หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
SCI UPDATE : วิกฤตินกเงือกไร้โพรงรัง สวทช. หนุนซ่อม หวังเพิ่มโอกาสขยายพันธุ์นกเงือก
For English-version news, please visit : NSTDA’s hornbill nest restoration project helps conserving this vulnerable species สวทช. หนุนซ่อม ‘โพรงรัง’ หวังเพิ่มโอกาสขยายพันธุ์นกเงือก ป่าฮาลา–บาลา ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนของ ‘นกเงือก’ อัญมณีแห่งแดนใต้ที่นักดูนกหลายคนเฝ้าใฝ่หา เพราะผืนป่าแห่งนี้สามารถพบนกเงือกได้มากถึง 10 ชนิด จาก 13 ชนิด ที่พบในประเทศไทย รวมทั้งยังพบนกเงือกหายาก เช่น นกชนหิน นกเงือกปากย่น และนกเงือกหัวหงอก หากแต่ว่าปัจจุบันแม้ป่าฮาลา–บาลา จะเป็นถิ่นอาศัยที่มีความอุดมสมบูรณ์ แต่นกเงือกยังอยู่ในภาวะวิกฤติ เพราะไม่เพียงถูกล่าเพื่อนำลูกไปขาย หากยังต้องเผชิญอุปสรรคมากมายในการทำรัง โดยเฉพาะ ‘การขาดแคลนโพรงรัง’ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชากรนกเงือกลดลง (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นักวิจัย ไบโอเทค สวทช. พัฒนาระบบเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่ายเซลล์เดียวสำหรับใช้ควบคุมโรคกุ้งในภูมิภาคอาเซียน
For English-version news, please visit : BIOTEC-NSTDA and University of Kent to develop a novel microalgal-based platform for combating shrimp viral diseases กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับ University of Kent พัฒนาวิธีการที่เกี่ยวข้องกับการใช้สาหร่ายเซลล์เดียว (microalgal-based platform) เพื่อการป้องกันโรคในอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งในประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับการสนับสนุนทุนวิจัย International Collaboration Awards 2019 จาก The Royal Society ภายใต้กรอบความร่วมมือ Global Challenges Research Fund (GCRF) สหราชอาณาจักร เป็นจำนวน 9 ล้านบาท ตั้งเป้านำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในการป้องกันการเกิดโรคตัวแดงดวงขาว และโรคหัวเหลืองได้ทั้งในประเทศไทยและระดับภูมิภาคอาเซียน ในปี พ.ศ. 2562 รายงานจากสมาคมกุ้งไทยแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถผลิตกุ้งเลี้ยงประมาณ 290,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 48,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุดของประเทศ อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากจากการระบาดของโรคต่าง ๆ สร้างความสูญเสียมากถึง 60% ของผลผลิตในประเทศ และยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย การติดเชื้อไวรัสถือเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดการสูญเสียอย่างรุนแรงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการระบาดของโรคตัวแดงดวงขาว (White Spot Syndrome Virus - WSSV) และโรคหัวเหลือง (Yellow Head Virus-YHV) และข้อมูลจากกรมประมงเมื่อไม่นานมานี้พบว่า ยังคงมีการระบาดของไวรัสดังกล่าวอยู่อย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กระทรวง อว. ผนึกพันธมิตรระดับโลก ยกระดับการเรียนออนไลน์ชูแอปพลิเคชัน “ไมโครซอฟท์ ทีมส์” ให้นักศึกษา 2 ล้านคนทั่วประเทศเรียนฟรี
กระทรวง อว. ผนึกพันธมิตร หนุนสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศรับมือโควิด-19 ด้วยนวัตกรรมการเรียนการสอนออนไลน์ ล่าสุดผนึกบนแพลตฟอร์มระดับโลกจากไมโครซอฟท์ให้นักศึกษาไทยทั่วประเทศ 2 ล้านคนใช้ฟรี ด้านหัวเว่ยมอบสิทธิส่วนลดโทรศัพท์มือถือ-แท็บเล็ต 10% สำหรับนักศึกษา พร้อมเดินหน้าหารือค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ในเมืองไทย จัดโปรโมชั่นโมบายดาต้าราคาย่อมเยา สนับสนุนนักศึกษาเรียนออนไลน์ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ขยายวงกว้างขึ้นทั่วโลก กระทรวง อว. ได้เล็งเห็นถึงความปลอดภัยที่เกิดขึ้นต่อนิสิต นักศึกษา บุคลากร และประชาชนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันอุดมศึกษา จึงมีการวางมาตรการในการรองรับสถานการณ์โควิด-19 ในส่วนของการดูแลนิสิต นักศึกษาของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยให้มีการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ 100% เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสในพื้นที่สาธารณะและสถานศึกษา ล่าสุด กระทรวง อว. ร่วมมือกับบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) โดยในการนำนวัตกรรมในการยกระดับการเรียนการสอนออนไลน์ โดยการใช้เครื่องมือเฉพาะทางแบบครบวงจรอย่าง แอปพลิเคชัน ไมโครซอฟท์ ทีมส์ กับบริการไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ 365 เอ 1 (Microsoft Office 365 A1) บนแพลตฟอร์มระดับโลกจากไมโครซอฟท์รองรับการใช้งานบนระบบคลาวด์แบบไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้ เพื่อให้มหาวิทยาลัยทั้ง 150 แห่ง และนิสิต นักศึกษาอีก 2 ล้านกว่าคน ได้ใช้โปรแกรมไมโครซอฟท์ ทีมส์ ในการเรียนการสอนออนไลน์ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้ซอฟต์แวร์ และนำมาใช้เป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะช่วยยกระดับให้การศึกษานอกสถานที่เป็นไปในรูปแบบที่มากกว่าการประชุมทางไกลผ่านวิดีโอทั่วไป (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. – จุฬาฯ พัฒนาหุ่นยนต์ “Germ Saber Robot” ฆ่าเชื้อก่อโรคโควิด-19 ด้วยแสงยูวี ภายใน 30 นาที
For English-version news, please visit : Germ Saber Robot: An ultraviolet (UV) sterilization robot ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) หน่วยงานภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สถาบันวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาและทดสอบ นวัตกรรมหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวี หรือ “Germ Saber Robot” ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อก่อโรคโควิด-19 ด้วยแสงยูวี (UV) สามารถเข้าถึงการฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่เฉพาะและจุดเสี่ยงโรคต่างๆ ได้ดี เนื่องจากระหว่างการฆ่าเชื้อโรค พื้นที่เหล่านั้นจะต้องปลอดคน เพราะการใช้แสงยูวีแม้จะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดี แต่ต้องระมัดระวังหากนำไปใช้ไม่ถูกวิธีอาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ได้ ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. เปิดเผยว่า หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ด้วยแสงยูวี หรือ “Germ Saber Robot” ที่พัฒนาขึ้นนี้ประกอบด้วยหลอดยูวี-ซี (UV-C ) ขนาดพลังงานรวม 300 วัตต์ พร้อมชุดควบคุมไฟ มีความพิเศษตรงที่สามารถบังคับให้ขับเคลื่อนไปยังจุดต่างๆ ผ่านอุปกรณ์ควบคุม “รีโมตคอนโทรล” เพื่อสั่งการให้หุ่นยนต์เดินหน้า ถอยหลัง เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาและหมุนตัวแบบ 360 องศา เพื่อประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคทุกสภาพพื้นที่  “รังสีอัลตราไวโอเล็ตหรือแสง UV เป็นสเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วง 10 นาโนเมตรถึง 400 นาโนเมตร ซึ่งมีความถี่ที่สูงกว่าที่ตาเรามองเห็นได้ โดยหุ่นยนต์ “Germ Saber Robot” ที่พัฒนาขึ้นนี้ ใช้แสง UV-C (ความยาวคลื่นอยู่ในย่านความถี่ประมาณ 250 นาโนเมตร) เป็นแสง UV ที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหรือเชื้อโรคต่างๆ ที่ความยาวคลื่นนี้แสง UV จะทำลายดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอย่างไวรัส, แบคทีเรีย, เชื้อราและเชื้อโรคชนิดต่างๆ หยุดยั้งประสิทธิภาพในการแพร่พันธุ์และฆ่าพาหะเหล่านี้ในที่สุด การนำหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคก่อโรคโควิด-19 ด้วยแสงยูวี หรือ UV “Germ Saber Robot” มาใช้ประโยชน์ในช่วงที่ประเทศไทยมีการระบาดของโรคโควิด-19 จะช่วยให้สถานที่ต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายจากน้ำยาฆ่าเชื้อ ช่วยลดการตกค้างหรือปนเปื้อนของสารเคมีในน้ำยาฆ่าเชื้อ ที่สำคัญหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคสามารถฆ่าละอองฝอยของเชื้อที่ลอยในอากาศได้ และยังสามารถใช้ฆ่าเชื้อบนพื้นผิวของอุปกรณ์เฉพาะ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์การแพทย์ ที่ไม่สามารถโดนน้ำหรือน้ำยาเคมีได้ เป็นต้น” (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. – จุฬาฯ พัฒนาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสง UV “Germ Saber Robot”
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) ร่วมกับ สถาบันวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาและทดสอบนวัตกรรมหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสง UV “Germ Saber Robot” คือ หุ่นยนต์ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสง UV เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่ไม่มีคนอยู่ แทน / เสริมการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ โดยสามารถควบคุมหุ่นยนต์ให้เคลื่อนที่ไปฆ่าเชื้อในจุดต่าง ๆ จุดละประมาณ 15 – 30 นาที และขยับไปโดยรอบ สำหรับเวอร์ชันนี้ ขับเคลื่อนด้วยการเข็นไปยังจุดต่าง ๆ โดยผู้ใช้- ประหยัดน้ำยาฆ่าเชื้อที่อาจมีการขาดแคลน- ลดการตกค้าง / ปนเปื้อนของสารเคมี / น้ำยาฆ่าเชื้อ- ใข้งานได้กับพื้นที่ / อุปกรณ์ที่ไม่สามารถโดนน้ำ หรือน้ำยาเคมีได้ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ / การแพทย์- สามารถฆ่าเชื้อละอองที่ลอยในอากาศได้ เพื่อช่วยบรรเทาภัยจากสถานการณ์ไวรัส Covid-19 ระบาดขณะนี้ และในภาวะที่มีการขาดแคลนแอลกอฮอล์และน้ำยาฆ่าเชื้อโรค โดยมีการวางแผนนำไปทดสอบใช้งานที่ รพ. จุฬาฯ และหน่วยงานต่าง ๆ สำหรับหน่วยงาน ผู้ที่สนใจให้ผลิต หรือนำไปทดลองใช้งานติดต่อได้ที่ ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผอ.ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ โทร. 02-564-7000
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดทำวารสารวิชาการ “Unisearch Journal” เผยแพร่แบบออนไลน์
ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดทำวารสารวิชาการ "Unisearch Journal" โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ผลงานวิจัย ผลงานทางวิชาการ ภายใต้โครงการวิจัย โครงการบริการวิชาการ และงานที่ปรึกษาที่ดำเนินการผ่านศูนย์บริการวิชาการฯ ของคณาจารย์และนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้กระจายไปสู่สังคมทุกภาคส่วนอย่างแพร่หลาย และเพื่อเป็นช่องทางให้สามารถนำผลการศึกษา ต่างๆไปใช้ประโยชน์ได้อย่างจริงจริง โดยมีกำหนดเผยแพร่เป็นราย 4 เดือนต่อปี เว็บไซต์ : http://www.journal.unisearch.chula.ac.th/th
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
แมงดาถ้วยมีพิษ! บริโภคผิดฤทธิ์ถึงตาย
Download ไฟล์ความละเอียดสูง “ไข่แมงดา” ที่ขึ้นชื่อว่าหอมมัน เคี้ยวอร่อย คือหนึ่งในเมนูอาหารทะเลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก สามารถนำมาทำเมนูได้หลากหลาย โดยจะกินแบบเผากับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือนำมาทำเป็นยำไข่แมงดาก็ถูกปากคอซีฟู้ด แต่รู้หรือไม่ว่าในความอร่อยนั้นยังแฝงไปด้วยพิษภัยอันตราย โดยในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการรับประทานแมงดาที่มีพิษอยู่ไม่น้อย ล่าสุดมีข่าวสาววัยกลางคนในจังหวัดสระแก้ว ซื้อไข่แมงดาจากตลาดเพื่อมาประกอบอาหารรับประทานในครอบครัว ภายหลังรับประทานไปได้ไม่นาน เกิดอาการปากชา มือเท้าชา หายใจลำบาก ต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา แพทย์ระบุเหตุจากพิษของไข่แมงดาที่รับประทานเข้าไปโดยไม่ทราบว่ามีพิษ (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉบับที่ 12 ประจำเดือนมีนาคม 2563
ข่าว ไบโอเทค สวทช. เปิดตัวข้าวเหนียวพันธุ์ใหม่ “หอมนาคา“ คุณสมบัติสะเทินน้ำสะเทินบก สวทช.-วิทย์สัญจร ภาคเหนือ ปี 63 สร้างโอกาสธุรกิจ ยกระดับเศรษฐกิจภูมิภาคสู่ยุค 4.0 ล้านนาก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไบโอเทค สวทช. ขยายผลงานวิจัยการใช้ไวรัส NPV กำจัดหนอนศัตรูพืช ชูเกษตรปลอดภัย ใน ริมปิงออร์แกนิคฟาร์ม จ.เชียงใหม่ หวังใช้เทคโนโลยีจีโนม พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ อว.-สวทช. ปฏิวัติสตรีทฟู้ด เปิดตัวนวัตกรรม “รถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ด” สะอาด ปลอดภัย ยกระดับพ่อค้า-แม่ค้าอาหารริมทาง สวทช. ร่วมภาครัฐ-เอกชน ยกระดับอุตสาหกรรมระบบรางไทย สวทช. อว. จับมือ จุฬาฯ และ กลาโหม ตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านแบตเตอรี่ล้ำสมัยฯ เสริมความเข้มแข็งการผลิตแบตเตอรี่จากวัตถุดิบในประเทศ ลดพึ่งพาจากต่างประเทศ สวทช. ผนึก วศ.อว. และ สิริ เวนเจอร์ส ทดสอบวิ่งจริง “ยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ” ครั้งแรกในไทย   บทความ วิเคราะห์เจาะลึก 'COVID-19' กับนักไวรัสวิทยาเมืองไทย   ปฏิทินกิจกรรม สวทช. เปิดรับสมัครนักศึกษารับทุน 2 ประเภท (TGIST และ YSTP) ประจำาปี 2563 โครงการสร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม (TechBiz Starter) ประจำาปี 2563 โครงการแข่งขัน Space Flying Robot Programming Challenge 2020 (SFRPC2020)    Download เอกสารฉบับเต็ม [3.14 MB] NSTDA Newsletter ปีที่ 5 ฉบับที่ 12 ประจำเดือนมีนาคม 2563 from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) - Thailand
จดหมายข่าว สวทช.
 
Face Shield From FabLab “หน้ากากบังใบหน้า” ด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
เรียบเรียง: อาทิตย์ ลมูลปลั่ง ใบหูเทียม หัวใจเทียมจากเนื้อเยื่อมนุษย์ คือผลงานความสำเร็จอันน่าทึ่งจากเทคโนโลยี “การพิมพ์ 3 มิติ หรือ 3D printing" นวัตกรรมคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ของโลก ที่หลายคนอาจไม่คาดคิดว่าจะสามารถสร้างขึ้นได้จริงในห้องปฏิบัติการ แต่ในขณะเดียวกันท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก การพิมพ์ 3 มิติ เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการนำมาใช้ผลิต 'หน้ากากชนิดบังใบหน้า หรือ Face Shield' เพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันนักรบเสื้อกาวน์ให้ปลอดภัยจากไวรัสมรณะ FabLab สร้าง Face Shield อุปกรณ์สำคัญที่ช่วยหยุดยั้ง ป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรค COVID-19 นอกจากหน้ากาก N95 และหน้ากากอนามัยแล้ว หน้ากากชนิดบังใบหน้า หรือ Face Shield เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างมากสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในการป้องกันการฟุ้งกระจายของสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย หรือ FabLab สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ทั้งส่วนกลางที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และเครือข่าย FabLab ภูมิภาค รวมถึงเครือข่ายนักประดิษฐ์หรือ Maker ได้ร่วมกันใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ในโครงการ FabLab เร่งผลิต Face Shield ที่มีความแข็งแรง ทนทานและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นอุปกรณ์ป้องกันตนเองสำหรับุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า เมื่อปี 2561 คณะรัฐมนตรี ได้สนับสนุนงบประมาณให้ สวทช. ดำเนินโครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรมเพื่อพัฒนาทักษะความเป็น   นวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย หรือ FabLab ทางโครงการฯ ได้ส่งเสริมให้มีการจัดพื้นที่การเรียนรู้ 'โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (FabLab)' ในสถานศึกษาทั้งโรงเรียนที่มีการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาและวิทยาลัยเทคนิค รวมจำนวน 150 แห่ง กระจายใน 68 จังหวัดในประเทศ เพื่อให้เยาวชนมีทักษะด้านวิศวกรรม มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถออกแบบและสร้างชิ้นงานจากเครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เช่น เครื่องพิมพ์ 3 มิติ เครื่องตัดเลเซอร์ได้อย่างเป็นรูปธรรม “ในยามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งเป็นโรคระบาดที่สร้างผลกระทบในวงกว้าง ทาง FabLab บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เครือข่าย FabLab ในสถานศึกษา และมหาวิทยาลัย พี่เลี้ยง 17 แห่ง ได้รวมพลังใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆ ที่มีในโครงการฯ มาสร้างสรรค์อุปกรณ์และสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Face shield จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ, กล่องป้องกันฟุ้งกระจาย (Aerosol), ต้นแบบเครื่องกดเจลล้างมืออัตโนมัติ, ส่วนประกอบเคาน์เตอร์คัดกรองผู้ป่วย เป็นต้น เพื่อส่งมอบให้บุคลากรทางการแพทย์ในสถานพยาบาลต่างๆ ใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อตรวจคัดกรองและรักษาผู้ป่วยเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อก่อโรค COVID-19 3D printing พิมพ์ Face Shield การพิมพ์ 3 มิติ เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในการสร้างโมเดลเสมือนจริงหรือการขึ้นรูปชิ้นงานซึ่งทำได้ด้วยวัสดุหลากหลายแบบ ทั้งพลาสติก ยาง โลหะ ไนลอน อัลลอย จุดเด่นของเทคโนโลยีนั้นอกจากสร้างสิ่งที่คิดให้เป็นจริงได้แล้ว การสร้างชิ้นงานยังมีความยืดหยุ่น และมีความจำเพาะเจาะจงต่อผู้ใช้ได้ ซึ่งนั่นทำให้การพัฒนา Face Shield มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์     ผู้ใช้งานอย่างมากด้วย ปริญญา ผ่องสุภา วิศวกรประจำโครงการ FabLab ฝ่ายบริหารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช. กล่าวว่า อุปกรณ์ Face shield ที่ผลิตขึ้นเพื่อสู้กับสถานการณ์โควิด-19 ในครั้งนี้ ทีมวิศวกรได้ต่อยอดแบบการขึ้นรูป Face shield จากเมกเกอร์ Prusa Protective Face Shield Model : RC2 ที่ส่งแบบมาพิมพ์ต้นแบบด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่ FabLab โดยมีการปรับแก้ไขแบบและพัฒนาต่อยอด เพื่อให้ได้รูปแบบที่ใช้งานได้สะดวกและรู้สึกสบายเมื่อสวมใส่เป็นระยะเวลานาน “ในการพัฒนาได้มีการเขียนแบบและพัฒนาต้นแบบโมเดล 3 มิติจากนั้นนำมาแบ่งโมเดลออกเป็นชั้นๆ เพื่อทำการแปลงให้เป็น G-Code หรือภาษาสำหรับการสั่งงานเครื่องจักรให้เคลื่อนที่ไปตามตำแหน่งที่ต้องการ ก่อนนำไปพิมพ์ขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ โดยที่ FabLab เป็นวิธิการฉีดเส้นพลาสติกที่เรียกว่า FDM หรือ Fused Deposition Modeling เป็นเทคนิคการพิมพ์ที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน มีราคาถูกกว่าการพิมพ์ด้วยเทคนิคอื่นๆ สามารถสร้างชิ้นงานที่นำไปใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ หรือชิ้นส่วนที่ใช้งานจริง เนื่องจากวัสดุมีความแข็งแรง  มีวัสดุการพิมพ์ให้เลือกใช้หลายแบบ และวัสดุพิมพ์มีราคาถูกเมื่อเทียบกับวัสดุของเครื่องประเภทอื่น เช่น เรซิน ผงไนล่อน หรือผงเหล็ก"   สำหรับ Face Shield ที่ออกแบบขึ้นนั้น ปริญญา อธิบายว่า ประกอบด้วย 3 ชิ้นส่วนหลัก ได้แก่ กระบังด้านหน้า (Visor) แผ่นพลาสติกใส (Clear plastic sheet) และสายรัดศีรษะ (Elastic head band) โดยที่แผ่นพลาสติกใสและสายรัดศีรษะ สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด แต่ชิ้นส่วนกระบังด้านหน้านั้น ไม่สามารถหาซื้อได้ อีกทั้งยังเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญมาก เพราะจะต้องสัมผัสกับผู้ใช้งานโดยตรง เป็นระยะเวลานาน  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีความแข็งแรง คงทนและยืดหยุ่น สามารถปรับให้เข้ากับศีรษะของผู้สวมใส่แต่ละคนได้ นอกจากนี้ยังได้คำนวณระยะห่างระหว่างแผ่นใสกับใบหน้าให้มีตำแหน่งที่เหมาะสม เนื่องจากต้องคำนึงถึงผู้ที่สวมแว่นตาหรือแพทย์พยาบาลที่ต้องสวมแว่นตาทางการแพทย์ซ้อนทับอีกชั้นหนึ่งด้วย รวมทั้งยังพัฒนา Face Shield ให้สามารถถอดเปลี่ยนแผ่นพลาสติกใส เมื่อต้องการที่ความสะอาดหรือเปลี่ยนชิ้นใหม่ได้ โดยขณะนี้ FabLab ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สามารถผลิต Face shield ได้วันละ 50 ชิ้น "Face Shield ที่ผลิตออกมาจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ทุกชิ้นจะมีการตรวจสอบคุณภาพ (Quality Control) ทั้งการลบคม การปรับแต่งอุปกรณ์ให้สวมใส่สบาย ปรับแต่งแผ่นใสให้มีความมน ไม่แหลมคม ซึ่งจะเป็นอันตรายในการสวมใส่" Face Shield เพื่อนักรบเสื้อกาวน์ ตลอดระยะเวลาการระบาดของโรคโควิด-19 โครงการฯ FabLab ได้ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ผลิต Face shield ให้บุคลากรทางการแพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อใช้ในการดูแลรักษาและคัดกรองผู้ป่วย COVID-19 อย่างต่อเนื่อง ดร.อ้อมใจ กล่าวว่า โครงการฯ FabLab ได้ส่ง Face shield ให้บุคลากรทางการแพทย์แล้วจำนวน 9 โรงพยาบาล จำนวนรวม 599 ชุด เช่น รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ รพ.ปทุมธานี รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน รพ.ราชวิถี รพ.พระมงกุฎเกล้า รพ.เสรีรักษ์ รพ.สามโคก (ปทุมธานี) แผนกการแพทย์ กองบริการ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน และโครงการฯ ยังเตรียมการผลิตต่อเนื่องเพิ่มอีก 680 ชุด เพื่อส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลในจังหวัดปทุมธานีตามที่ทีมแพทย์และพยาบาลแจ้งความประสงค์เข้ามา นอกจากนี้ยังได้มีการอัพโหลดไฟล์ Face Shield ต้นแบบโมเดล 3 มิติ ไว้ในระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ thingiverse (www.thingiverse.com/thing:4260273)  เพื่อนำมาเป็นแบบสำหรับแจกจ่ายให้กับเครือข่าย FabLab และหน่วยงานที่สนใจร่วมกันนำไปผลิตหรือพัฒนาต่อยอดวิธีการผลิตขึ้นรูป เพื่อช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ โดยตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม ถึงปัจจุบันมียอดผู้ดาวน์โหลดมากกว่า 300 ครั้ง “นอกจากนี้เครือข่าย FabLab ในสถานศึกษาในภูมิภาคต่างๆ ยังได้ดำเนินการผลิตและจัดทำอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ อาทิ FabLab วิทยาลัยเทคนิคปัตตานีผลิตและจัดทำกล่องป้องกันฟุ้งกระจาย จำนวน 70 กล่อง,  Face shield จำนวน 200 ชิ้น ส่งมอบให้โรงพยาบาลในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ หน่วยกู้ชีพกู้ภัยในพื้นที่จังหวัดปัตตานี และมอบให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคปัตตานี เพื่อใช้ในการปฏิบัติภารกิจ รวมทั้งจัดทำต้นแบบเครื่องกดเจลล้างมืออัตโนมัติ ส่งมอบให้ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการจำนวน 5 เครื่อง เป็นต้น” ล่าสุด บริษัท XYZprinting Thailand ได้สนับสนุนโครงการ FabLab มอบเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เพิ่มเติมให้กับบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรจำนวน 5 เครื่อง และมอบให้กับโรงเรียน วิทยาลัยเทคนิค และมหาวิทยาลัยในเครือข่ายอีก 15 เครื่อง เพื่อใช้ผลิตอุปกรณ์ช่วยบุคลากรทางการแพทย์ป้องกันการสัมผัสกับเชื้อไวรัส COVID-19 ปนัดดา มักสัมพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา เครือข่ายโครงการ FabLab กล่าวว่า FabLab เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน ฝึกให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์มีความเป็น 'นักนวัตกร' ซึ่งโรงเรียนมีการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จะมารวมกลุ่มกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในโครงการฯ 'ชุมนุมนักนวัตกรรม' เพื่อให้นักเรียนครูและวิศวกรผู้ช่วยได้นำไอเดียมาร่วมกันสร้างสรรค์ต้นแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ผ่านเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เป็นชิ้นงานนวัตกรรมเพื่อใช้ในเชิงสาธารณประโยชน์ “โดยในสถานการณ์การระบาด COVID-19 ครั้งนี้ แม้ทุกคนต้องรักษาระยะห่างทางสังคม แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคปิดกั้นความคิดของเหล่านวัตกรที่ได้อาสามาระดมสมองผ่านการประชุมออนไลน์   เพื่อคัดเลือกไอเดียที่ดีที่สุดมาออกแบบเป็นโมเดล และส่งต่อให้วิศวกรผู้ช่วยดำเนินการพิมพ์จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติออกมาเป็นชิ้นงาน นักเรียนบางคนที่อยู่ใกล้โรงเรียนก็มากับผู้ปกครองเพื่อรับอุปกรณ์ไปทำที่บ้าน ขณะที่ครูและลูกจ้างช่วยกันประกอบชิ้นงานและนำไปส่งมอบตามโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งนักเรียนทุกและบุคลากรทุกคนต่างก็ภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคมทุกภาคส่วนให้ผ่านพ้นวิกฤติไปด้วยกัน" เช่นเดียวกับ ปริญญา ที่ได้กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้มีโอกาสร่วมพัฒนา Face shield ครั้งนี้ว่า การที่พวกเราได้มีโอกาสนำความรู้ความสามารถใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่มาประดิษฐ์ Face shield และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อช่วยบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ก็รู้สึกว่ามีความสุขมากๆ ยิ่งเมื่อได้ยินคุณหมอและพยาบาลแจ้งว่า Face shield ใช้งานได้ดี สวมใส่สบาย ไม่เกิดการระคายเคืองกับผิวเมื่อต้องสวมใส่เป็นเวลานาน ลดการเกิดฝ้าบริเวณแผ่นพลาสติกได้ดี ทำให้ยิ่งรู้สึกดีใจมากที่พวกเราซึ่งแม้จะเป็นส่วนเล็กๆ แต่ก็ยังพอมีส่วนช่วยอำนวยความสะดวก ลดความเสี่ยงติดเชื้อให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ ในยามที่ประเทศไทยเกิดวิกฤตการณ์โรคระบาด นับเป็นโอกาสที่เหล่า 'นวัตกร' จะได้ใช้ความรู้และเทคโนโลยีที่มีในการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมเพื่อร่วมฝ่าฟัน พิชิตไวรัส COVID-19
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘รถเข็นรักษ์โลก’ อัพเกรด ‘สตรีทฟู้ด’
เรียบเรียง: อาทิตย์ ลมูลปลั่ง 'ร้านอาหารข้างทาง' หรือ 'สตรีทฟู้ด' ขึ้นชื่อว่าเป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่สร้างชื่อให้กับประเทศไทยอย่างมาก ยิ่งเฉพาะในกรุงเทพฯ ถือเป็นแดนสวรรค์ของนักชิมที่จะได้สัมผักับ อาหารที่หลากหลายแถมเลือกทานได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ โดยสำนักข่าว CNN เคยยกให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีอาหารริมทางดีที่สุดในโลก 2 ปีซ้อน ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาลองลิ้มชิมรสอาหารไทย ที่นอกจากมีวัตถุดิบให้เลือกมากมายแล้วยังมีความคุ้มค่าด้านราคาที่ไม่แพง  สตรีทฟู้ดไม่เพียงช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้อย่างดี แต่ยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศอย่างมาก ข้อมูลจากยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Euromonitor International) บริษัท วิจัยระดับโลก เปิดเผยเมื่อปลายปีที่แล้ว ระบุว่ามูลค่าตลาดธุรกิจอาหารไทยโดยรวม ในปี 2560 อยู่ที่ 410,000 ล้านบาทต่อปี ในจำนวนนี้มากกว่า 60-70 % เป็นร้านอาหารประเภทสตรีทฟู้ด ซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 276,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเป็น 340,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ย 5.3% ต่อปี  ดังนั้นเพื่อยกระดับสตรีทฟู้ดไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) ได้พัฒนา 'นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ด' ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยยกระดับมาตรฐานทั้งความอร่อย ความสะอาด ถูกสุขอนามัย รวมทั้งยังมีระบบที่ช่วยลดการสร้างมลพิษและขยะของเสีย เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  ดร.อัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) สวทช. กล่าวว่า นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ด มีจุดเริ่มต้นมาจาก ทีมกะเพราซาวห้า โดยคุณพงษ์มนัส มังคละศรี ที่ได้พัฒนาระบบรถเข็นขายกะเพราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คู่ขนานกับการพัฒนาน้ำมันกะเพราที่จะช่วยทำให้กลิ่นและรสชาติของกะเพราะสม่ำเสมอ เพื่อเข้าร่วมโครงการ GSB Street Food เวทีประกวดคิดค้นนวัตกรรมเพื่อยกระดับสตรีทฟู้ดไทยให้ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ภายใต้ความร่วมมือระหว่างธนาคารออมสิน และ สวทช.  "ทีมกะเพราซาวห้าได้พัฒนาสร้างรถเข็นสตรีทฟู้ดขึ้นด้วยประสบการณ์ของตัวเอง แต่ผลที่ได้ยังไม่เป็นที่พอใจเท่าที่ควร เนื่องจากรถมีน้ำหนักมากเกินไปและระบบดูดควันไม่เหมาะสมกับการใช้งาน ทาง DECC สวทช. ในฐานะที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมในโครงการ GSB Street Food ได้เข้ามาช่วยให้คำแนะนำพัฒนารถเข็นกะเพราซาวห้าให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์มากขึ้น จนกระทั่งทีมกะเพราซาวห้าสามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้สำเร็จ ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการแข่งขันไปแล้ว ทีมผู้เชี่ยวชาญ DECC ยังได้ปรับปรุงพัฒนาระบบรถเข็นเพิ่มเติม เพื่อให้ได้เวอร์ชั่นที่สมบูรณ์แบบเหมาะสมต่อการใช้งานจริงมากที่สุด" โดยโจทย์อันท้าทายของการพัฒนาต่อยอดรถเข็นสตรีทฟู้ด ดร.อัมพร บอกว่า มี 3 องค์ประกอบหลักสำคัญคือต้องทำให้รถเข็นมีน้ำหนักเบาที่สุด เพิ่มประสิทธิภาพการดูดควันให้สามารถใช้งานในพื้นที่ปิดได้ รวมทั้งปรับปรุงระบบบำบัดน้ำให้ทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ปัจจุบัน สวทช. สามารถพัฒนานวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกที่พร้อมใช้งานสมบูรณ์แบบ จำนวน   ทั้งสิ้น 3 โมเดล ได้แก่ 1. รถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี, ถังบำบัดและซิงค์น้ำ 2. รถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี, ถังบำบัดและซิงค์น้ำ + ระบบดูดควัน และ 3. รถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี, ถังบำบัดและซิงค์น้ำ + ระบบดูดควัน + หัวเตาแก๊ส 2 หัว โดยตั้งเป้าส่งมอบนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกไม่น้อยกว่า 100 คัน แก่ผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดให้ได้ใช้งานจริงเพื่อประกอบ กิจการหลังสถานการณ์โควิด โดยแต่ละโมเดลได้สนับสนุนงบประมาณบางส่วนเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ประกอบการและกระตุ้นให้เกิดการใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรมด้วย   ทั้งนี้ "เฮียวัตร ปังตอทอง" แฟรนไชส์ ข้าวเหนียวหมู-เนื้อ อาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน คือหนึ่งในผู้ประกอบการที่นำนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ดไปใช้งานจริง โดยมุ่งหวังให้ความสำคัญกับสุขอนามัยหน้าร้านค้า ซึ่งนอกจากจะสร้างความมั่นใจเรื่องความสะอาดให้กับลูกค้าแล้ว ยังช่วยยกระดับ "สตรีทฟู้ด" ไปอีกขั้น   วิวัฒน์ กุลวิจิตร์รัตน์ เจ้าของธุรกิจข้าวเหนียวหมู-เนื้อ แบรนด์ เฮียวัตร ปังตอทอง กล่าวว่า ความสะอาด ณ จุดขายสินค้า หรือหน้าร้านค้านั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดมักมองข้ามเรื่องนี้ไป อาจเพราะว่าความไม่สะดวกสบายของหน้าร้าน อีกทั้งอุปกรณ์ต่างๆ บนรถเข็นแบบเดิม ๆ ไม่มีฟังก์ชันที่เหมาะสมกับการล้างทำความสะอาดและการบำบัดน้ำก่อนปล่อยสู่ท่อระบายน้ำ ทำให้เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสตรีทฟู้ดไทยอย่างมาก ดังนั้นตนจึงนำ "รถเข็นรักษ์โลก" จาก สวทช. มาเป็นตัวช่วยเพื่อทำให้เกิดสุขอนามัยที่ถูกต้อง ณ จุดขายสินค้า และเป็นการเปลี่ยนมุมมองใหม่ของผู้บริโภคให้มองสตรีทฟู้ดไทยว่าม’มาตรฐานขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า โดยหวังให้ความตั้งใจในการนำนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกนี้มาใช้กับธุรกิจเป็นตัวอย่างที่จะช่วยยกระดับอาชีพสตรีทฟู้ดให้เป็นที่ยอมรับกับลูกค้าทุกกลุ่ม "เรื่องความสะอาด สตรีทฟู้ดที่อยู่ตามข้างทางทุกวันนี้ เราจะโดนต่อว่าอยู่เรื่อยๆ ในเรื่องภาชนะทุกอย่างไม่ค่อยสะอาดแต่ด้วยความที่เราเป็นคนไทย เราจะชินกับสิ่งนี้ แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยว หรือชาวต่างชาติ เขาไม่ได้ชินเหมือนเรา ฉะนั้นการมีรถเข็นรักษ์โลกที่มีบ่อดักไขมัน มีอ่างล้างมือ มีความจำเป็นมากสำหรับสตรีทฟู้ด"  วิวัฒน์ บอกด้วยว่า การมีนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกมาใช้กับแบรนด์สินค้าของตนเองนั้น ช่วยเสริมภาพลักษณ์ในการขายสินค้าให้ดีขึ้น เพราะแม้จะเป็นสตรีทฟู้ดขายข้าวเหนียวหมู-เนื้อ ธรรมดา ก็อยากให้เป็นร้านที่ได้มาตรฐาน มีฟังก์ชันที่เป็นมาตรต่อลูกค้าและสิ่งแวดล้อม ทั้งอ่างล้างมือ บ่อบำบัดน้ำทิ้ง พร้อมในคันเดียว สามารถเคลื่อนย้ายไปขายยังทำเลต่างๆ ได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนด้านมลพิษและสิ่งแวลดล้อมให้กับสถานที่หรือชุมชนนั้นๆ อีกทั้งยังช่วยขยายทำเลการขายได้หลากหลายและขยายการเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น ที่สำคัญที่ให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัยในราคาที่ไม่แพง   สำหรับผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดที่สนใจ "รถเข็นนวัตกรรมรักษ์โลก" สามารถสั่งจองออนไลน์ ได้ที่ http://www.decc.or.th/streetfood/ ภายใน 31 ก.ค. 63 นี้ สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2564 6310-11 ต่อ 101, 106 หรือ ช่องทาง Line: @679hqbmi  
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
อว. จับมือพันธมิตรคิกออฟแผนนวัตกรรมกู้วิกฤตสถานการณ์โควิด-19 เตรียมเปิดนวัตกรรมระบบติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยง 16 มี.ค. นี้
For English-version news, please visit : MHESI announces COVID-19 action plans 13 มีนาคม 2563 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ประชุมร่วมกับคณบดีคณะแพทยศาสตร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ทุกแห่งทั่วประเทศ คณะแพทยศาสตร์ และโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ เพื่อเตรียมความพร้อมของ อว. รองรับสถานการณ์การระบาด COVID-19 ในสถานการณ์ในแต่ละระดับ หลังจากที่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ประกาศยกระดับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด -19 ให้เป็นโรคระบาดที่แพร่กระจายไปทั่วโลก (Pandemic) ทำให้แต่ละประเทศต้องเร่งหาแนวทางและมาตรการสำหรับรับมือให้เข้มข้นมากขึ้น โดยประเทศไทยเองก็มีความพยายามในการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดอัตราการแพร่กระจายของโรค ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า “ในภาวะการระบาดที่อาจจะยืดเยื้อยาวนาน ทำให้เราต้องวางแผนรับมือในระยะยาว เพื่อลดความตื่นตระหนกของคนในสังคม และสร้างความเชื่อมั่น ด้วยการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งในแง่การติดตามและตรวจสอบกลุ่มเสี่ยง การบริหารจัดการวัสดุอุปกรณ์รวมไปถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดยอาศัยความร่วมมือจากพันธมิตรทุกภาคส่วน เช่น หน่วยงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมควบคุมโรค โรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์ในสังกัด อว. กลุ่มสมาคมภาคเอกชน ประกอบไปด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และสุขภาพ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย สมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ ฯลฯ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและแนวทางการกู้วิกฤตสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในครั้ง ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 ประเด็น ดังนี้ (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.12 – ไบโอเทค สวทช. ขยายผลงานวิจัย การใช้ไวรัส NPV กำจัดหนอนศัตรูพืช
  ไบโอเทค สวทช. ขยายผลงานวิจัย การใช้ไวรัส NPV กำจัดหนอนศัตรูพืช ชูเกษตรปลอดภัย ใน ริมปิงออร์แกนิคฟาร์ม จ.เชียงใหม่หวังใช้เทคโนโลยีจีโนม พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ริมปิงออร์แกนนิคฟาร์ม จ.เชียงใหม่ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุ์วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) มีการขยายผลการนำผลงานวิจัย ไวรัสเอ็น พีวี (NPV) เพื่อใช้ในการควบคุมแมลงศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในพื้นที่ ริมปิงออร์แกนิคฟาร์ม อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการของฟาร์มออร์แกนิค สร้างความปลอดภัยให้เกษตรกรและผู้บริโภค รวมถึงตั้งเป้านำเทคโนโลยีด้านจีโนมมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการภาคเกษตรกรรมในอนาคต จากสถานการณ์ปัจจุบันที่คนยุคใหม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องการรักสุขภาพ หันมาสนใจบริโภคพืชผักผลไม้มากขึ้น ดังนั้น การที่ให้พืชผักผลไม้ปลอดสารพิษจึงเป็นแนวทางสำคัญเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ประกอบกับการที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะห้ามนำเข้าสารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด (พาราควอต ไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส) โดยเฉพาะสารคลอร์ไพริฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่เกษตรกรนิยมนำมาใช้กำจัดแมลงศัตรูพืช ดังนั้น การส่งเสริมให้เกษตรกรมาใช้สารชีวภัณฑ์ (คือ ผลิตภัณฑ์ป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ผลิตหรือพัฒนามาจากสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์) ในการกำจัดแมลงศัตรูพืช จึงเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับเกษตรกรเพื่อใช้ทดแทนสารเคมี และเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับเกษตรกรที่มุ่งมั่นจะทำการเกษตรแบบอินทร’ย์ เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/13035-20200212-npv
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย