ผลการค้นหา :
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เชิญชวน Startup SME ร่วมกิจกรรม “สูงวัย ใส่ใจ โภชนาการ : Smart Choice for the Elderly Food” 22 ธ.ค. 63 นี้
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมกับ SMS Corporation Co.,Ltd. ขอเชิญผู้ประกอบการ Startup SME และผู้สนใจ เข้าร่วมกิจกรรม "สูงวัย ใส่ใจ โภชนาการ : Smart Choice for the Elderly Food" รับฟังการ Sharing จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ พร้อม Workshop ในหัวข้อ “ความท้าทายของอาหารสำหรับตลาดผู้สูงวัย (Food Challenge for the Elderly Market) “ โดย คุณลัดดาวัลย์ แสนดี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด SMS Corporation Co.,Ltd. และหัวข้อ “นวัตกรรมอาหารผู้สูงวัย (The Innovation for Elderly Food & Drink) “โดย รศ.ดร.ทพญ.ดุลยพร ตราชูธรรม สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และ ดร.บูรฉัตร ศรีทองแท้ ผู้ช่วยผู้จัดการเทคนิคการอาหาร SMS Corporation Co.,Ltd. และกิจกรรม Workshop : อาหารผู้สูงวัย ถูกใจ ทำได้เอง พลาดไม่ได้!! 22 ธันวาคม 2563 เวลา 13.00 - 15.30 น. ณ โถง ทาวเวอร์ C อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 (INC2) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนที่ https://forms.gle/6QLrUwGaRSaguyU6A (รับจำนวนจำกัด) สอบถามเพิ่มเติม ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและคลัสเตอร์นวัตกรรม อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช.อีเมล : bcd@nstda.or.th Line ID : maiys19
ข่าวประชาสัมพันธ์
ปฏิทินกิจกรรม
เฮลทิเนส จับมือ สวทช. และองค์กรวิจัยชั้นนำ ปั้น “Besuto 12” เจลไร้แอลกอฮอล์ ฆ่าเชื้อโควิด-19 มากกว่า 99% นวัตกรรมรับวิถีนิวนอร์มอล สู้ภัยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
For English-version news, please visit : NSTDA helps Thai company launch an effective product to fight COVID-19 pandemic
เฮลทิเนส จับมือองค์กรวิจัยชั้นนำ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ เอวีเอส อินโนเวชั่น จำกัด บริษัทในกลุ่มอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) ปั้นนวัตกรรม “Besuto12” (เบซูโตะ ทเวลฟ์) เจลรูปแบบใหม่ไร้แอลกอฮอล์ ที่ผ่านการทดสอบการฆ่าเชื้อก่อโรคโควิด-19 และเชื้อ RSV ที่กำลังระบาดในกลุ่มเด็กเล็ก ได้มากกว่า 99% หวังเป็นทางเลือกใหม่ ‘ที่ดีที่สุด’ เคียงข้างคนยุคนิวนอร์มอล ให้พร้อมรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในอนาคต
14 ธันวาคม 2563 ที่ห้องแถลงข่าว อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) : บริษัท เฮลทิเนส จำกัด จัดแถลงข่าวเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ “Besuto12” (เบซูโตะ ทเวลฟ์) นวัตกรรมเจลรูปแบบใหม่ไร้แอลกอฮอล์ โดยร่วมมือกับ บริษัท เอวีเอส อินโนเวชั่น จำกัด บริษัทในกลุ่มอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในโครงการสนับสนุนการทดสอบผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในสถานการณ์ COVID-19 (Fast Track: Medicine and Medical Device Fight COVID-19) เพื่อวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ โดยผ่านการทดสอบการฆ่าเชื้อก่อโรคโควิด-19 เรียบร้อยแล้ว จากคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
โดยมี ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวิภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. เภสัชกร ร.อ. ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลทิเนส จำกัด, ดร.สรวง สมานหมู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท เอวีเอส อินโนเวชั่น จำกัด, ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช., รศ.ดร.พรสวรรค์ เหลืองวุฒิวงษ์ หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา และอิมมิวโนโลยี หัวหน้าห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านโรคเขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล และ นพ.ดร.นวมินทร์ ปิ่นปฐมรัฐ หัวหน้าสาขาวิชาชีวเวชศาสตร์และวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมแถลงข่าว
ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรม ITAP สวทช. กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ผ่านมา สวทช. โดย โปรแกรม ITAP ได้เปิด “โครงการสนับสนุนการทดสอบผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในสถานการณ์ COVID-19 (Fast Track: Medicine and Medical Device Fight COVID-19)” เพื่อเป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพได้มีโอกาสในการเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาให้สมบูรณ์โดยเร็ว โดยครอบคลุมการสนับสนุนในส่วนการทดสอบ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญเพื่อให้เกิดความมั่นใจในผลงานวิจัยว่าสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาให้กับประเทศได้ทันสถานการณ์และมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นฐานรากของงานวิจัยด้านการแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ในระยะยาวต่อไป โดย ITAP สวทช. ได้สนับสนุนงบประมาณในโครงการดังกล่าว ซึ่งนวัตกรรมเจลรูปแบบใหม่ไร้แอลกอฮอล์ “Besuto 12” (เบซูโตะ ทเวลฟ์) เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่สามารถต่อยอดออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ โดยความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจและส่งเสริมการใช้นวัตกรรมจากงานวิจัยไทย เพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงในด้านสุขภาพ
เภสัชกร ร.อ. ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลทิเนส จำกัด เผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อก่อโรคโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นทั่วโลก ทางบริษัท จึงต้องการพัฒนานวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ที่ทำได้ทั้งการปกป้อง และฆ่าเชื้อไปพร้อมๆกัน เราจึงได้ร่วมมือกับ เอวีเอสอินโนเวชั่น บริษัทในกลุ่มอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) และ สวทช. ร่วมกันคิดค้นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ขึ้นมา ภายใต้ชื่อ “Besuto 12” (เบซูโตะ ทเวลฟ์) เจลรูปแบบใหม่ไร้แอลกอฮอล์
“Besuto 12” เป็นนวัตกรรมเจลฆ่าเชื้อ ‘รายแรกที่ผ่านการทดสอบกับเชื้อโควิด-19 จริง’ ทั้งยังสามารถช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา รวมถึงสามารถฆ่าเชื้อ RSV ที่กำลังระบาดในกลุ่มเด็กเล็ก ได้มากกว่า 99% ทั้งยังใช้นวัตกรรม “Thin Film Technology ” ทำให้สามารถปกป้องได้ยาวนานถึง 12 ชั่วโมง โดยไม่ต้องทาซ้ำ พร้อมคุณสมบัติจากสารสกัดธรรมชาติ Grape Seed Cucumber Extract และ Green Tea Extract ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยไม่ให้ผิวแห้งแตก ไม่ระคายเคือง เพราะไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ รับรองความสำเร็จด้วย รางวัลเหรียญเงินและรางวัล Canadian Special Awards จากงานประกวดนวัตกรรม International Invention Innovation Competition (iCan2020) ประเทศแคนาดา
ทั้งนี้ การพัฒนา “Besuto 12” ยังได้รับการสนับสนุนจากทีมนักวิจัยและสถาบันทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศ ในการทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบกับเชื้อก่อโรค Covid-19 จากภาควิชาจุลชีววิทยาและอิมมิวโนโลยี คณะเวชศาสตร์เขตร้อนมหาวิทยาลัยมหิดล, การทดสอบกับเชื้อ RSV จาก ภาควิชาชีวเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, การทดสอบ ไวรัส H1N1 จาก สมาคมเวชศาสตร์ชันสูตรทางสัตวแพทย์ไทย คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, การทดสอบ เชื้อ H3N2 และแบคทีเรีย Pseudomonas aeruginosa & Staphylococcus aureus - MRSA & Fungus จาก คณะแพทยศาสตร์ ภาควิชาจุลชีววิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งสามารถยังยั้งเชื้อต่างๆได้ ทำให้มั่นใจได้ในประสิทธิภาพของ “Besuto12”
ทางด้าน รศ.ดร.พรสวรรค์ เหลืองวุฒิวงษ์ หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา และอิมมิวโนโลยี หัวหน้าห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านโรคเขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เราได้ทดสอบ Besuto12 กับเชื้อก่อโรค COVID-19 โดยเปรียบเทียบกับเจลแอลกอฮอล์ล้างมือทั่วไปพบว่า Besuto12 นั้น เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสามารถยับยั้งเชื้อก่อโรค COVID-19 ได้มากกว่า 99%
นพ.ดร.นวมินทร์ ปิ่นปฐมรัฐ หัวหน้าสาขาวิชาชีวเวชศาสตร์และวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า การทดสอบพบว่า Besuto12 มีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อ RSV ที่กำลังระบาดในกลุ่มเด็กเล็ก ได้มากกว่า 99%
เภสัชกร ร.อ. ธัชพล ชลวัฒนสกุล กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า บริษัท เฮลทิเนส เป็นบริษัทที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะ “เบซูโตะ” ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง “Best” หรือดีที่สุดครับ เราตั้งใจสร้างนวัตกรรมที่ทำให้ “Besuto12” เป็นผลิตภัณฑ์เจลล้างมือที่ดีและมีประสิทธิภาพที่สุดที่คิดค้นและผลิตโดยคนไทย พร้อมส่งมอบความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
สำหรับ “Besuto 12” (เบซูโตะ ทเวลฟ์) นวัตกรรมเจลรูปแบบใหม่ไร้แอลกอฮอล์ วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่ร้านยาฟาร์แมกซ์, ไอแคร์, ไวตามินคลับ, ซุปเปอร์ ดรัก, องค์การเภสัชกรรม หรือช่องทางออนไลน์ที่
Line : @besuto12 , www.besuto12.com
Facebook: https://www.facebook.com/besutoodor
Lazada: https://www.lazada.co.th/shop/besuto12/
ข่าวประชาสัมพันธ์
นาโนเทค สวทช. จับมือ 8 พันธมิตร หนุน “มาตรฐาน-ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี” ในภาคอุตสาหกรรม
นาโนเทค สวทช. และ 8 หน่วยงานพันธมิตร ร่วมลงนามในโครงการพัฒนาเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม เรื่อง ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี ขับเคลื่อนการสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัย และมาตรฐานด้านนาโนเทคโนโลยีภายในประเทศใน 2 ปี (2564-2565) นำร่องกลุ่มเครือข่ายภาคอุตสาหกรรมที่ใช้นาโนเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต หวังผลักดันให้เกิดการนำมาตรฐานด้านนาโนเทคโนโลยีไปใช้สร้างความเชื่อมั่นให้ผลิตภัณฑ์ไทยในตลาดโลก
การลงนามความร่วมมือทางวิชาการใน “โครงการพัฒนาเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม เรื่อง ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี” เป็นการต่อยอดจากความร่วมมือระหว่างศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในการจัดทำมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อประกาศใช้เป็นมาตรฐานของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ต่อการพัฒนานาโนเทคโนโลยีในประเทศไทย รวมถึงการจัดตั้งคณะทำงานเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัย และมาตรฐานด้านนาโนเทคโนโลยีภายในประเทศ
ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า นาโนเทคโนโลยี เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ เช่นเดียวกับจริยธรรมและความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีก็เป็นสิ่งสำคัญคู่ขนานไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี ประเทศไทยได้จัดทำแผนยุทธ์ศาสตร์จริยธรรมและความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติขึ้น เพื่อบริหารจัดการด้านความรู้ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการส่งเสริมความตระหนักให้กับประชาสังคม“แผนยุทธ์ศาสตร์จริยธรรมและความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ” เกิดขึ้นและนำไปสู่การจัดทำมาตรฐานอุตสาหกรรม “นาโนเทคโนโลยี” มอก. 2691 เพื่อการพัฒนานาโนเทคโนโลยีอย่างยั่งยืนในประเทศไทย นอกเหนือจากความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของเทคโนโลยีแล้ว การเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้ผลิตและผู้บริโภคในเรื่องที่เกี่ยวกับมาตรฐาน และความปลอดภัยก็มีความสำคัญอย่างมาก รวมไปถึงการส่งเสริมให้ประชาชนและสังคมได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี และมีส่วนร่วมในการติดตาม และเฝ้าระวังภายในชุมชนและสังคม
“สิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ คือเราจำเป็นต้องร่วมมือกันระหว่างองค์กร ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการผลักดัน สร้างความรู้ และความตระหนักสู่ภาคประชาสังคมในวงกว้าง จากการดำเนินงานที่ผ่านมาแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม, ฉลากผลิตภัณฑ์นาโน, คู่มือความรู้ทางวิชาการ และการจัดอบรมสัมมนา” ดร.วรรณีกล่าว
พลตรี รศ.ดร.ชัยณรงค์ เชิดชู ประธานคณะทำงานโครงการพัฒนาเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม เรื่อง ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ โครงการพัฒนาเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม เรื่อง ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี ในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากองค์กรทั้งภาครัฐ และสมาคมต่าง ๆ จำนวน 9 แห่งที่จะมาร่วมขับเคลื่อน สนับสนุน และส่งเสริม ความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงการนำ มาตรฐาน และความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีสู่การประยุกต์ใช้ในในระดับมหภาค
9 องค์กรเครือข่ายพันธมิตร ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลักคือ กลุ่มที่สนับสนุนข้อมูลเชิงวิชาการและเทคนิค (Technical support) ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ, สภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ กลุ่มที่ทำหน้าที่กำกับดูแล (Regulator) ได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม, สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และกลุ่มผู้ใช้ที่จะได้รับผลประโยชน์ (User) ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายขนาดใหญ่อย่างครบวงจร
พลตรี รศ.ดร.ชัยณรงค์ เผยว่า หลังจากการลงนามความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ พันธมิตรทั้ง 9 จะร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) โดยในช่วง 2 ปีจากนี้ จะมุ่งเน้นการสร้างความตระหนัก และความเข้าใจ เกี่ยวกับมาตรฐานฯ ทั้ง 7 เล่ม ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่มีการใช้นาโนเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต เพื่อให้เกิดการนำมาตรฐานดังกล่าวไปปรับใช้กับองค์กรของตนในอนาคต ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การจัดสัมมนาวิชาการ นิทรรศการ และการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีความตระหนักถึงมาตรฐาน ความปลอดภัย และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้นาโนเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต
ดร.วรรณีคาดว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นร่วมกัน อย่างน้อย 1,000 คนต่อปี และจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนาโนเทคโนโลยี ปีละ 2 ฉบับ รวมถึงมีภาคอุตสาหกรรมที่สนใจเรื่อง ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี เข้าร่วมอย่างน้อย 100 บริษัท “การสร้างความรู้ ความเข้าใจในมาตรฐานด้านนาโนเทคโนโลยีและความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีนั้น จะช่วยให้หน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆ สามารถดำเนินการได้อย่างมีมาตรฐานและสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยให้กับพนักงานหรือผู้ปฏิบัติงาน ในขณะเดียวกัน ก็สามารถสร้างความเชื่อมั่นในองค์กรและผลิตภัณฑ์นั้นๆ ให้กับผู้บริโภคอีกด้วย เป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานาโนเทคโนโลยีพัฒนาอย่างยั่งยืนในประเทศไทย” พลตรี รศ.ดร.ชัยณรงค์กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. เปิดรับสมัคร Food SME เข้าร่วมโครงการ PADTHAI Batch #7
เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย FI Accelerator ร่วมกับอุทยานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเกษตรและอาหาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เปิดรับสมัครผู้ประกอบการ SME ด้านนวัตกรรมอาหาร (Food SME) ที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างโอกาสในการขยายตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศภายใต้แนวคิด From Local to Global เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการใน “โครงการอบรมเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการอาหาร SME ด้านนวัตกรรมอาหารของไทยฯ ครั้งที่ 7 (PADTHAI #7)” หลักสูตรเข้มข้น 5 วัน 5 คืน จากผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอาหารโดยตรง ระหว่างวันที่ 30 พ.ย. 63 ถึง 4 ธ.ค. 63 ณ โรงแรม Kantary hill จ.เชียงใหม่ เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 25 ต.ค. 63 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ https://forms.gle/uR73MqTrWdoFSBMz6 หรือสอบถามโทร. 091 713 5433 (กรองจิตร สมใส) และเพจ Padthai by Food Innopolis ได้ที่ https://www.facebook.com/padthaibyfoodinnopolis/
ข่าวประชาสัมพันธ์
ซอฟต์แวร์พาร์ค หนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ EEC เสริมความรู้ด้าน Digital Transformation สร้าง Thailand 4.0
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค) ร่วมกับ True Corporation Public Company Limited บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที เรส จำกัด และศูนย์วิจัยเฉพาะทางเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (DAIRC) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ ในหัวข้อ “Digital Tranformation for Industry : กุญแจสู่ความสำเร็จในการก้าวไปพร้อมกับเทคโนโลยี” เพื่อสนับสนุนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดชลบุรีและพื้นที่ใกล้เคียง สู่การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้กับธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น Thailand 4.0 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ณ จังหวัดชลบุรี โดยมี ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. เป็นประธาน และ คุณสมบูรณ์ ตรีพรเจริญ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี รวมถึงผู้ประกอบการจากหลากหลายอุตสาหกรรม ในจังหวัดชลบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงกว่า 160 ราย เข้าร่วมงานในครั้งนี้
(more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. อว. ยกทัพผลงานเยาวชนด้านวิทยาศาสตร์ สู่กิจกรรม “วัยใสปล่อยพลัง ปังสุดใจ” ในงาน “วันพ่อแห่งชาติ” 1-6 ธ.ค. 63 ณ มิวเซียมสยาม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ยกทัพผลงานเยาวชนทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่สร้างประโยชน์ ภายในบูธ สวทช. โซนกิจกรรม “วัยใสปล่อยพลัง ปังสุดใจ” ในงาน “วันพ่อแห่งชาติ”เมื่อวันที่ 1-6 ธันวาคม 2563 ณ สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) เพื่อเปิดพื้นที่ในการแสดงความสามารถของเยาวชนไทย โดยมี ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการ และ โฆษกกระทรวง อว. ศ.นพ. สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง กระทรวง อว. ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และ คุณวิมล จำนงค์บุตร ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ร่วมเยี่ยมชมบูธของสวทช.
(more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. เปิดตัว 3 นักวิจัยแกนนำ ประจำปี 2563 สนับสนุนและสร้างเครือข่ายวิจัยด้านการแพทย์และอาหาร 60 ล้านบาท
7 ธันวาคม 2563 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประกาศผู้ได้รับเป็นนักวิจัยแกนนำ ประจำปี 2563 จำนวน 3 ท่าน (ตามลำดับอักษร) ได้แก่ ศ.นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล มหาวิทยาลัยมหิดล จากโครงการวิจัย “ยาต้านไวรัสออกฤทธิ์กว้าง: การเตรียมพร้อมต่อโรคติดเชื้ออุบัติใหม่” ศ.ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จากโครงการวิจัย “การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการผลิตอาหารแห่งอนาคต” และ ศ.ดร.สุทธวัฒน์ เบญจกุล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จากโครงการวิจัย “การใช้ประโยชน์สูงสุดจากวัสดุเศษเหลือจากการแปรรูปสัตว์น้ำ
เพื่อเป็นส่วนประกอบอาหารฟังก์ชัน/นิวตราซูติคอลและสารเติมแต่งอาหารชนิดใหม่” เพื่อให้นักวิจัยที่มีศักยภาพสูง เกิดการรวมกลุ่มทำวิจัยที่เข้มแข็งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สร้างสรรค์งานวิจัยใหม่หรือต่อยอดงานวิจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมและเชื่อมโยงระหว่างภาคความรู้ พร้อมยกระดับการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เล็งเห็นว่าการเสริมสร้างฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรมให้เข้มแข็ง เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น จึงได้ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งทุ่มเททรัพยากรต่างๆ ให้กับการวิจัย ที่เป็นโจทย์สำคัญและท้าทายของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สวทช. ยังให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายการวิจัย ทั้งระดับชาติ และนานาชาติ
โครงการนักวิจัยแกนนำ นอกจากจะเป็นกลไกที่ สวทช. นำมาใช้สนับสนุนนักวิจัยศักยภาพสูงให้เกิดการรวมกลุ่มทำวิจัยและหวังผลได้ สวทช. ยังนำมาใช้ในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ กับมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในประชาคมวิจัย สร้างผลงานวิจัยที่ตอบโจทย์ท้าทาย ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
ในปีนี้ได้มีนักวิจัยที่ส่งข้อเสนอโครงการวิจัย จำนวน 21 โครงการ โดยคณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์สนับสนุนนักวิจัย จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย นักวิจัยด้านการแพทย์ 1 ท่าน ได้แก่ ศาสตราจารย์ นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จากโครงการวิจัยเรื่อง “ยาต้านไวรัสออกฤทธิ์กว้าง: การเตรียมพร้อมต่อโรคติดเชื้ออุบัติใหม่” และนักวิจัยด้านอาหาร 2 ท่าน ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จากโครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการผลิตอาหารแห่งอนาคต” และศาสตราจารย์ ดร.สุทธวัฒน์ เบญจกุล คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จากโครงการวิจัยเรื่อง “การใช้ประโยชน์สูงสุดจากวัสดุเศษเหลือ จากการแปรรูปสัตว์น้ำ เพื่อเป็นส่วนประกอบอาหารฟังก์ชัน / นิวตราซูติคอลและสารเติมแต่งอาหารชนิดใหม่” โดย สวทช. จะสนับสนุนงบประมาณวิจัย จำนวน 20,000,000 บาท ต่อโครงการ ระยะเวลาดำเนินโครงการ 5 ปี รวมงบประมาณ 60,000,000 บาท
ศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รักษาการในตำแหน่งรองผู้อำนวยการ สวทช. และเลขานุการคณะกรรมการด้านการส่งเสริมกลุ่มนักวิจัยแกนนำ กล่าวว่า สวทช. ได้ดำเนินโครงการนักวิจัยแกนนำมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 เพื่อสนับสนุนนักวิจัยศักยภาพสูงที่มีความเป็นผู้นำ ให้เกิดการรวมกลุ่มทำวิจัย ให้สามารถสร้างสรรค์ผลงานวิจัยคุณภาพสูงในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย ปัจจุบันนักวิจัยแกนนำ สวทช. มีจำนวนทั้งสิ้น 20 ท่าน จาก 23 โครงการวิจัย เป็นนักวิจัยแกนนำด้านการแพทย์ 11 ท่าน ด้านเกษตรและอาหาร 2 ท่าน ด้านอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ 2 ท่าน ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม 3 ท่าน และด้านการก่อสร้าง 2 ท่าน นักวิจัยแกนนำและทีมวิจัยได้สร้างความก้าวหน้าทางวิชาการในสาขาที่เชี่ยวชาญ สามารถผลิตผลงานที่มีคุณภาพในระดับสูงในรูปแบบผลงานวิชาการในวารสารระดับนานาชาติ ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ สิทธิบัตร อีกทั้งยังได้พัฒนากำลังคนทางด้านการวิจัยจำนวนมาก ประกอบด้วย นักศึกษาระดับปริญญาโท ปริญญาเอก และนักวิจัยหลังปริญญาเอก“ผลงานที่จะเกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของนักวิจัยแกนนำทั้ง 3 ท่าน จะมุ่งเน้นทั้งงานวิจัยในเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ บทความวิชาการ ต้นแบบผลิตภัณฑ์ ต้นแบบเทคโนโลยี และสิทธิบัตร รวมถึงการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์" ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่า
ศาสตราจารย์ นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวว่าโครงการวิจัยเรื่อง “ยาต้านไวรัสออกฤทธิ์กว้าง: การเตรียมพร้อมต่อโรคติดเชื้ออุบัติใหม่” สืบเนื่องจาก โรคติดเชื้ออุบัติใหม่จากไวรัสกำลังเป็นวิกฤติการณ์ของโรคจากการระบาดของโควิด -19 และในอนาคตมีแนวโน้มที่จะมีโรคติดเชื้ออุบัติใหม่เกิดขึ้นอีกได้เรื่อยๆ นอกจากโรคไวรัสจะแพร่ระบาดได้รวดเร็วแล้ว สิ่งที่ทำให้การรับมือกับโรคระบาดมีความยุ่งยากคือการที่ไม่มียาที่มีประสิทธิภาพในการรักษา ทั้งนี้เพราะยาต้านไวรัสในปัจจุบันออกฤทธิ์เพียงแคบๆ ต่อไวรัสเฉพาะกลุ่ม เมื่อมีไวรัสชนิดใหม่เกิดขึ้นจึงไม่มียารักษา และการพัฒนายาใหม่ก็ต้องใช้เวลานานไม่ทันกับความต้องการในการรับมือกับการระบาด การพัฒนายาต้านไวรัสที่ออกฤทธิ์กว้างจะทำให้มียาที่พร้อมจะใช้กับไวรัสใหม่ๆ ช่วยให้โลกสามารถรับมือกับการเกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ได้ดีขึ้นในอนาคต
ศาสตราจารย์ ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวโดยสรุปว่า โครงการวิจัย “การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการผลิตอาหารแห่งอนาคต” มีเป้าหมายที่จะศึกษาและพัฒนานวัตกรรมการผลิตอาหารและส่วนประกอบของอาหาร (food ingredients) ที่ปลอดภัยต่อทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กระบวนการต่าง ๆ ที่นำเสนอเป็นกระบวนที่เน้นการนำวัตถุดิบที่หาง่าย ราคาถูก มาเพิ่มคุณค่าให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลาย ทั้งในแง่ของการใช้เป็นส่วนผสมเพื่อปรุงแต่งอาหารให้สวยงาม เป็นสารเติมแต่งอาหารที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ช่วยสร้างเสริมสุขภาพและความพึงพอใจแก่ผู้บริโภคในทุกช่วงอายุ
ศาสตราจารย์ ดร.สุทธวัฒน์ เบญจกุล คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า โครงการวิจัย เรื่อง “การใช้ประโยชน์สูงสุดจากวัสดุ เศษเหลือ จากการแปรรูปสัตว์น้ำ เพื่อเป็นส่วนประกอบอาหารฟังก์ชัน / นิวตราซูติคอลและสารเติมแต่งอาหารชนิดใหม่” เป็นการพัฒนาวัสดุเศษเหลือจากการแปรรูปสัตว์น้ำ ให้เป็นสารประกอบฟังก์ชัน/สารนิวตราซูติคอลและสารเติมแต่งอาหารที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน โดยอาศัยองค์ความรู้ทางด้านต่างๆ คือ การสกัดและพัฒนาสารออกฤทธิ์ การวิจัยกลไกการออกฤทธิ์ของสารและตรวจติดตามโดยใช้เทคนิคโปรติโอมิกส์ การวิจัยในระบบย่อยอาหารจำลองมาตรฐาน สัตว์ทดลองและมนุษย์ เพื่อให้ได้สารนิวตราซูติคอลและสารเติมแต่งอาหารที่มีความคงตัวและความปลอดภัยอย่างเป็นระบบ ในปัจจุบันมีวัสดุเศษเหลือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลจากการจัดระบบฟาร์มเลี้ยงที่ประสบความสำเร็จและความต้องการผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนสภาพของวัสดุเศษเหลือที่มีมูลค่าต่ำให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการของตลาดและมีมูลค่าสูงจึงเป็นแนวทางสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำเพื่อเพิ่มรายได้ ขณะเดียวกันสามารถลดค่าใช้จ่ายในการบำบัดของเสีย
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน รุ่นที่ 2”
ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิริธร : 5 ธันวาคม 2563 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน มีกำหนดจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน”รุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 5 – 8 ธันวาคม 2563
เพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียนให้มีการคิดเชิงระบบ การคิดเชิงวิเคราะห์และการคิดเชิงสร้างสรรค์ ขยายโอกาสให้ครูและนักเรียนมีบอร์ด KidBright ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนทางด้านวิทยาการคำนวณ ส่งเสริมให้เกิดการศึกษาค้นคว้า ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และการใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระตุ้นให้นักเรียนเป็นนักประดิษฐ์ มีความสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นซึ่งกันและกัน สร้างพื้นฐานความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียน เพื่อมุ่งสู่ Thailand 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ในการจัดกิจกรรมอบรมในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการด้วยบอร์ด KidBright ซึ่งเป็นบอร์ดสมองกลฝังตัว ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ให้แก่ครูและนักเรียนพิการจากโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหวในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษทั่วประเทศ จำนวน 26 โรงเรียน
ที่ผ่านมามูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งด้วยบอร์ด KidBright ให้แก่ครูและนักเรียนพิการที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหวจากโรงเรียนนำร่อง จำนวน 10 โรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนภายใต้การดูแลของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ผลจากการดำเนินงานปรากฏว่านักเรียนที่เข้าร่วมอบรมสามารถเขียนโค้ดดิ้ง อีกทั้งสามารถจัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวจากบอร์ด KidBright เพื่อแก้ปัญหาโจทย์ทางวิทยาศาสตร์ได้ นอกจากนี้นักเรียนยังได้นำผลงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวเข้าร่วมประกวดและได้รับรางวัลในการประกวดจากหลายเวที จึงทำให้เกิดการขยายผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการด้วยบอร์ด KidBright ในครั้งนี้
ซึ่งกิจกรรมในครั้งมีครูและนักเรียนพิการเข้าร่วมการอบรมจำนวน 9 โรงเรียน เป็นโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 7 โรงเรียน และโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว 2 โรงเรียน การอบรมในโครงการมีทั้งหมด 3 หลักสูตร ตั้งแต่การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐานไปจนถึงการจัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัว สำหรับการอบรมในครั้งนี้ครูและนักเรียนจะได้รับความรู้ ความเข้าใจและประสบการณ์ผ่านการฝึกปฏิบัติในการใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน เพื่อจุดประกายให้เห็นความสำคัญในการจัดการเรียนการสอนโค้ดดิ้งและนำไปต่อยอดในการอบรมในหลักสูตร KidBright ขั้นกลางและขึ้นสูงต่อไป
ด้านอาจารย์ที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ (ครูอร) น.ส. อรจิรา มหารัตน์ ครู คศ.1 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวถึงการที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมว่า การที่มีกิจกรรมแบบนี้เกิดขึ้นทำให้เด็กๆ ที่มีข้อบกพร่องได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง และการที่ได้นำเด็กๆมาเข้าร่วมนี้ก็หวังจะให้เด็กได้มีความคิดที่เป็นระบบ มีการเพิ่มศักยภาพเฉพาะทางได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ และได้ลงมือทำด้วยตัวเองซึ่งจะได้เกิดการจดจำได้มากขึ้น เด็กจะได้ลองผิด ลองถูกและนำไปแก้ไขหรือปรับใช้ในชีวิตประจำวันต่อไปได้ และทางอาจารย์ก็จะได้นำความรู้ไปสอนนักเรียนคนอื่นๆที่สนใจต่อไป
อีกมุมอาจารย์ที่เข้าร่วมกิจกรรม (ครูนัฐ) นายนัฐพล ตุงคุณะ ครูผู้สอน โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด เล่าให้ฟังว่าอยากให้เด็กๆที่มาได้สนุกและเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ซึ่งบางสิ่งบางอย่างไม่มีในห้องเรียน เด็กๆพวกนี้โชคดีที่มีโครงการดีๆแบนี้ และอยากให้โครงนี้มีต่อไปอีกหลายๆรุ่น เพราะจะได้ให้อาจารย์ผู้สอนได้นำไปประยุกต์ใช้และนำไปสอนเด็กๆเพื่อต่อยอดต่อไป และสุดท้ายเด็กๆก็จะเข้าถึงเทคโนโลยีมากขึ้นไปอีกด้วย
และหนึ่งในนักเรียนที่ได้คัดเลือก (น้องแอน) เด็กหญิงชมพูนุท สวรรณ์ นักเรียนโรงเรียนโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดปราจีนบุรี บอกว่าตัวเองไม่มีความเข้าในการใช้งานบอร์ด KidBright มาก่อน แต่ก็หวังจะมาศึกษาเรียนรู้จากการเข้าอรอบในครั้งนี้ เพื่อจะได้นำไปใช้และต่อยอดในด้านอีกๆ และไปสอนเพื่อนคนอื่นๆที่ไม่ได้มาด้วย
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการพัฒนาและต่อยอดความรู้จากการทำโครงการในครั้งนี้ สวทช. ได้มอบบอร์ด KidBright ให้แก่โรงเรียนที่เข้าร่วมอบรมทั้ง 9 โรงเรียน ๆ ละ 50 บอร์ด เพื่อให้ครูและนักเรียนที่เข้าร่วมอบรมได้ฝึกใช้ที่โรงเรียนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนโค้ดดิ้งให้แก่นักเรียนคนอื่น ๆ ในโรงเรียนอีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จับมือ 3 พันธมิตรสร้างฐานข้อมูลสมุนไพร หนุนเอกชนใช้งานด้านเครื่องสำอาง
For English-version news, please visit : NSTDA and partners to establish Thai medicinal plant database to boost cosmetic and herbal product industry
โปรแกรมเวชสำอาง สวทช. โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ จับมือ อย., กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และคณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล พัฒนา “ฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก” ชี้พร้อมเปิดให้ทดลองใช้ปลาย 2564 ด้วยข้อมูลพืชสมุนไพรไม่ต่ำว่า 50 ชนิด ตั้งเป้าเพิ่มข้อมูลสมุนไพรเป็น 1000 ชนิดใน 5 ปี หวังสนับสนุนผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์ พัฒนาเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก
ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวในการเปิดงานพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือ “โครงการพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก” ว่า สวทช. เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีภารกิจที่สำคัญด้านการพัฒนาวิจัย ซึ่งรวมถึงการวิจัย คิดค้นผลงานที่มีการนำพืชสมุนไพรมาใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้น โดยใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงมาใช้ ซึ่งดำเนินการโดยศูนย์วิจัยแห่งชาติ ภายใต้ สวทช. อาทิ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ รวมไปถึงการกำหนดกลุ่มเทคโนโลยีเป้าหมาย (Technology Development Group: TDG) ด้านเวชสำอาง (TDG: Cosmeceuticals) ซึ่งเป็นโปรแกรมวิจัยที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่พัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการสกัดแบบ Green extraction
หากแต่ความต้องการสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์คือ แหล่งของข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ซึ่งประเทศไทยมีเพียง 1 ฐานข้อมูล คือ ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยที่ใช้ทางเครื่องสําอาง (Thai Medicinal Plants for Cosmetics Database; TMPCD) ของกลุ่มควบคุมเครื่องสำอาง สำนักควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
สวทช. โดยโปรแกรมเวชสำอาง และ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, กองควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย และกองผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), สถาบันวิจัยสมุนไพร และสำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงตกลงร่วมกันในการสนับสนุนและผลักดันการจัดทำฐานข้อมูลกลางสำหรับผู้ประกอบด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย Super Manager โปรแกรมเวชสำอาง สวทช. กล่าวว่า “โครงการพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก” จะเป็นการพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์ ทั้งในส่วนข้อมูลและรูปแบบการใช้งาน มีการคัดเลือกและกำหนดพืชสมุนไพรเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงในการนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง “สำหรับโครงการในระยะที่ 1 นี้ มีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปี 2564-2568) โดยปี2564 จะเป็นการเริ่มต้นสร้างฐานข้อมูลพืชสมุนไพรเป้าหมายจำนวนไม่น้อยกว่า 50 ชนิด ที่พร้อมให้บริการและจะเพิ่มจำนวนขึ้นในปีถัดไป โดยตัวอย่างพืชสมุนไพรที่มีอยู่ในฐานข้อมูลได้ แก่ กระชายดำ ไพล ขมิ้นชัน บัวบก เป็นต้น โดยพืชทั้ง 4 ชนิด ซึ่งได้มีการกำหนดเป็น Product Champions ของประเทศ” ดร.อุรชากล่าว พร้อมเผยว่า เราตั้งเป้ามีข้อมูลพืชสมุนไพรไม่น้อยกว่า 1,000 ชนิด ภายในปี 2568 หรือเมื่อสิ้นสุดโครงการในระยะที่ 1
ฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ในระยะแรก (เฟสที่ 1: 2564-2568) จะเป็นข้อมูลทั่วไปที่รวบรวมข้อมูลที่ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ อาทิ ชื่อพืช การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ส่วนที่ใช้ สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นบ้านตามภูมิปัญญาไทย การสกัด แยกและตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ของสารสำคัญ การวิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ สารสำคัญในสมุนไพร ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพร การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย ข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง อาการไม่พึงประสงค์ ผลงานวิจัย และเอกสารอ้างอิง ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียน ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับข้อบังคับ/กฎหมายที่กำกับดูแลของสมุนไพรที่มีศักยภาพด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทยอย่างน้อย 50 ชนิด
ในระยะต่อไป จะเป็นข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญของสมุนไพรในด้านข้อมูลลำดับนิวคลีโอไทด์ (Whole-genomesequence) ความหลากหลายทางพันธุกรรม ชนิด สายพันธุ์ พันธุ์ดีเด่น พร้อมข้อมูลการนำไปใช้ประโยชน์ทางการผลิต และการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพร เช่น ลักษณะการเกษตร การเจริญเติบโต ผลผลิต สารพฤกษเคมี (Phytochemical profile) และผลการทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioassay) รวมทั้ง ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างกลไกของของสาระสำคัญจากสมุนไพรที่มีต่อเซลล์และร่างกาย
นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา อย.ได้จัดทำฐานข้อมูลสมุนไพรไทยที่ใช้ทางเครื่องสําอาง หรือ THAI MEDICINAL PLANTS FOR COSMETICS DATABASE ประกอบไปด้วยสมุนไพร 340 ชนิด ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับ เอกลักษณ์ต่างๆ ของสมุนไพร ส่วนที่ใช้และการนำไปใช้ทางเครื่องสำอาง ที่ผู้ประกอบการหรือผู้สนใจสามารถสืบค้นข้อมูลของสมุนไพรแต่ละตัวได้ โดยอาจต่อยอดพัฒนาเป็นเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้ภายนอก เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ และทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัย ในขณะเดียวกัน การพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ร่วมกับพันธมิตรอีก 3 หน่วยงานนี้ ขอบเขตความร่วมมือและบทบาทของ อย. ในความร่วมมือนี้ จะร่วมพัฒนาและสนับสนุนฐานข้อมูลพืชสมุนไพรด้านสรรพคุณและหน้าที่สารออกฤทธิ์สำคัญ (Functional & health claims) ของสมุนไพรสำหรับใช้เป็นข้อกำหนดในการตรวจสอบเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก และเชื่อมโยงฐานข้อมูลเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเชื่อว่า ความร่วมมือนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพร ผู้ผลิตเครื่องสำอาง และผู้บริโภค เพื่อให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรสู่นวัตกรรมด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้ภายนอกอย่างยั่งยืน
นายแพทย์ พิเชฐ บัญญัติ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีความยินดีที่จะร่วมพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก เพื่อความสะดวกและเป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลที่สำคัญของสมุนไพรโดยเป็นข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัย ผู้ประกอบการ และประชาชนที่สนใจ อันจะส่งผลให้เกิดการผลักดันการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสมุนไพรเพื่อเพิ่มมูลค่าของสมุนไพร เป็นการเพิ่มโอกาสให้สมุนไพรไทยสามารถเข้าแข่งขันในเวทีการค้าระดับโลกได้
รองศาสตราจารย์ ภก.สุรกิจ นาฑีสุวรรณ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ทางคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยสำนักงานข้อมูลสมุนไพร มีพันธกิจหลักในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลต่างๆ เพื่อรักษามรดกทางความรู้ด้านสมุนไพรและให้บริการข้อมูลสมุนไพรให้กับหน่วยงานรัฐและเอกชน เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาองค์ความรู้และการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรของประเทศมาอย่างต่อเนื่องสำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการขยายฐานข้อมูลครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ที่มีโอกาสส่งผลให้เกิดการเพิ่มมูลค่าของสมุนไพรไทย และนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศไทยตามแนวทางที่รัฐบาลตั้งเป็นจุดมุ่งหนึ่งของการพัฒนาประเทศ สมุนไพรไทยจำนวนมาก มีฤทธิ์ที่สามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางได้อย่างหลากหลายสรรพคุณ ไม่แพ้สมุนไพรจากแหล่งอื่นๆ ของโลก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลมีความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในภาระกิจที่สำคัญครั้งนี้ และให้ความสำคัญกับการผลักดันโครงการนี้ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับการพัฒนาวงการสมุนไพรและเครื่องสำอางของเป็นอย่างดี
“เป้าหมายสำคัญของความร่วมมือจาก 4 หน่วยงานที่แข็งแกร่งนี้ คือ การปูทางให้เกิดการนำสมุนไพรไทยไปใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพและมาตรฐาน ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยภาคเอกชนสามารถนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ สร้างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยที่ดี มีมูลค่าสูง สามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน” ดร.วรรณีทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. อว. ขอเชิญชวนร่วมกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” 1-6 ธันวาคม 2563 ถนนสนามไชย สวนสราญรมย์ และมิวเซียมสยาม
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ขอเชิญชวนร่วมกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” 1-6 ธันวาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 21.00 น.ณ ถนนสนามไชย สวนสราญรมย์ และมิวเซียมสยาม เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563
โดยภายในงานมีการจัดกิจกรรมมากมาย
1.โซนพิเศษ (โซนพระราชทาน) ณ บริเวณถนนสนามไชย หน้าลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4 พระราชวังสราญรมย์และหน้าทำเนียบองคมนตรี เป็นการจัดนิทรรศการโครงการของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
2.โซนนิทรรศการ “ความดีที่แบ่งปัน” ณ บริเวณถนนสนามไชย สวนสราญรมย์ นำเสนอในรูปแบบนิทรรศการภาพหอเกียรติยศ (Hall of fame) ภาพแห่งความทรงจำ ภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยศิริราชมูลนิธิ ภาพการปฏิบัติงานของจิตอาสาพระราชทาน การจัดนิทรรศการของมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ทมศ)
3.โซนนิทรรศการ “ความสุขที่พ่อให้” ณ บริเวณถนนสนามไชยตลอดเส้นทาง ตั้งแต่หน้าลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4 พระราชวังสราญรมย์ นำเสนอในรูปแบบนิทรรศการมีชีวิต (Live Exhibition) ของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรที่มีต่อปวงชนชาวไทย จำนวน 29 หน่วยงาน
4.การแสดงของเด็กและเยาวชน
4.1การแสดง “รู้รักสามัคคี เพราะพระบริบาล” จัดแสดง ณ บริเวณเวทีหน้าอาคารศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นการแสดงละครประกอบ แสง สี เสียง การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม 4 ภาค และเทคนิคการฉายวิดีโอ Mapping ซึ่งเป็นการฉายเสมือนจริงแบบ 3 มิติ จัดแสดงวันละ 2 รอบ เวลา 18.30 - 19.15 น. และ เวลา 20.15 - 21.00 น.
4.2การแสดงขบวนพาเหรดวงโยธวาทิตของเด็กและเยาวชน ทำการแสดงตลอดแนวถนนสนามไชย ตั้งแต่มิวเซียมสยามไปจนถึงหน้าศาลฏีกา เวลา 16.00 น. ของทุกวัน ยกเว้นวันที่ 5 ธันวาคม 2563
4.3การแสดงริ้วขบวนพาเหรด “เรื่องราวชาวไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” จัดแสดงวันที่ 1 - 4 และ 6 ธันวาคม 2563 เวลา 17.30 น. เริ่มต้นขบวนเดินตั้งแต่สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) ถึงบริเวณหน้าศาลฏีกา
5.กิจกรรม “วัยใสปล่อยพลัง ปังสุดใจ” จัดที่สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) เป็นการเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้แสดงความสามารถ โดยมีการจัดเวทีการแสดงความสามารถของเด็กและเยาวชน ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. และจัดกิจกรรมอื่น ๆ ในพื้นที่โดยรอบ เช่น การแสดงมายากล การบิดลูกโป่ง การวาดรูป การปั้น การเพ้นท์หน้า เพ้นท์เล็บ เป็นต้น
6.การออกร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม “เลิศลิ้มชิมรส เหนือจรดใต้” จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ภายในสวนสราญรมย์ โดยมีร้านที่มีชื่อเสียงจากทั่วทุกภาคของประเทศ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสาธิตการประกอบอาหารและการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เวลา 18.00 - 19.00 น. นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายสินค้า OTOP และจำหน่ายอาหารจากกลุ่มผู้ประกอบการ การจำหน่ายอาหารทานเล่นและเครื่องดื่ม ตลอดแนวถนนสนามไชย ใช้ชื่อ “เดินชิมริมทาง”
ข้อมูลจาก https://www.mhesi.go.th/home/index.php/pr/news/2351-1-6-2563
ข่าวประชาสัมพันธ์
DITP และ สวทช. เผยผลการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ“เพิ่มโอกาสการส่งออกต่างประเทศด้วย DITP Business AI”
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (DITP) ร่วมกับ ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงผลการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “เพิ่มโอกาสการส่งออกต่างประเทศด้วย DITP Business AI” ณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี ในวันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจากโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 51 ท่าน จาก 3 กลุ่มสินค้า
ได้แก่กลุ่มสินค้าสมุนไพร กลุ่มสินค้าผลไม้ และกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร ภายในงานสัมมนาประกอบการบรรยายวิสัยทัศน์ “การใช้ Big Data และ AI ภายใต้ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต” การเสวนา “รู้รับ ปรับตัว เพื่อโอกาสในยุค New Normal” โดยผู้บริหารจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ Workshop การวิเคราะห์โอกาสทางการค้าระหว่างประเทศ โดยใช้ข้อมูลจากระบบ DITP Business AI โดยทีมผู้เชียวชาญด้าน Data Analytics โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก Big Data เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และแสวงหาโอกาสในการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศได้
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และ นายเฉลิมพล ตู้จินดา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยถึงการจัดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “เพิ่มโอกาสการส่งออกต่างประเทศด้วย DITP Business AI” เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยถือเป็นครั้งแรกที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรมในรูปแบบสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูล Big Data ด้านการค้าระหว่างประเทศ ผ่านการประมวลผลจากระบบปัญญาประดิษฐ์ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP Business AI) ที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยสนับสนุนข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ในการแสวงหาโอกาสทางการค้าได้อย่างเหมาะสมตามแนวโน้มสถานการณ์การค้าโลก และพฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
ซึ่งมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” ของกระทรวงพาณิชย์ ที่เน้นการใช้ประโยชน์ข้อมูลด้านการตลาดอย่างชาญฉลาดเป็นกลไกในการนำไปสู่การวางแผนการบวนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รวมการเสวนาแลกเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจภายใต้หัวข้อ “รู้รับ ปรับตัว เพื่อแสวงหาโอกาสในยุค New Normal
โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล Big Data แสวงหาโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ภายในกิจกรรมสัมมนายังมีบริการรับสมัครเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญจากภาครัฐ รวมถึงบริการข้อมูลและคำปรึกษาด้านการค้าระหว่างประเทศจากเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้เข้าร่วมสัมมนา
นายพรวิช ศิลาอ่อน ผู้อำนวยการสำนักสารสนเทศและการบริการการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของความร่วมระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ คือ การผลักดันผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพจาก โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ด้วยความคาดหวังในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยใช้ Data Analytics ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และแสวงหาโอกาสในการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศได้
และถือเป็นก้าวแรกของผู้ประกอบการที่จะได้ใช้ประโยชน์ข้อมูลจากระบบปัญญาประดิษฐ์ (DITP Business AI) ในการแสวงหาโอกาสและแนวทางการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการค้าระหว่างประเทศ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดกิจกรรมสัมมนาในครั้งนี้ จะเป็นโมเดลในการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีจากภาครัฐในการสนับสนุนโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่มอื่นต่อไป
ในการสัมมนาครั้งนี้ นอกจากการถ่ายทอดองค์ความรู้และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เข้าถึงข้อมูลและบริการที่เป็นประโยชน์จากภารรัฐแล้ว ภาครัฐเองยังมีโอกาสได้รับฟังเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการที่ได้เข้าร่วมงานสัมมนาด้วย โดยคุณปรินดา ตั้งพิรุฬห์ธรรม หนึ่งในผู้ประกอบการด้านสมุนไพรและฟาร์มออร์แกนิค ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนา และเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับการสนับสนุนจาก ITAP ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในปีที่ผ่านมา กล่าวว่า “ได้รับความรู้จากการอบรมดีกว่าที่คาดหวังไว้มาก และคิดว่า DITP Business AI เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูล Big Data ในมิติต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจ ทั้งการเลือกแนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ และวางแผนการตลาดไปยังประเทศเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม ต้องขอบคุณมากที่ภาครัฐพัฒนาเครื่องมือนี้ขึ้นมา เพราะช่วยให้ผู้ประกอบการทั่วไปสามารถใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจได้จริง”
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘ไฮบริดชัวร์’ คว้าผลงานวิจัยที่น่าลงทุนที่สุด ปี 2020 ในงาน THAILAND TECH SHOW 2020 บนแพลตฟอร์มออนไลน์ครั้งแรก 2-4 ธ.ค.นี้
For English-version news, please visit : HybridSure voted the most investable innovation at THAILAND TECH SHOW 2020
2 ธันวาคม 2563 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรมนำเสนอผลงานวิจัยที่น่าลงทุนประจำปี 2563 ในงาน Thailand Tech Show 2020 ที่ สวทช. จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “วิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน (Technologies and Innovations for Investment in The New Normal)” บนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นครั้งแรก เพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ New Normal ผ่านช่องทาง www.nstda.or.th/thailandtechshow/2020 เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์ กว่า 290 ผลงาน จากพันธมิตร 40 หน่วยงาน โดยได้รับเกียรติจาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ประธานในพิธีเปิดบนแพลตฟอร์มออนไลน์
สำหรับเวทีการนำเสนอผลงานวิจัยเด่นที่น่าลงทุน (Investment Pitching) ในปีนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 10 ผลงานจาก สวทช. และพันธมิตร โดยรางวัลผลงานที่น่าลงทุนที่สุดประจำปี 2563 จากการโหวตของนักลงทุนและประชาชนที่สนใจผ่านระบบออนไลน์ คือ “ชุดตรวจไฮบริดชัวร์ (HybridSure)” เทคโนโลยีที่ช่วยตรวจสอบความบริสุทธิ์เมล็ดพันธุ์ลูกผสมได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ของ ดร.วิรัลดา ภูตะคาม นักวิจัยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. และยังคว้ารางวัลผลงานที่นำเสนอดีที่สุดอีก 1 รางวัล (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์


