ผลการค้นหา :
Net Zero Day Series 2 : เครื่องมือลดก๊าซเรือนกระจก
กลับมาอีกครั้งกับงาน Net Zero Day Series 2 เวทีที่จะพาคุณเจาะลึกการใช้ เครื่องมือลดก๊าซเรือนกระจก ทั้ง CFO และ CFP พร้อมทดลองใช้แพลตฟอร์มจริง และแลกเปลี่ยนกรณีศึกษาที่เข้มข้นจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่ เป้าหมาย Net Zero
📅 วันที่จัดงาน: 4 กันยายน 2568🕣 เวลา: 08.30–16.00 น.📍 สถานที่: ห้องพระศิวะ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชัน
ไฮไลต์ภายในงาน
การประเมิน CFO และแนวทางการมุ่งสู่ Net Zero
การใช้ Platform CFO NECTEC
การประเมิน CFP และกรณีศึกษาจากการประเมิน CFP
กิจกรรมการให้สนับสนุนผู้ประกอบการ โดย NECTEC และ อบก.
ผู้เชี่ยวชาญที่จะร่วมบรรยาย
ดร.ธนวรรณ วรุณโชติภูมิ (ผู้อำนวยการ สำนักวิเคราะห์ธุรกิจคาร์บอนต่ำ อบก.)
คุณพจพันธ์ ศรีดวง (ผู้อำนวยการ สำนักวิเคราะห์ธุรกิจคาร์บอนต่ำ อบก.)
คุณนนทพันธ์ แสงกรองศิลป์ (ผู้อำนวยการ สำนักวิเคราะห์ธุรกิจคาร์บอนต่ำ อบก.)
คุณสโรชา ภักดีแสน (ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ธุรกิจคาร์บอนต่ำ อบก.)
คุณปฏิพัทธ์ เอี่ยมอร่าม (วิศวกรอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก เนคเทค สวทช.)
⚡️ ที่นั่งมีจำนวนจำกัด!👉 ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ : https://www.nstda.or.th/r/nGvoT
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. ให้การต้อนรับ ดร.วันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการอว.
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ดร.วันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และคณะ ได้เดินทางมาตรวจราชการตามแผนตรวจราชการกระทรวง อว. ณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมี ดร.นวลวรรณ สงวนศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านกลยุทธ์และงบประมาณ พร้อมด้วยบุคลากร สวทช. ที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ
ในการนี้ คณะผู้ตรวจราชการฯ ได้รับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานตามภารกิจภาพรวมของ สวทช. และติดตามความก้าวหน้าตามแผนตรวจราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในประเด็นสำคัญ ได้แก่
โครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis)
โครงการพัฒนานักรบอุตสาหกรรมอาหารพันธุ์ใหม่ (Food Warrior)
โครงการพัฒนาและสร้างเสริมบุคลากรวิจัย
นอกจากนี้ คณะฯ ยังได้เข้าเยี่ยมชม
ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (National Omics Center: NOC)
ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC)
บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
นาโนเทค สวทช. พัฒนา ‘ระบบบำบัดน้ำกร่อยเพื่อการเกษตร’ ลดความเสียหายกล้วยไม้ส่งออกกว่า 132 ล้าน
นาโนเทค สวทช. โดยการสนับสนุนของ สวก. รับโจทย์น้ำเค็มรุกล้ำพื้นที่การเกษตร ส่งผลให้เกิด “น้ำกร่อย” กระทบต่อพืชเศรษฐกิจอย่างกล้วยไม้ส่งออก จึงพัฒนา “ระบบบำบัดน้ำกร่อยเพื่อการเกษตรสำหรับโรงเรือน” โดยผสานนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นไม่ว่าจะเป็นเมมเบรนเซรามิคเคลือบฟิล์มบางเพื่อกรองเกลือ และเทคโนโลยีการเคลือบตะแกรงกรองละเอียดช่วยลดการอุดตันของสาหร่ายและตะไคร่น้ำ รวมถึงต้นแบบระบบติดตามและควบคุมคุณภาพน้ำ นำร่องทดสอบในพื้นที่ปลูกกล้วยไม้ของศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดสมุทรสาคร สามารถควบคุมคุณภาพน้ำ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชเศรษฐกิจ ลดมูลค่าความเสียหายของกล้วยไม้จากการรุกล้ำของน้ำกร่อยในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครที่สูงถึง 132 ล้านบาท/ปี พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี มุ่งเป้าพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง ขับเคลื่อนนวัตกรรมหนุนการเกษตรแบบยั่งยืน
ดร.ภญ. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า พันธกิจสำคัญของนาโนเทคคือการดำเนินงานวิจัย พัฒนา ออกแบบและวิศวกรรม รวมถึงประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบ ทั้งในมิติคุณภาพน้ำและปริมาณน้ำ เพิ่มการเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับการอุปโภคและบริโภค ตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 หนึ่งในปัญหาที่เกษตรกรในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำพบเจอคือ “น้ำกร่อย” จากน้ำทะเลหนุน จึงจำเป็นต้องมีการหาแนวทางการกำจัดเกลือเพื่อให้สามารถนำน้ำกร่อยมาใช้ประโยชน์ในการเกษตรได้ โครงการนี้จึงเกิดขึ้นโดยการสนับสนุนของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก.
โครงการวิจัยระบบบำบัดน้ำกร่อยเพื่อการเกษตรสำหรับโรงเรือน ภายใต้โครงการ การพัฒนาระบบบำบัดเกลือจากน้ำกร่อยที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์เพื่อความมั่นคงด้านน้ำของภาคการเกษตร เฟสที่ 2 จึงมุ่งเน้นพัฒนากระบวนการทางเลือกในการกำจัดเกลือที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์
ดร. ณัฏฐพร พิมพะ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยาระดับนาโน การดูดซับ และการคำนวณ นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า คุณภาพน้ำที่เหมาะสมสำหรับการเกษตรควรมีค่าความเค็มไม่เกิน 0.5 กรัมต่อลิตร หรือค่าการนำไฟฟ้า (EC) ไม่เกิน 750 ไมโครซีเมนส์ต่อเซนติเมตร อย่างไรก็ตาม จากปัญหาภัยแล้งและน้ำทะเลหนุนสูงทำให้หลายพื้นที่ เช่น สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม ประสบปัญหาน้ำกร่อย
ระบบบำบัดน้ำกร่อยเพื่อการเกษตรสำหรับโรงเรือนที่นาโนเทคพัฒนาขึ้นนี้ เป็นการต่อยอดจากเฟส 1 ที่มีการพัฒนาเมมเบรนเซรามิกชนิดไมโครฟิลเตรชันให้สามารถกรองในระดับนาโนฟิลเตรชันซึ่งมีประสิทธิภาพการกรองเกลือ และเคลือบไส้กรองแบบตะแกรงสเตนเลสซึ่งช่วยลดการอุดตันของสาหร่ายและตะไคร่น้ำ รวมถึงต้นแบบระบบในระดับห้องปฏิบัติการ
“สำหรับเฟสที่ 2 นี้ เป็นการต่อยอดองค์ความรู้ให้เป็นระบบต้นแบบสำหรับใช้ในพื้นที่ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้การเกษตรพืชสวนที่สำคัญในพื้นที่และใช้น้ำจากแม่น้ำท่าจีน โดยการทำงานแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนผลิตน้ำดีจากน้ำกร่อย โดยใช้เซนเซอร์วัดคุณภาพน้ำดิบ ระบบตกตะกอนอัตโนมัติ ระบบกรองพิเศษสำหรับกำจัดโลหะหนัก สารปนเปื้อน และระบบกรองรีเวิร์สออสโมซิส (RO) ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นที่นิยมใช้ในการกำจัดเกลือ แต่ข้อจำกัดของ RO คือ น้ำทิ้งจากระบบ RO และต้นทุนที่สูงเกินไปสำหรับน้ำเพื่อการเกษตร ส่วนที่ 2 คือ ระบบผสมน้ำอัตโนมัติด้วยระบบ IoT โดยนำน้ำจากส่วนแรกที่ผ่านระบบ RO มาผสมกับน้ำใสที่ผ่านการกรองเบื้องต้น โดยควบคุมค่าการนำไฟฟ้า (EC) ให้อยู่ในช่วงที่ชนิดและอายุของพืชรับได้ โดยในพื้นที่ทดลองเป็นกล้วยไม้ ส่วนที่ 3 คือ ระบบพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์และระบบจัดการของเสียจากน้ำให้เหลือน้อยที่สุด โดยการนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ หรือเปลี่ยนของเสียให้เป็นผลิตภัณฑ์” นักวิจัยนาโนเทคกล่าว
ในช่วงที่น้ำทะเลรุกล้ำพื้นที่ปลูกกล้วยไม้ของจังหวัดสมุทรสาครนั้น ส่งผลให้ผลผลิตลดลง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 132 ล้านบาทต่อปี ซึ่งการแก้ปัญหาส่วนหนึ่งสำหรับพืชส่งออกอย่างกล้วยไม้นั้น ในช่วงน้ำทะเลรุกล้ำจนน้ำเพื่อการเกษตรกลายเป็นน้ำกร่อย เกษตรกรจะแก้ปัญหาด้วยการซื้อน้ำจืด ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูง
ดร. ณัฏฐพร เผยว่า จากการลงพื้นที่ติดตั้งและทดสอบใช้งาน สามารถควบคุมคุณภาพน้ำที่ผลิตให้คงที่ได้ ถึงแม้ว่าคุณภาพน้ำดิบจะเปลี่ยนแปลง ทำให้สามารถควบคุมผลผลิตและคุณภาพของกล้วยไม้ได้ดี จึงนำไปใช้สร้างความมั่นคงด้านการควบคุมคุณภาพน้ำสำหรับพืชเศรษฐกิจ ลดมูลค่าความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกร รวมถึงสามารถต่อยอดใช้ประโยชน์ในมุมอื่นๆ เช่น ผสมปุ๋ยสำหรับพืชในพื้นที่
“น้ำดีกับน้ำไม่ดี มีผลต่อจำนวนผลผลิต คุณภาพดอก ความถี่ในการออกดอก ดังนั้น เรามองว่า กลุ่มเป้าหมายของนวัตกรรมนี้เป็นพืชมูลค่าสูง เช่น ไม้ดอก ไม้ประดับ โดยเฉพาะกลุ่มที่อ่อนไหวต่อคุณภาพน้ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพผลผลิตและราคาขาย เช่น กล้วยไม้ ที่หากใช้น้ำที่เหมาะสม จะส่งผลให้ผลผลิตดี คุณภาพดี” ปัจจุบันต้นแบบระบบนี้ สามารถขยายกำลังผลิตให้สอดคล้องได้ตามที่ต้องการและสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาอันสั้น พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ที่สนใจแล้ว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
“นิรันดร์” นวัตกรรมระบบดูแลผู้สูงวัย ยกระดับสังคมไทยในยุคดิจิทัล
ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อจำนวนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี พ.ศ. 2567 มีจำนวนผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ราว 13 ล้านคน หรือร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ และคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ตัวเลขนี้จะทะยานขึ้นเกิน 20 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรไทยทั้งหมด
เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ริเริ่ม “โครงการผู้บริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ แก้วิกฤติประชากร” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “ผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิ” ซึ่งทำหน้าที่ดูแลผู้สูงวัยในชุมชนเสมือนเป็นลูกหลาน คอยปกป้องสิทธิ ดูแลสุขภาพ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ครอบคลุมทุกมิติ โดยได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พัฒนาระบบการปฏิบัติงานสำหรับผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ “Nirun for community” หรือระบบ “นิรันดร์” เป็นเครื่องมือสนับสนุนการทำงานของผู้บริบาล
[caption id="attachment_72912" align="aligncenter" width="750"] ทีมนักวิจัย สวทช. และกรมกิจการผู้สูงอายุ ลงพื้นที่เยี่ยมชมการใช้งานแพลตฟอร์มนิรันดร์ช่วยดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ตำบลนิคมกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี[/caption]
วิกฤตประชากรสูงวัย ความท้าทายของประเทศ
ศาสตราจารย์ ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองประธานคณะที่ปรึกษาติดตามและเร่งรัดการขับเคลื่อนนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. กล่าวถึงสถานการณ์ในปัจจุบันว่า ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบแล้ว โดยปัจจุบันมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-6 แสนคนต่อปี และคาดว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2570-2580 จะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านคน และอีก 10 ปีข้างหน้า จะมีผู้สูงอายุมากกว่า 20 ล้านคน หรือในคนไทย 3 คน จะมีผู้สูงอายุ 1 คน ซึ่งนั่นหมายความว่าเราเข้าสู่จุดวิกฤตแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องวางระบบบริหารจัดการและโครงสร้างพื้นฐานรองรับผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้นอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้สูงอายุไม่เป็นภาระต่อสังคม แต่ยังสามารถมีส่วนร่วมและเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้
“ผู้สูงอายุแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก กลุ่มแรก คือ ติดสังคม (อายุ 60–75 ปี) ยังใช้ชีวิตนอกบ้านได้ ค่าใช้จ่ายในการดูแลไม่สูง กลุ่มที่สอง คือ ติดบ้าน (อายุ 75 ปีขึ้นไป) เริ่มออกนอกบ้านยากขึ้น ไม่ค่อยได้พบเจอใคร ทำให้รู้สึกเหงา เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์และจิตใจ ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย และนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น โรคไต หัวใจ สมอง เบาหวาน ความดัน และอาจทำให้ไปสู่กลุ่มที่สามเร็วขึ้น คือ ติดเตียง ซึ่งกลุ่มนี้ต้องการการดูแลใกล้ชิดและค่าใช้จ่ายสูงมาก โจทย์สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุอยู่ในภาวะ “ติดสังคม” ได้นานที่สุด เพื่อลดการเข้าสู่ภาวะติดบ้านและติดเตียง ยืดเวลาคุณภาพชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายทั้งต่อครอบครัวและภาครัฐ
[caption id="attachment_72904" align="aligncenter" width="750"] ศาสตราจารย์ ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน[/caption]
“ผู้บริบาล” ดูแลพิทักษ์สิทธิ์ผู้สูงวัยในชุมชน
กรมกิจการผู้สูงอายุได้เตรียมความพร้อมด้านระบบการบริหารจัดการและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการดูแลผู้สูงอายุที่มีจํานวนเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ปี โดยริเริ่มโครงการผู้บริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชนขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อดูแลผู้สูงอายุในชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพกายที่แข็งแรง มีสภาพจิตใจที่ดี ลดภาระการรักษาพยาบาล และไม่เป็นภาระต่อสังคม โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ ทำหน้าที่ดุจลูกหลานของคนในชุมชน ปกป้อง คุ้มครองพิทักษ์สิทธิ ช่วยเหลือดูแล และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุครอบคลุมทั้ง 5 มิติ ได้แก่ มิติสังคม สุขภาพ เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และเทคโนโลยี ซึ่งดำเนินงานต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี ครอบคลุม 156 พื้นที่ ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ ปัจจุบันมีผู้บริบาลในโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 342 คน และมีผู้สูงอายุได้รับการดูแลจำนวนมากกว่า 342,000 คน หรือผู้บริบาล 1 คน ดูแลผู้สูงอายุ 100 คน
[caption id="attachment_72913" align="aligncenter" width="750"] ผู้บริบาลเยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้าน และบันทึกข้อมูลลงในแพลตฟอร์มนิรันดร์[/caption]
ศาสตราจารย์ ดร.กนก กล่าวถึงความท้าทายของโครงการนี้ว่า การดูแลผู้สูงอายุระดับแสนคนด้วยผู้บริบาลเพียงไม่กี่ร้อยคนจำเป็นต้องมีระบบที่ช่วยบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ กรมกิจการผู้สูงอายุจึงได้ร่วมกับ สวทช. พัฒนาระบบนิรันดร์เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้บริบาลอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ นอกจากช่วยตรวจสอบการทำงานของผู้บริบาลให้ได้มาตรฐานแล้ว ระบบนิรันดร์ยังเป็นเครื่องมือสำคัญด้านข้อมูลนโยบาย ทำให้รัฐรู้สถานการณ์จริง เช่น ผู้สูงอายุติดบ้าน-ติดเตียงมีสัดส่วนเท่าใด เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร และช่วยกำหนดทิศทางการใช้งบประมาณได้อย่างแม่นยำ ข้อมูลที่ได้จากระบบนิรันดร์ยังเป็นฐานสำคัญในการทำวิจัยเชิงนโยบาย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ประเทศไทยกำหนดนโยบายผู้สูงอายุในอนาคตได้อย่างแม่นยำ
[caption id="attachment_72905" align="aligncenter" width="750"] ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล[/caption]
“นิรันดร์” ผู้ช่วยดูแลผู้สูงอายุ สร้างฐานข้อมูลเชิงนโยบาย
ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล ผู้อำนวยการขับเคลื่อนแผนงานระบบสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ สวทช. กล่าวว่า สวทช. พัฒนาระบบ “นิรันดร์” ซึ่งเป็นระบบซอฟต์แวร์บริหารจัดการสถานดูแลผู้สูงอายุ เพื่อสนับสนุนโครงการบริบาลสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน โดยเป็นเครื่องมือช่วยผู้บริบาลในการทำงาน เช่น บันทึกข้อมูลผู้สูงอายุรายบุคคล ติดตามกิจกรรมและการดูแลในแต่ละวัน สรุปผลสุขภาพของผู้สูงอายุในโครงการ และสรุปผลการทำงานของผู้บริบาล
[caption id="attachment_72908" align="aligncenter" width="750"] ผู้บริบาลวัดความดันให้ผู้สูงอายุที่บ้าน[/caption]
"ระบบนิรันดร์สามารถประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ เช่น อายุ โรคประจำตัว คะแนนประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน (Activities of Daily Living: ADL) และแสดงผลเป็นแผนการดูแลเบื้องต้น (Recommended Care Plan) หรือข้อแนะนำในการดูแล เช่น ควรให้กายภาพบำบัด ควรเฝ้าระวังโภชนาการ เพื่อให้ผู้บริบาลนำไปปรับใช้กับผู้สูงอายุแต่ละรายได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ข้อมูลจากระบบยังใช้ได้ในระดับนโยบาย โดยกระทรวง พม. สามารถนำไปกำหนดยุทธศาสตร์การดูแลผู้สูงอายุในภาพรวมของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ สวทช. ในมิติลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม จากการพัฒนาแพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (AI-C) ตามกลยุทธ์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand)”
[caption id="attachment_72906" align="aligncenter" width="750"] นายธาวินทร์ ลีลาคุณารักษ์[/caption]
เทคโนโลยีคู่ความห่วงใย หัวใจแห่งการดูแล
ปัจจุบันกรมกิจการผู้สูงอายุนำระบบนิรันดร์ไปให้ผู้บริบาลใช้ในการบันทึกข้อมูลการดูแลผู้สูงอายุในหลายพื้นที่ เช่น ที่ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) องค์การบริหารส่วนตำบลนิคมกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี
นายธาวินทร์ ลีลาคุณารักษ์ ผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ องค์การบริหารส่วนตำบลนิคมกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า ระบบนิรันดร์ช่วยให้ผู้บริบาลทำงานสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งในการบันทึกข้อมูลรายวัน ติดตามการดูแลผู้สูงอายุแบบเรียลไทม์ และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างครอบคลุมในทุกมิติ ระบบยังช่วยให้ค้นหาข้อมูลผู้สูงอายุได้สะดวกและรวดเร็วด้วยโทรศัพท์มือถือ แทนการค้นหาจากเอกสารกระดาษแบบเดิม และระบุพิกัดที่อยู่ของผู้สูงอายุได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดเวลาในการลงพื้นที่ และที่สำคัญ ข้อมูลที่บันทึกไว้สามารถนำไปวิเคราะห์วางแผนการดูแลรายบุคคลและรายพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะด้านการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ ซึ่งช่วยให้ผู้บริบาลสามารถประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับสิทธิประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว
[caption id="attachment_72907" align="aligncenter" width="750"] นายหลงมา ทีปะลา[/caption]
นายหลงมา ทีปะลา อายุ 85 ปี ชาวตำบลนิคมกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เล่าว่า ปัจจุบันอาศัยอยู่เพียงลำพัง แม้ลูกหลานจะกลับมาหาบ้าง แต่ก็รู้สึกอุ่นใจที่มีผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ เข้ามาดูแลเสมือนญาติคนหนึ่ง เวลาแวะมาเยี่ยมก็มักเอาของมาฝาก กวาดบ้าน ถูบ้าน รองน้ำ และช่วยตรวจวัดความดันให้ตลอด เวลาไม่สบายก็คอยถาม อาสาพาไปโรงพยาบาล และชื่นชมภาครัฐที่มีโครงการดี ๆ แบบนี้ โดยส่งคนเข้ามาคอยช่วยเหลือ ดูแลผู้สูงอายุ ในวันที่สภาพร่างกายผู้สูงอายุไม่เอื้ออำนวย และยังช่วยเหลือดูแลเป็นธุระเรื่องอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี
[caption id="attachment_72910" align="aligncenter" width="750"] ผู้สูงอายุในชุมชน ตำบลนิคมกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี[/caption]
ด้วยการผสานระหว่าง “ผู้บริบาลที่ดูแลด้วยใจ และ “นิรันดร์” เทคโนโลยีช่วยดูแลผู้สูงวัย ทำให้ประเทศไทยสามารถยกระดับการดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมสร้างฐานข้อมูลเชิงนโยบายที่แม่นยำ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกอุ่นใจเหมือนมีครอบครัวอยู่ใกล้ ๆ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนและพัฒนาสังคมไทยให้พร้อมรับประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ภาพประกอบโดย ชัชวาลย์ โบสุวรรณ, อัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
10 Technologies to Watch 2025: เทคโนโลยีพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน (Low Fumarate, High Ethanol or LFHE Eco-friendly Rice)
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ภาคเกษตรมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ร้อยละ 15.23 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด เป็นอันดับที่ 2 รองจากภาคพลังงาน (ร้อยละ 69.96) โดย “การปลูกข้าว” ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดถึงร้อยละ 50.58 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรทั้งหมด ขณะที่เวทีโลกเริ่มกำหนดมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเข้มงวด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ
ประเทศไทยมีนโยบายลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากนาข้าว ด้วยการส่งเสริม “การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง” ซึ่งลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้ถึงร้อยละ 30 แต่วิธีนี้มีข้อจำกัดทำได้เฉพาะนาชลประทาน ซึ่งมีเพียงร้อยละ 20 ของพื้นที่นาในประเทศ การพัฒนา “พันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน” จึงเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูง เพราะประยุกต์ใช้ได้ทั้งนาน้ำฝนและนาชลประทาน ซึ่งมีพื้นที่รวมกว่า 70 ล้านไร่
ข้าวลดการปล่อยมีเทนมีคุณสมบัติสำคัญคือ รากผลิตเอทานอล (ethanol) ปริมาณมาก และผลิตฟูมาเรต (fumarate) น้อยลง ซึ่งฟูมาเรตเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียที่สร้างมีเทน (methanogen) จึงทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ไม่ดี และปล่อยมีเทนน้อยกว่าข้าวปกติ
การพัฒนาพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทนทำได้ 2 แนวทาง หนึ่งคือ การผสมข้ามสายพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีการคัดเลือกโดยใช้เครื่องหมายโมเลกุล หรือ Marker Assisted Selection (MAS) เลือกคุณลักษณะเด่น เช่น ต้นเตี้ย อายุสั้น ผลผลิตสูง และปล่อยก๊าซมีเทนต่ำ สองคือ เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (Genome Editing Technology) เพิ่มประสิทธิภาพการปรับปรุงพันธุ์ ช่วยให้ได้พันธุ์ข้าวปล่อยก๊าซมีเทนต่ำ แต่ยังให้ผลผลิตสูง รวมถึงมีคุณลักษณะตอบโจทย์ตลาด เช่น กลิ่นหอม คุณภาพหุงต้ม
ปัจจุบันประเทศจีนพัฒนาพันธุ์ข้าว LFHE จากข้าวสายพันธุ์ “Heijing (เฮจิง)” ที่ลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้สูงถึงร้อยละ 70 และให้ผลผลิตสูงถึง 1.4 ตันต่อไร่ อีกทั้งยังมีจุดเด่น คือ ต้นทุนการผลิตต่ำเมื่อเทียบกับการใช้เทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซมีเทนแบบอื่น เช่น การใส่ถ่านชีวภาพ (biochar) เพื่อกักเก็บคาร์บอนในดิน หรือการใช้ระบบควบคุมน้ำอัตโนมัติเพื่อจัดการไม่ให้น้ำท่วมขังตลอดเวลา ขยายผลสู่เกษตรกรได้จริง ด้วยการกระจายพันธุ์ผ่านระบบเมล็ดพันธุ์ในชุมชน ที่สำคัญตอบโจทย์เชิงนโยบายและการตลาดไปพร้อมกัน ด้วยการแสดงฉลากสิ่งแวดล้อม (eco-label) สำหรับตลาดพรีเมียม
สวทช. มีองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการพัฒนาพันธุ์ เป็นศูนย์กลางการใช้เทคโนโลยี Marker Assisted Selection ระดับประเทศและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง อีกทั้งมีเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกข้าว
เมื่อนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับการผลิตข้าวที่เป็นมิตรและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมจะช่วยให้ประเทศไทยสร้างความมั่นคงทางอาหารบนความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม เกิดโอกาสทางธุรกิจต่าง ๆ เช่น การพัฒนาเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์ที่ลดการปล่อยมีเทน การรับรองผลิตภัณฑ์กลุ่มข้าวคาร์บอนต่ำในตลาดพรีเมียม และผลักดันไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065
📌 อ่านข้อมูลฉบับเต็มและข่าวประชาสัมพันธ์ได้ที่: https://www.nstda.or.th/r/BtQWQ
📌 รับชมการบรรยายได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=8cAv6AEX55c
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
เปิดรับสมัครทุนการศึกษาโครงการ “Empowering Your Journey to Becoming a Flavorist” ประจำปีการศึกษา 2569 จำนวน 2 ทุน
Flavor Academy เมืองนวัตกรรมอาหาร สวทช. โดยการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) เปิดรับสมัครทุนการศึกษาโครงการ “Empowering Your Journey to Becoming a Flavorist” ประจำปีการศึกษา 2569 จำนวน 2 ทุน เพื่อศึกษาหลักสูตร Flavoring Expertise Formulation & Applications ณ สถาบัน ISIPCA ประเทศฝรั่งเศส
หลักสูตรมีระยะเวลา 1 ปี ประกอบด้วยการเรียนออนไลน์ 1 เดือน เรียนที่ ISIPCA ประเทศฝรั่งเศส 5 เดือน และการฝึกงาน 5–6 เดือน โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพบุคลากรไทยด้านกลิ่นรส เพื่อกลับมาสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมอาหารในประเทศไทย
คุณสมบัติผู้สมัคร
สัญชาติไทย จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง
มีประสบการณ์ด้านกลิ่นรสหรือเทคโนโลยีอาหาร
ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี (IELTS 6.5 / TOEFL iBT 85 / TOEIC 850)
หลังจบการศึกษา ต้องกลับมาทำงานในประเทศไทยเป็นเวลา 2 เท่าของระยะเวลารับทุน
กำหนดการสมัคร
เปิดรับสมัคร: วันนี้ – 15 กันยายน 2568
สัมภาษณ์: ตุลาคม 2568
ประกาศผล: พฤศจิกายน 2568
เปิดภาคเรียนที่ ISIPCA: ตุลาคม 2569
กดที่นี่เพื่อลงทะเบียน
สอบถามเพิ่มเติม: FoodInnopolisโทร. 094-341-7111, 094-340-4333, 094-249-7333อีเมล: bd@foodinnopolis.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. ส่งพันธุ์ข้าว “หอมสยาม 2” และเทคโนโลยีตรวจดิน–น้ำ หนุนกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” จ.ระยอง
(19 สิงหาคม 2568) จังหวัดระยอง – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) นำโดย คุณปิยะฉัตร ใคร้วานิช เบอร์ทัน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาพื้นที่และกำลังคน EECi เข้าร่วมกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” ณ แปลงนาวิชาชุมชนเกาะกก ต.มาบตาพุด จ.ระยอง โดยได้รับเกียรติจาก นายกำธร เวหน รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานในพิธี
ในกิจกรรมนี้ สวทช.ได้สนับสนุน พันธุ์ข้าวหอมสยาม 2 ซึ่งเป็นผลงานการปรับปรุงพันธุ์โดยนักวิจัยไบโอเทค (BIOTEC) พัฒนาต่อยอดจากข้าวหอมมะลิ 105 ให้มีคุณสมบัติ ทนแล้ง–ทนน้ำท่วม เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่แปรปรวนจากภาวะโลกรวน และยังคงความหอมนุ่มระดับพรีเมียม เพื่อต่อยอดเป็นพันธุ์ข้าวอนาคตของเกษตรกรไทย
นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยี ชุดตรวจ ChemSense จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) เข้าสนับสนุนการตรวจดินและน้ำในแปลงนา โดยชุดตรวจนี้สามารถคัดกรองการปนเปื้อนสารเคมี โลหะหนัก และเชื้อจุลินทรีย์ได้เบื้องต้น ช่วยให้เกษตรกรตรวจสอบคุณภาพผลผลิตได้ด้วยตนเอง เสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของข้าวและพืชเศรษฐกิจไทยทั้งในตลาดในประเทศและต่างประเทศ
ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการบูรณาการงานวิจัยของ ไบโอเทค นาโนเทค และ EECi สวทช. ร่วมกับ วิสาหกิจชุมชนส่งเสริมอาชีพชุมชนเกาะกก ภายใต้แนวคิดการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ขับเคลื่อนการเกษตรไทยสู่ความยั่งยืน และสร้างต้นแบบการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
แกะกล่องงานวิจัย : Acamp แพลตฟอร์มคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (CFO)
📌 เกี่ยวกับอะไร ?
รู้หรือไม่ ! หากเจ้าของโรงงานไทยยังไม่เริ่มคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (CFO) ตั้งแต่วันนี้ การส่งออกสินค้าไปยุโรปอาจต้องหยุดชะงัก เพราะค่า CFO เป็นข้อมูลสำคัญในการคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) สำหรับยื่นประกอบการส่งออกสินค้าไปยุโรปตามมาตรการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนจากผู้นำเข้าหรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) อีกทั้งค่า CFP ยังส่งผลโดยตรงต่อการกำหนดราคาสินค้าด้วย ยิ่งค่า CFP มาก ภาษีก็จะยิ่งสูง ทำให้สินค้ามีราคาแพง เกิดเป็นข้อเสียเปรียบทางการแข่งขันในตลาดโลก
เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงเทคโนโลยีการคำนวณค่า CFO ที่ใช้งานง่าย และนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ต่อได้สะดวก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนา Acamp (Automated Carbon Accounting Management Platform) หรือเอแคมป์ แพลตฟอร์มสำหรับคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (CFO) ไว้ให้บริการแล้ว
📌 ดีอย่างไร ?
แพลตฟอร์มนี้ใช้งานง่าย ระบบจะเก็บข้อมูลการปล่อยคาร์บอนจากการใช้พลังงานไฟฟ้า รวมถึงข้อมูลการวางแผนทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning: ERP) มาคำนวณค่า CFO ให้อัตโนมัติ โดยหลังคำนวณระบบจะแสดงผลค่า CFO บนแดชบอร์ดออนไลน์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้ผู้ประกอบการตรวจสอบข้อมูลได้สะดวก นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ต่อได้ทันที
📌 ตอบโจทย์อะไร ?
นอกจากค่า CFO จะมีประโยชน์ในการนำไปใช้คำนวณค่า CFP เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังยุโรปแล้ว การที่ผู้ประกอบการทราบค่า CFO แบบเรียลไทม์ ยังเป็นประโยชน์ต่อองค์กรในการปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เท่าทันสถานการณ์ รวมทั้งยังช่วยผลักดันประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำและความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593)
📌 สถานะของเทคโนโลยี ?
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ สวทช. กำลังเปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการนำร่องเพื่อปรับเปลี่ยนโรงงานสู่อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำและอุตสาหกรรม 4.0 โดย สวทช. พร้อมสนับสนุนทั้งที่ปรึกษาและเงินทุน สมัครเข้าร่วมได้ที่ www.nectec.or.th/smc/ida-platform/
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : Acamp’ แพลตฟอร์มคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (CFO) แบบอัตโนมัติ ใช้งานง่าย ปรับตัวทันนโยบายภาษีคาร์บอน
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. เปิดสัมมนา “Business Forward with ESG: วิจัยนำทาง การเงินสนับสนุน ตลาดทุนรองรับ”
(วันที่ 18 สิงหาคม 2568) ณ ห้องออดิทอเรียม (CO-113) ชั้น 1 อาคารสำนักงานกลาง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี: ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธาน กล่าวเปิดงานสัมมนา “Business Forward with ESG: วิจัยนำทาง การเงินสนับสนุน ตลาดทุนรองรับ” จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่แนวทางการขับเคลื่อน ESG ของหน่วยงานหลากหลายด้าน ทั้งด้านนโยบาย ตลาดทุน อุตสาหกรรม และวิจัย ในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) พร้อมทั้งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ งานวิจัย กลไก มาตรการ และมาตรฐานสำคัญที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันภาคธุรกิจไทยให้ปรับตัวตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ได้กลายเป็นวาระสำคัญที่ได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วน ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นภาคตลาดทุน นักลงทุน หรือผู้บริโภค ล้วนให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG อย่างรอบด้าน ด้วยเหตุนี้ภาคธุรกิจจึงจำเป็นต้องเร่งปรับกลยุทธ์ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี การพัฒนากระบวนการผลิต และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ให้สอดคล้องกับแนวคิด ESG เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน การดำเนินงานภายใต้กรอบ ESG ซึ่งไม่เพียงเป็นกลไกสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ สวทช. ในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ของประเทศ มุ่งวิจัย พัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกลางระดับชาติ เพื่อยกระดับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม พร้อมขับเคลื่อนทุกภาคส่วนสู่เป้าหมาย Net Zero ตลอดจนบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของภาคอุตสาหกรรม ด้วยบทบาทการเป็น Technical Arm ที่ทำหน้าที่ในการนำผลงานวิจัยไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ รวมทั้งการสนับสนุนด้านเทคนิคต่าง ๆ ที่ช่วยผลักดันธุรกิจไทยให้ปรับตัวสู่ความยั่งยืนและเพิ่มขีดความสามาถในการแข่งขันระดับสากล เพื่อร่วมกันนำประเทศไทยสู่การเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน
“ในวันนี้ สวทช. รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความร่วมมือจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนตามแนวคิด ESG มาร่วมแบ่งปันองค์ความรู้ ประสบการณ์ และมุมมองในเวทีนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างหน่วยงานในวันนี้ จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้ ESG ไม่ใช่เพียงคำพูด แต่เป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวทิ้งท้าย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สัมมนาฟรี พัฒนาผู้ประกอบการซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย
⚡️ผู้ประกอบการไทยต้องรู้! ไม่ใช่แค่ซ่อมได้ แต่ต้องปลอดภัย!⚡️
เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้ามาแรง แต่คุณมั่นใจแค่ไหนว่าการซ่อมบำรุงที่ทำอยู่ "ปลอดภัย" ทั้งกับตัวคุณและลูกค้า?
เข้าร่วม สัมมนาเชิงปฏิบัติการ: พัฒนาผู้ประกอบการไทยด้านความปลอดภัยในการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้า
เราจะพาคุณเจาะลึกทุกเรื่องที่จำเป็น
✅ เรียนรู้ระบบรถยนต์ไฟฟ้าและระบบชาร์จแบบครบวงจร
✅ รับมือกับอันตรายจากไฟฟ้าแรงสูงในรถยนต์
✅ เทคนิคการใช้เครื่องมือและการซ่อมบำรุงที่ถูกต้องตามหลักสากล
✅ ฝึกปฏิบัติจริง! เพื่อให้คุณมั่นใจในทุกขั้นตอน
งานฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายตลอด 2 วัน
📆 วัน: 1-2 กันยายน 2568
📍สถานที่: ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมฯ มจพ. จังหวัดระยอง
🔺ด่วน! รับจำนวนจำกัดเพียง 40 ที่นั่งเท่านั้น!
🌐 กดลิงค์ https://forms.gle/1qJmQeScnNuZdkUU8 เพื่อลงทะเบียนได้เลย
สอบถามเพิ่มเติม: คุณธนชัยพงศ์ (091-778-6377)
ปฏิทินกิจกรรม
กระทรวง อว. จัดพิธีวางพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เนื่องใน “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” 18 สิงหาคม
วันที่ 18 สิงหาคม 2568 เวลา 11.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ วางพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช (รัชกาลที่ 4) “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” เนื่องใน “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” ณ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพมหานคร โดยวางพุ่มดอกไม้ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พุ่มดอกไม้ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพุ่มดอกไม้ของสมเด็จพระนางเจ้าสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี
ในโอกาสนี้ นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. พร้อมด้วย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม รองปลัดกระทรวง นางสาววราภรณ์ รุ่งตระการ รองปลัดกระทรวง ดร.วันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง อธิการบดีสถาบันอุดมศึกษา คณะผู้บริหารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. หัวหน้าหน่วยงาน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ รอรับผู้แทนพระองค์ พร้อมเข้าร่วมวางพานพุ่มดอกไม้สด เพื่อร่วมแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
จุดเริ่มต้นและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของวันที่ 18 สิงหาคม มาจากเหตุการณ์การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่หมู่บ้านหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในปี พ.ศ. 2411 โดยการคำนวณล่วงหน้าที่แม่นยำของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้พระปรีชาสามารถด้านดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ คํานวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้ไว้ล่วงหน้าถึง 2 ปี โดยทรงระบุวัน เวลา และสถานที่ที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนและแม่นยำที่สุดคือที่ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งในยุคนั้น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในสยาม และนักดาราศาสตร์ชาวตะวันตกบางส่วนยังไม่เชื่อว่าการคำนวณของพระองค์จะแม่นยำ แต่เมื่อถึงวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ปรากฏการณ์สุริยุปราคาก็เกิดขึ้นตรงตามที่พระองค์ทรงคำนวณไว้ทุกประการ ต่อหน้าคณะทูตานุทูตและนักวิทยาศาสตร์ชาวต่างชาติที่พระองค์ทรงเชิญมาเป็นสักขีพยาน เหตุการณ์นี้ได้แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพและพระวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของรัชกาลที่ 4 ในการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้พิสูจน์และอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งเป็นการวางรากฐานที่สำคัญให้กับวงการวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย ด้วยพระปรีชาสามารถนี้ ประชาชนชาวไทยจึงพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญานามแด่พระองค์ท่านว่า “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปี เป็น “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สวทช. ในฐานะหน่วยงานด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศ ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสานต่อพระราชปณิธาน ด้วยการพัฒนาผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม แก้ปัญหาและส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สัมมนา Food Talks 2025: Pathways to Food Sustainability ชวนเรียนรู้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ และการจัดการขยะอาหาร สู่ระบบอาหารยั่งยืน
🌱 อนาคตอาหารเริ่มจากวันนี้! มาร่วมค้นหาเส้นทางสู่ความยั่งยืน ในกิจกรรมสัมมนา Food Talks 2025 หัวข้อ “Pathways to Food Sustainability: Advancing Smart Agriculture, Reducing Carbon Footprints, and Preventing Food Waste through Better Management” 🌏
📍 สวทช. โดยเมืองนวัตกรรมอาหาร ชวนคุณมาร่วมรับฟังพร้อมแลกเปลี่ยนแนวคิดและโซลูชันเพื่อสร้างระบบอาหารที่มีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน
🔑 Key Highlights
✅ เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะเพื่อผลผลิตคุณภาพสูง การเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิตและการลดความสูญเสียจากการผลิต
✅ อาหารสู่อนาคต ปรับตัวอย่างไร ในสังคมคาร์บอนต่ำ
✅ การบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลด ปริมาณขยะอาหารและเพิ่มการเข้าถึงอาหาร
👨🔬 โดยทีมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจาก สวทช. ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ และการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อความยั่งยืน
📢 สัมมนาออนไลน์ผ่าน Facebook (((Live)))
🗓 วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568
🕙 เวลา 09.30 น. เป็นต้นไป
💥 ลงทะเบียนฟรี! >> https://forms.gle/yk1DY3vmADzu9Eky7
📬 ข้อมูลเพิ่มเติม: Facebook: FoodInnopolis=
ปฏิทินกิจกรรม


