หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. ร่วมกับ หน่วยงานพันธมิตร จัดใหญ่! “TAIST-Science Tokyo” เปิดเวทีระดับโลก โชว์ศักยภาพ-สร้างแรงบันดาลใจให้นักวิทย์ฯ รุ่นใหม่ 1-3 ก.ย. นี้
(วันที่ 1 กันยายน 2568): กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยพันธมิตร จัดงานประชุมวิชาการ TAIST-Science Tokyo: วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพัฒนากำลังคนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน เพื่อรายงานความก้าวหน้าโครงการในการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ และประกาศขยายความร่วมมือ โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ณ โรงแรมพูลแมน คิงพาวเวอร์ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า “โครงการ TAIST-Science Tokyo เป็นโครงการที่สะท้อนนโยบายของ กระทรวง อว. ในด้านของการพัฒนากำลังคนคุณภาพสูงให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศในยุคที่เทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยดำเนินงานภายใต้แพลตฟอร์มที่เรียกว่า “Manpower and Knowledge Development” ด้วยการพัฒนาระบบ National Brain Power Ecosystem สนับสนุนการผลิตบุคลากรคุณภาพระดับวิจัยและนวัตกรรม ทั้งที่เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมไปถึงเน้นการพัฒนากำลังคนที่มีทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรม S-Curve และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต หรือ Lifelong Learning เพื่อรองรับการ Reskilling และ Upskilling นอกจากนี้ ในปี 2568 นี้ ได้มีการเปิดหลักสูตรใหม่ “Biomedical Engineering And AI” เพื่อรองรับอุตสาหกรรมสุขภาพและเทคโนโลยีสมัยใหม่ และยังได้จับมือพันธมิตรใหม่ คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เข้าร่วมในหลักสูตร “วิศวกรรมยานยนต์และระบบรางขั้นสูง (A2TE)” ทำให้มีเครือข่ายที่แข็งแกร่งและสามารถพัฒนากำลังคนที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า “โครงการ TAIST-Science Tokyo เป็นโครงการที่ วช. ให้การสนับสนุนทุนวิจัยและทุนพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดบุคลากรที่มีคุณภาพสูง ซึ่งโครงการนี้เป็นการบูรณาการทรัพยากรและความเชี่ยวชาญหลายภาคส่วน ทั้งในด้านความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและสังคมในอนาคต จนเป็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถผลิตบัณฑิตคุณภาพกว่า 600 คน ที่กระจายกำลังไปในภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ และสถาบันการศึกษาชั้นนำ รวมถึงการต่อยอดสู่การศึกษาระดับปริญญาเอกทั้งในและต่างประเทศ” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สวทช. มีความยินดีและภาคภูมิใจในโครงการ TAIST-Science Tokyo เนื่องจากเป็นตัวอย่างความสำเร็จของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิจัย สถาบันการศึกษา และพันธมิตรต่างประเทศ โดยเฉพาะ Institute of Science Tokyo ที่ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรระดับนานาชาติ สร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและการพัฒนาประเทศ สำหรับความพิเศษ คือ ในปี 2568 มีการเปิดหลักสูตรใหม่ และการขยายพันธมิตรใหม่ เพื่อรองรับความท้าทายด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนากำลังของประเทศ” ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของโครงการว่า “ในปี 2568 นี้ โครงการ TAIST-Science Tokyo นอกจากจะมีการเปิดตัวหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์และระบบขนส่งขั้นสูง (A2TE) และมีพันธมิตรใหม่ คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว การจัดงานประชุมวิชาการในครั้งนี้ เพื่อเป็นการแถลงทิศทางและความก้าวหน้าของโครงการ พร้อมเสนอผลลัพธ์เชิงนโยบายจากการสนับสนุนของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และเผยแพร่ผลงานดีเด่นของนักศึกษาที่พร้อมต่อยอดสู่เวทีนานาชาติ และเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์โครงการให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้แก่นักเรียน นักศึกษาในการพัฒนาตนเองเพื่อก้าวสู่เวทีอาชีพในอนาคตอีกด้วย” รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิจัยประยุกต์ทางเทคโนโลยีหุ่นยนต์และชีวการแพทย์ (BART LAB) คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (ระหว่างปี 2558-2566) กล่าวว่า “หลักสูตร Biomedical and AI เป็นความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Tokyo Medical and Dental University (TMDU) ประเทศญี่ปุ่น โดยมุ่งบูรณาการความรู้ด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ทั้งนี้มหาวิทยาลัย มหิดลซึ่งมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ และมีการริเริ่มเปิดหลักสูตร Biomedical Engineering ตั้งแต่ปี 2541 นับเป็นแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และต่อยอดสู่การสร้างเครือข่ายนักวิจัยและบัณฑิตที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการบุคลากรด้านการแพทย์ เทคโนโลยี และสาธารณสุขในอนาคต” “โครงการ TAIST-Science Tokyo” ซึ่งได้เริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2551 จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2565 เป็นต้นมา สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ให้การสนับสนุนทุนอุดหนุนการทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมทักษะสูงตามความต้องการของประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมและต่อยอดไปสู่การนำเสนอในเวทีวิชาการระดับนานาชาติ และเป็นการสร้างและส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่น ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน นักศึกษา ที่เข้าร่วมทราบถึงโอกาสในการเรียนและศึกษาต่อ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่เวทีอาชีพ รวมถึงสร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและภาควิจัย เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการพัฒนากำลังคนอย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช.–ซีพี ออลล์ ผนึกกำลังนำเทคโนโลยีร่วมพัฒนาสินค้า ยกระดับกระบวนการผลิตสู่ตลาดโลกอย่างยั่งยืน
 เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ณ อาคาร ธาราพาร์ค แจ้งวัฒนะ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) จัดประชุม Kick Off ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมไทย สร้างงาน สร้างอาชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนสู่ความยั่งยืน โดยในพิธีเปิด คุณทัพพ์เทพ จีระอดิศวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานปฏิบัติการ และสายงานบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวเปิดงานและกล่าวถึงแนวคิดความร่วมมือของ CP ALL และ ดร. สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวถึงวิสัยทัศน์และแนวทางความร่วมมือของ สวทช. พร้อมกันนี้ คุณยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารจากทั้งสององค์กร นักวิจัย สวทช. เข้าร่วมงาน โครงการดังกล่าวเกิดจากความตั้งใจที่จะผนึกกำลังระหว่างภาคเอกชนและหน่วยงานวิจัยและพัฒนาชั้นนำของประเทศ เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ อันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งนี้ สวทช. ได้นำผู้บริหารและนักวิจัยจาก 4 ศูนย์แห่งชาติ เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) การทำงานร่วมกันในครั้งนี้มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านการเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ การพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน รองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ตลอดจนสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมสังคมที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน สวทช. และซีพี ออลล์ เชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างแท้จริง  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไบโอเทค สวทช. จัดกิจกรรม Smart Agri Days 2025 โชว์นวัตกรรมเกษตรดิจิทัล ยกระดับสมุนไพรไทยสู่สากล
(เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศ ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้จัดเวทีเสวนาและกิจกรรมพิเศษเพื่อเปิดมุมมองด้านนวัตกรรมเกษตรยุคใหม่ ภายใต้แนวคิด “Thailand AgriTech x Trust: ทางรอดเกษตรกรไทยยุคดิจิทัล” โดยได้รับเกียรติจาก คุณกำพล โชคสุนทสุทธิ์ นายกสมาคมส่งเสริมดิจิทัลเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรม เป็นผู้บรรยาย ภายในงานยังมีการเสวนาในหัวข้อ “พลังสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก (Thai Herbal Champions)” โดยผู้แทนจากหน่วยงานสำคัญทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น คุณวิทูรย์ ยวงสะอาด กองพัฒนายาแผนไทยและสมุนไพร กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารณะสุข, คุณณัชชา เวชพงศา ผู้จัดการ แผนกสมุนไพรไทย บริษัท เวชพงศ์โอสถ เยาวราช จำกัด, คุณชูชีพ อภิรักษ์ ผู้จัดการ ส่วนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด และคุณพูศักดิ์ หิรัณยตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พาราไซแอนติฟิค จำกัด ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสในการต่อยอดสมุนไพรไทยสู่ผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ในตลาดโลก ถัดมามีการจัดแสดง Tech Hi-light “Herbotron” หุ่นยนต์อัจฉริยะเพื่อการเกษตร 2 สำหรับการเก็บเกี่ยวสมุนไพรในโรงเรือนอัจฉริยะ โดยคุณวรวิทย์ จันทร์สีหราช ผู้อำนวยการ ฝ่ายบริการงานวิศวกรรม สวทช. และ       ดร.ทวีวัฒน์ กระจ่างสังข์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ปิดท้ายด้วยการเสวนา “Future Trend & Technology of UAV in AgriTech” โดย ดร.บัญญัติ บุญญา นายกสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจอากาศยานบินต่ำ และ กิจกรรมเวิร์กช็อปสร้างรายได้ “การจัดสรรค์เมนูอาหารและเครื่องดื่มจากพืชสมุนไพรพรีเมียม”  โดย อาจารย์เป็นเอก ทรัพย์สิน อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการประกอบการอาหารและการบริการ โรงเรียนการเรือน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต พร้อมคณะ ผู้ช่วยวิทยากร นางสาวภัคนันท์ สุขเอี่ยม และ นายธนากร เมธีวัฒนกุล การจัดกิจกรรมครั้งนี้ สวทช. ย้ำบทบาทสำคัญในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาสนับสนุนเกษตรกรไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ตลอดจนต่อยอดภูมิปัญญาสมุนไพรไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไบโอเทค สวทช. จัดยิ่งใหญ่ INNOAGRO 2025 การเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมเกษตรและชีวภาพไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ความยั่งยืน
(วันที่ 29 สิงหาคม 2568) ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ    (ไบโอเทค สวทช.) จัดงานสัมมนา “INNOAGRO 2025 : การเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมเกษตรและชีวภาพไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ความยั่งยืน” โดยมี ดร.วรินธร สงคศิริ รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค สวทช.) เป็นประธานเปิดงาน ซึ่งเป็นงานที่รวบรวมและจัดแสดงผลงานเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่หลากหลาย พร้อมมีการบรรยายหัวข้อที่น่าสนใจ และการเสวนาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่จะช่วยเสริมสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 200 คน ดร.วรินธร สงคศิริ รองผู้อำนวยการศูนย์ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า งาน “INNOAGRO 2025” จัดขึ้นเพื่อสะท้อนบทบาทและศักยภาพของงานวิจัยด้านเกษตรและชีวภาพของ สวทช. เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ของธุรกิจเกษตรและนวัตกรรมที่พร้อมต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และเสริมแกร่งศักยภาพอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน การจัดงานครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการนำเสนอผลงานวิจัย แต่ยังเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงนักวิจัย ผู้ประกอบการ และภาคอุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน งาน INNOAGRO 2025 เป็นเวทีที่แสดงให้เห็นว่า ผลงานวิจัยไทยสามารถตอบโจทย์ความท้าทาย ทั้งการเพิ่มมูลค่าผลผลิต การสร้างความมั่นคงทางอาหาร ไปจนถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เชื่อมั่นว่าการรวมพลังของนักวิจัยและภาคอุตสาหกรรมในงานนี้ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมเกษตรของไทยที่แข็งแกร่ง และพร้อมแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า INNOAGRO 2025 จะเป็นเวทีแห่งแรงบันดาลใจ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการต่อยอดเชิงธุรกิจที่เกิดผลเป็นรูปธรรม สำหรับบรรยากาศภายในงาน INNOAGRO 2025 มีการจัดแสดงผลงานเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ต้นแบบจาก 10 กลุ่มผลงานวิจัย และการบริการต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมเกษตรและชีวภาพไทย พร้อมมีการบรรยายพิเศษและการเสวนาในหัวข้อต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ประกอบด้วย การบรรยายในหัวข้อ “ผลกระทบและการรับมือต่อนโยบายภาษีตอบโต้ประเทศสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร” โดย คุณบัณฑิตา ทองสาริ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสิรมสินค้าเกษตรนวัตกรรม กรมการค้าต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ , “แนวโน้มธุรกิจและนวัตกรรม จากอุตสาหกรรมเกษตร และการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร” โดยคุณธนารักษ์ พงษ์เภตรา รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประธานสถาบันอุตสาหกรรมเพื่อการเกษตร , “Inno-Agro Innovation for Agro-industry” โดย ดร.วีระวัฒน์ แช่มปรีดา หัวหน้าแผนงาน Pre-Battle แผนงานการเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบและวัสดุเหลือใช้และจากอุตสาหกรรม อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน , การนำเสนอเทคโนโลยีที่พร้อมถ่ายทอด ภายใต้อุตสาหกรรมเกษตรและการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ดำเนินรายการโดย ดร.ศรีสกุล ตระการไพบูลย์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ และเสวนาในหัวข้อ “เสริมความแกร่งอุตสาหกรรม ด้วย Inno-Agro Technology” พร้อมกันนี้บริเวณงานยังมีการนำเสนอบริการภาคเอกชนของ สวทช. แก่ผู้ประกอบการ ได้แก่ โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) และบริการสนับสนุนภาคเอกชนในหลาย ๆ โครงการของฝ่ายส่งเสริมนวัตกรรม เช่น ลงทุนวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ยกเว้นภาษี 200% เป็นต้น ปิดท้ายด้วยไฮไลท์สำคัญของงานการจัดกิจกรรม One-on-One Business Matching ที่เปิดโอกาสให้นักวิจัยและผู้ประกอบการได้เจรจาธุรกิจร่วมกันแบบตัวต่อตัว ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมเกษตรและชีวภาพของไทยได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ผลงานที่นำมาจัดแสดงและร่วม One-on-One Business Matching ประกอบด้วย - เรตติไซม์ มัลติเอนไซม์ สำหรับกระบวนการแช่หมักเส้นใยจากใบสับปะรด - ร็อกซิไซม์-เอนไซม์ ต้านอนุมูลอิสระจากเชื้อจุลินทรีย์ - การผลิตเบต้าแคโรทีนและสารแคโรทีนอยด์มูลค่าสูงจากยีสต์ด้วยวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร - ระบบก๊าซชีวภาพประสิทธิภาพสูงสำหรับวัตถุดิบผสมและกากมันสำปะหลัง - ทีมวิจัยเคมีอินทรีย์ชีวภาพ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ - ชุดไฮโดรไซโคลน สำหรับอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง - ลิกนินออกแบบได้จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อใช้เป็นสารเติมแต่งเชิงหน้าที่ในอุตสาหกรรม - สารชีวภัณฑ์เพื่อกำจัดวัชพืชใบกว้าง - นวัตกรรมการผลิตทรีฮาโลสจากมอลโตสด้วยเทคโนโลยีเอนไซม์ - นวัตกรรมการผลิตน้ำตาลแอลกอฮอล์เพื่อใช้เป็นสารให้ความหวานทางเลือกที่ดีกับสุขภาพ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
การประชุมรับฟังข้อคิดเห็นทางออนไลน์ “ร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมข้อกำหนดการทำให้เนื้อหาเว็บสามารถเข้าถึง และใช้ประโยชน์ได้ (WEB CONTENT ACCESSIBILITY GUIDELINES)
🚨ขอเชิญเข้าร่วมการประชุมรับฟังข้อคิดเห็นทางออนไลน์ “ร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมข้อกำหนดการทำให้เนื้อหาเว็บสามารถเข้าถึง และใช้ประโยชน์ได้ (WEB CONTENT ACCESSIBILITY GUIDELINES)” โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) . 🚀การประชุมรับฟังข้อคิดเห็นและนำไปปรับปรุงมาตรฐานการทำให้เนื้อหาเว็บสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ ตลอดจนเป็นแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการกำกับดูแล การผลิต และการให้บริการเนื้อหาทางเวปไซน์สามารถดำเนินการได้อย่างสอดคล้องกับมาตรฐาน อันจะทำให้ผู้บริโภคทุกกลุ่ม รวมทั้งคนพิการ สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการทางอินเทอร์เน็ตได้อย่างเท่าเทียม” . 📅 วันอังคารที่ 2 กันยายน 2568 🕣 เวลา 09:30 – 15:00 น. (เริ่มลงทะเบียน 09.30 น.) 👉ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน: https://www.nstda.or.th/r/o9LcD 📍แผนที่สถานที่จัดงาน: https://maps.app.goo.gl/cEYst2SzCSfEm4b7A 📝ดาวน์โหลดเอกสาร: https://www.nectec.or.th/standard/2025/08/15/nt_80002-1_cdv/ (แจ้งยืนยันสิทธิ์การเข้าร่วมกิจกรรมภายวันที่ 1/09/2025)
ปฏิทินกิจกรรม
 
ITAP สวทช. ได้รับรางวัล “สำเภา-นาวาทอง” ปี 2568
วันที่ 27 สิงหาคม 2568 ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้ารับรางวัล “สำเภา-นาวาทอง” ประเภทหน่วยงานระดับกระบวนการ จากนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ▪️ รางวัลนี้จัดโดยหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มอบให้กับหน่วยงานภาครัฐที่มีการปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในอย่างเป็นรูปธรรม ลดขั้นตอนการทำงาน และอำนวยความสะดวกในการใช้บริการของภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
แกะกล่องงานวิจัย : SIMPLE เรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพผ่าน AR และ VR
📌 เกี่ยวกับอะไร ? กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนประเทศฝรั่งเศส (IRD) และมหาวิทยาลัยเกิ่นเทอ (Can Tho University) ประเทศเวียดนาม ดำเนินโครงการ SIMPLE (Sustainability Issue Metaverse for Building Participatory Learning Environments) เพื่อพัฒนาหลักสูตรการศึกษาเสริมสร้างความรู้และความตระหนักเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชนไทย โดย สวทช. ได้เลือกหัวข้อการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพมาพัฒนาเป็นต้นแบบหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ ‘BiodiVRestorer (ไบโอเดิฟรีสตอเรอร์) : Immersive VR Experience for Biodiversity Restoration’ จนสำเร็จ และนำเวอร์ชันแรกไปทดสอบจัดกิจกรรมให้แก่เยาวชนไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว BiodiVRestorer คือโลกจำลองที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้สวมบทบาทเป็นนักฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ทำการสำรวจ วิเคราะห์ วางแผน และลงมือฟื้นฟูป่าด้วยตัวเอง ผ่านเทคโนโลยี AR (augmented reality) และ VR (virtual reality) ซึ่งผู้เข้าร่วมจะได้เห็นผลการฟื้นฟูป่าในทันทีผ่านระบบจำลองสถานการณ์ (simulation) ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ พร้อมนำองค์ความรู้ไปใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเหมาะสมต่อไป   📌 ดีอย่างไร ? BiodiVRestorer เป็นต้นแบบหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้เรื่องการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการแบบ 1 วัน ให้แก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กิจกรรมจะเริ่มต้นจากการบรรยายเพื่อสร้างความตระหนักถึงสถานการณ์และความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไม้ในประเทศไทย แล้วจึงต่อด้วยการเรียนรู้วิธี ‘ฟื้นฟูป่า’ ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงด้วยเทคโนโลยี AR และ VR   [caption id="attachment_73367" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption] [caption id="attachment_73368" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption] [caption id="attachment_73370" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption] [caption id="attachment_73369" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption]   ในช่วงกิจกรรมฟื้นฟูป่า ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การสำรวจป่าในโลกเสมือนเพื่อประเมินระดับความเสื่อมโทรมของพื้นที่ โดยอิงหลักเกณฑ์และวิธีการ Rapid Site Assessment (RSA) หรือการประเมินพื้นที่เบื้องต้นอย่างรวดเร็วที่เจ้าหน้าที่และนักอนุรักษ์ป่าไม้ใช้ในการปฏิบัติงานจริง ต่อด้วยการวางแผนฟื้นฟูป่าโดยคำนวณว่าควรนำพืชชนิดใดเข้าไปปลูกทดแทนในปริมาณเท่าไหร่เพื่อให้ระบบนิเวศกลับมาสมดุลและอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้ง จากนั้นจะออกเดินสำรวจป่าในโลกเสมือน เพื่อเลือกเก็บผลไม้ชนิดต่าง ๆ สำหรับนำมาฟื้นฟูป่า และขั้นตอนสุดท้ายคือการรับชมผลการฟื้นฟูป่าในช่วง 20 ปีให้หลัง ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ฝึกทักษะที่สำคัญ คือ ความละเอียดรอบคอบในการสังเกตและการวางแผน รวมทั้งได้รับความรู้จากการบรรยายในระหว่างทำกิจกรรม ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้รู้จัก รัก และหวงแหนความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลงมือฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพด้วยความเข้าใจ เพื่อให้ระบบเกิดความสมดุล และมีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน   📌 ตอบโจทย์อะไร ? คณะทำงานโครงการ SIMPLE ได้นำกิจกรรม BiodiVRestorer ไปนำร่องทดสอบจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวนกว่า 200 คน จาก 21 โรงเรียน ในกรุงเทพฯ, ปทุมธานี และเชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พบว่านักเรียนได้รับทั้งความรู้ ความเข้าใจ และจดจำเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและการฟื้นฟูด้วยวิธีการที่เหมาะสมได้ในระยะยาวแล้ว ผ่านกิจกรรมที่สนุก ได้ลงมือทำจริง และได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เข้าร่วมกับวิทยากรด้วย หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ที่คณะทำงานโครงการ SIMPLE พัฒนาขึ้นนี้ จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะมีส่วนช่วยสร้างความตระหนักเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเหมาะสมให้แก่เยาวชนไทย ให้พวกเขาได้นำองค์ความรู้ไปปรับใช้ สื่อสารอย่างถูกต้อง มีส่วนช่วยอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และร่วมกันสร้างโลกใบนี้ให้เป็นบ้านที่ปลอดภัยสำหรับทุกชีวิตตลอดไป 📌 สถานะของงานวิจัย ? ปัจจุบันโครงการ SIMPLE ในส่วนของประเทศไทยดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว โดยคณะทำงานกำลังพัฒนาหลักสูตรให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทั้งการปรับกระชับเนื้อหา และการเพิ่มกิจกรรมเกม VR ให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้กระบวนการฟื้นฟูป่าแบบครบขั้นตอนยิ่งขึ้น โดยในปี 2570 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการดำเนินงาน คณะทำงานมีแผนที่จะพัฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะแก่การนำไปติดตั้งยังแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการขยายผลการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ สำหรับผู้ที่สนใจนำหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ไปใช้จัดกิจกรรมในสถานศึกษา ติดต่อสอบถามได้ที่ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. อีเมล nbt.pr@nstda.or.th และติดตามรายละเอียดความคืบหน้าของโครงการได้ผ่าน www.project-simple.eu   รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : ‘SIMPLE’ โครงการสร้างความตระหนักเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เรียนรู้วิธีฟื้นฟูป่าผ่านโลกเสมือน AR และ VR เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย คณะทำงานโครงการ SIMPLE ประเทศไทย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
10 Technologies to Watch 2025: เทคโนโลยีเอพิเจเนติกเพื่อการตรวจประเมินสุขภาพระดับเซลล์ (Epigenetic Technology for Cellular Health Assessment)
เทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพันธุกรรมมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ความเข้าใจเรื่องการทำงานของยีน และการควบคุมการแสดงออกของยีนซึ่งมีความสัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมทั้งการกินอาหาร การนอนหลับ การออกกำลังกาย ฯลฯ ช่วยให้เข้าใจกลไกความเสื่อมของร่างกายและทำนายความเสี่ยงเป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก เทคโนโลยีเอพิเจเนติก (Epigenetic Technology) ศึกษาการควบคุมการทำงานของยีนในร่างกาย โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงลำดับดีเอ็นเอ ผ่านวิธีที่เรียกว่า นาฬิกาทางชีวภาพ วิธีที่นิยมคือการวิเคราะห์รูปแบบการเติมหมู่เมทิล (methyl group) บนตำแหน่งจำเพาะของดีเอ็นเอเพื่อดูว่ายีนนั้นมีการแสดงออกหรือไม่ ทำให้รู้อายุขัยที่ “ตรงตามความเป็นจริง” มากกว่าการดูจากอายุตามปฏิทิน ถือเป็นการตรวจประเมินสุขภาพบุคคลที่ทำในระดับเซลล์ ข้อมูลที่ได้นอกจากสะท้อนถึงคุณภาพชีวิตที่ผ่านมาแล้ว ยังเหมาะจะใช้วางแผนการใช้ชีวิตต่อไปอีกด้วย ในทางปฏิบัติอาศัยการเก็บตัวอย่างน้ำลาย เลือด หรือเนื้อเยื่อ (แล้วแต่กรณี) เพื่อนำไปวิเคราะห์รูปแบบของการเติมหมู่เมทิลดังกล่าวบนยีน นอกจากใช้ทำนายอายุชีวภาพได้แม่นยำขึ้นแล้ว ยังอาจใช้ทำนายความเสี่ยงโรคเรื้อรังบางชนิดได้ด้วย ตัวอย่างของบริษัทที่ให้บริการการตรวจเอพิเจเนติก ได้แก่ TruDiagnostic (USA) ที่พัฒนาทั้ง “วิธีการตรวจ” และ “ผลิตภัณฑ์” ในการตรวจ เช่น GrimAge (ทำนายอายุขัยและความเสี่ยงเกิดโรค โดยนำปัจจัยเรื่องการสูบบุหรี่เข้ามาคำนวณด้วย) PhenoAge (ทำนายอายุชีวภาพ) DunedinPACE (ใช้ระบุอัตราความเร็วในการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ความชราภาพ) และ Clock Foundation ให้บริการตรวจเอพิเจเนติกสำหรับบุคคลทั่วไป มูลค่าตลาดเทคโลโลยีเอพิเจเนติกนี้อยู่ที่ 39,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2030 และมีอัตราการเติบโตแบบทบต้น (CAGR) อยู่ที่ร้อยละ 15 สำหรับในประเทศไทยเองเริ่มมีแนวโน้มการให้บริการตรวจประเมินสุขภาพระดับเซลล์เช่นนี้ ผ่านศูนย์สุขภาพของหน่วยงานวิจัย รวมถึงโรงพยาบาลรัฐและเอกชนซึ่งส่วนใหญ่ต้องส่งตัวอย่างไปตรวจในต่างประเทศ ปัจจุบัน สวทช. ยังไม่มีการทดสอบวิเคราะห์ในลักษณะนี้ แต่มีองค์ความรู้ที่จะพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ทดสอบ รวมทั้งประยุกต์ใช้ในด้านการแพทย์ชะลอวัยหรือสุขภาพแบบองค์รวมในอนาคตต่อไป 📌 อ่านข้อมูลฉบับเต็มและข่าวประชาสัมพันธ์ได้ที่: https://www.nstda.or.th/r/BtQWQ 📌 รับชมการบรรยายได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=8cAv6AEX55c
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
สวทช. โดย นาโนเทค และ EECi จัดเวิร์คชอปด้านสารสกัดสมุนไพรและพืชท้องถิ่น หนุนอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพิ่มมูลค่า
วันที่ 29 สิงหาคม 2568 ณ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ระยอง - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เชื่อมโยงงานวิจัยสู่ผู้ใช้จริงผ่าน การอบรมเชิงปฏิบัติการ  “แนวทางการพัฒนาสารสกัดและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและพืชท้องถิ่น” ที่ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ในการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและพืชท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ของแต่ละชุมชนเพื่อยกระดับเป็นสินค้าผลิตภัณฑ์พัฒนาจากสมุนไพรเพิ่มมูลค่า และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค นำโดย ดร. อุดม อัศวาภิรมย์ ทีมวิจัยเกษตรนาโนขั้นสูง กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและกระบวนการนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ หัวหน้าโครงการต่อยอดการพัฒนาสารสกัดและผลิตภัณฑ์สมุนไพรและพืชท้องถิ่นในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ภายใต้แผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และทีมวิจัยเข้าร่วมนำเสนอองค์ความรู้ และได้รับเกียรติจาก ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล ผู้อำนวยการ EECi กล่าวเปิดงานต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ ผู้เข้าร่วมงาน ภายในงาน มีทั้งการบรรยายให้ความรู้ เรื่องการสกัดสารสำคัญจากพืชสมุนไพร, การพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางด้วยนาโนเทคโนโลยี และข้อควรรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง การอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง การสกัดสำคัญจากพืชสมุนไพร และการผสมสูตรตำรับผลิตภัณฑ์สเปรย์นวดผ่อนคลาย นอกจากนี้ ยังเปิดเวทีเสวนาสร้างแรงบันดาลใจในหัวข้อ “วทน. ยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนได้อย่างไร” จากความสำเร็จสู่แรงบันดาลใจ นำงานวิจัย นวัตกรรม มาร่วมแก้ปัญหา ยกระดับมาตรฐาน และสร้างความเชื่อมั่น ในผลผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะสมุนไพรและพืชท้องถิ่น ของพื้นที่ EEC   รวมถึงนิทรรศการแสดงผลงานจากวิสาหกิจชุมชนที่ร่วมโครงการ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรผลิตไม้กฤษณา, วิสาหกิจชุมชนกลุ่มลุฟฟาลา, ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง, วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้แปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรบ้านตม และวิสาหกิจชุมชนเห็ดเยื่อไผ่อำเภอวังจันทร์ อีกด้วย กิจกรรมนี้ เป็นการบูรณาการเทคโนโลยีนวัตกรรมของ สวทช. ที่ตกผลึกผลงานวิจัย นวัตกรรม และผลการดำเนินโครงการ สู่แนวทางการพัฒนาสารสกัดและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและพืชท้องถิ่น ที่ทีมวิจัยนาโนเทคพัฒนาร่วมกับเกษตรกรแกนนำในพื้นที่ เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พัฒนาจากสมุนไพรให้เป็นรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ยกระดับเกษตรกรรมไทย และคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยอย่างมั่นคง
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ABTC 2025 เปิดเวทีวิสัยทัศน์แบตเตอรี่อาเซียน เชื่อมเทคโนโลยี มาตรฐาน และการลงทุนสู่อนาคตพลังงานใหม่
วันที่ 28–29 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรม ทราย ลากูน่า จังหวัดภูเก็ต: ในการประชุมวิชาการ 3rd ASEAN Battery Technology Conference (ABTC) 2025 เวทีสำคัญที่เป็นหมุดหมายหลักในการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงานของภูมิภาคอาเซียนในอนาคต โดยเน้นทั้งการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมพลังงานสะอาด โดยสมาคมเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) ภายใต้การสนับสนุนของศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) TESTA และเครือข่ายพันธมิตร มีบทบาทสำคัญในการผลักดันองค์ความรู้และมาตรฐานด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงานสู่ระดับภูมิภาค ทำหน้าที่เป็นผู้นำด้านวิชาการและการวิจัย พัฒนาแนวทางยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและเศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมพลังงาน และประสานความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานกำหนดนโยบาย และนักวิจัย เพื่อเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานในอาเซียนให้เติบโตอย่างยั่งยืน บรรยากาศภายในงานมีผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมจำนวนมาก เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าทางวิทยาการและแนวทางปฏิบัติในหลายมิติ ครอบคลุมหัวข้อสำคัญ อาทิ เทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานระยะยาวสำหรับเมืองพลังงานหมุนเวียน 100% โดย Prof. Yet-Ming Chiang จาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) การจัดการโครงข่ายไฟฟ้าในไทย โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) และแผนการประยุกต์ใช้ระบบกักเก็บพลังงานในมาเลเซีย โดย UiTM Solar Research Institute Universiti Teknologi MARA (UiTM) ตลอดจนการพัฒนาระบบ Grid-forming ESS สำหรับเมืองพลังงานสะอาด โดย Huawei Digital Power Thailand ที่ช่วยยกระดับความมั่นคงด้านพลังงาน รวมถึงเสวนา “Beyond the battery: Innovation in ASEAN for grid-scale storage systems” แลกเปลี่ยนมุมมองด้านนวัตกรรมและทิศทางใหม่ของการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางพลังงานและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของภูมิภาคอาเซียน นำโดยผู้เชี่ยวชาญจากมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และบริษัทพลังงานชั้นนำในภูมิภาค และประเด็นด้านความปลอดภัยของแบตเตอรี่ได้ถูกหยิบยกแลกเปลี่ยนกันอย่างเข้มข้นผ่านการนำเสนอโดย Prof. Shirley Meng จาก University of Chicago และ Argonne National Laboratory (สหรัฐอเมริกา), Montavista Energy Technologies และมหาวิทยาลัย Tsinghua (จีน), EV Connection (มาเลเซีย), Concord New Energy (จีน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) ร่วมด้วยข้อเสนอแนะจากเครือข่าย ASEAN Battery Safety Network และ Singapore Battery Consortium ที่มุ่งเน้นการออกแบบเซลล์รุ่นใหม่ การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยระดับภูมิภาค ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับไอระเหยของอิเล็กโทรไลต์และความผิดปกติในระบบกักเก็บพลังงานล่วงหน้า ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคและเสริมรากฐานให้อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดเดินหน้าอย่างยั่งยืน ส่วนประเด็นด้านการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน และโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ เพื่อขับเคลื่อนภูมิภาคอาเซียนสู่อนาคตพลังงานสะอาด ผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางสู่การปิดวงจรอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ (Closing the Loop) ผ่านการออกแบบระบบรีไซเคิล การสร้าง Battery Passport และการพัฒนากลไกบริหารจัดการวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ภูมิภาคสามารถรับมือกับความต้องการพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานสำคัญ เช่น A*STAR Battery Centre สิงคโปร์, CSIRO ออสเตรเลีย, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT), NanoMalaysia, SK TES และ Schneider Electric นอกจากนี้ การเสวนายังเน้นสร้าง Supply Chain ที่ยืดหยุ่นและเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค ผ่านการพัฒนามาตรฐาน Battery Swapping และเทคโนโลยี Connector Interface เพื่อรองรับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก (LEV) ในตลาดอาเซียน ขณะเดียวกันยังเปิดมุมมองด้านการลงทุนและการเงินสีเขียว (Green Finance) ผ่านการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดโลกและโอกาสลงทุนในภูมิภาคเพื่อเร่งสร้างความพร้อมให้กับภาคเอกชนและนักลงทุน พิธีปิด ABTC 2025 ครั้งนี้สะท้อนบทบาทสำคัญของภูมิภาคอาเซียนในการเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงานพร้อมเดินหน้าสู่เศรษฐกิจพลังงานหมุนเวียน รองรับเป้าหมาย Net Zero และความยั่งยืนในระดับโลก พร้อมส่งมอบการเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการให้กับ ABTC 2026 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย สะท้อนถึงความต่อเนื่องของความร่วมมือด้านนวัตกรรมและมาตรฐานเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในระดับอาเซียน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมเวที RAMA MEDICAL INNOVATIONS AND PITCHING DAY 2025 โชว์ผลงานวิจัย–นวัตกรรมการแพทย์
วันที่ 28 สิงหาคม 2568 - คณะเเพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงาน มหกรรมคุณภาพและนวัตกรรม (Quality and Innovation Conference) ครั้งที่ 32 ภายใต้หัวข้อ “รามาธิบดียกระดับการพัฒนาคุณภาพและการเปลี่ยนแปลงด้วย AI”  ระหว่างวันที่ 28-29 สิงหาคม 2568 ณ อาคารเรียนและปฏิบัติการรวมด้านการแพทย์และโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี ภายในงานดังกล่าว สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC)  ได้เข้าร่วมกิจกรรม "RAMA MEDICAL INNOVATIONS AND PITCHING DAY 2025" จัดแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้ AI และเทคโนโลยีขั้นสูงทางการแพทย์ พร้อมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับบุคลากรทางการแพทย์และนักวิจัยจากหลากหลายสาขา โดยผลงานที่นำมาจัดแสดง ได้แก่ - แพลตฟอร์มวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ด้วยเครื่องวัดสัญญาณรามานแบบพกพา ร่วมกับชิปขยายสัญญาณรามาน - Medical AI Data Platform แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ ภายใต้ Medical AI Consortium -  Customizable 3D-Printed Soft Materials for Advanced Medical Uses วัสดุนิ่มเรซินไวแสง (UV-curable resin) สำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติประเภท LCD และ DLP สามารถปรับสมบัติเชิงกล และออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานในอุตสาหกรรมการแพทย์ - SonoSein (โซโนเซน) แบบจำลองเพื่อฝึกเก็บชิ้นเนื้อคัดกรองมะเร็งเต้านม - ROSS : MOTION ASSIST EXOSUIT ชุดพยุงหลังป้องกันการบาดเจ็บสำหรับผู้ดูแล รุ่น Black support นอกจากนี้ยังมีการบรรยายแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ หัวข้อ Navigating Tomorrow: AI in Business Innovation and Healthcare Transformation โดย ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ NECTEC สวทช. และ นายกสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย พร้อมด้วยเวทีเสวนาหัวข้อ “From Code to Care: Partnering AI and Medicine” สะท้อนถึงศักยภาพของ AI ในการยกระดับการดูแลรักษาทางการแพทย์ ตั้งแต่การวิจัยขั้นพื้นฐานไปจนถึงการประยุกต์ใช้ในโรงพยาบาลและการดูแลผู้ป่วยจริง ร่วมเสวนาโดย ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ดร.นพดล นันทวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโตรสโคปีและเซนเซอร์ ดร.สรรพฤทธิ์ มฤคทัต หัวหน้าทีมวิจัยการประมวลผลและเข้าใจภาพ ผศ. นพ.มนต์ธวัช อำนวยผล หัวหน้าศูนย์สุขภาพแนวหน้ารามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ดำเนินรายการโดย อ. พญ.ชญานิน นิติวรางกูร ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายนวัตกรรมและคู่ความร่วมมือ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ในวันที่ 2 ของการจัดงาน มีการจัดเวทีเสวนาหัวข้อ "Surgical Planning and 3D Printing in Medical Education & Treatment" เน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการวางแผนการผ่าตัด (Surgical Planning) ร่วมกับการพิมพ์สามมิติ (3D Printing) เพื่อยกระดับคุณภาพทั้งในด้านการรักษาพยาบาลและการศึกษาทางการแพทย์ เทคโนโลยีดังกล่าวมุ่งเน้นการสร้างแบบจำลองอวัยวะและชิ้นส่วนทางการแพทย์ที่มีความแม่นยำสูง ช่วยให้แพทย์และศัลยแพทย์สามารถศึกษา วิเคราะห์ และเตรียมแผนการรักษาได้อย่างละเอียดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ร่วมเสวนาโดย รศ. ดร.พชรพิชญ์ พรหมอุปถัมภ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ดร.รวิภัทร มณีโชติ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. คุณณิชาพัชร์ รัตนพันธ์ ศูนย์พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ อ. นพ.ฐิติ ตันติธรรม คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี อ. นพ.ณัชพันธ์ เพ็งรุ่ง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี รศ. นท. ดร. นพ.สรยุทธ ชำนาญเวช คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ดำเนินรายการโดย : ศ. นพ. ม.ล.ชาครีย์ กิติยากร รองคณบดีฝ่ายนวัตกรรมและคู่ความร่วมมือ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี งาน “RAMA MEDICAL INNOVATIONS AND PITCHING DAY 2025” จัดขึ้นเพื่อเปิดเวทีให้หน่วยงานวิจัย สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ได้นำเสนอผลงานด้านนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ทางการแพทย์ รวมถึงการเปิดโอกาสในการพัฒนาความร่วมมือต่อยอดไอเดียสู่การใช้งานจริง โดยในปีนี้มีการจัดนิทรรศการจากหลากหลายองค์กร รวมถึงเวที Pitching ของนักศึกษาแพทย์ และการเสวนาจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมสุขภาพและเทคโนโลยีดิจิทัล การเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ สะท้อนพันธกิจของ สวทช. ในการผลักดันการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านการแพทย์ดิจิทัล ตลอดจนการสร้างความร่วมมือระหว่างภาควิจัย ภาครัฐ และภาคการแพทย์ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยอย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตรบัณฑิตโครงการ TAIST-Science Tokyo ประจำปีการศึกษา 2568
(วันที่ 28 สิงหาคม 2568) ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตรนานาชาติระดับปริญญาโทด้านวิศวกรรมขั้นสูง โครงการ TAIST-Science Tokyo ประจำปีการศึกษา 2568 พิธีครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วย Prof. Hidetoshi Sekiguchi รองอธิการบดีฝ่ายการศึกษา จาก Institute of Science Tokyo (Science Tokyo) กล่าวต้อนรับบัณฑิต และ ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวให้โอวาทภายใต้ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), Tokyo Institute of Technology Institute of Science Tokyo ประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ นายทานิมูระ ทากามาสะ เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และอธิการบดีจากมหาวิทยาลัยทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ 1) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 2) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 3) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 4) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ 5) มหาวิทยาลัยมหิดล ตลอดจนผู้บริหาร สวทช. อาจารย์ประจำหลักสูตร และผู้มีเกียรติร่วมแสดงความยินดีแก่ผู้สำเร็จการศึกษาปีนี้มีผู้สำเร็จการศึกษาทั้งสิ้น 57 คน แบ่งเป็น หลักสูตรวิศวกรรมมหาบัณฑิต ยานยนต์และการขนส่งขั้นสูง (Automotive and Advanced Transportation Engineering: A2TE Program) จำนวน 14 คน หลักสูตรวิศวกรรมมหาบัณฑิต สาขาปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Artificial Intelligence and Internet of Things: AIoT Program) จำนวน 28 คน หลักสูตรวิศวกรรมมหาบัณฑิต สาขาพลังงานและทรัพยากรอย่างยั่งยืน (Sustainable Energy and Resources Engineering: SERE Program) จำนวน 15 คน โดยบัณฑิตทั้ง 3 หลักสูตรได้รับใบประกาศนียบัตรจากหลักสูตรประกาศนียบัตรระบบขนส่งทางราง (Rail Transport Program: RT Program) จำนวน 11 คน พิธีมอบใบประกาศฯ ครั้งนี้ มีบัณฑิต รุ่นที่ 1 ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนการศึกษาจาก วช. สำเร็จการศึกษาและรับใบประกาศนียบัตรด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า รู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมในพิธีมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากโครงการ TAIST-Science Tokyo ในปีนี้ โครงการนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่าง สวทช. วช. และ Institute of Science Tokyo รวมถึงมหาวิทยาลัยพันธมิตรในประเทศไทยทั้ง 5 แห่ง ความร่วมมือนี้ได้สร้างระบบนิเวศทางการศึกษาที่ยอดเยี่ยม เพื่อผลิตนักวิจัยและวิศวกรที่มีคุณภาพสูง สามารถทำงานวิจัยในระดับสากลได้ “บัณฑิตทุกคนในวันนี้คือผลผลิตอันทรงคุณค่าของโครงการนี้ ท่านได้ผ่านการเรียนรู้ที่เข้มข้นในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศ ทั้งยานยนต์อัจฉริยะ, ปัญญาประดิษฐ์, IoT, และพลังงานเพื่อความยั่งยืน ความรู้และทักษะที่ท่านได้รับไปไม่เพียงแต่จะสร้างอนาคตให้กับตัวท่านเอง แต่ยังจะสร้างอนาคตให้กับประเทศไทยด้วย สวทช. เชื่อเสมอว่าการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์คือรากฐานที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาประเทศ บัณฑิตที่จบจากโครงการนี้คือ "กำลังคนวิจัยขั้นสูง" ที่พร้อมจะนำองค์ความรู้ไปสร้างสรรค์นวัตกรรมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน” ในโอกาสนี้ นายจิณณวัฒน์ มากวิสัย ตัวแทนบัณฑิตจากหลักสูตร AIoT กล่าวขอบคุณผู้สนับสนุนทุนการศึกษา พร้อมแสดงความรู้สึกว่า “ปริญญาไม่ใช่จุดจบ แต่คือการเริ่มต้นใหม่ของการเติบโต มิตรภาพ และการสร้างอนาคตที่ดีกว่า” โครงการ TAIST-Science Tokyo ดำเนินการภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ Institute of Science Tokyo (ชื่อเดิม Tokyo Institute of Technology) ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับมหาวิทยาลัยเครือข่ายของไทย 5 แห่ง และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในสาขาวิศวกรรมขั้นสูง หลักสูตรนานาชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้สอดรับกับ BCG Economy Model / Thailand 4.0 และตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ของประเทศ ซึ่งโครงการนี้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 จนถึงปัจจุบัน    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์