ผลการค้นหา :
สธ. ร่วมมือ สภากาชาดไทย สวทช. ใช้ข้อมูลชีวมิติระบุตัวตน เน้นในกลุ่มต่างด้าว ประชากรแฝง ที่ไม่มีเอกสารประจำตัว เพื่อการป้องกันควบคุมโรคในประเทศ และช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับ สภากาชาดไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พัฒนาการใช้เทคโนโลยีข้อมูลชีวมิติ (Biometric) ในการระบุตัวตนของบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย พบมีความถูกต้อง และแม่นยำสูงถึง 99.75% เพิ่มความครอบคลุมในการป้องกันควบคุมโรค ให้บริการทางการแพทย์ และช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
วันนี้ (4 กันยายน 2568) ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบุตัวตนของบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย เพื่อการสาธารณสุขและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย และศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ลงนาม
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายส่งเสริมการใช้ข้อมูลชีวมิติ (Biometric) ในการยืนยันตัวตนของกลุ่มประชากรต่างด้าว กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หนีภัยการสู้รบตามแนวชายแดน ที่ไม่มีเอกสารระบุตัวตน ซึ่งจะช่วยในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค เนื่องจากเมื่อเจ็บป่วย หรือรับวัคซีนป้องกันโรค หรือเมื่อเกิดภัยพิบัติ คนกลุ่มนี้จะไม่อยู่ในฐานข้อมูลส่งผลให้ไม่ได้รับความช่วยเหลือ โดยได้ร่วมกับสภากาชาดไทย และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบุตัวตน Thai Red Cross Biometric Authentication System (TRCBAS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการรู้จำลายม่านตา (Iris Recognition) และการรู้จำใบหน้า (Face Recognition) เพื่อเก็บข้อมูลชีวมิติ สนับสนุนระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยจากข้อมูลของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว เดือนกรกฎาคม 2568 ระบุว่า มีแรงงานต่างด้าวทั่วราชอาณาจักร 2,222,905 คน ในจำนวนนี้มีสถานะไม่ถูกกฎหมายกว่า 1 ล้านคน การพัฒนาเทคโนโลยีระบุตัวตนครั้งนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างมาก ทั้งต่อสุขภาพส่วนบุคคลและด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยดำเนินการภายใต้หลักธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ
“การนำเทคโนโลยีชีวมิติมาใช้ นอกจากช่วยให้การดูแลสุขภาพ ป้องกันควบคุมโรค การให้บริการทางการแพทย์ และช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และครอบคลุม ยังแสดงให้เห็นถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย รวมถึงสามารถต่อยอดในด้านการศึกษา วิจัย ของบุคลากรสาธารณสุขไทย ที่จะนำไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนได้” นายสมศักดิ์กล่าว
ด้านนายกฤษฎา กล่าวว่า สภากาชาดไทย เป็นหน่วยงานองค์กรสาธารณกุศลแห่งชาติ มีภารกิจในการบรรเทาทุกข์ บำรุงสุข บำบัดโรค กำจัดภัย เพื่อประโยชน์สุขและเป็นที่พึ่งของประชาชน ปกป้องคุ้มครองชีวิตและสุขภาพของทุกคน ได้ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายภาพม่านตาและจดจำใบหน้าเพื่อใช้ในการระบุตัวตนในผู้ที่ไม่มีเอกสาร เป็นผลสำเร็จ สำหรับความร่วมมือฯ ฉบับนี้ สภากาชาดไทย จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนเชิงนโยบาย และอุปกรณ์ เครื่องมือในการบันทึกข้อมูลลายม่านตาและใบหน้า ตลอดจนทรัพยากรอื่นๆ ที่จำเป็น เพื่อยกระดับบริการด้านสาธารณสุขและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ทุกคนที่อาศัยในประเทศไทย
ศาสตราจารย์ชูกิจ กล่าวว่า ระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยเทคโนโลยีรู้จำลายม่านตา หรือ Thai Red Cross Biometric Authentication System (TRCBAS) เป็นระบบที่ทีมวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค-สวทช. ร่วมกับสภากาชาดไทย พัฒนาขึ้นโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการยืนยันตัวตนด้วยการจดจำลายม่านตาและใบหน้า มาใช้ในการตรวจสอบบุคคลก่อนรับบริการด้านสาธารณสุขและการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งข้อมูลชีวมิติจากลายม่านตาเป็นส่วนที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูง คงทน และปลอมแปลงได้ยาก โดยความร่วมมือครั้งนี้จะมีการนำระบบ TRCBAS ไปขยายผลใช้งานในสำนักงานควบคุมโรคเขตเมือง โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่เป้าหมาย อาทิ สมุทรสาคร ตาก แม่ฮ่องสอน และโรงพยาบาลเอกชนที่มีการขึ้นทะเบียนบริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ซึ่งปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวลงทะเบียนในระบบแล้วมากกว่า 2 แสนคน การประมวลผลของระบบ มีความถูกต้องและแม่นยำสูงถึง 99.75%
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
เอ็มเทค สวทช. ขับเคลื่อน Design for Circular Economy “คิดก่อนทำ” สู่โมเดลธุรกิจยั่งยืน
(4 กันยายน 2568) ณ โถงแถลงข่าว ชั้น Ground อาคารวิจัยโยธี สวทช. ถนนพระราม 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ: ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรม NSTDA x Press Interviews หัวข้อ “ออกแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ‘คิดก่อนทำ’ กุญแจสำคัญในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน” โดยมี ดร.วิชชุดา เดาด์ นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. พร้อมด้วยคุณอวยชัย ศิริวจนา กรรมการบริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) และคุณฐิติพันธ์ วาณิชธนศรี ผู้บริหาร ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี เอส เอ็ม พลาสิเทค กรุ๊ป ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์การนำแนวคิด Circular Design มาใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน
“คิดตั้งแต่ต้นทาง” หัวใจสำคัญของ Circular Design
ดร.วิชชุดา เดาด์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีพลาสติก กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า การออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) คือการคิดตั้งแต่ต้นทางว่าจะยืดอายุการใช้งานและคงคุณค่าทรัพยากรได้ยาวนานที่สุด และเมื่อสิ้นรอบการใช้งานต้องสามารถออกแบบเส้นทางชีวิตรอบถัด ๆ ไปให้กับวัสดุได้ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซม การนำกลับมาใช้ซ้ำ การรีไซเคิล หรือการแปลงเป็นพลังงาน แทน “ผลิต–ใช้–ทิ้ง” ที่สร้างของเสียและภาระต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียนคือการวางแผนตั้งแต่ต้น ไม่ใช่การรอให้เกิดของเสียแล้วจึงจัดการ แต่ต้องกำหนดแนวทางการใช้วัสดุให้หมุนเวียนกลับมาได้เต็มศักยภาพตั้งแต่แรก เนื่องจากปัจจุบันความยั่งยืนไม่ใช่แค่ทางเลือกแต่เป็นความจำเป็นสำหรับภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดองค์ความรู้เชิงเทคนิคเกี่ยวกับวัสดุและการออกแบบผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรเดิมที่ต้องปรับปรุงให้รองรับวัสดุใหม่ ความยากในการสร้างความเชื่อมั่นของตลาด และระบบจัดการของเสียที่ยังไม่ครบวงจร เอ็มเทค สวทช. จึงเข้ามามีบทบาทเป็น “พี่เลี้ยงด้านนวัตกรรม” ร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้นำแนวคิดการออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ได้จริง ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการส่งเสริมการออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรแร่และโลหะอย่างยั่งยืน สนับสนุนโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม
ดร.วิชชุดา เดาด์ กล่าวต่อว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ผลิตภัณฑ์ Made in Thailand จะก้าวสู่ทิศทางที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน (renewable resources) และวัสดุที่รีไซเคิลได้ง่าย การออกแบบให้ถอดแยก ซ่อมแซม และอัปเกรดได้ เพื่อลดการเกิดขยะและยืดอายุการใช้งาน ระบบการผลิตในอนาคตจะถูกออกแบบให้สามารถส่งต่อข้อมูลตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ เช่น การใช้ Digital Product Passport (DPP) เพื่อระบุประเภทวัสดุ ส่วนประกอบ วิธีถอดแยก การซ่อมบำรุง และแนวทางจัดการเมื่อสิ้นอายุการใช้งาน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้รีไซเคิลและผู้ผลิตในรอบถัดไปเข้าถึงได้ง่ายและนำทรัพยากรกลับมาใช้ซ้ำได้เต็มศักยภาพ การเปลี่ยนผ่านนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภาครัฐควรวางนโยบายและมาตรฐาน Circular Economy ควบคู่กับการสนับสนุน R&D และระบบข้อมูลที่โปร่งใส ภาคเอกชนต้องลงทุนในนวัตกรรม ปรับกระบวนการผลิต และออกแบบผลิตภัณฑ์ตามแนวคิด Circular ส่วนผู้บริโภคเองก็มีบทบาทสำคัญในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และใช้ทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบ หากทั้งสามฝ่ายเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้ จะช่วยสร้างผลิตภัณฑ์ไทยที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เติบโตได้อย่างยั่งยืน และแข่งขันได้ในระดับสากลอย่างแท้จริง
Circular Economy คืออนาคต ผู้ประกอบการไทยสร้างมาตรฐานใหม่ระดับสากล
คุณฐิติพันธ์ วาณิชธนศรี ผู้บริหาร ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี เอส เอ็ม พลาสิเทค กรุ๊ป เผยวิสัยทัศน์ที่มุ่งเปลี่ยนพลาสติกใช้แล้วให้เป็นทรัพยากรที่มีค่าไม่ใช่แค่ขยะ ด้วยการพัฒนากระบวนการรีไซเคิลด้วยนวัตกรรมตั้งแต่ต้นทาง บริษัทสามารถผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงเม็ดใหม่ (virgin) ถึง 80% ซึ่งสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการมาตรฐานสูง เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และบรรจุภัณฑ์ได้ จุดแข็งของบริษัทคือกระบวนการผลิตแบบ requirement-driven ที่เริ่มจากความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยทำงานร่วมกับโรงงาน แบรนด์สินค้า และชุมชน เพื่อคัดแยกและเตรียมวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน Global Recycle Standard (GRS) ซึ่งตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน นอกจากนี้ เม็ดพลาสติกรีไซเคิลของบริษัทยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีค่าคาร์บอนฟุตพรินต์เพียง 0.3–0.45 กก. CO₂/กก. ซึ่งน้อยกว่าเม็ดใหม่ที่ปล่อยสูงถึง 1.8 กก. อย่างมาก และยังสอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอีกด้วย
คุณฐิติพันธ์ กล่าวต่อว่า ความสำเร็จของบริษัทมาจากความร่วมมือกับ เอ็มเทค สวทช. ซึ่งเป็น "พี่เลี้ยง" ที่ช่วยสนับสนุนด้านองค์ความรู้ "Design for Circular Economy" ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการวิเคราะห์สารเคมีในพลาสติกอย่างละเอียด ทำให้บริษัทไม่ได้เป็นเพียงผู้จัดหาวัตถุดิบอีกต่อไป แต่ก้าวขึ้นเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมระดับสากล โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดของยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งมีกฎเกณฑ์เข้มงวดด้านสัดส่วนวัสดุรีไซเคิลและคาร์บอนฟุตพรินต์ นอกจากคุณค่าทางเศรษฐกิจแล้ว บริษัทฯ ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างรายได้ให้ชุมชนจากการคัดแยกขยะพลาสติก และช่วยลดการรั่วไหลของขยะลงสู่ทะเล ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่
คุณฐิติพันธ์กล่าวทิ้งท้ายว่า เป้าหมายของบริษัทคือการทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าพลาสติกใช้แล้วสามารถสร้างคุณค่าใหม่ได้อย่างแท้จริง หากมีระบบจัดการที่ถูกต้องและได้มาตรฐาน เพื่อผลักดันวงการรีไซเคิลของไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน
ด้าน คุณอวยชัย ศิริวจนา กรรมการบริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 39 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าทุกประเภท ตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงระดับแรงดันสูง 525 kV และมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานพลังงานไฟฟ้าของประเทศอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ เอ็มเทค สวทช. พัฒนา "หม้อแปลงไฟฟ้ารีแมนูแฟคเจอริ่ง (Remanufacturing Transformer)" ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่นำหม้อแปลงไฟฟ้าที่ใช้แล้วมาปรับปรุงให้มีคุณภาพเทียบเท่าของใหม่ผ่านการทดสอบมาตรฐานสากล 100% โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ของประเทศไทย เพราะหม้อแปลงไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทรัพยากรจำนวนมาก การนำหม้อแปลงเก่ากว่า 1 ล้านเครื่องทั่วประเทศมาปรับปรุงใหม่ จะช่วยประหยัดวัตถุดิบ ลดมลภาวะ ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่าหมื่นล้านบาท
บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างมาตรฐานคุณภาพเพื่อให้ หม้อแปลงรีแมนูแฟคเจอริ่ง มีความปลอดภัยสูงสุดและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งการสนับสนุนด้านงานวิจัยจาก เอ็มเทค สวทช. ในการวัดและคำนวณ คาร์บอนฟุตพรินต์ อย่างละเอียดเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบบ เศรษฐกิจหมุนเวียน ได้อย่างยั่งยืน คุณอวยชัยกล่าวทิ้งท้ายว่า นี่คือก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตพลังงานที่สะอาดและปลอดภัยสำหรับประเทศไทย และบริษัทฯ พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีด้านพลังงาน พร้อมทั้งเชิญชวนให้ภาคอุตสาหกรรมหันมาใช้ หม้อแปลง CE เพื่อร่วมลดคาร์บอนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
การเดินหน้าสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ประสบความสำเร็จจากบทบาทสำคัญของเอ็มเทค สวทช. ในฐานะ "พี่เลี้ยงด้านนวัตกรรม" ที่สนับสนุนองค์ความรู้ Design for Circular Economy การวิเคราะห์ทางเทคนิค และการพัฒนามาตรฐานระดับสากลให้ผู้ประกอบการไทย จากความร่วมมือกับบริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี เอส เอ็ม พลาสิเทค กรุ๊ป ทำให้สามารถผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงเม็ดเวอร์จินกว่า 80% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 75% ส่วนโครงการกับบริษัท ถิรไทย พัฒนาหม้อแปลงรีแมนูแฟคเจอริ่งที่สามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาทจากทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว
เอ็มเทค สวทช. เป็นหน่วยงานหลักที่เชื่อมโยงงานวิจัยกับการใช้งานจริง ผ่านแนวคิด "คิดก่อนทำ" ช่วยผลักดันผลิตภัณฑ์ "Made in Thailand" ให้แข่งขันได้บนเวทีโลกและสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
อบรมเชิงปฏิบัติการ เทคโนโลยี BLOCKCHAIN เพื่อการขับเคลื่อนองค์กรในยุคดิจิทัล (Blockchain Technology for Business Transformation: B4B)
📢หลักสูตรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ
🚨เทคโนโลยี BLOCKCHAIN เพื่อการขับเคลื่อนองค์กรในยุคดิจิทัล
(Blockchain Technology for Business Transformation: B4B)
🎯 KEY HIGHLIGHT
💡 รู้จักและเข้าใจเทคโนโลยี Blockchain ทั้งหลักการและการประยุกต์ใช้งาน รวมถึงจุดเด่น
และข้อจำ กัดหากนำ มาใช้งาน
💡เรียนรู้การประยุกต์ใช้งาน Blockchain ในหลากหลายองค์กรจากกรณีศึกษาจริง อาทิ
ทางการแพทย์, การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล, Real-World Asset, Stablecoin
💡 ได้แนวคิดและเห็นโอกาสในการนำ เทคโนโลยี Blockchain ไปประยุกต์ใช้และปรับเปลี่ยน
ธุรกิจ/องค์กร ให้สอดคล้องกับสังคมดิจิทัลในอนาคต
💡ฝึกปฏิบัติ (Workshop) เข้มข้น การใช้งานเทคโนโลยี Blockchain พื้นฐานด้วยตนเอง
กับผู้เชี่ยวชาญ Blockchain ทั้งเชิงกลยุทธ์และเทคนิค
📍 โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ
📅 25 - 27 พฤศจิกายน 2568
📌 หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับ
👨💻 นักพัฒนาโปรแกรม ผู้ดูแลระบบ (Developer)
👨💼 ผู้บริหาร และเจ้าของธุรกิจ ที่สนใจ Digital Transformation และการนำ Blockchain มาใช้ในองค์กร
🏛️ ผู้กำหนดนโยบายในองค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐที่สนใจนำ Blockchain ไปใช้เพื่อบริการสาธารณะ
🔬 นักพัฒนาเทคโนโลยี และผู้วางแผนกลยุทธ์องค์กร
👩💻นักวิเคราะห์ด้านการเงิน การลงทุน และเทคโนโลยี
💼 ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี และ Startup
📌 ค่าลงทะเบียน
💼 Package A: For Management
10,700 บาท (อบรม 2 วัน)
💻 Package B: For Developer
14,900 บาท (อบรม 3 วัน)
📱 ดูรายละเอียดได้ที่:
🌐 https://www.career4future.com/b4b
📞 0 2644 8150 ต่อ 81898 (คุณฉวีวรรณ)
📧 Email: npd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
อว.-สวทช. ประเดิมจัด Industry 4.0 Awards 2025 ชูนโยบาย 3 เสาหลักปั้นไทย สู่ฐานการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง
กระทรวง อว. โดย สวทช. จัดพิธีมอบรางวัล "Industry 4.0 Recognition Awards 2025" เป็นครั้งแรก เพื่อเชิดชูเกียรติสถานประกอบการที่มุ่งสู่โรงงานอัจฉริยะ "ปลัด อว." ปาฐกถาพิเศษ ชูนโยบาย 3 เสาหลัก "สร้างคน-วิจัยเพื่อใช้ประโยชน์-มหาวิทยาลัยเพื่อท้องถิ่น" เป็นระบบนิเวศขับเคลื่อนประเทศ สู่ "ฐานการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง" ที่ทั่วโลกเชื่อมั่น
(วันที่ 3 กันยายน) ณ โรงแรมคาร์ลตัน กรุงเทพ สุขุมวิท: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) จัดพิธีมอบรางวัล Industry 4.0 Recognition Awards 2025 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ที่ สวทช. มีการคัดเลือกสถานประกอบการภาคอุตสาหกรรมและการผลิตที่มีความโดดเด่นในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมยกระดับสู่สุดยอดอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อรับรางวัล “Industry 4.0 Recognition Awards 2025” รางวัลเพื่อเชิดชูและประกาศเกียรติคุณแก่ภาคธุรกิจที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง สู่การเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศ โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปาฐกถาพิเศษ "นโยบายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กับการขับเคลื่อนการยกระดับอุตสาหกรรมไทย” โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. นักวิจัย สวทช. ผู้ประกอบการภาคเอกชนและเอสเอ็มอี เข้าร่วมงานจำนวนมาก
ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวปาฐกถาพิเศษในพิธีมอบรางวัล Industry 4.0 Recognition Awards 2025 ว่า กระทรวง อว. มุ่งสร้าง "ระบบนิเวศ" ที่เอื้อต่อการยกระดับอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืนผ่าน 3 เสาหลัก ได้แก่ 1. การสร้างกำลังคน ที่มีทักษะตรงต่อความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และยานยนต์ไฟฟ้า 2. การวิจัยและนวัตกรรมเชิงยุทธศาสตร์ ที่เปลี่ยนวิธีคิดจาก "วิจัยเพื่อรู้" ไปสู่ "วิจัยเพื่อใช้ประโยชน์" ได้จริงในโรงงาน และ 3. มหาวิทยาลัยเพื่อท้องถิ่น ที่ทำหน้าที่เป็น "พี่เลี้ยง" ทางเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่
ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย กล่าวว่า หัวใจสำคัญของอุตสาหกรรม 4.0 คือคนที่มีทักษะตรงกับความต้องการของตลาด เราจึงมีโครงการทุนการศึกษาและการฝึกอบรมที่มุ่งเน้นในสาขาที่เป็นที่ต้องการ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ปัญญาประดิษฐ์ ยานยนต์ไฟฟ้า และ เซมิคอนดักเตอร์ นอกจากนี้งานวิจัยที่ดีต้องเดินเข้าโรงงาน ไม่ใช่จบที่ห้องแล็บ ซึ่ง สวทช. ได้พัฒนา Thailand i4.0 Index ขึ้นมาเป็นเครื่องมือประเมินความพร้อมและเป็น "ภาษากลาง" ที่สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั่วโลก โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการเปลี่ยนภาพลักษณ์ประเทศไทยสู่การเป็นฐานการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงที่ดึงดูดการลงทุน
“วันนี้ กระทรวง อว. กำลังสร้างบุคลากรไทยให้มีความเชี่ยวชาญในสาขาเหล่านี้ เพื่อลดการพึ่งพาและสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับประเทศ โดย สวทช. ได้พัฒนา Thailand i4.0 Index ในการประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรม ซึ่งอนาคตในอีก 5 ปีข้างหน้าเราจะเห็นโรงงานในประเทศไทยมีระบบการผลิตที่เชื่อมโยงกัน ข้อมูลจะถูกนำมาใช้ในการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นผลมาจากการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้โครงการ Industry 4.0 Platform และทางมหาวิทยาลัยในแต่ละจังหวัดจะเปลี่ยนบทบาทเป็นศูนย์รวมองค์ความรู้และเทคโนโลยี ที่พร้อมช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น และทำงานร่วมกับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการขับเคลื่อนด้วยนโยบาย หนึ่งมหาวิทยาลัย หนึ่งภารกิจ ของกระทรวง อว. เช่นกัน”
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า รางวัล Industry 4.0 Recognition Awards ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรก ภายหลังจากที่ สวทช. และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตลอดจนพันธมิตรจากหลายหน่วยงาน ได้ร่วมกันพัฒนาดัชนีชี้วัดระดับความพร้อมของอุตสาหกรรมไทย หรือ Thailand i4.0 Index สำหรับเป็นเครื่องมือมาตรฐานในการประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมไทยเพื่อยกระดับไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยตั้งแต่ปี 2566 มีโรงงานไทยกว่า 900 แห่งที่เข้าร่วมการประเมิน และหลายแห่งได้นำผลลัพธ์ไปจัดทำแผนการลงทุนได้อย่างชัดเจน เช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ได้รู้วิธีการบูรณาการข้อมูลเครื่องจักรในสายการผลิตสู่การจัดการซัพพลายเชนและการทำลีนออโตเมชัน เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้มีผู้ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 25 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ 22 แห่ง และ SMEs 3 แห่ง นอกจากการประเมิน Thailand i4.0 Index แล้ว สวทช. ยังมีศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ณ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมในการให้คำปรึกษา ทดลองทดสอบเทคโนโลยี และถ่ายทอดเทคโนโลยี Smart Factory ได้แก่ IIOT Big Data, AI และ Automation รวมถึงสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร
“รางวัลดังกล่าวถือเป็นการส่งเสริมให้สถานประกอบการภาคอุตสาหกรรมเห็นคุณค่าและตัวอย่างของสถานประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนสู่ระบบอุตสาหกรรม 4.0 ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และร่วมกันสร้างระบบนิเวศโรงงานอัจฉริยะของไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ความสำเร็จของโครงการนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากความร่วมมือที่แข็งแกร่งของหลายหน่วยงาน โดยมี สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) สนับสนุนงบประมาณผ่าน “แผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต” กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้ร่วมกันใช้ดัชนี Thailand i4.0 Index เป็นมาตรฐานในการประเมินและสนับสนุนผู้ประกอบการ นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ยังใช้ผลการประเมินเป็นเกณฑ์ให้สิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนด้านสินเชื่อจาก ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) และ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งทุนและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างครบวงจร
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ไบโอเทค สวทช. เปิดตัว ‘ต้นไผ่ตัดอายุ’ เหมือนต้นแม่ทุกประการ แต่อายุเริ่มจากศูนย์
ไผ่เป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจของไทยที่นำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งในอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมไม้แปรรูป โครงสร้าง เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงพลังงานชีวมวล แต่การขยายพันธุ์ไผ่คุณภาพยังเป็นปัญหาที่เกษตรกรต้องเผชิญ เพราะการนำเมล็ดไผ่มาปลูกให้ได้ต้นที่มีคุณลักษณะตรงตามต้องการมีโอกาสสำเร็จไม่ถึงร้อยละ 1 เนื่องจากไผ่มีอัตรากระจายตัวทางพันธุกรรมสูง
หากจะแก้ปัญหาด้วยวิธีขยายต้นพันธุ์แบบปกติ เช่น การตอน ชำลำ แยกเหง้าลงดิน หรือการตัดข้อของต้นพันธุ์ที่ไม่ทราบอายุมาเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ ก็ยังต้องเสี่ยงกับวิกฤต ‘ตายขุย’ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไผ่ต้นแม่ออกดอกแล้วตาย เมื่อต้นแม่ตาย ไผ่ต้นลูกที่ปกติแล้วมีอายุทางชีวภาพเทียบเท่ากับต้นแม่ จะทยอยตายตามไปด้วยใน 3-5 ปี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัว ‘ต้นไผ่ตัดอายุพันธุ์ฟ้าหม่น’ ที่คงลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ มีคุณลักษณะเหมาะสำหรับอุตสาหกรรมไม้แปรรูป แต่มีอายุเริ่มต้นที่ศูนย์ปี คล้ายกลไกการพัฒนาต้นจากเอ็มบริโอ (embryo) นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีสำหรับขยายพันธุ์ได้ครั้งละปริมาณมาก พร้อมรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
[caption id="attachment_74079" align="aligncenter" width="750"] ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า ที่ผ่านมาทีมวิจัยได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสายพันธุ์ไผ่ ในการคัดเลือกต้นแม่พันธุ์ดีเด่นสายพันธุ์ฟ้าหม่นที่กำลังออกดอกและเริ่มทยอยตาย มาวิจัยกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากเซลล์ร่างกายด้วยวิธีโซมาติกเอ็มบริโอเจเนซิส (somatic embryogenesis) โดยนำเซลล์จากช่อดอกอ่อน (young inflorescence) ของต้นแม่มาเพาะเลี้ยงบนอาหารสูตรเฉพาะ เพื่อกระตุ้นให้เกิดเซลล์ที่ยังไม่จำแนกหน้าที่หรือแคลลัส (callus) ก่อนชักนำให้เกิดต้นอ่อนที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนเซลล์เริ่มต้น (somatic embryo) จากนั้นจึงพัฒนาให้เป็นต้นสมบูรณ์ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ทุกประการ (clonal plant) ด้วยวิธีการนี้ ทำให้เอ็มบริโอที่ชักนำขึ้นจากเซลล์ต้นแม่ เกิดการพัฒนาจากจุดเริ่มต้นอายุใหม่
[caption id="attachment_74084" align="aligncenter" width="750"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่นที่ออกดอกแล้ว[/caption]
[caption id="attachment_74083" align="aligncenter" width="750"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่นที่ออกดอกแล้ว[/caption]
“หลังจากพัฒนากระบวนการชักนำให้เกิดต้นอ่อนที่แข็งแรงได้สำเร็จ ทีมวิจัยได้นำต้นที่ได้ไปปลูกทดสอบผลเรื่องการตัดอายุเรียบร้อยแล้ว ผลปรากฏว่าต้นที่ปลูกไม่ออกดอก หรือหมายถึงประสบความสำเร็จในการตัดอายุต้นแม่ ได้เป็นต้นใหม่ที่มีอายุเริ่มต้นจากศูนย์ ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังเตรียมขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยได้เข้าถึงการใช้ประโยชน์จากไผ่สายพันธุ์นี้แล้ว
“ทีมวิจัยคาดว่าผลสำเร็จของการวิจัยและพัฒนานี้จะต่อยอดไปสู่การผลิตไผ่ตัดอายุสายพันธุ์อื่น ๆ ได้ด้วย โดยปัจจุบันกำลังดำเนินการพัฒนากระบวนการผลิตไผ่ตัดอายุพันธุ์ซางหม่นในขั้นตอนการเพาะเลี้ยงต้นอ่อน ก่อนนำไปปลูกเพื่อวัดผลด้านการตัดอายุต่อไป"
[caption id="attachment_74076" align="aligncenter" width="750"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่นที่เพาะเลี้ยงด้วยกระบวนการโซมาติกเอ็มบริโอเจเนซิส[/caption]
[caption id="attachment_74078" align="aligncenter" width="750"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่นที่เพาะเลี้ยงด้วยกระบวนการโซมาติกเอ็มบริโอเจเนซิส[/caption]
[caption id="attachment_74077" align="aligncenter" width="750"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่นที่เพาะเลี้ยงด้วยกระบวนการโซมาติกเอ็มบริโอเจเนซิส[/caption]
[caption id="attachment_74080" align="aligncenter" width="450"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่น[/caption]
[caption id="attachment_74081" align="aligncenter" width="450"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่น[/caption]
[caption id="attachment_74082" align="aligncenter" width="450"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่น[/caption]
นอกจากการมุ่งมั่นพัฒนากระบวนการการผลิตต้นพันธุ์ไผ่คุณภาพ อีกสิ่งหนึ่งที่นักวิจัยไบโอเทค สวทช. ให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์ให้ได้เร็วและมีคุณภาพสูง ตอบโจทย์ความต้องการอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้จริง
ดร.ยี่โถ เล่าว่า ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไผ่ตัดอายุพันธุ์ฟ้าหม่นด้วยระบบไบโอรีแอกเตอร์แบบกึ่งจม (Temporary Immersion Bioreactor: TIB) ซึ่งเป็นการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อตามเงื่อนไขที่กำหนดด้วยระบบอัตโนมัติ เพื่อควบคุมปริมาณอาหารและสภาพแวดล้อมให้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืชที่เพาะเลี้ยงอยู่เสมอ ผลจากการทดสอบพบว่า ต้นอ่อนไผ่พันธุ์ฟ้าหม่นที่เพาะเลี้ยงด้วยสูตรอาหารและเงื่อนไขที่ทีมวิจัยกำหนดเติบโตเร็วกว่าการเพาะเลี้ยงแบบวิธีทั่วไปที่ใช้อาหารแข็งหรือกึ่งแข็งถึง 3-5 เท่า และยังเพาะเลี้ยงได้คราวละหลายต้น
“วิธีการนี้เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาใช้ผลิตต้นพันธุ์ในเชิงพาณิชย์หรือในระดับอุตสาหกรรม โดยทีมวิจัยมีแผนจะพัฒนากระบวนการผลิตอุปกรณ์ TIB ขนาดเล็ก เพื่อลดต้นทุนค่าอุปกรณ์ ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ง่ายขึ้น คาดว่าจะพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า”
[caption id="attachment_74087" align="aligncenter" width="750"] ระบบไบโอรีแอกเตอร์แบบกึ่งจม (Temporary Immersion Bioreactor: TIB)[/caption]
นอกจากการวิจัยกระบวนการผลิตไผ่ตัดอายุและกระบวนการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ทีมวิจัยกำลังดำเนินโครงการสร้างโมเดลคัดเลือกไผ่สายพันธุ์ดีเด่นขนานกันไป เพื่อนำเอาต้นพันธุ์จากการเพาะเมล็ดที่ผ่านการคัดเลือกมาถอดลายนิ้วมือทางพันธุกรรม (DNA fingerprint) และลักษณะที่ปรากฏ (phenotype) ก่อนนำไปขึ้นทะเบียนพันธุ์และพัฒนากระบวนการขยายต้นพันธุ์ในระดับอุตสาหกรรม ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเจริญ (meristem culture) เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยได้เข้าถึงต้นพันธุ์ไผ่คุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละภาคส่วนมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันทีมวิจัยได้คัดเลือกต้นพันธุ์ดีเด่นแล้ว 2 สายพันธุ์ เป็น ไผ่ฟ้าหม่น 1 สายพันธุ์ และไผ่ซางหม่น 1 สายพันธุ์ โดยทั้งสองสายพันธุ์อยู่ระหว่างการเตรียมตั้งชื่อและขึ้นทะเบียนพันธุ์กับกรมวิชาการเกษตร คาดว่าจะแล้วเสร็จในอนาคตอันใกล้
[caption id="attachment_74086" align="aligncenter" width="750"] คุณชนนท์ณัฏฐ์ พัฒนะศิลป์ (สวนป่าจำปาทอง จ.กระบี่), คุณสุกัญญา อุดมกรสิทธิ์กุล (บ.อิมเพรสชันอินเตอร์เนชันแนล จำกัด) และคุณจีระ มากดี (เจ้าของสวนไผ่ที่ จ.กาญจนบุรี) ผู้ให้การสนับสนุนไผ่สายพันธุ์คุณภาพเพื่อการวิจัยและพัฒนา (คนที่ 1,2 และ 4 ตามลำดับ)[/caption]
[caption id="attachment_74085" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยกระบวนการผลิตไผ่สายพันธุ์คุณภาพ[/caption]
สำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการที่สนใจต้นพันธุ์ไผ่รวมถึงเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยง ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3310
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และไบโอเทค สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
เวทีประชุมวิชาการ TAIST-Science Tokyo สวทช. นำทัพ วช. ยกระดับกำลังคน ดันไทยสู่ยุคเทคโนโลยีที่ยั่งยืน
(วันที่ 2 กันยายน 2568) การประชุมวิชาการ “TAIST-Science Tokyo: วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพัฒนากำลังคนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” จัดขึ้น ณ ห้อง Eternity ชั้น G โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ ซึ่ง สวทช.และพันธมิตรจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-3 กันยายน 2568 ดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
โดยในวันที่สองของการจัดงาน ดร. สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต้อนรับผู้ร่วมงานและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเวทีในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและทิศทางโลก พร้อมทั้งขอบคุณ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่ให้การสนับสนุนทุนโครงการ ตลอดจนขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมสนับสนุนให้การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการ วช. ยังได้ร่วมกล่าวสนับสนุนในพิธีเปิด ตอกย้ำบทบาทของ วช. ในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศและสร้างความยั่งยืนในอนาคต
ภายในงานยังมีการบรรยายพิเศษ (Keynote Speakers) โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เริ่มจาก ศาสตราจารย์ ดร.สนอง เอกสิทธิ์ กล่าวในหัวข้อ “นโยบายการวิจัยและพัฒนากำลังคนของประเทศกับ TAIST-Science Tokyo” โดยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในการผลักดันการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ และได้กล่าวถึงกิจกรรมสำคัญที่ วช. ดำเนินการเพื่อส่งเสริมและสร้างเวทีให้แก่นักวิจัยและเยาวชนรุ่นใหม่ เช่น Thailand Research Expo ที่ถือเป็นมหกรรมงานวิจัยระดับชาติ รวมผลงานนวัตกรรมจากทั่วประเทศมาเผยแพร่ และกิจกรรม Thailand Researcher Day (หรือวันนักวิจัยแห่งชาติ) ที่เป็นเวทีเชิดชูเกียรติและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักวิจัยทุกระดับ นอกจากนี้ วช. ยังให้ความสำคัญกับ ความร่วมมือระหว่างประเทศ ผ่านการจับมือกับหน่วยงานวิจัยและสถาบันการศึกษาในต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้างเครือข่ายนักวิจัย และเปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยได้เข้าถึงประสบการณ์ระดับนานาชาติ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการ TAIST-Science Tokyo ที่มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรคุณภาพสูงเพื่อรองรับความท้าทายของโลกอนาคต
จากนั้น ศาสตราจารย์ ดร.ปรินทร์ ชัยวิสุทธางกูร ได้กล่าวในหัวข้อ “บทบาทของคณะวิทยาศาสตร์ในการสร้างนักวิจัยและนวัตกรรุ่นใหม่ของประเทศ” โดยชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาทของคณะวิทยาศาสตร์ในสถาบันอุดมศึกษา โดยคณะวิทยาศาสตร์ต้องก้าวสู่บทบาทใหม่ในฐานะ “ตัวขับเคลื่อนนวัตกรรม” ที่ไม่เพียงแต่สร้างองค์ความรู้เชิงทฤษฎี แต่ยังต้องเชื่อมโยงไปสู่การแก้ปัญหาจริงของสังคมและอุตสาหกรรม เช่น การรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ต้องบูรณาการวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมกับวิศวกรรม หรือการพัฒนายาและเวชภัณฑ์ใหม่ที่ต้องอาศัยการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และการผลิตเชิงวิศวกรรม ศาสตราจารย์ ดร. ปรินทร์ กล่าวเน้นย้ำถึง ความร่วมมือระหว่างคณะวิทยาศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ โดยผ่านการให้คำปรึกษาจากอาจารย์อาวุโส การกำกับดูแลแบบสหวิชา (joint supervision) รวมถึงการฝึกอบรมทักษะสำคัญ เช่น ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ การคิดเชิงนวัตกรรม (Design thinking) และ Soft skills อย่างการสื่อสาร การทำงานร่วมกันและภาวะผู้นำ อีกประเด็นสำคัญคือการสร้าง นวัตกรรุ่นใหม่ โดยการปลูกฝังวิธีคิดด้านนวัตกรรม การกล้าลองผิดลองถูก และการพัฒนาความยืดหยุ่นต่อความล้มเหลว พร้อมทั้งสนับสนุนระบบบ่มเพาะ (incubator) ภายในมหาวิทยาลัย เพื่อเปิดทางให้งานวิจัยก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัพและสร้างผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี
ปิดท้ายด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช กล่าวบรรยายในหัวข้อ “ทิศทางใหม่ของการศึกษาวิศวกรรม: เพื่อภาคอุตสาหกรรมที่แข่งขันได้ในระดับโลก” โดยยังเน้นถึงหลักสูตร Kosen แบบญี่ปุ่น ซึ่งออกแบบให้นักเรียน ได้เรียนต่อเนื่อง 5 ปี ทั้งในประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่น ได้วุฒิอนุปริญญาที่พร้อมทำงาน โดยเน้นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติและฝึกงานจริง เพื่อสร้างวิศวกรที่มีทั้งความรู้ด้านทฤษฎีและทักษะการทำงาน พร้อมปรับตัวเข้ากับความต้องการของอุตสาหกรรมทันทีหลังสำเร็จการศึกษา และได้ยกตัวอย่างว่าหลักสูตรลักษณะนี้เริ่มนำร่องเป็นต้นแบบใช้ในไทยแล้วในสองสถาบัน คือ Kosen สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และจะขยายผลสู่สถาบันการศึกษาอื่น โดยเปิดโอกาสให้นักเรียน เข้าศึกษาต่อแบบต่อเนื่อง พร้อมฝึกงานและเรียนรู้เชิงปฏิบัติจริง
หลังจากนั้นเป็นเวทีเสวนา (Breakout Sessions) แบ่งเป็น 4 ห้องย่อย ได้แก่ ห้องหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์และระบบขนส่งขั้นสูง (Automotive and Advanced Transportation Engineering: A2TE) เรื่อง “ยานยนต์และระบบขนส่งขั้นสูง” ห้องหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Artificial Intelligence and Internet of Things: AIoT) เรื่อง “Next-Gen Workforce for AIoT Era: Competency, Collaboration, and Career” ห้องหลักสูตรพลังงานและทรัพยากรอย่างยั่งยืน (Sustainable Energy and Resources Engineering: SERE) เรื่อง “From Carbon to Chip: เชื่อมพลังไทยสู่เศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัล” และห้องหลักสูตรวิศวกรรมชีวการแพทย์และปัญญาประดิษฐ์ (Biomedical Engineering and Artificial Intelligence: BIOMED & AI) เรื่อง “กำลังคนในเทคโนโลยีอนาคต Biomed and AI” โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ มหาวิทยาลัย และภาคอุตสาหกรรมร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์
นอกจากนี้ในช่วงบ่ายเป็นการนำเสนอผลงานวิชาการและงานวิจัยของนักศึกษาจากทั้ง 4 หลักสูตร โดยมีการนำเสนอแบบ Oral Presentation พร้อมข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อพัฒนาต่อยอดงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์จริง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นตัว ความร่วมมือระหว่างผู้เข้าร่วมและการแลกเปลี่ยนความรู้เชิงลึก ก่อนปิดท้ายของวันด้วยการสรุปผลการพิจารณาและข้อเสนอแนะ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจและแนวทางให้กับนักศึกษาและผู้เข้าร่วมทุกฝ่าย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ร่วมกับสมาคม ASM จัดเสวนาออนไลน์ “Science Inspires Future – Insights from Microbiome for All” เพื่อให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทย
วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2568 การเสวนาออนไลน์ “Science Inspires Future – Insights from Microbiome for All” ได้ถูกจัดขึ้นโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสมาคม American Society for Microbiology (ASM) ภายใต้โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย มีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน ทั้งนักเรียน นักศึกษา และครูผู้สอนจากหลายสถาบันการศึกษาในประเทศไทย
นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริการทางวิชาการและการประเมินหลักสูตรด้านพัฒนากำลังคน (ASI) สวทช. กล่าวเปิดงาน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของ Microbiome ว่าเป็นมากกว่าการศึกษาจุลินทรีย์ แต่คือการเข้าใจระบบนิเวศที่ซับซ้อนภายในร่างกายมนุษย์และสิ่งแวดล้อม เธอกล่าวว่า “วิทยาศาสตร์ประเภทนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มองค์ความรู้ แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจและทักษะสำคัญที่ผู้เรียนสามารถนำไปต่อยอดในชีวิตประจำวันและอาชีพในอนาคต”
จากนั้น สัตวแพทย์หญิง เกล้า รันจรูญ ผู้แทนประเทศไทยโครงการ Global Young Scientists Summit Thailand ประจำปี 2024 ซึ่งเป็นตัวแทน ASM Young Ambassador ประจำประเทศไทย และนักศึกษาปริญญาเอกจาก College of Veterinary Medicine มหาวิทยาลัยจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ทำหน้าที่เป็นพิธีกรและผู้ประสานงาน ได้กล่าวถึงการทำงานร่วมกับ ศาสตราจารย์ ดร. ดาวิดา สมิธ วิทยากรหลักของวันนี้เกี่ยวกับโครงการอบรมด้านไมโครไบโอม รวมถึงกิจกรรมวิจัยช่วงฤดูร้อนที่ซานอันโตนิโอ ซึ่งได้แรงบันดาลใจและเห็นคุณค่าของโครงการนี้ โดยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนและครูไทยในอนาคต พร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมาคม ASM และโอกาสที่นักเรียนและครูไทยสามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรและโครงการความร่วมมือได้
การบรรยายหลักนำโดย ศาสตราจารย์ ดร. ดาวิดา สมิธ ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลชีววิทยาระดับโมเลกุลจากมหาวิทยาลัย Texas A&M ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอนำเสนอด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง ชวนให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนกำลังสนทนาอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพียงการเล่าตามตำรา แต่คือการถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากการสอนและทำวิจัยในสหรัฐฯ
ดร.สมิธ เล่าถึงแนวทางการเรียนการสอนที่พลิกจากรูปแบบ “สูตรสำเร็จ” ไปสู่ “การวิจัยในชั้นเรียน” โดยใช้ปัญหาจริงเป็นฐานการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษในแม่น้ำซานอันโตนิโอ สารเคมี PFAS ไมโครพลาสติก หรือแม้แต่ปรสิต Giardia ประเด็นเหล่านี้ถูกนำมาวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนฝึกการคิดเชิงวิพากษ์ การทำงานเป็นทีม และการแก้ปัญหาที่มีอยู่จริง
“การเรียนวิทยาศาสตร์ไม่ควรเป็นเพียงสูตรสำเร็จ หากแต่ต้องเป็นการค้นคว้า ทดลอง และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง” ดร.สมิธ เน้นย้ำ เธอได้เล่าถึงโครงการ “Microbiomes for All” ที่ได้รับการสนับสนุนจาก National Science Foundation (NSF) สหรัฐฯ ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เก็บตัวอย่างจากแหล่งต่าง ๆ เช่น แม่น้ำ ถนน หรือพิพิธภัณฑ์ ก่อนนำมาวิเคราะห์ในห้องเรียน ผลงานบางชิ้นสามารถต่อยอดสู่บทความวิชาการที่ตีพิมพ์ร่วมกับคณาจารย์
บรรยากาศการถาม–ตอบในช่วงท้ายสะท้อนพลังความสนใจของผู้เข้าร่วมอย่างชัดเจน ด.ญ.ณพลดา ชุมชอบ นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร (มัธยมศึกษา) เล่าความรู้สึกว่า “ได้ทั้งความรู้ใหม่ ๆ และแรงบันดาลใจ ทำให้รู้สึกอยากเรียนวิทยาศาสตร์ต่อไป” ขณะเดียวกันครูผู้สอนจากโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา กล่าวว่า “ประทับใจการตอบคำถามของอาจารย์ เพราะตอบได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย” นายศิลา พลรักษ์ นิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ร่วมแบ่งปันความรู้สึกว่า “Dr. Smyth is really nice, and knowledgeable in answering questions.” และหลายความเห็นตรงกันว่า อยากให้มีเวลาในการนำเสนอและการถามตอบมากขึ้น รวมถึงข้อเสนอให้เพิ่มซับไตเติ้ลภาษาไทย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึงได้ดียิ่งขึ้น
เบื้องหลังเสียงสะท้อนเหล่านี้คือการเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ ผู้เข้าร่วมตระหนักว่า Microbiome ไม่ใช่เพียงจุลินทรีย์ในร่างกาย แต่คือภาพสะท้อนของความสมดุลระหว่างมนุษย์ สิ่งแวดล้อม และสังคม การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงเช่นนี้ทำให้เห็นว่า แม้โรงเรียนที่มีทรัพยากรจำกัด ก็ยังสามารถนำวิธีการใหม่ เช่น การใช้ฐานข้อมูลเปิด (open data) การศึกษากรณีตัวอย่าง และการนำเสนอด้วยโปสเตอร์ดิจิทัล มาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กิจกรรม Science Inspires Future ครั้งนี้จึงไม่เพียงสร้างความเข้าใจเชิงวิทยาศาสตร์ แต่ยังสะท้อนนวัตกรรมการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ที่เน้นการเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์เข้ากับชีวิตจริง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือทำจริง และจุดประกายให้เยาวชนกล้าคิด กล้าทำ และกล้าเปลี่ยนแปลงโลก
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ชิ้นส่วนยานยนต์ไทย…ต้องรอด! TECE ผนึกนักวิจัย-แหล่งทุนพร้อมหนุนสู้ยุค EV
สวทช. โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (Thailand EV Center of Excellence : TECE) ระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยวิจัย และแหล่งทุน โดยเปิดให้ผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ไทยมาจับคู่ธุรกิจและเทคโนโลยี ในงานสัมมนา “Open Innovation for EV Battle ชิ้นส่วนยานยนต์ไทย...ต้องรอด” มีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ไทยพร้อมรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
10 Technologies to Watch 2025: เวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัย (Longevity Cosmeceuticals)
การดูแลสุขภาพผิวและความงามในปัจจุบันไม่ได้เน้นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังคำนึงถึงสุขภาพที่ดีจากภายในเพื่อผลในระยะยาวด้วย องค์ความรู้ใหม่เรื่องกลไกความเสื่อมและความชราระดับเซลล์ รวมทั้งกลไกการออกฤทธิ์ของสมุนไพร ทำให้พัฒนาเวชสำอางที่ไม่เพียงแต่ดูแลความงามจากภายนอก แต่ยังชะลอกระบวนการเสื่อมระดับเซลล์จากภายในได้อีกด้วย
เวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัย จึงมิได้เป็นเพียงแค่ “ตำรับเครื่องสำอาง” ที่เน้นการดูแลสุขภาพผิวภายนอก เช่น การลดริ้วรอย หรือเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวเท่านั้น แต่มีจุดเด่นคือการค้นหาสารออกฤทธิ์ที่แก้ปัญหาตรงกลไกหลักของความชรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชราของผิว เช่น ลดจำนวนเซลล์ชรา (senescent cells) กระตุ้นการทำงานของยีนซ่อมแซมผิว ซึ่งช่วยยืดอายุผิว (skinspan) ออกไปได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นการแก้ไขความชราในระดับเซลล์
ทั้งหมดนี้วัดประสิทธิภาพได้จากความแข็งแรงของเซลล์ผิว โครงสร้างของชั้นผิว และความสามารถในการฟื้นฟูตนเองของเซลล์ผิว ทั้งนี้มีผลการทดสอบการออกฤทธิ์ทางคลินิกและมาตรฐานความปลอดภัยที่ชัดเจน โดยดูจาก “ตัวชี้วัดชีวภาพ” หรือ “เครื่องหมายชีวภาพ” (biomarkers) ที่เกี่ยวข้องกับความชรา
ปัจจุบันขนาดตลาดอุตสาหกรรมเวชสำอาง และตลาดผลิตภัณฑ์และการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกหรือทดแทน (รวมทั้งผลิตภัณฑ์และการรักษาในกลุ่มชะลอวัย) มีมูลค่าอยู่ที่ราว 67,000 และ 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ โดยมีอัตราการเติบโตแบบทบต้น (CAGR) ร้อยละ 4-10 และ 22 ต่อปี สำหรับประเทศไทย มีการคาดการณ์ตลาดในกลุ่มหลังในปี ค.ศ. 2023 อยู่ที่ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2030 โดยมีอัตราการเติบโตแบบทบต้นร้อยละ 22 ต่อปี
ในต่างประเทศมีบริษัทที่ขยายตลาดทางด้านเวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัยแล้ว เช่น AstaReal และ Beiersdorf ขณะที่ในประเทศไทยมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจพัฒนาเวชสำอางอยู่จำนวนหนึ่ง
สวทช. มีงานวิจัยด้านเวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรต่าง ๆ ผ่าน “แพลตฟอร์มสร้างนวัตกรรมสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทย” มีบริษัทสตาร์ตอัปจากงานวิจัยเกิดขึ้นแล้ว เช่น Krono-Life นำส่วนผสมของสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทย มาพัฒนาเป็นนวัตกรรมสารออกฤทธิ์ Zenolase และผลิตภัณฑ์ ZenoLase Evanesce Serum และมีแนวโน้มจะต่อยอดงานวิจัยเพิ่มเติมกับสมุนไพรอื่น ๆ รวมทั้งพัฒนาวิธีการวิเคราะห์และทดสอบความปลอดภัย ตลอดจนวิธีวัดประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์เพิ่มขึ้นอีกด้วย
📌 อ่านข้อมูลฉบับเต็มและข่าวประชาสัมพันธ์ได้ที่: https://www.nstda.or.th/r/BtQWQ
📌 รับชมการบรรยายได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=8cAv6AEX55c
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
สวทช. ร่วมงานสัมมนาความร่วมมือวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและวัฒนธรรม “ไทย–จีน”
(วันที่ 28 สิงหาคม 2568) ณ ห้องออดิทอเรียม ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี – สถาบันวิจัยพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา บีอาร์ไอ สมาคมการค้าการลงทุนเส้นทางสายไหมไทย–จีน และหน่วยงานพันธมิตร ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาความร่วมมือวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวัฒนธรรมจีน–ไทย และการเปิดตัวรายงานวิจัย เส้นทางสายไหมดิจิทัลในประเทศไทย (Forum on China-Thailand Science, Technology and Cultural Cooperation Development & Report Launch of Digital Silk Road in Thailand)” เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางใหม่ของความร่วมมือระดับภูมิภาคในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและจีนให้ก้าวหน้าต่อไป
ภายในงานได้รับเกียรติจาก พล.อ.สุรสิทธิ์ ถนัดทาง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย–จีน เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ธารากร วุฒิสถิรกูล ประธานสถาบันวิจัยพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา บีอาร์ไอ และนายหยาง เสี่ยวหลง ที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าร่วมพิธีเปิด
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ความร่วมมือไทย–จีน ภายใต้กรอบ Digital Silk Road เป็นมากกว่าการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ แต่ยังสามารถสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมร่วมที่ยั่งยืน เพื่อผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค ในฐานะองค์กรวิจัยและพัฒนาระดับชาติ สวทช. ซึ่งมีอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยเป็นนิคมวิจัยสำหรับเอกชนแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ถือเป็น Innovation Hub ที่เชื่อมโยงความร่วมมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย–จีนอย่างโดดเด่น
ที่ผ่านมา สวทช. มีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับองค์กรในประเทศจีนมากกว่า 60 ฉบับ อาทิ
โครงการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) ร่วมกับ Chinese Academy of Agricultural Sciences (CAAS) ใช้ AI และเทคโนโลยีแม่นยำเพื่อเพิ่มผลผลิตอย่างยั่งยืน
ห้องปฏิบัติการร่วมไทย–จีนด้านเทคโนโลยีอวกาศและดาวเทียม เพื่อวิจัยและพัฒนาการใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศในการบริหารจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
ความร่วมมือด้าน Smart City กับ Chinese Academy of Sciences (CAS) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและระบบนิเวศดิจิทัล
การแลกเปลี่ยนนักวิจัยและนักศึกษาระหว่างไทย–จีนผ่านทุนวิจัยร่วม เพื่อสร้างเครือข่ายบุคลากรวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่
“ในส่วนของรายงานวิจัย “Digital Silk Road in Thailand” ที่เปิดตัวในวันนี้ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทิศทางความร่วมมือเชิงนโยบายและเศรษฐกิจดิจิทัล หากเราสามารถต่อยอดความร่วมมือด้วยความลึกซึ้งและเป้าหมายหลากหลาย ไทยและจีนจะก้าวสู่การเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ด้านนวัตกรรมอย่างแท้จริง พร้อมสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตประชาชนทั้งสองประเทศอย่างยั่งยืน” ดร.จุฬารัตน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
สำหรับบรรยากาศภายในงาน มีการบรรยายและเสวนาในหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น
เส้นทางสายไหมดิจิทัลในประเทศไทย: การวิจัยว่าด้วยการแลกเปลี่ยนและการพัฒนาอุตสาหกรรม โดย ผศ.ดร.สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา บีอาร์ไอ
การเสวนา ทิศทางความร่วมมือไทย–จีนในยุคดิจิทัล ด้วยการแลกเปลี่ยนและการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยมี ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ นักวิจัยอาวุโส กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ร่วมเป็นหนึ่งในผู้เสวนา
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
การเตรียมความพร้อม Biochar: NbS towards Nationally Determined Contributions (NDC) 3.0
📌 ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม
การประชุมระดมสมอง Biochar Consortium ครั้งที่ 3
“การเตรียมความพร้อม Biochar: NbS towards Nationally Determined Contributions (NDC) 3.0”
เวทีความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อผลักดันนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากไบโอชาร์ ในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อม
🎯 การประชุมนี้เหมาะสำหรับ:
✅ ผู้ประกอบการ นักวิจัย นักพัฒนาเทคโนโลยี และผู้กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับไบโอชาร์
✅ ผู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมในความร่วมมือวิจัย หรือสนใจการประยุกต์ใช้ไบโอชาร์ในเชิงพาณิชย์หรือระดับชุมชน
📚 หัวข้อสำคัญที่คุณไม่ควรพลาด:
🌱 บทบาทของ Biochar ต่อ NDC 3.0 และ Net-Zero
🌱 Tokenization, dMRV และการใช้เทคโนโลยีเพื่อการลดคาร์บอน
🌱 แนวทางการพัฒนา Biochar ในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม
🌱 ความเคลื่อนไหวล่าสุดในฐานข้อมูล Biomass และ Biochar ของไทย
📌 วันเวลา: วันอังคารที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 09:00–17:00 น.
📌 สถานที่: ห้องประชุม CC-405 ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ปทุมธานี
📌 ลงทะเบียน: https://event.nstda.or.th/event-nstda/#/register/add-register/81/526
ปฏิทินกิจกรรม
Infographic เพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (คิดและสร้าง Infographic อย่างมืออาชีพ)” รุ่นที่ 20
📢📢เปิดแล้ว รุ่นที่ 20 #ลงทะเบียนก่อนเต็ม🎉🎉🎉 รับจำนวนจำกัด!!!
🟢 สวทช. ขอเชิญเข้าร่วมอบรม "#Infographic เพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (คิดและสร้าง Infographic อย่างมืออาชีพ)" รุ่นที่ 20
🗓📌25-26 กันยายน 2568 เวลา 09.00 – 17.00 น. ณ โรงแรม แจล ซิตี้ กรุงเทพ หรือเทียบเท่า
🌎Key Highlights
✅️เจาะลึก Infographic ที่ดีเป็นอย่างไร
✅️ออกแบบ สร้างสื่อในยุคเทคโนโลยี Digital Content ข้อมูลอันซับซ้อนในเวลาจำกัดได้อย่างไร
✅️นำเสนอแบบ Infographic ให้สวยงาม เข้าใจง่าย อย่างรวดเร็ว ด้วยองค์ประกอบศิลป์
✅️เสริมภาพลักษณ์สำหรับสื่อให้โดนใจอย่างสร้างสรรค์
✅️บรรยาย พร้อมฝึกปฏิบัติเข้ม เน้น Pick Up พร้อมเทคนิค Trip & Tip ในการออกแบบต่างๆ สำหรับการทำ Infographic
ค่าลงทะเบียน ท่านละ 9,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) หน่วยงานภาครัฐ ท่านละ 9,252.34 บาท
**ราคานี้รวมอาหารว่าง อาหารกลางวัน เอกสารประกอบการเรียนและคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการฝึกอบรม**
🆙ดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ https://www.career4future.com/info/
📲สอบถามข้อมูล 08 5289 2669 (คุณใหม่) E-Mail : bas@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม


