ผลการค้นหา :
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.7 – เปิดเส้นทางอพยพ “เหยี่ยวนกเขา” สู่การร่วมอนุรักษ์ในภูมิภาคอาเซียน
เปิดเส้นทางอพยพ “เหยี่ยวนกเขา” สู่การร่วมอนุรักษ์ในภูมิภาคอาเซียน
350 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลางคือความสูงของ “เขาดินสอ” ต.บางสน อ.ปะทิว จ.ชุมพร หมุดหมายของ “นักดูนก” ประเทศในเอเชีย สหรัฐอเมริกาและยุโรป ต่างเดินทางมาท่องเที่ยวดูนกเป็นประจำทุกปีตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน จนทำให้ “เขาดินสอ” ติดอันดับจุดดูเหยี่ยวและนกอพยพที่ดีที่สุด 1 ใน 5 ของโลก
เหยี่ยวและนกอพยพเรือนแสน ใช้เส้นทางอพยพเอเชียตะวันออกผ่านแผ่นดินใหญ่ (East Asian Continental Flyway) จากเขตไซบีเรียและจีน ลงมาตามแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านคาบสมุทรไทย-มาเลเซีย และหมู่เกาะของอินโดนีเซีย เส้นทางอพยพนี้ผ่าน “เขาดินสอ” อ.ปะทิว จ.ชุมพร ซึ่งเป็นหนึ่งในสองเส้นทางที่ถือเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม ให้เหล่านักดูนกได้ศึกษาพฤติกรรมและจำแนกชนิดเหยี่ยวและนกอพยพเพื่อการอนุรักษ์และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
นายแอนดรูว์ เจ เพียร์ซ (Mr. Andrew J. Pierce) ผู้เชี่ยวชาญห้องปฏิบัติการนิเวศวิทยาการอนุรักษ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และคณะวิจัย เปิดเผยว่า เส้นทางอพยพเอเชียตะวันออก เป็นเส้นทางอพยพของเหยี่ยวที่มีข้อมูลและการศึกษาน้อยที่สุด ดังนั้นทีมวิจัยจากห้องปฏิบัติการนิเวศวิทยาการอนุรักษ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) มหาวิทยาลัยมหิดล สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย และ มูลนิธิศึกษาธรรมชาติเขาดินสอ จึงร่วมกันศึกษาเส้นทางของเหยี่ยวและนกอพยพเส้นทางนี้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมเข้ามาช่วย ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อศึกษาข้อมูลเส้นทางการอพยพและจุดแวะพักที่สำคัญของเหยี่ยวนกเขา 2 ชนิด คือเหยี่ยวนกเขาพันธุ์จีน (Chinese Sparrowhawk ชื่อวิทยาศาสตร์ Accipiter soloensis) และเหยี่ยวนกเขาพันธุ์ญี่ปุ่น (Japanese Sparrowhawk ชื่อวิทยาศาสตร์ Accipiter gularis) ที่มีการอพยพผ่านประเทศไทยบริเวณเขาดินสอ ต.บางสน อ.ปะทิว จ.ชุมพร เนื่องจากเขาดินสอตั้งอยู่บนพื้นที่ที่แคบที่สุดของทวีปเอเชีย ในคาบสมุทรไทย-มาเลเซีย (คอคอดกระ) ใกล้ชายฝั่งทะเลและมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 200-350 เมตร ซึ่งเป็นจุดที่สามารถพบเห็นเหยี่ยวจำนวนมากรวมตัวอพยพผ่านบริเวณนี้
ทีมวิจัยได้ทำการจับเหยี่ยวนกเขาที่อพยพผ่านบริเวณเขาดินสอ ระหว่างเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม (ซึ่งเป็นช่วงที่มีเหยี่ยวอพยพผ่านเขาดินสอมากที่สุดของปี) ในปี 2559-2560 โดยการใช้ตาข่ายแบบพรางตาเพื่อทำการติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณดาวเทียมพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีน้ำหนักไม่เกิน 4% ของน้ำหนักตัวเหยี่ยว โดยติดที่ตัวเหยี่ยวนกเขาพันธุ์จีน 4 ตัว และเหยี่ยวนกเขาพันธุ์ญี่ปุ่น 4 ตัว ในลักษณะสะพายหลัง (backpack) ซึ่งทุกขั้นตอนดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับเหยี่ยว
“จากการติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณดาวเทียมให้กับเหยี่ยวนกเขาทั้ง 8 ตัวทำให้เราทราบว่า เหยี่ยวนกเขาพันธุ์จีน จะอพยพลงใต้ไปยังบริเวณเกาะสุมาตรา ฝั่งตะวันออกของเกาะ Nusa Tenggara ในประเทศอินโดนีเซีย และไปยังประเทศติมอร์-เลสเต ซึ่งเหยี่ยวชนิดนี้จะใช้เป็นพื้นที่อาศัยในช่วงฤดูหนาว (wintering grounds) ประมาณ 70-80 วัน และเมื่อถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคม เหยี่ยวจะอพยพกลับไปยังพื้นที่ผสมพันธุ์ทางตอนใต้ของจีน นอกจากนี้ข้อมูลจากเหยี่ยวนกเขาพันธุ์จีน 4 ตัวที่ทีมวิจัยติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณฯ มีเพียง 2 ตัวเท่านั้นที่สามารถจับสัญญาณการอพยพผ่านเขาดินสอได้อีกครั้งในปี 2561 ทำให้รู้เส้นทางการอพยพที่สมบูรณ์ของเหยี่ยวชนิดนี้ ซึ่งใช้ระยะทางในการอพยพทั้งสิ้น 14,532 กม. (ซึ่งมากกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก) และ 9,710 กม.
ในส่วนของเหยี่ยวนกเขาพันธุ์ญี่ปุ่นนั้น ทีมวิจัยสามารถติดตามสัญญาณไปถึงพื้นที่ของเกาะสุมาตรา และบอร์เนียว ซึ่งเป็นพื้นที่อาศัยในช่วงฤดูหนาวและใช้เวลาบริเวณนี้ประมาณ 130-170 วัน ก่อนที่จะอพยพกลับขึ้นทางเหนือ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ทีมวิจัยสามารถรับสัญญาณจากเหยี่ยวนกเขาพันธุ์ญี่ปุ่นได้เพียง 1 ตัวเท่านั้น ในช่วงอพยพกลับ โดยเหยี่ยวตัวนี้เดินทางออกจากพื้นที่อาศัยบนเกาะ Bangka ประเทศอินโดนีเซีย ไปยังพื้นที่ผสมพันธุ์ในเขตอามูร์ (Amur) ทางตะวันออกของประเทศรัสเซีย ก่อนที่สัญญาณจะขาดหายไป ทำให้สรุปรวมระยะทางอพยพได้ทั้งสิ้น 7,699 กม. ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นประมาณ 50 วัน”
ผู้เชี่ยวชาญห้องปฏิบัติการนิเวศวิทยาการอนุรักษ์ มจธ. อธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า การติดตามแส้นทางอพยพของเหยี่ยวทั้ง 2 ชนิดนี้ ยังทำให้ทีมวิจัยทราบอีกว่าพื้นที่อาศัยในช่วงฤดูหนาวหรือจุดหยุดพักที่สำคัญของเหยี่ยวทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นพื้นที่ที่มีมนุษย์เข้ามาใช้ประโยชน์และเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าดั้งเดิมให้กลายเป็นพื้นที่ทางการเกษตรไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ยางพาราและพืชสกุลอะเคเซีย อย่างไรก็ตามเหยี่ยวจัดเป็นผู้ล่าชั้นสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารจึงถือเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญของคุณภาพสิ่งแวดล้อม แต่เหยี่ยวหลายชนิดกำลังถูกคุกคามเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่อาศัย ดังนั้นการศึกษาลักษณะพื้นที่อาศัยในช่วงฤดูผสมพันธุ์และฤดูหนาวรวมถึงเส้นทางการอพยพและจุดแวะพักระหว่างทางจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์
นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. โดยฝ่ายบริการวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ เล็งเห็นความสำคัญในการทำวิจัยเรื่องการใช้เทคโนโลยีในการติดตามเส้นทางเหยี่ยวอพยพ เนื่องจากเหยี่ยวเป็นสัตว์ที่อพยพเป็นระยะทางไกลผ่านหลายประเทศในทวีปเอเชีย โดยเริ่มต้นจากรัสเซีย ผ่านไทยจนถึงจุดแวะพักในฤดูหนาวที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งทีมวิจัยนำเทคโนโลยีเครื่องส่งสัญญาณดาวเทียมพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เพื่อทำการติดตามการอพยพและระบุตำแหน่งของเหยี่ยวนกเขา 2 ชนิด โดยดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องมาตลอด 2 ปี ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีความแม่นยำในระยะ 0.5-1.5 กิโลเมตรและสามารถติดตามเส้นทางการอพยพและตำแหน่งของเหยี่ยวได้ ด้วยการดาวน์โหลดหรือตรวจสอบข้อมูลออนไลน์ได้จากเว็บไซต์ https://www.argos-system.org/ หรือผ่านแอปพลิเคชัน CLS view บนมือถือ ซึ่งถือว่ามีความสะดวกและรวดเร็ว นับเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประโยชน์ใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำทางสู่การอนุรักษ์และการท่องเที่ยวชุมชน เพื่อนำร่องให้พื้นที่เขาดินสอจะเป็นต้นแบบที่สำคัญในการใช้องค์ความรู้และผลงานวิจัยไปถ่ายทอดและขยายผลสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวบนฐานความรู้ โดยเฉพาะการพัฒนางานวิจัยเชิงพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทยที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก
นายชูเกียรติ นวลศรี ประธานมูลนิธิศึกษาธรรมชาติเขาดินสอ กล่าวว่า ด้วยบริเวณเขาดินสอ จ.ชุมพร มีพื้นที่ป่าโดยรอบกว่า 2,000 ไร่ ที่ยังมีความเป็นธรรมชาติอยู่มากจึงเป็นพื้นที่ดูเหยี่ยวที่ดีที่สุดติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกโดยมีสายพันธุ์เหยี่ยวที่พบแล้วจำนวน 38 สายพันธุ์ ทั้งนี้ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมจะเริ่มพบเหยี่ยวนกเขาพันธุ์ญี่ปุ่นอพยพ ตามด้วยเหยี่ยวนกเขาพันธุ์จีนและเหยี่ยวผึ้ง ซึ่งจะมีจำนวนหนาแน่นมากขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน ถึงสัปดาห์แรกของต้นเดือนตุลาคม นอกจากนี้ยังพบเหยี่ยวกิ้งก่าสีดำอพยพผ่านบริเวณนี้จำนวนหลายหมื่นตัวต่อวันในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม (ช่วงวันปิยมหาราช) ซึ่งสามารถเห็นได้มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังพบกลุ่มเหยี่ยวนกเขามากที่สุดในโลกถึง 6 ชนิดด้วย ดังนั้นการที่มีงานวิจัยสนับสนุนใช้องค์ความรู้นำการท่องเที่ยวจะนำไปสู่การอนุรักษ์อย่างถูกต้องทั้งในเชิงพื้นที่และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายสัตวแพทย์เกษตร สุเตชะ นายกสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ตั้งแต่ปี 2545 จังหวัดชุมพรมีการจัดกิจกรรมชมเหยี่ยวอพยพโดยทุกภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชน กระทั่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชมเหยี่ยวอพยพที่มีชื่อเสียงในระดับโลกในปัจจุบัน โดยแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาจากประเทศในเอเชีย สหรัฐอเมริกาและยุโรป ตั้งใจเดินทางมาเที่ยวที่เขาดินสอทุกปีเพื่อชมเหยี่ยวอพยพแบบใกล้ชิด อย่างไรก็ดีการได้ทราบเส้นทางอพยพของเหยี่ยวจากการวิจัยนั้นได้ช่วยส่งเสริมให้พื้นที่เขาดินสอเป็นจุดศึกษาวิจัยและจุดชมเหยี่ยวอพยพที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียและของโลก ทำให้ผู้คนทั้งภูมิภาคอาเซียนตระหนักและสนใจถึงความสำคัญของเหยี่ยวรวมถึงภัยคุกคามที่เกิดกับเหยี่ยวและหันมาร่วมกันอนุรักษณ์ทรัพยากรในพื้นที่ของประเทศตนเองมากขึ้น และหวังว่าจะช่วยสร้างโอกาสให้พื้นที่เขาดินสอเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สำคัญของประเทศไทยและของโลกต่อไป
ทั้งนี้ผู้สนใจดูเหยี่ยวอพยพสามารถเดินทางมาชมได้ ณ เขาดินสอ ต.บางสน อ.ปะทิว จ.ชุมพร ได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายนของทุกปี
ข้อมูลเพิ่มเติม The Flyway Foundation, Thailand
เรียบเรียงโดย : อาทิตย์ ลมูลปลั่ง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ภาพโดย : ชูเกียรติ นวลศรี, Desmond Allen
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
บทความ
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.7 – สวทช. อ.สค. จับมือวิจัย “โคนม” แบบครบวงจร
สวทช. อ.สค. จับมือวิจัย “โคนม” แบบครบวงจร 4 ตุลาคม 62 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ลงนามความร่วมมือกับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อพัฒนากิจการโคนมแบบครบวงจร หวังยกระดับกิจการโคนมด้วย วทน. เดินหน้าวิจัย ‘นมผงพันธุ์ไทย-นมอัดเม็ดพรีเมี่ยม-ผลิตภัณฑ์จากนมเพื่อผู้สูงวัย’ เฟสแรก 63-65 พร้อมลุยตลาดต่างประเทศ นำร่องบุกอาเซียนปี 64นโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพน้ำนมดิบให้ได้มาตรฐานและปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลให้น้ำนมดิบมีปริมาณเพิ่มขึ้น และมีคุณภาพดีขึ้น โดยข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คาดการณ์ว่า ปี 2562 นี้ ความต้องการบริโภคนมจะเพิ่มขึ้น จากการที่หลายภาคส่วนร่วมกันรณรงค์การบริโภคนมของประชาชนในประเทศ โดยในปี 2562คาดว่า มีปริมาณการบริโภค 1,332,180 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 8% จาก 1,233,483 ตัน ของปี 2561 ในขณะเดียวกัน การส่งออก - การนำเข้าผลิตภัณฑ์นมจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการในตลาดนมพาณิชย์มีการผลิตเพิ่มขึ้น อีกทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีการร่วมมือกันสนับสนุนการขยายตลาดส่งออกนมสู่ประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มมากขึ้น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/12814-20191004-nanotec
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.7 – สวทช. อว. ผนึกพันธมิตร ผลักดัน “Smart Tambon Model” ยกระดับคุณภาพชีวิตท้องถิ่นด้วย วทน.
สวทช. อว. ผนึกพันธมิตร ผลักดัน “Smart Tambon Model” ยกระดับคุณภาพชีวิตท้องถิ่นด้วย วทน. 26 กันยายน 2562 : สวทช. ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมพัฒนาที่ดิน และเครือเบทาโกร ลงนามความร่วมมือเพื่อยกระดับการพัฒนาท้องถิ่นด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม พัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่แบบองค์รวม 5 ด้าน สร้างความรู้ ลดความเหลื่อมล้ำ นำร่องต้นแบบ 7 ตำบล 5 จังหวัด ภายใต้ “โครงการส่งเสริมการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่แบบองค์รวมในระดับตำบล : Smart Tambon” ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย นายองอาจ ปัญญาชาติรักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ความร่วมมือของหน่วยงานทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ภายใต้โครงการ Smart Tambon Model เพื่อพัฒนาชุมชนทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ อาชีพ สุขภาพ การศึกษา สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญนั้น สอดคล้องกับภารกิจของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ที่มุ่งเน้นการวางรากฐานเพื่อพัฒนาประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยมีภารกิจสำคัญ คือ “สร้างและพัฒนาคน” ให้เป็น Smart Citizen เปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning) ทุกช่วงวัย ลดความเหลื่อมล้ำ “สร้างและพัฒนาองค์ความรู้” ไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่เน้นคุณค่า ขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาที่จะนำไปสู่นวัตกรรม บูรณาการงานวิจัย เพื่อตอบโจทย์ประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเป็นสำคัญ และ “สร้างและพัฒนานวัตกรรม” ไปสู่ประเทศฐานนวัตกรรม โดยจะต้องแปลงนวัตกรรมเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางสังคม ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมชุมชน นวัตกรรมสังคม และนวัตกรรมเชิงธุรกิจ สร้างมูลค่าเพิ่ม ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green (BCG) Economy) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/12795-20190926-smart-tambon
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.7 – สวทช. คว้า 3 รางวัล ในงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ปี 62
สวทช. คว้า 3 รางวัล ในงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ปี 62 23 กันยายน 2562 ณ ห้องจูปิเตอร์ 4-7 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี : ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นผู้แทนสำนักงานและผู้อำนวยการ สวทช. รับมอบ 3 รางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2562 จัดโดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง จำนวน 3 รางวัล จากนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ประธานในพิธี ประกอบด้วย รางวัลผลการดำเนินงานดีเด่น จากกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น จากกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรางวัลผู้บริหารทุนหมุนเวียนดีเด่น ได้แก่ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. เพื่อยกย่องผู้บริหารทุนหมุนเวียนที่มีผลงานผ่านการประเมินของคณะกรรมการบริหารทุนหมุนเวียนในระดับดีขึ้นไป จากกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมกันนี้ ภายในงาน สวทช. ได้แสดงนิทรรศการผลงานวิจัยในเรื่อง TPMAP (Thai People Map and Analytics Platform) หรือระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า ซึ่งพัฒนาโดยทีมวิจัยเนคเทค สวทช. รวมถึงผลงานพัฒนาของเอ็มเทค สวทช. ในด้านผลิตภัณฑ์ยาง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยางที่ใช้งานกองทัพเรือ ParaFIT (พาราฟิต) น้ำยางพาราข้นสำหรับการผลิตหมอนและที่นอนยางพารา และ LOMAR (โลมาร์) น้ำยางพาราเข้มข้นสำหรับผสมกับแอสฟัลต์เพื่อทำถนน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/12777-20190923-nstda
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.7 – สวทช. และหน่วยงานใต้ อว. ร่วมงานมหกรรมจีน-อาเซียนครั้งที่ 16 ณ นครหนานหนิง ประเทศจีน หนุนพัฒนาบุคลากรด้าน วทน. และผู้ประกอบการ
สวทช. และหน่วยงานใต้ อว. ร่วมงานมหกรรมจีน-อาเซียนครั้งที่ 16 ณ นครหนานหนิง ประเทศจีน หนุนพัฒนาบุคลากรด้าน วทน. และผปก. 20 กันยายน 2562 - ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับเชิญจาก ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีจีน-อาเซียน (China-ASEAN Technology Transfer Center หรือ CATTC) และกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง (Science and Technology Department of Guangxi Zhuang Autonomous Region) เข้าร่วมงาน “The 7th Forum on China-ASEAN Technology Transfer and Collaborative Innovation” ภายใต้งานมหกรรมจีน-อาเซียน ครั้งที่ 16 (The 16th China-ASEAN Expo) ณ นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ในฐานะตัวแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ) รวมทั้งผู้ประกอบการจากประเทศไทยมากกว่า 20 รายภายในงานดังกล่าว ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช.ได้รับเชิญให้ปาฐกถาพิเศษในช่วง ASEAN Plus Three Young Scientist Innovation Forum หัวข้อ “A Role of NSTDA in People Development and People to People Cooperation on S&T between Thailand and China” ซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึง แนวทางพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. ภายใต้บริบทและนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งมุ่งหวังในการสร้างนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทยตามนโยบายประเทศไทย 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่ง สวทช. ดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดช่วงอายุ เช่น โครงการ KidBright และ FabLab มุ่งส่งเสริมเยาวชนในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้งานง่าย และสร้างแรงบันดาลใจด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) แก่เยาวชนไทย รวมทั้งยังกล่าวถึงกลไกการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ผ่านโครงการศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีไทย-จีน ซึ่ง สวทช. เป็นเจ้าภาพ โดยได้รับสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงฯ ในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างประเทศไทยและจีนในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนนักวิจัยระหว่างไทยและจีน การจัดฝึกอบรมระยะสั้น และการจัดกิจกรรมเสาะหาเทคโนโลยีและจับคู่ธุรกิจระหว่างไทยและจีน ตามความต้องการของนักวิจัยและผู้ประกอบการทั้งไทยและจีน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/12776-the-16th-china-asean-expo
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.7 – สรพ. ร่วมกับ สวทช. มอบรางวัลนวัตกรรมดีเด่น 2P Safety Tech ให้โรงพยาบาลที่นำนวัตกรรมปรับใช้เพิ่มความปลอดภัยผู้ป่วยและผู้ปฏิบัติงานใน รพ.
สรพ. ร่วมกับ สวทช. มอบรางวัลนวัตกรรมดีเด่น 2P Safety Tech ให้โรงพยาบาล ที่นำนวัตกรรมปรับใช้เพิ่มความปลอดภัยผู้ป่วยและผู้ปฏิบัติงานใน รพ. 16-17 กันยายน 62 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กรุงเทพฯ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ร่วมกับ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. จัดเวทีพิชชิ่ง 2P Safety Tech Pitching ภายใต้งาน “วันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยโลก (The 1st World Patient Safety Day)” และ “วันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย (The 3rd Thailand Patient and Personnel Safety Day)” ที่จัดโดย สรพ. ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพ โดยเวทีพิชชิ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมด้าน Innovation for 2P Safety ที่เปิดโอกาสให้ 12 โรงพยาบาลในโครงการ 2P Safety Tech Hospitals นำเสนอนวัตกรรม เพื่อคัดเลือกนวัตกรรมที่มีผลงานดีเด่นใน 3 ด้าน ได้แก่ Care, Change, Collaboration ผลปรากฏ รพ.หนองม่วง ลพบุรี กับผลงานรถขนส่งอาหารขับเคลื่อนไฟฟ้า คว้ารางวัลด้าน Collaboration ขณะที่ด้าน Care มี 2 แห่งคือ รพ.มหาสารคาม กับผลงาน Smart OPD และรพ.สุไหงโก-ลก กับผลงานเครื่องมือ Stop Fall ส่วนรางวัลด้าน Care คือ รพ.สวรรค์ประชารักษ์ นครสวรรค์ กับผลงานระบบบริหารเวรเปล ซึ่งทุกนวัตกรรมต้นแบบที่พัฒนาจะเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทปัญหาของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง ช่วยให้ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลมีความปลอดภัยและสะดวกยิ่งขึ้น สนับสนุนการเป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ (Smart Hospital) ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ต่อไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/12774-20190918-2p-safety-tech-pitching
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.7 – ศูนย์ A-MED สวทช. ติวเข้มเยาวชน พสวท. เรียนรู้เทคโนโลยีเกี่ยวกับฟัน เสริมความเป็นนวัตกรให้เยาวชน
ศูนย์ A-MED สวทช. ติวเข้มเยาวชน พสวท. เรียนรู้เทคโนโลยีเกี่ยวกับฟัน เสริมความเป็นนวัตกรให้เยาวชน ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : เยาวชน พสวท. (โครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) กว่า 80 คนที่ร่วมเข้า “ค่ายวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ นักเรียนที่ได้เหรียญรางวัลโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์ ประจำปี พ.ศ. 2561 วิชาวิทยาศาสตร์ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6” ที่จัดขึ้นโดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ (ACM) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อรับการติวเข้มจากพี่ ๆ ทีมวิจัยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ หรือ A-MED ของ สวทช. ที่ได้ออกแบบกิจกรรมเกี่ยวกับบริการทางทันตกรรมด้วยการเชื่อมโยงกับสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน เพื่อให้น้อง ๆ ได้เรียนรู้ระบบฟันผ่านกลไกงานวิจัยต่าง ๆ ของศูนย์ A-MED และเกิดความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ปลุกความเป็นนวัตกร (Innovator) ให้แก่เยาวชน ซึ่งผลงานอาจจะสามารถต่อยอดจริง พัฒนาเป็นนวัตกรรม (Innovation) ในอนาคตได้ ดร.สิรสา ยอดมงคล นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ฝังใน ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “ค่ายวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ นักเรียนที่ได้เหรียญรางวัลโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์ ประจำปี พ.ศ. 2561 วิชาวิทยาศาสตร์ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6” โดยทีมวิจัยได้นำเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใช้ในงานด้านทันตกรรมมาเสริมความรู้ให้น้อง ๆ โดยเริ่มต้นจากการบรรยายเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องทางทันตกรรม เช่น การเอกซเรย์ อินทราออรัลสแกนเนอร์ และตัวอย่างการใช้งานต่าง ๆ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/12755-20190916-amed
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.7 – สวทช. จับมือ ASEAN Centre for Energy สร้างเครือข่ายวิจัยพัฒนาพลังงานทดแทน พร้อมผลักดันใช้เชื้อเพลิงชีวภาพเชิงพาณิชย์ในอาเซียน
สวทช. จับมือ ASEAN Centre for Energy สร้างเครือข่ายวิจัยพัฒนาพลังงานทดแทน พร้อมผลักดันใช้เชื้อเพลิงชีวภาพเชิงพาณิชย์ในอาเซียน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามร่วมกับ ศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy : ACE) ในด้านการศึกษา การวิจัย และการพัฒนาชุมชน (Education, Research, and Community Development) เพื่อสร้างเครือข่ายการวิจัยพัฒนาพลังงานทดแทน เชื้อเพลิงชีวภาพ และส่งเสริมผลักดันให้มีการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพเชิงพาณิชย์ในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้น โดยมี ดร.อารี ธนบุญสมบัติ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เป็นผู้แทน สวทช. และ Dr.Nuki Agya Utama ผู้อำนวยการ ACE ร่วมลงนาม เมื่อเร็วๆ นี้ (5 ก.ย.) ที่โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล กรุงเทพฯดร.อารี ธนบุญสมบัติ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า จากการประชุมรัฐมนตรีด้านพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 33 ในช่วงเดือนตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สหพันธรัฐมาเลเซีย ที่ประชุมได้เห็นชอบเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในอาเซียนให้เท่ากับร้อยละ 23 ของการจัดหาพลังงานขั้นต้นภายในปี ค.ศ. 2025 และเห็นชอบเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในการสร้างแรงจูงใจด้านการลงทุนโครงการพลังงานทดแทน การเสริมสร้างเครือข่ายด้านการวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทนและเชื้อเพลิงชีวภาพ ตลอดจนผลักดันให้มีการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพเชิงพาณิชย์ในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/12754-20190905-asean-centre-for-energy
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.7 – มท. จับมือ อว. นำเทคโนโลยี เนคเทค สวทช. มาใช้พัฒนาเมือง ช่วยบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองและชุมชน
มท. จับมือ อว. นำเทคโนโลยี เนคเทค สวทช. มาใช้พัฒนาเมือง ช่วยบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองและชุมชน กระทรวงมหาดไทย (มท.) จับมือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ลงนามความร่วมมือใน “โครงการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเมืองและบริการประชาชนระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงมหาดไทย (มท.)” เพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เนคเทค สวทช. พัฒนาขึ้นมาใช้ในการพัฒนาเมือง ขับเคลื่อนการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะ โดยนำเทคโนโลยี Big Data ด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของเมืองและชุมชน มาส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นำไปใช้ประโยชน์ นำร่องด้วยให้แอปพลิเคชัน Traffy Fondue ให้ประชาชนใช้แจ้งปัญหาและข้อร้องเรียนด้านสิ่งแวดล้อมของเมืองและชุมชน และระบบ Traffy Waste เครื่องมือบริหารจัดการการเก็บขยะ คาดจะช่วยให้บริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของเมืองและชุมชนได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นระบบมากขึ้น โดยลงนามความร่วมมือไปเมื่อเร็วๆ นี้ (9 ก.ย.) ในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค ประจำปี 2562 (NECTEC-ACE2019) ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัล ลาดพร้าว กรุงเทพฯ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/12749-20190909-mou
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.7 – เนคเทค สวทช. อว. เปิดงาน NECTEC-ACE 2019 พร้อมเปิดตัวแพลตฟอร์มเอไอสัญชาติไทย
เนคเทค สวทช. อว. เปิดงาน NECTEC-ACE 2019 พร้อมเปิดตัวแพลตฟอร์มเอไอสัญชาติไทย 9 กันยายน 62 กรุงเทพฯ : ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการของเนคเทคประจำปี 2562 (NECTEC Annual Conference and Exhibitions 2019: NECTEC-ACE 2019) พร้อมประกาศเปิดตัว AI FOR THAI โดยได้รับการสนับสนุนจาก CAT INET pantip.com และ KBTG รวมทั้งมีความร่วมมือกับหลากหลายหน่วยงาน ซึ่ง AI FOR THAI: Thai AI Service Platform หรือแพลตฟอร์มเอไอสัญชาติไทย เป็นผลงานวิจัยและพัฒนาที่เนคเทค สวทช. สะสมองค์ความรู้มาเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยมุ่งหวังให้เป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการเพิ่มศักยภาพและความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมและบริการ ยกระดับประสิทธิภาพภาคเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ เป็นแพลตฟอร์มสําหรับเศรษฐกิจในอนาคต และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ประชาชน รวมถึงสร้างอุตสาหกรรมและบริการดิจิทัล ข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์ อันจะเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างยั่งยืน โดยพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก รศ. นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงาน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/nectec-ace2019-aiforthai.html
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.7 – สวทช. มจธ. มจพ. ร่วมยกระดับผู้ประกาอบการอุตฯ บรรจุภัณฑ์และโซ่อุปทานไทย ให้แข่งขันได้ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
สวทช. มจธ. มจพ. ร่วมยกระดับผู้ประกอบการอุตฯ บรรจุภัณฑ์และ โซ่อุปทานไทย ให้แข่งขันได้ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม 3 กันยายน 62 ที่ อาคารเค เอกซ์ (Knowledge Exchange) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ลงนามความร่วมมือ “โครงการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และโซ่อุปทานด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเองของผู้ประกอบการ SME ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีอัตลักษณ์ แข่งขันได้ทั้งตลาดภายในและภายนอกประเทศ พร้อมสร้างเครือข่ายและร่วมกันพัฒนาอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าสนับสนุนผู้ประกอบการในการพัฒนาศักยภาพ ไม่น้อยกว่า 20 ราย ในระยะเวลา 2 ปีรศ.ดร.ธเนศ ธนิตย์ธีรพันธ์ คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงานครั้งนี้ เพื่อมุ่งสร้างสรรค์พัฒนายกระดับศักยภาพด้านอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ เพิ่มขีดความสามารถพึ่งพาตนเองของผู้ประกอบการทั้งระดับกลางและระดับย่อย พัฒนาคุณภาพบรรจุภัณฑ์ทั้งในด้านการใช้งานและความสวยงาม สร้างสรรค์แนวทางการใช้ทรัพยากรทุก ๆ ด้านให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน แก้ปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตลักษณ์และมีศักยภาพในการแข่งขันได้ทั้งตลาดภายในและภายนอกประเทศ ซึ่ง มจธ. โดยภาควิชาเทคโนโลยีการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี จะเน้นส่งเสริมกระบวนการสร้างสรรค์การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ซึ่งจะรับบทบาทเป็นที่ปรึกษาในเรื่องการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องมาใช้ผลิตหรือพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และเข้าไปให้คำแนะนำตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การเลือกวัสดุบรรจุภัณฑ์ การเลือกใช้นวัตกรรมให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ การยืดอายุการเก็บอาหาร การลดต้นทุนการผลิตและยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ การลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์หรือเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด รวมทั้งกระบวนจัดหาวัตถุดิบ จนถึงขั้นตอนกำจัดทิ้ง ที่จะสามารถนำสิ่งเหลือทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ได้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/12739-20190903-mou-nstda
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
สวทช. จัดค่าย “ถนนนักวิจัยรุ่นเยาว์” ครั้งที่6
15 ตุลาคม 2562 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินทร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย คุณบุษกร ตรีสวัสดิ์ ผู้อำนวยการ ผู้บริหารสายกิจกรรมองค์กรเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นประธานเปิดกิจกรรม “ถนนนักวิจัยรุ่นเยาว์” ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 15 - 18 ตุลาคม 2562 เพื่อมุ่งพัฒนาและบ่มเพาะศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเยาวชนไทย ผ่านกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ การฝึกอบรม กิจกรรมค่าย และการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เยาวชนได้ฝึกฝน เรียนรู้ และทำวิจัยภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดจากนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของไทย เป็นการบ่มเพาะเยาวชนเหล่านี้สู่เส้นทางการเป็นนักวิทยาศาสตร์ต่อไปในอนาคต (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์


