ดังนั้นเกษตรจังหวัด จึงมองว่าเกษตรกรจะมีอาชีพเสริมได้อย่างไร จึงเลือกพืชถั่วเขียว ซึ่งเป็นพืชอายุสั้น และเมื่อเกษตรกรปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวมีอาชีพเสริม มีรายได้ ในช่วงพักนา ได้อย่างไร ดังนั้นการสร้างรายได้เสริม จึงมองมาที่ถั่วเขียว ซึ่งเป็นพืชอายุสั้น สามารถเก็บเกี่ยวได้ช่วง 65-75 วัน และตลาดมีความต้องการจำนวนมากอีกทั้งในประเทศผลผลิตไม่เพียงพอ ที่สำคัญเป็นพืชบำรุงดิน เกษตรจังหวัดจึงกำหนดเป็นแผนพัฒนาเพื่อปลูกถั่วเขียวระดับจังหวัดในปี 2569
“ในปี 2568 นี้เรานำร่องเครือข่ายเกษตรกรปลูกถั่วเขียว KUML ที่ สวทช. และ ม.เกษตร กำแพงแสน นำมาถ่ายทอดความรู้ครบวงจร ตั้งแต่ การปลูก ดูแล เก็บเกี่ยวและการคัดเมล็ดพันธุ์ จำนวนมากกว่า 350 ไร่ใน 8 อำเภอ จาก 9 อำเภอของจ.ยโสธร โดยให้เกษตรกรรวมกลุ่มตามความสมัครใจ ปัจจุบันมี 15 กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียว ใน จ.ยโสธร โดยปีนี้ สวทช. สนับสนุนเมล็ดพันธุ์กลุ่มละ 5 ไร่ เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้ว เกษตรกรต้องคืนต้นทุนเมล็ดพันธุ์ให้กับกลุ่มเพื่อขยายผลการปลูกในปีถัด ๆ ไป โดยตั้งเป้าว่าปีหน้าจะปลูกถั่วเขียว KUML ทั้งจังหวัดเป็นพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ เพื่อเป้าหมายเป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวของ จ.ยโสธร”
โครงการนี้ฯ เกษตรกรให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีอุปสรรคเรื่องลมแรงและความหนาวที่ยาวนาน (ช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 2568) ซึ่งเป็นปัญหาของการเจริญเติบโตของถั่วเขียว แต่กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียว KUML ก็ไม่ท้อและต้องการจะปลูกอีกในฤดูกาลถัดไป เพราะเป็นพืชอายุสั้น ช่วยบำรุงดินและที่สำคัญเมื่อเกษตรกรปลูกพืชหลังนาหลังการเก็บเกี่ยวข้าวแล้วจะช่วยลดพื้นที่การเผาในพื้นที่เกษตรได้ดี เป็นผลดีต่อในการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการลดการเผาซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาฝุ่น PM2.5
อย่างไรก็ตามการทำงานร่วมกับ สวทช. ทำให้เกษตรจังหวัดและกรมส่งเสริมการเกษตร เห็นข้อดีต่อพี่น้องเกษตรกรทุกด้าน เพราะ สวทช. มีองค์ความรู้ มีสื่อในการเรียนรู้และให้ความรู้เกษตรกรเข้าใจได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญมีปัจจัยการผลิตบางส่วนมาสนับสนุนและสอนการใช้ประโยชน์ นอกจากนี้ สวทช. และคณะอาจารย์จากม.เกษตร กำแพงแสน ยังให้ความรู้เรื่องการปลูกถั่วเขียวแบบครบวงจร แก่เกษตรตำบล อีกทั้ง สวทช. ยัง เชื่อมโยงทุนสนับสนุนจาก ธ.ก.ส. มาร่วมเป็นพันธมิตรด้านเงินทุนให้กับพี่น้องเกษตรกรด้วย เพราะถั่วเขียวถือเป็นพืชอายุสั้นและมีแนวโน้มจะผลิตได้ดีในพื้นที่ จ.ยโสธร
ชาวนายโสธร ปลื้มปลูกถั่วเขียว KUML แค่ 2 เดือนสร้างรายได้เพิ่ม หลักหมื่นต่อครัวเรือน
นางสาวจันทราพร ประธาน หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธร กล่าวเสริมว่า การส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกพืชหลังนา สำนักงานเกษตรจังหวัดยโสธร ได้ร่วมทำงานบูรณาการกับ สวทช. เป็นปีที่สอง ซึ่งนโยบายของจังหวัดอยากให้เกษตรกรปลูกพืชน้ำน้อย เพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกรส่งเสริมให้เกษตรกรลดการเผาตอซังและมีรายได้เพิ่มในฤดูแล้ง โดยในปีต่อไปเกษตรกรจะเริ่มการคัดเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML ไว้เป็นพันธุ์ปลูกเพื่อสร้างความมั่นคงเรื่องเมล็ดพันธุ์ และปลูกในต้นปี 2569 ซึ่งจะเป็นการนำร่องปลูกทุกอำเภอตามนโยบายของจังหวัดยโสธร
ด้าน นายกฤษณ์ เสาประธาน ประธานสหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทาและไทยเจริญ จำกัด จ.ยโสธร และเป็นหนึ่งในเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียว KUML กล่าวว่า ด้วยสหกรณ์ฯ เห็นว่าถั่วเขียวเป็นพืชบำรุงดินตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ อีกทั้งยังขายได้ราคา มีรายได้เสริมช่วงพักนา จึงส่งเสริมให้สมาชิกในกลุ่มฯ ปลูกถั่วเขียวเป็นหลัก เพื่อจะมีรายได้เสริมและดีกว่าปล่อยนาทิ้งร้างว่างเปล่า
“เมื่อก่อนเราไม่มีความรู้เรื่องการปลูกถั่วเขียวก็หว่านไปตามธรรมชาติ ผลผลิตไม่ได้ แถมมีพันธุ์ถั่วหินปนบ้างเมล็ดเล็กไม่มีใครรับซื้อ ทีนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว สวทช. มาให้ความรู้ แนะนำวิธีการปลูก คือให้คลุกไรโซเบียมก่อนปลูกแล้วไถกลบ หว่านและปั่น ทำให้ถั่วเขียวต้านทานโรคได้ดี และรากต้นถั่วเขียวก็จะมีปมและหาอาหารในดินได้เก่งขึ้น ต้นถั่วเขียวตั้งตรงแข็งแรง ที่สำคัญเมล็ดพันธุ์ KUML สุกแก่ค่อนข้างพร้อมกันช่วยให้เก็บเกี่ยวง่ายขึ้น เมล็ดใหญ่ ฝักใหญ่ แถมให้น้ำหนักดีมาก”
นายมณี แสงแก้ว สมาชิกเกษตรอินทรีย์เลิงนกทาและไทยเจริญ จำกัด จ.ยโสธร กล่าวเสริมว่า ปลูกสายพันธุ์ถั่วเขียว KUML มา 2 ปีแล้ว เมล็ดใหญ่น้ำหนักเยอะ ถึงปลูกน้อย ก็ได้น้ำหนักเยอะกว่าสายพันธุ์ท้องตลาดทั่วไป ซึ่งเมื่อก่อนปลูกพันธุ์อื่น ๆ น้ำหนักน้อยแถมต้องรอว่าใครจะรับซื้อ แต่สายพันธุ์ KUML นี้ ปลูกแล้วรอเก็บขายกับสหกรณ์ฯ ได้เลย ทั้งขายง่าย ได้เงินง่าย ถือเป็นรายได้เพิ่มหลังการทำนา ดินดีขึ้นช่วยให้ข้าวได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น จากเมื่อก่อนไม่ปลูกถั่วเขียวได้ 300 กิโลกรัมต่อไร่ ตอนนี้หลังปลูกถั่วเขียวผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 500-600 กิโลกรัมต่อไร่
เช่นเดียวกับ นางลัดดา พันธ์ศรี ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตปุ๋ยอินทรีย์และข้าวอินทรีย์บ้านคำครตา อ.ทรายมูล จ.ยโสธร กล่าวว่า ทำเกษตรอินทรีย์รับรองมาตรฐานสากล EU ตั้งแต่ปี 2559 ด้วยการทำข้าวอินทรีย์หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าว ต้องปลูกพืชบำรุงดินมาโดยตลอด จนกระทั่งปี 2567 รู้จักกับ สวทช. และเริ่มหันมาปลูกถั่วเขียว KUML เป็นพืชบำรุงดิน ซึ่งนอกจากได้ช่วยปรับปรุงดิน ยังช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวอินทรีย์ขึ้น และการปลูกถั่วเขียว KUML ยังช่วยสร้างรายได้เศรษฐกิจระดับฐานรากให้เกษตรกรช่วงพักนาได้ดี
“ปีที่แล้วปลูกถั่วเขียว KUML จำนวน 5 ไร่ ได้เมล็ดถั่วเขียว 700 กิโลกรัม มีรายได้ในช่วง 2 เดือนมากถึง 22,000 บาท และแบ่งเมล็ดไว้ทำพันธุ์ปลูกในปี 2568 อีก 60 กิโลกรัม ซึ่งวันนี้เป็นวันเก็บเกี่ยวผลผลิตของฤดูการผลิต 2568 แล้ว แม้ว่าปีนี้ถั่วเขียวจะเจอฤดูหนาวที่ยาวนานและมีลมแรง แต่ส่วนตัวและสมาชิกในกลุ่มฯ ยังมั่นใจที่จะปลูกถั่วเขียว KUML ต่อไป เพราะช่วยให้มีรายได้เสริม และช่วยบำรุงดินตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์เป็นอย่างดี”
ธ.ก.ส. หนุน สวทช. ขยายองค์ความรู้ไปยัง กลุ่มเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนพักชำระหนี้
นายเสกสรรค์ จันทร์ขวาง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า การสนับสนุนจากสำนักวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ที่ต้องการจะมุ่งนำองค์ความรู้ผลิตถั่วเขียวและโมเดลตลาดนำการผลิต ยกระดับเครือข่ายเกษตรกรของ ธ.ก.ส. ให้มีความสามารถในการผลิตถั่วเขียวหลังนาเป็นอาชีพเสริม สร้างกลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพให้เกิดความยั่งยืนในพื้นที่ รวมถึงการสร้างเครือข่ายเกษตรกรผลิตถั่วเขียว (Grain) ส่งให้กับภาคเอกชนในพื้นที่ สามารถยกระดับรายได้ของเกษตรกรได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ตลอดปี 2567 ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจแก่องค์กรและลูกค้าด้วยนวัตกรรม ด้วยการขยายผลนวัตกรรมเกษตรสู่การใช้ประโยชน์ โดยได้ดำเนินโครงการขับเคลื่อนนวัตกรรมเกษตรร่วมกับภาคีเครือข่ายภายนอก ผ่านรูปแบบการสนับสนุนทุนวิจัยและค้นหานวัตกรรมให้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนและพัฒนางานวิจัยที่เหมาะสมกับบริบทการเกษตรในประเทศไทย ทั้งนี้การดำเนินงานดังกล่าว ธ.ก.ส. หน่วยงานภาครัฐในท้องถิ่น สามารถนำไปองค์ความรู้และเทคโนโลยีดังกล่าวใช้ขยายผลให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนพักชำระหนี้ได้ โดยค้นหาและคัดเลือกนวัตกรรมเกษตรพร้อมใช้ที่เหมาะสมต่อกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เกษตรกร ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการทำการเกษตรให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ส่งผลให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิด “ศูนย์พัฒนลักษณ์” พร้อมพระราชทานเครื่อง MobiiScan เพื่อยกระดับการรักษาผู้ป่วย
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเปิด “ศูนย์พัฒนลักษณ์” ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งเป็นศูนย์ดูแลและแก้ไขภาวะปากแหว่งเพดานโหว่และความผิดปกติของศีรษะและใบหน้า โดยในการนี้ ทรงพระราชทาน เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติแบบเคลื่อนย้ายได้ MobiiScan เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น
วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2568 เวลา 13.10 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากอาคารอุทยานองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มหาวิทยาลัยนเรศวร ไปยังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร และได้ถวายพวงมาลัย เพื่อเป็นราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี
จากนั้นเสด็จ ฯ ถึงอาคารสิรินธร โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อไปยัง “ศูนย์พัฒนลักษณ์” ประทับพระราชอาสน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์พีระพงศ์ เธียราวัฒน์ รองคณบดีฝ่ายบริหารและประกันคุณภาพ เข้าเฝ้า ฯ ทูลเกล้า ฯ ถวายหนังสือ ในโอกาสเดียวกันนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิงพิริยา นฤขัตรพิชัย คณบดีคณะแพทยศาสตร์ กราบบังคมทูลรายงานผลการดำเนินงาน 10 ปี ของสถานรักษาแก้ไขภาวะปากแหว่งเพดานโหว่และความผิดปกติของศีรษะและใบหน้า มหาวิทยาลัยนเรศวร ต่อมา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ฯ ทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรคลุมป้าย “ศูนย์พัฒนลักษณ์” ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานชื่อหน่วยงานว่า “ศูนย์พัฒนลักษณ์” พร้อมทั้งเสด็จฯ ทอดพระเนตรเยี่ยมชมการแสดงผลงานเครื่องโมบีสแกน (MobiiScan) ที่ทรงพระราชทาน และผลการดำเนินงานของสถานรักษาแก้ไขภาวะปากแหว่งเพดานโหว่และความผิดปกติของศีรษะและใบหน้าฯ โดยมี นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี นางสาววิลาวรรณ วนดุรงค์วรรณ กรรมการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกและคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.) ดร.เสาวภาคย์ ธงวิจิตรมณี นักวิจัยอาวุโส เนคเทค-สวทช. นางสาวอลิสา สุวรรณรัตน์ นักวิชาการอาวุโส สวทช. และนายปริญญา จันทร์หุณีย์ วิศวกรอาวุโส ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
สืบเนื่องจาก สถานรักษาแก้ไขภาวะปากแหว่งเพดานโหว่และความผิดปกติของศีรษะและใบหน้า มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานชื่อสถานรักษา ผ่านมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อแสดงความจงรักภักดีและเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เจริญพระชนมายุ 70 พรรษา ในวันที่ 2 เมษายน 2568
ด้วยความทราบฝ่าละอองพระบาท ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานชื่อว่า “ศูนย์พัฒนลักษณ์” ซึ่งหมายถึง “ศูนย์ซึ่งเสริมสร้างลักษณะอันเจริญ” พร้อมทั้งพระราชทานพระราชานุญาตให้เชิญอักษรพระนามาภิไธย “ส.ธ.” ประดับที่ป้ายชื่อพระราชทาน เพื่อเป็นสิริมงคลและเกียรติยศแก่หน่วยงาน
ผลการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 10 ปี ของสถานรักษาแก้ไขภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่ และความผิดปกติของศีรษะและใบหน้า มหาวิทยาลัยนเรศวร มีผู้ป่วยที่เข้ารับบริการ จำนวนประมาณ 500 ราย มีการให้บริการด้านศัลยกรรมผ่าตัดแก้ไข ทันตกรรมจัดฟัน แก้ไขการพูด รวมทั้งสิ้น 2,688 ครั้ง โดยกลุ่มผู้ป่วย ได้แก่ กลุ่มทารกแรกเกิด จนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนในเขตสุขภาพที่ 2 และเขตสุขภาพที่ 3
ในวโรกาสนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องโมบีสแกน (Mobiiscan) ซึ่งเป็นเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 3 มิติ แบบเคลื่อนย้ายได้ จำนวน 1 เครื่อง เพื่ออำนวยประโยชน์อย่างยิ่งแก่คณะแพทย์ ในการวางแผน วินิจฉัย และรักษาผู้รับบริการทางการแพทย์ที่มีความผิดปกติบริเวณใบหน้า กะโหลกศีรษะ ขากรรไกร ตลอดจนการดูแลรักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุบริเวณศีรษะ
เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติลำรังสีทรงกรวยแบบเคลื่อนย้ายได้ ภายใต้ชื่อ MobiiScan (โมบีสแกน) เป็นผลงานวิจัยและพัฒนาโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกและคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ซึ่งเครื่อง MobiiScan ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยทางด้านรังสีจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ทางด้านไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์จากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) และผ่านการทดสอบคลินิกเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 13485 และได้รับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีคุณสมบัติเด่น คือ เป็นเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติแบบเคลื่อนย้ายได้ง่ายและผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีที่น้อยกว่าเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทางการแพทย์ ใช้ถ่ายอวัยวะภายในบริเวณใบหน้าและกะโหลกศีรษะ เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการผ่าตัดรักษา ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและทันท่วงที ซึ่งเครื่อง MobiiScan ที่นำมาติดตั้งที่ศูนย์พัฒนลักษณ์ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ในการสร้างเครื่อง MobiiScan โดยมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชำริฯ ได้รับเงินสนับสนุนบางส่วนจากมูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหมโรงแรมเอราวัณในการดำเนินการดังกล่าว
ภาพจาก คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน Ignite Thailand: Invest in Endless Opportunities
วันพุธที่ 12 มีนาคม2568 โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทลแบงค็อก : นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “Ignite Thailand: Invest in Endless Opportunities” พร้อมปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “โอกาสการลงทุนไร้ขีดจำกัดในประเทศไทย” โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง ปาฐกถา "ความพร้อมประเทศไทย เพื่อการเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก" พร้อมเสวนา หัวข้อ "การขับเคลื่อนการลงทุน เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมใหม่" โดยเลขาธิการบีโอไอ, ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, ปลัดกระทรวงพลังงาน และปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อว.
โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อว. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EECi ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรม สวทช. นางสาวชมพูนุช อนุศาสน์สิทธิกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและคลัสเตอร์นวัตกรรม สวทช. ได้เข้าร่วมงานและร่วมต้อนรับ
งาน “Ignite Thailand: Invest in Endless Opportunities” เป็นงานที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอจัดขึ้น เพื่อเผยแพร่ยุทธศาสตร์และนโยบายส่งเสริมการลงทุนให้กับผู้สนใจโดยเฉพาะนักลงทุนจากทั่วโลก โดย สวทช. ได้ร่วมจัดนิทรรศการนำเสนอโอกาสในการลงทุนของ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EECi และ CONNEX ศูนย์เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสู่ภาคธุรกิจ ให้บริการ One Start Service ที่ช่วยเชื่อมโยงความร่วมมือและอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ นักธุรกิจสามารถเข้าถึงบริการของ สวทช. สมาชิกประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ง่ายและสะดวกขึ้น
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จับมือ พันธมิตร เวิร์กชอป “การขับเคลื่อนการเข้าถึงบริการสารสนเทศ และการสื่อสารโดยสะดวกถ้วนหน้าสู่ระบบราชการ 4.0”
(11 มีนาคม 2568) ณ โรงแรมแมนดาริน C พระราม 4 กรุงเทพมหานคร: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การขับเคลื่อนการเข้าถึงบริการสารสนเทศ และการสื่อสารโดยสะดวกถ้วนหน้าสู่ระบบราชการ 4.0” ให้กับหน่วยงานภาครัฐ โดยมี ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานกล่าวเปิดกิจกรรม มีนายต่อพงศ์ เสลานนท์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (ด้านการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน) ม.ร.ว. นงคราญ ชมพูนุท ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย และผู้เข้าอบรมหน่วยงานภาครัฐ กว่า 40 หน่วยงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบและให้คำปรึกษาในการปรับปรุงเว็บไซต์ตามมาตรฐานของ Web Content Accessibility Guidelines (WCAG) เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงบริการสารสนเทศและการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐได้ โดยจะดำเนินการตรวจสอบการเข้าถึงเว็บไซต์ตามมาตรฐาน WCAG
ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สวทช. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการเข้าถึงดิจิทัลโดยถ้วนหน้า (Digital Accessibility) โดยได้มีการกำหนดเป้าหมายการขับเคลื่อนงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. ไว้ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ ทั้งนี้ “แพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารของคนพิการ (Accessible information and communication platform)” เป็นหนึ่งในเป้าหมายของ สวทช. เพื่อช่วยลดอุปสรรคในการเข้าถึงโลกดิจิทัลของคนพิการและผู้สูงอายุใน 3 เรื่อง คือ “ช่วยให้เข้าถึงการสื่อสาร” “ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ” และ “ช่วยให้เข้าถึงบริการดิจิทัล” ซึ่งตอบโจทย์ มิติลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ในโครงการแพลตฟอร์มการสื่อสารของผู้พิการและผู้สูงอายุ ตามกลยุทธ์ การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ของ สวทช.
ดร.อดิสร กล่าวต่ออีกว่า “สำหรับกิจกรรมที่จัดขึ้นครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยของ แพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารของคนพิการ เพื่อสนับสนุนให้ภาครัฐจัดบริการดิจิทัลให้กับประชาชนทุกคนได้ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่มีการเสนอให้ผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับการให้บริการประชาชนและการบริหารงานราชการให้ทันสมัย สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันดำเนินการ จึงเป็นที่มาของกิจกรรมเสวนา เรื่อง “การขับเคลื่อนการเข้าถึงบริการสารสนเทศและการสื่อสารโดยสะดวกถ้วนหน้า สู่ระบบราชการ 4.0” ซึ่งนำไปสู่การนำองค์ความรู้ที่ได้จากการอบรมเชิงปฏิบัติการ ไปพัฒนาและยกระดับการให้บริการด้านดิจิทัลของภาครัฐไปสู่ประชาชนทุกคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เลือกปฏิบัติกับประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะทำให้ระบบราชการของภาครัฐก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง เทียบเคียงกับต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันนี้มีเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐบาลหลายประเทศที่ให้ความสำคัญกับการบริการดิจิทัลแก่ประชาชนทุกคน โดยมีการรับประกันว่าเว็บไซต์นี้ได้ปฏิบัติตามมาตรฐาน “Web Content Accessibility guidelines (WCAG) ในระดับ A หรือ AA หรือ AAA ซึ่งได้ประกาศเป็นมาตรฐานสากล (ISO) แล้ว และหลายประเทศได้กำหนดเป็นนโยบายดิจิทัลของของประเทศไว้ด้วย”
สำหรับการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การขับเคลื่อนการเข้าถึงบริการสารสนเทศและการสื่อสารโดยสะดวกถ้วนหน้าสู่ระบบราชการ 4.0” ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของหน่วยงาน 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย และ มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ “การสร้างสังคมดิจิทัลที่เท่าเทียม” มุ่งให้ประชาชนได้เข้าถึงเนื้อหาและบริการดิจิทัลโดยสะดวกถ้วนหน้าแบบอัตโนมัติโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของเนื้อหาเว็บไซต์ นอกจากนี้ ยังเป็นการตรวจสอบและให้คำปรึกษาในการปรับปรุงเว็บไซต์ตามมาตรฐานของ Web Content Accessibility Guidelines (WCAG) เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงบริการสารสนเทศและการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐได้ และเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

นวัตกรรมสมุนไพร: ปลดล็อกพลังธรรมชาติสู่สุขภาพและความงามที่ยั่งยืน
📢ส่องนวัตกรรมสมุนไพร": ครบเครื่องเรื่อง Trend, Tech, และ Business สู่ตลาดโลก! ที่งาน NAC2025 🌿✨
.
🚨สัมมนา "นวัตกรรมสมุนไพร: ปลดล็อกพลังธรรมชาติสู่สุขภาพและความงามที่ยั่งยืน" NAC 2025 จะพาคุณไปสำรวจทุกแง่มุมของอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจ Trend & Value Chain ของการตลาดสมุนไพร ทั้งในด้านสุขภาพ, ความงาม, และการประยุกต์ใช้ AI จากนั้นจะเข้าสู่เนื้อหาเกี่ยวกับเทคโนโลยี Encapsulation, การพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพเฉพาะบุคคล, และการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อเครื่องสำอางและเวชสำอาง นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งปันประสบการณ์ตรงจากผู้ประกอบการที่ร่วมวิจัยพัฒนากับ สวทช. และปิดท้ายด้วยการเสวนาในหัวข้อ "คุณค่าสมุนไพรไทยสู่ธุรกิจระดับโลก" เพื่อร่วมกันหาแนวทางยกระดับสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
.
📅 พบกัน 28 มี.ค. 68 | ⏰13.00 - 16:00 น.
📍ห้อง CC –309 Auditorium อาคาร 14 (CC)
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
.
👉ลงทะเบียน https://www.nstda.or.th/nac/2025/seminar/nac-22/
.
🎯NAC2025 ยังมีหัวข้อสัมมนา นิทรรศการ Open House ที่เจาะลึกเรื่องราว AI ในหลากหลายมิติรอคุณอยู่ เข้าไปดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้เลยที่ https://www.nstda.or.th/nac/✨
.
📌 อย่าพลาดโอกาส... ที่จะได้เจาะลึกเรื่องราวการพัฒนาเทคโนโลยีและ AI ที่ใกล้ตัวคุณกว่าที่คิด ในงาน NAC2025 วันที่ 26 - 28 มีนาคม นี้
.
#NAC2025 #AIforSustainableFuture #ขับเคลื่อนไทยด้วยAI #SustainableThailand #NSTDA #สวทช
ปฏิทินกิจกรรม

ENTEC สวทช. ร่วมมือ NEDO เปิดตัวไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME เพื่อการขนส่งคาร์บอนต่ำ
(วันที่ 11 มีนาคม 2568) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงานพิธีเปิดการนำร่องใช้งาน “ไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME เพื่อการขนส่งคาร์บอนต่ำ” โดย ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) เป็นประธานในงาน พร้อม Mr. Hironori KAWAMURA, Chief Representative of Asian Representative Office in Bangkok ของ New Energy and Industrial Technology Development Organization (NEDO), Mr. Atsushi SUGIYAMA และ คุณสยามณัฐ พนัสสรณ์ จาก Sun-up Cooperation (Thailand) Co., Ltd.
Mr. Takahiko HISHIYAMA จาก Hidaka Yokoo Enterprises Co., Ltd. ดร.นุวงศ์ ชลคุป ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ ENTEC และหัวหน้าโครงการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน
ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC เปิดเผยว่า ENTEC ได้เริ่มศึกษาวิจัยไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME (ไบโอดีเซลที่ได้รับการปรับปรุงคุณภาพและคุณสมบัติให้ดีขึ้น) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 โดยได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจาก Japan International Cooperation Agency (JICA), Japan Science and Technology Agency (JST) และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ไบโอดีเซลชนิดนี้มีความเสถียรที่สูง ทำให้สามารถผสมกับน้ำมันดีเซลในอัตราส่วนที่สูงขึ้น โดยมีการเริ่มทดสอบในรถกระบะ 4 ล้อที่ส่วนผสมร้อยละ 10 ในปี ค.ศ. 2012 ก่อนที่จะเพิ่มสัดส่วนเป็นร้อยละ 20 ในปี 2015 ด้วยระยะทางการทดสอบรวมมากกว่า 100,000 กิโลเมตร ผลการทดสอบในช่วงนี้พบว่าอัตราการสึกกร่อนของเครื่องยนต์ต่ำกว่าไบโอดีเซลธรรมดาอย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเพิ่มสัดส่วนการผสมกับน้ำมันดีเซลสามารถขยายผลสู่การเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันเชิงพาณิชย์ และผ่านการทดสอบว่ารองรับการใช้จริงในรถยนต์สมัยใหม่มาตรฐานไอเสียยูโร 5
สำหรับโครงการทดสอบล่าสุดซึ่งต่อยอดจากความสำเร็จในอดีต ENTEC ได้พัฒนาการผลิตและใช้งานไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME 100% ในประเทศไทย ซึ่งโดยได้รับการสนับสนุนจาก NEDO ในโครงการนี้ ENTEC สามารถสร้างโรงงานต้นแบบผลิตไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME อย่างต่อเนื่องเป็นครั้งแรก ผลการทดสอบพบว่า H-FAME 100% มีประสิทธิภาพเทียบเคียงน้ำมัน B7 ที่จำหน่ายทั่วไป และปล่อยฝุ่น PM น้อยกว่า การทดสอบภาคสนามในครั้งนี้ครอบคลุมการใช้งานจริงในรถกระบะ 4 ล้อ เป็นระยะทาง 10,000 กิโลเมตร รถบรรทุกของบริษัท Sun-up Cooperation (Thailand) Co., Ltd. และรถฟอร์กลิฟต์ของบริษัท Hidaka Yokoo Enterprises Co., Ltd. ซึ่งพบว่าสามารถใช้งานได้โดยไม่ส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ ความสำเร็จนี้สอดคล้องกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065 และตอบโจทย์กลยุทธ์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand) ของ สวทช.
Mr. Hironori KAWAMURA, Chief Representative of Asian Representative Office in Bangkok ของ NEDO กล่าวว่า การสร้างโรงงานต้นแบบผลิตไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME อย่างต่อเนื่อง และการทดสอบใช้งานจริงในรถกระบะ รถบรรทุก และรถฟอร์กลิฟต์ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการผลักดันการใช้ไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคขนส่ง นอกจากนี้บริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นหลายแห่งที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย ต่างแสดงความสนใจการนำไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME ไปใช้ในรถกระบะและรถบรรทุกในภาคขนส่ง รวมถึงเครื่องจักรกลหนักในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นการยกระดับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดระหว่างประเทศญี่ปุ่นและไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
ในงานนี้ Dr. Yuji YOSHIMURA, Senior Advisor at ENTEC ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “What is the Premium Biodiesel H-FAME” โดยเน้นถึงข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับไบโอดีเซลธรรมดา โดยเฉพาะคุณสมบัติด้านความเสถียรที่สูงกว่าการลดการปล่อยไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) และการสึกกร่อนของเครื่องยนต์ที่น้อยกว่า ที่สำคัญคือสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 50% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลายในอนาคต นอกจากนี้ในแง่ของต้นทุน หากสามารถขยายกำลังการผลิตได้ ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นจากไบโอดีเซลธรรมดาเพียง 1 บาทต่อลิตร ซึ่งถือว่าคุ้มค่าเมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้รับ
ดร.นุวงศ์ ชลคุป ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ ENTEC และหัวหน้าโครงการ เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทเอกชนในประเทศไทยและญี่ปุ่นหลายแห่งสนใจเทคโนโลยีไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME อย่างมาก เนื่องจากไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแต่ยังช่วยลดต้นทุนโดยรวมตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม
ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความสนใจของภาคเอกชนคือ ต้นทุนการลดก๊าซเรือนกระจกที่สูงในปัจจุบัน รวมถึงมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) ที่จะทำให้สินค้าที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีต้นทุนการส่งออกสูงขึ้น การนำ H-FAME มาใช้ในการผลิตและขนส่งจึงช่วยลดต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและเสริมภาพลักษณ์องค์กรในด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ปัจจุบันโรงงานต้นแบบผลิตไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME สามารถผลิตไบโอดีเซลได้ 500 ลิตรต่อวันอย่างต่อเนื่อง และอยู่ระหว่างหารือร่วมกับ NEDO เพื่อขยายกำลังการผลิตไปสู่โรงงานต้นแบบขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันการใช้พลังงานสะอาดทั้งในไทยและระดับสากล
"ไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME นับเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพสูงสำหรับการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคขนส่ง สอดคล้องกับมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) และช่วยลดต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมให้แก่ภาคธุรกิจ ปัจจุบันโรงงานต้นแบบมีกำลังการผลิต 500 ลิตรต่อวัน และกำลังพัฒนาไปสู่โรงงานต้นแบบขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในประเทศไทยและระดับสากล"
โรงงานต้นแบบผลิตไบโอดีเซลพรีเมียม H-FAME
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์