หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. คว้าชัยรางวัล SLRI Award จากผลงานวิจัยพัฒนาแบตเตอรี่โซเดียมไอออนจากตะเกียบไม้ไผ่เหลือทิ้ง
 (9 กันยายน 2568) ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว : ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) สวทช. และ ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. ที่ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น (SLRI Award) จากผลงานวิจัยหัวข้อ "bamboo-Derived Hard Carbon/Carbon Nanotube Composites as Anode Material for Long-Life Sodium-Ion Batteries with High Charge/Discharge Capacities" งานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลงานที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเป็นการนำ วัสดุผสมคาร์บอนจากตะเกียบไม้ไผ่เหลือทิ้ง มาพัฒนาเป็นวัสดุขั้วบวกสำหรับแบตเตอรี่โซเดียมไอออน ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในด้านอายุการใช้งานที่ยาวนาน และ ความสามารถในการชาร์จและคายประจุสูง ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญของการวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานทางเลือกในประเทศไทย นอกจากนี้ ภายในงานประชุมกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์แสงซินโครตรอน ประจำปี 2568 ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ และ ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ ยังได้รับเกียรติเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษในหัวข้อ "Inspiration Talk: เบื้องหลังความสำเร็จของผลงาน SLRI Award: Physical Sciences" เพื่อแบ่งปันแรงบันดาลใจและเส้นทางการทำงานวิจัยให้แก่ผู้เข้าร่วมงานอีกด้วย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ขับเคลื่อนร่างมาตรฐานการเข้าถึงเนื้อหาเว็บไซต์ ยกระดับมาตรฐานดิจิทัลไทย
วันที่ 2 กันยายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมข้อกำหนดการทำให้เนื้อหาเว็บสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ (Web Content Accessibility Guidelines) ณ โรงแรมเซนจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ และผ่านระบบออนไลน์ การประชุมได้รับเกียรติจาก นางสาววันทนีย์ พันธชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิและประธานกรรมการวิชาการด้านมาตรฐานเพื่อการเข้าถึงและใช้ประโยชน์เนื้อหาและบริการดิจิทัลโดยสะดวกถ้วนหน้า เป็นประธานในพิธีเปิด วัตถุประสงค์ของการจัดประชุมครั้งนี้เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายภาคส่วน ทั้งจากภาครัฐและเอกชน มีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน 38 คน/หน่วยงาน ซึ่งได้ให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปรับปรุงร่างมาตรฐานให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อประกาศเป็นมาตรฐานหรือเอกสารเผยแพร่ โดย เนคเทค สวทช. และส่งมอบให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) พิจารณาประกาศเป็น มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอย่างเป็นทางการต่อไป มาตรฐานดังกล่าวยังมีเป้าหมายที่จะเสนอต่อ World Wide Web Consortium (W3C) เพื่อประกาศเป็น Web Content Accessibility Guidelines (WCAG) 2.2 ฉบับภาษาไทยที่ได้รับอนุญาต (Thai Authorized Translation) ซึ่งเป็นการยกระดับมาตรฐานการเข้าถึงเนื้อหาบนเว็บไซต์ของประเทศไทยให้ทัดเทียมระดับสากล การผลักดันมาตรฐาน WCAG นี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการสร้างสังคมดิจิทัลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือผู้สูงอายุ พร้อมทั้งลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศในระยะยาว
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. คว้ารางวัล UNESCO King Sejong Literacy Prize จากผลงาน “แพลตฟอร์มการเรียนการสอนออนไลน์ที่เข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้าสำหรับนักเรียนพิการทุกประเภท”
เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 เวลา 21.40 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ณ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) หรือ องค์การยูเนสโก สำนักงานใหญ่ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส: ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นผู้แทนสวทช. เข้ารับรางวัล UNESCO King Sejong Literacy Prize จากองค์การยูเนสโก จากผลงาน "แพลตฟอร์มการเรียนการสอนออนไลน์ที่เข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้าสำหรับนักเรียนพิการทุกประเภท (Bridging Literacy Gaps: Inclusive Education Through an Accessible Digital Resource Platform for Thai Students with Disabilities)" ซึ่งเป็นนวัตกรรมสำคัญที่ช่วยลดอุปสรรคในการเข้าถึงโลกดิจิทัลสำหรับผู้พิการ พร้อมกันนี้ ดร.อิทธิ์ทณัฏฐ์ อิทธิวิภาต นักวิจัย สวทช. ได้ร่วมเป็นวิทยากรนำเสนอผลงานวิจัยด้านการศึกษาของสวทช. ในช่วง เสวนาเรื่อง "Promoting Effective Literacy Programmes and Practices in the Digital Era" ในเวทีการประชุมนานาชาติของ UNESCO หัวข้อ "Promoting literacy in the digital era" ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลอง “วันการเรียนรู้หนังสือสากล” ซึ่งตรงวันที่ 8 กันยายน ของทุกปี เพื่อสะท้อนให้โลกเห็นถึงความสำคัญของการรู้หนังสือซึ่งเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ การพัฒนาคุณภาพชีวิต และการสร้างสังคมแห่งความเสมอภาคอีกด้วย รางวัล UNESCO King Sejong Literacy Prize จัดโดยองค์การยูเนสโก ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2510 เพื่อมอบให้แก่บุคคล หน่วยงานของรัฐบาล และหน่วยงานภาคประชาสังคมเพื่อยกย่องการดำเนินการที่ส่งเสริมกิจกรรมด้านการรู้หนังสือ จำนวน 3 รางวัล ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเกาหลี เน้นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้ภาษาแม่เป็นฐาน และตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์โซจอง ผู้ประดิษฐ์อักษรเกาหลี โดยผู้ได้รับรางวัล จะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 20,000 เหรียญสหรัฐ เหรียญรางวัลและเกียรติบัตร สำหรับ "แพลตฟอร์มการเรียนการสอนออนไลน์ที่เข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้าสำหรับนักเรียนพิการทุกประเภท” เป็นผลงานวิจัย โดยทีมวิจัยเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและสิ่งอำนวยความสะดวก กลุ่มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ (Accessibility and Assistive Technology Research Team (AAT), Digital Healthcare Platform Innovation Group (DHCB) และฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Knowledge Services: STKS) สวทช. เป็นทีมพัฒนา ภายใต้บันทึกความร่วมมือระหว่าง สวทช. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ "แพลตฟอร์มการเรียนการสอนออนไลน์ที่เข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้าสำหรับนักเรียนพิการทุกประเภท" ประกอบด้วย คลังสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ที่เข้าถึงได้ (Accessible Digital Learning Platform) ที่ออกแบบและพัฒนาเพื่อส่งเสริมการศึกษาสำหรับทุกคนได้เรียนร่วมกัน (Inclusive Education) โดยทุกคนสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มได้ตามมาตรฐานสากลของ “World Wide Web Consortium”  ที่ชื่อ “Web Content Accessibility Guideline 2.2 “  รองรับผู้เรียนที่มีความพิการด้านต่าง ๆ ทั้งการเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว และการเรียนรู้ เพื่อให้สามารถเข้าถึงบทเรียนดิจิทัลตามหลักสูตรแกนกลางของไทยตั้งแต่ระดับชั้น ป.4–ม.6  โดยที่วีดิทัศน์บทเรียนดิจิทัลได้ออกแบบให้นักเรียนพิการทางการได้ยินที่ใช้ภาษามือไทยเป็นภาษาแม่ ได้ใช้บทเรียนที่มีล่ามภาษามือแปลสิ่งที่ผู้สอนอธิบาย พร้อมทั้งมีคำบรรยายแทนเสียง (Caption) ส่วนนักเรียนพิการทางการเห็นก็จะเพิ่มเสียงบรรยายภาพ (Audio Description) ในบทเรียนเพื่อเข้าใจฉากหรือภาพประกอบ นอกจากนั้นเพื่อสร้างการรู้หนังสือ บทเรียนทุกบทเรียนจะมีคำบรรยายแทนเสียงเพื่อให้ได้เรียนรู้ภาษาเขียนภาษาไทยที่เป็นภาษาแม่ของคนไทย และมีสื่อดิจิทัลแบบข้อความในรูปแบบ EPUB และ DAISY รวมถึงสัญรูปเพื่อการสื่อสารสำหรับนักเรียนที่ไม่สามารถพูดได้  การได้รับรางวัลในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ได้ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในเวทีระดับนานาชาติ แต่ยังตอกย้ำถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างความเท่าเทียมและยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนเปราะบางในสังคมที่เผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษา โดยแพลตฟอร์มของ สวทช. ได้ออกแบบและพัฒนาด้วยเทคโนโลยีเพื่อการเข้าถึง รองรับผู้เรียนที่มีความพิการด้านต่าง ๆ ทั้งการเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว และการเรียนรู้ เพื่อให้สามารถเข้าถึงสื่อการสอนและกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเท่าเทียม จะเป็นต้นแบบสำคัญในการพัฒนาและขยายผลไปยังโรงเรียนพิเศษ 73 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงการยกระดับไปสู่การใช้ในการเรียนการสอนแบบรวม (Inclusive Education) ในระดับประเทศในอนาคต
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
TAIST-Science Tokyo เชื่อมวิจัย การศึกษา อุตสาหกรรมปั้นกำลังคนศักยภาพสูง สร้างอนาคตประเทศ
กระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมาถึงประเทศไทย ในจังหวะเดียวกันกับที่ประเทศต้องเผชิญโจทย์ใหญ่เชิงโครงสร้าง ทั้งขีดความสามารถในการแข่งขันที่สั่นคลอน และวิกฤตประชากรที่กำลังคืบคลานเข้ามา ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ทำให้ ‘การพัฒนาบุคลากรศักยภาพสูง’ เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่จะกำหนดอนาคตของประเทศและการแข่งขันบนเวทีโลก จากประเด็นดังกล่าว เวทีเสวนาภายในงานประชุมวิชาการ ‘TAIST-Science Tokyo: วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพัฒนากำลังคนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน’ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1-3 กันยายน 2568 ได้กลายเป็นเวทีสำคัญที่เผยให้เห็นถึงโมเดลความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างสถาบันชั้นนำของไทยและญี่ปุ่น ที่กำลังร่วมกันวางรากฐานการพัฒนาคนระดับชาติและนานานชาติให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศเพื่อพร้อมรับมือกับความท้าทายในยุค Disruption ถอดรหัสเมกะเทรนด์: เทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนโลก ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชี้ว่าโลกกำลังก้าวสู่การปฏิวัติดิจิทัลครั้งที่ 3 ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มรูปแบบ เทคโนโลยีที่เข้าถึงง่ายอย่าง ChatGPT, Grok, Meta AI ไปจนถึง DeepSeek กำลังถูกยกระดับด้วย Agentic AI ซึ่งมีพลังมากกว่า AI ทั่วไป ตรงที่สามารถตั้งเป้าหมาย วางแผน และดำเนินการได้ด้วยตนเอง ขณะที่เทคโนโลยี Retrieval-Augmented Generation (RAG) จะเข้ามาเป็นคำตอบสำหรับองค์กรที่ต้องการใช้ AI กับข้อมูลภายในอย่างปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (Hallucination) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้บนโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อ (Connectivity) ที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 6G และอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมอย่าง Starlink ซึ่งมีดาวเทียมในวงโคจรแล้วมากกว่า 8,000 ดวง และมีผู้ใช้งานราว 4 ล้านคน เทคโนโลยีเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบโดยตรงต่อภาคอุตสาหกรรมและระบบสุขภาพ โรงงานหลายแห่งเริ่มใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ร่วมกับเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ และ Digital Twin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะที่วงการแพทย์ก็เริ่มนำ AI เข้ามาช่วยในการคัดกรองเบื้องต้นให้กับแพทย์ อย่างไรก็ตามการพัฒนาการที่ก้าวกระโดดของเทคโนโลยีก็มาพร้อมกับด้านมืดและความท้าทายใหม่ ๆ ดร.พิเชฐ ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ขณะนี้ LLM ได้ใช้ข้อมูลมหาศาลบนโลกไปจนเกือบหมดแล้ว และอนาคตอาจต้องพึ่งพา Synthetic Data ซึ่งเป็นโจทย์ที่ต้องทำให้ไม่เกิดความผิดพลาดในระยะยาว ความท้าทายที่ชัดเจนที่สุด คือ การว่างงานจากการถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งหลายประเทศได้เริ่มออกมาตรการรับมือแล้ว เช่น โปรแกรม SkillsFuture ของสิงคโปร์ ที่ให้เงินสนับสนุนประชาชนสำหรับ Reskill ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของประเทศไทยที่มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เพื่อรองรับการ Reskilling และ Upskilling ของกำลังคน หรือกฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป ที่มีบทลงโทษรุนแรงหากบริษัทละเมิดความปลอดภัย โดยอาจถูกปรับสูงถึง 7% ของรายได้บริษัท จุดยืนวิทยาศาสตร์ไทย กับ ภาพสะท้อนบนแผนที่โลก ความท้าทายจากเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนโลก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวนมองย้อนกลับมาที่สถานะของประเทศไทย พร้อมฉายภาพความจริงที่น่ากังวล หากผลงานวิจัย คือ ขนาดของประเทศบนแผนที่โลก ประเทศไทยจะมีลักษณะเป็นเพียงเส้นบาง ๆ เมื่อเทียบกับมหาอำนาจทางวิทยาศาสตร์อย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกา ศ.ดร.ยงยุทธ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยอยู่ในอันดับที่ 39 ของโลก ซึ่งสูงกว่าเวียดนามแต่ต่ำกว่ามาเลเซีย ภาพรวมในระดับภูมิภาคนี้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยมาเลเซียได้พัฒนาอย่างรวดเร็วจนอันดับสูงกว่าไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ศ.ดร.ยงยุทธ เน้นย้ำว่าบทบาทของมหาวิทยาลัยต้องกว้างกว่าการเรียนการสอน แต่ต้องครอบคลุมถึงการวิจัย การพัฒนา และการรับใช้สังคม ในบริบทนี้ ศ.ดร.ยงยุทธ อธิบายว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนากำลังคน และโครงการ TAIST-Tokyo Tech ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น TAIST Science Tokyo คือ หนึ่งในผลงานที่ภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ร่วมผลักดันให้เกิดขึ้นในช่วงที่เป็นผู้อำนวยการ สวทช. โครงการนี้มีลักษณะเป็น Virtual Institution ที่ไม่ได้มีพื้นที่ของตนเอง แต่ใช้ทรัพยากรเดิมของมหาวิทยาลัยพันธมิตร โดยมีกลไกสำคัญ คือ นักวิจัยของ สวทช. จะทำหน้าที่เป็นทั้งนักวิจัยและอาจารย์ ซึ่งเป็นการเชื่อมโลกการวิจัยจริงเข้ากับการศึกษาโดยตรง นอกจากนี้ยังเป็นความร่วมมือแบบพหุภาคีที่มหาวิทยาลัยไทยได้ทำงานร่วมกันเองด้วยไม่ใช่แค่กับญี่ปุ่นเท่านั้น ถอดรหัสความต้องการอุตสาหกรรม: การสร้างคนเพื่อการแข่งขัน ในมุมมองจากภาคเอกชน ดร.ฉัตรชัย สงวนวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ทู ซิสเตอร์ บิสซิเนส คอนซัลแทนท์ จำกัด และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค สวทช.) ได้นำเสนอโมเดลความร่วมมือที่ชัดเจนระหว่างภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และศูนย์วิจัยโดยกล่าวว่าเป้าหมายสูงสุดของภาคอุตสาหกรรม คือ การสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ได้ในสนามรบทางธุรกิจ และต้องต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องได้รับกำลังคนที่มีทักษะสูงจากภาคการศึกษาเพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดตลอดช่วงชีวิตของการทำงาน ดร.ฉัตรชัย ได้ใช้กรอบแนวคิด ระดับความพร้อมของเทคโนโลยี (Technology Readiness Level - TRL) มาเป็นแกนในการอธิบาย โดยแบ่งหน้าที่และความคาดหวังของแต่ละฝ่ายไว้อย่างเป็นระบบ ในส่วนของ ภาคการศึกษาภารกิจสำคัญในการสร้างบัณฑิตที่มีพื้นฐานแน่น ตัวอย่างทักษะพื้นฐานที่บัณฑิตควรมีติดตัวสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ คือ ความสามารถด้าน Image Processing  ความเข้าใจในระบบเซนเซอร์ การเขียนโค้ด และที่สำคัญคือต้องสามารถใช้งานอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องได้จริง เมื่อบัณฑิตที่มีคุณสมบัติดังกล่าวได้ก้าวเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม บทบาทจะเปลี่ยนเป็นการรับมาต่อยอดและพัฒนาอย่างเข้มข้น ภาคอุตสาหกรรมจะลดความสำคัญของทฤษฎีเชิงลึกลงเหลือประมาณ 60% แต่จะมุ่งพัฒนาทักษะด้านการประยุกต์ใช้ให้สมบูรณ์เต็ม 100% โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการประยุกต์ใช้ความรู้ข้ามศาสตร์ (Cross-knowledge Application) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างนวัตกรรม ในขณะเดียวกัน ทักษะเชิงการตลาดจะถูกยกระดับขึ้นอย่างก้าวกระโดดสู่ระดับ 80% ซึ่งครอบคลุมถึงความสามารถในการรู้เท่าทัน เทรนด์เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สามารถแข่งขันในตลาดได้ และการออกแบบเทคโนโลยีที่ผู้บริโภคเข้าถึงง่าย นอกเหนือจากความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและอุตสาหกรรมแล้ว ดร.ฉัตรชัย ยังได้เน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของ ศูนย์วิจัย (Research Center) เช่น สวทช. ในฐานะผู้สนับสนุนเชิงเทคนิค โดย อธิบายว่าศูนย์วิจัยจะเข้ามามีบทบาทเมื่อภาคอุตสาหกรรมเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนเป็นการเฉพาะ โดยมีหน้าที่ตอบโจทย์ 3 ด้านหลัก ได้แก่ การวิจัยเชิงลึก (Deep Research) การพิสูจน์ฟังก์ชันการทำงาน (Prove Function) และให้ข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค (Insight Learning) ดร.ฉัตรชัย กล่าวสรุปว่า โมเดลความร่วมมือสามประสานระหว่างภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และศูนย์วิจัยนี้ คือ หัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ องค์กรที่สามารถนำแนวทางนี้ไปใช้จะสามารถพัฒนากำลังคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรม และท้ายที่สุดคือการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดีให้กับประเทศ ต้นแบบความร่วมมือระดับโลก: วิสัยทัศน์แห่ง Institute of Science Tokyo Prof. Dr. Jun-ichi Takada รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์แห่ง Institute of Science Tokyo ได้กล่าวถึงการก่อตั้ง Institute of Science Tokyo ซึ่งเป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของสองสถาบันชั้นนำอย่าง Tokyo Institute of Technology (Tokyo Tech) และ Tokyo Medical and Dental University (TMDU) โดยชี้ว่าหัวใจหลักของมหาวิทยาลัยแห่งใหม่นี้ คือ ปรัชญาที่เรียกว่า ศาสตร์หลอมรวม (Convergent Science) ที่มุ่งเน้นการนำศาสตร์ต่าง ๆ มาบูรณาการเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่สังคม จุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือ การปรับกระบวนทัศน์การทำงานใหม่ทั้งหมด ไปสู่การวิจัยและการศึกษาที่ขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์ โดยพลิกมุมมองจากการยึดติดกับกรอบสาขาวิชามาให้ความสำคัญกับ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) และใช้โจทย์ปัญหาของสังคมเป็นที่ตั้ง เพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถอุทิศตนรับใช้สังคมได้อย่างแท้จริง ดังนั้น สถาบันจึงได้จัดตั้งกลุ่มวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ขึ้นมาเป็นหน่วยงานวิจัยแบบสหวิทยาการโดยเฉพาะ เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์นี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม Prof. Dr. Takada เน้นย้ำว่า เป้าหมายทั้งหมดนี้จะสำเร็จไม่ได้หากขาดระบบนิเวศที่แข็งแกร่งจากความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ และมหาวิทยาลัย และกล่าวว่าประเทศไทยมีสถานะเป็นพันธมิตรที่พิเศษอย่างยิ่งสะท้อนได้จากการมีสำนักงานในไทยถึง 3 แห่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นดูแลโครงการ TAIST-Science Tokyo โดยตรง และเป็นเครื่องยืนยันถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและยาวนาน ท้ายที่สุด TAIST-Science Tokyo จึงไม่ใช่แค่โครงการความร่วมมือ แต่คือต้นแบบที่พิสูจน์แล้วว่าการสร้างบุคลากรศักยภาพสูงนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จริงผ่านวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความร่วมมือที่เข้มแข็ง โดยมี สวทช. และพันธมิตรเป็นผู้ขับเคลื่อนแนวทางเชิงกลยุทธ์ และได้รับการสนับสนุนด้านทุนวิจัยและพัฒนากำลังคนที่สำคัญจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จนเกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม คือ การผลิตบัณฑิตคุณภาพสูงได้แล้วกว่า 600 คน ในปี 2568 นี้ โครงการยังได้ขยายความร่วมมือ เปิดหลักสูตรใหม่ Biomedical Engineering and AI ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ สวทช. ทั้งนี้ยังได้จับมือกับพันธมิตรใหม่อย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์และระบบรางขั้นสูง (A2TE) เพื่อสร้างกำลังคนให้ตอบโจทย์ประเทศได้อย่างยั่งยืนอิกด้วย      
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ต้อนรับคณะผู้บริหารและบุคลากรมหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมหาแนวทางนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาประยุกต์ใช้ในการบริหารและจัดการศึกษา
5 กันยายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารและบุคลากรจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในโอกาสเข้าศึกษาดูงานเกี่ยวกับ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และระบบบริหารจัดการภายในองค์กร โดย ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ด้านสารสนเทศ ร่วมให้เกียรติกล่าวต้อนรับ การศึกษางานในครั้งนี้ ผศ. ดร.เด่นพงษ์ สุดภักดี รองอธิการบดีฝ่ายการศึกษาและดิจิทัล และคณะเข้ารับฟังการบรรยายงานใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ • National AI Service Platform (NAIS) : ระบบบริการ AI ระดับชาติที่ สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการวิจัย การพัฒนา และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศ นำเสนอโดย ดร.วาทยา ชุณห์วิจิตรา หัวหน้าทีมวิจัย ทีมวิจัยการเข้าใจเสียงและข้อความ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) • NSTDA ChatAI (ชาไทย) : Generative AI แพลตฟอร์มแชตบอทภาษาไทยที่พัฒนาโดย สวทช. เพื่อให้บริการข้อมูลและสนับสนุนการสื่อสาร ช่วยหาข้อมูลด้วย Web Search และเข้าถึงง่าย พัฒนาให้เหมาะสมกับบริบทขององค์กร นำเสนอโดย นายวรวุฒิ ขุนครอง ผู้อำนวยการฝ่ายบริการเทคโนโลยีดิจิทัล สวทช. • ระบบ My project จัดเก็บ/ติดตาม โครงการ เช่น รายละเอียดงาน เอกสาร ไฟล์ ความคืบหน้าTimeline และการแสดงผลบน Dashboard เพื่อดูสถานะล่าสุดของโครงการ ใช้เชื่อมโยงกับระบบอื่น เช่น ระบบจัดการงาน (Task Management) ระบบบริหารโครงการ (Project Management) หรือระบบ ERP/CRM นำเสนอโดย นางญาณวรรณ สินธุภิญโญ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหาร สวทช. ระบบ PABI หรือระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการงานด้านหลังบ้าน เป็นระบบกลางเพื่อจัดการข้อมูลต่าง ๆ เช่น การเงินและบัญชี งานพัสดุ รายงานและการวิเคราะห์ การจัดทำรายงานเชิงบริหารเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดความซ้ำซ้อน และทำให้การบริหารงานโปร่งใส นำเสนอโดย นายชุมชัย แซ่โง้ว ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลสารสนเทศ สวทช. คณะผู้บริหารและบุคลากรจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้เข้าร่วมรับฟังการบรรยาย แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ชมการสาธิตระบบและการใช้เทคโนโลยี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และมองหาแนวทางการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารและจัดการศึกษา ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในมหาวิทยาลัย การแลกเปลี่ยนความรู้ในครั้งนี้ ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความเข้าใจด้าน AI และการประยุกต์ใช้เชิงการศึกษา แต่ยังเปิดโอกาสให้ทั้งสองหน่วยงานได้หารือแนวทางความร่วมมือ เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรและสร้างสังคมแห่งนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ประเทศในอนาคต  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
คณะอนุกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ของ สวทช. เยี่ยมชมผลงานในกลุ่ม Battle PhytoEX และ Pre – Battle Inno – Agroindustry
เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 คณะอนุกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ของ สำนักงานพัฒนาวิทยศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย นายแพทย์สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานอนุกรรมการฯ และผู้แทนอนุกรรมการฯ ประกอบด้วย ดร.วิไลพร เจตนจันทร์ ที่ปรึกษา บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) คุณวริสรา พึ่งทองหล่อ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการลงทุน 1 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รวมถึงเจ้าหน้าที่จาก SCG และ BOI เข้ารับฟังและเยี่ยมชมผลงานการขับเคลื่อน S&T Implementation for Sustainable Thailand จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1) แพลตฟอร์มสร้างนวัตกรรมสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทย เพื่อความงาม สุขภาพ และอายุยืนยาว (Battle PhytoEX) และ 2) การเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบและวัสดุเหลือใช้จากอุตสาหกรรมอ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน (Pre - Battle Inno - Agroindustry) โดยมี ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานกลยุทธ์องค์กร, ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, คณะผู้บริหาร สวทช. และศูนย์ฯ แห่งชาติ ตลอดจนนักวิจัยที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โอกาสนี้ ประธานอนุกรรมการนโยบายฯ และคณะได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัยที่สนับสนุนแพลตฟอร์มสร้างนวัตกรรมสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทย เพื่อความงาม สุขภาพ และอายุยืนยาว (Battle PhytoEX) ได้แก่ • กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโนและระบบนําส่งทางชีวภาพ ที่นำเสนอศักยภาพทางด้านการวิจัยและพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำ คือ การสกัด Formulation การพัฒนาสูตรตำรับ ไปจนถึงปลายน้ำ คือการขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์นวัตกรรมในระดับต้นแบบ (Pilot Plant) พร้อมเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสําอาง และตัวอย่างผลงานจากห้องปฏิบัติการที่ต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ • กลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูงความปลอดภัยและสารสนเทศ ที่มุ่งเน้นวิจัยและพัฒนาแบบจำลองในการทำนายและวิธีการทดสอบที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อประเมินความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การประเมินชีวฤทธิ์ (Bioactivity) และการศึกษาประสิทธิภาพ (Efficacy) โดยผ่านการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็น การเพาะเลี้ยงเซลล์ในหลอดทดลอง (In Vitro) ที่มีรูปแบบ 2D และ 3D ที่เลียนแบบอวัยวะต่าง ๆ เช่น ระบบย่อยอาหาร ตัวกั้นระหว่างเลือดกับสมอง (Blood - Brain Barrier) ผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจ รวมถึงการใช้ผิวหนังจริงของมนุษย์ (Ex Vivo) และปลาม้าลาย (In Vivo) สำหรับโครงการการเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบและวัสดุเหลือใช้และจากอุตสาหกรรม อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน (Pre - Battle Inno - Agroindustry) ซึ่งมีเป้าหมายในการพัฒนาเทคโนโลยีฐานที่มีใน สวทช. เพื่อต่อยอดไปใช้ในตอบโจทย์การเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรม โดยบูรณาการองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ กระบวนการเคมี และวิศวกรรม โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของเครือข่ายนักวิจัยในศูนย์ฯ แห่งชาติ และหน่วยงานพันธมิตร ได้นำผลงานมาร่วมจัดแสดงนิทรรศการ อาทิ • นวัตกรรมการผลิตทรีฮาโลสจากมอลโตสด้วยเทคโนโลยีเอนไซม์ • นวัตกรรมการผลิตน้ำตาลแอลกอฮอล์เพื่อใช้เป็นสารให้ความหวานทางเลือกที่ดีกับสุขภาพ • เอนอีซ (Enzease) เอนไซม์อัจฉริยะสำหรับลอกแป้งและกำจัดสิ่งสกปรกบนผ้าฝ้ายแบบขั้นตอนเดียว • เรตติไซม์ (Rettizyme) มัลติเอนไซม์ สำหรับกระบวนการแช่หมักเส้นใยจากใบสับปะรด • ร็อกซิไซม์ (Roxizyme) เอนไซม์ ต้านอนุมูลอิสระจากเชื้อจุลินทรีย์ • ระบบก๊าซชีวภาพประสิทธิภาพสูงสำหรับวัตถุดิบผสมและกากมันสำปะหลัง • ชุดไฮโดรไซโคลน (Hydrocyclone) สำหรับอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง • ลิกนินออกแบบได้จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อใช้เป็นสารเติมแต่งเชิงหน้าที่ในอุตสาหกรรม • InnoSacc ยีสต์ทนร้อนที่มีการแสดงออกของเอนไซม์ย่อยแป้งที่ผิวเซลล์สำหรับกระบวนการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังแบบขั้นตอนเดียว • สารชีวภัณฑ์เพื่อกำจัดวัชพืชใบกว้าง • ผลิตภัณฑ์ชีวบำบัดสำหรับใช้ในการบำบัดน้ำเสีย และกลิ่นไม่พึงประสงค์ • FRAcelle เส้นใยเซลลูโลสระดับนาโนสารพัดประโยชน์ • Carbano@Activocarb ถ่านคาร์บอนกัมมันต์ (Activated Carbon, AC) ชนิดพิเศษที่มีรูพรุนสองชนิดผสม ทำให้มีพื้นที่ผิวจำเพาะสูง
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ปิดฉากยิ่งใหญ่ประชุมวิชาการ TAIST-Science Tokyo ปลุกพลังเยาวชน! จุดประกายความคิดสู่นักนวัตกรรมรุ่นใหม่
(เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568) การประชุมวิชาการ “TAIST-Science Tokyo: วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพัฒนากำลังคนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” ดำเนินต่อเนื่องเป็นวันสุดท้าย ณ ห้อง Eternity โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ โดยกิจกรรมในวันดังกล่าวเป็นการมุ่งเน้นการสร้างแรงบันดาลใจให้ เยาวชนและคนรุ่นใหม่รักในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งสู่เส้นทางสายอาชีพ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวเปิดงานและต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุม พร้อมเน้นย้ำภาระกิจและบทบาทที่สำคัญ ของ สวทช. ในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคตที่ยั่งยืน ต่อด้วย Keynote Speaker คุณปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และเป็นศิษย์เก่าทุน TAIST-Science Tokyo ถ่ายทอดแนวคิดและทักษะสำคัญที่เยาวชนควรมี เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ การทำงานร่วมกัน และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสร้างโอกาส พร้อมยกตัวอย่างประสบการณ์ด้านนวัตกรรมจริง กิจกรรมต่อเนื่องเป็น “Startup ปั้นนักคิดสู่โลกธุรกิจและผู้ประกอบการ” โดย ดร.วนรักษ์ ชัยมาโย นักบริหารงานวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล (ศิษย์เก่าทุน JSTP และโครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อน DESY) บรรยายเรื่องการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการวางแผนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนต่อด้วยเวิร์กชอป “ไอเดียเปลี่ยนโลก! เมื่องานวิจัยกลายเป็นนวัตกรรม” โดย ดร.ธีรพงศ์ ยะทา ผู้ก่อตั้งบริษัท นาอีฟ อินโนว่า จำกัด กระตุ้นให้เยาวชนเห็นแนวทางต่อยอดงานวิจัยสู่ธุรกิจ นอกจากนี้ ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ นักวิจัยรุ่นใหม่จาก ไบโอเทค สวทช. ขึ้นบรรยายเสริมแรงบันดาลใจ แบ่งปันประสบการณ์ชีวิต การเรียนรู้จากความผิดพลาด และการก้าวข้ามอุปสรรค พร้อมแนะนำให้น้อง ๆ กล้าที่จะริเริ่มสิ่งใหม่ ก่อนปิดท้ายด้วยเวิร์กชอป “Creative Resin: preserve plants ideas – สร้างสรรค์พืชผ่านเรซิ่น” โดยทีมวิทยากรและศิษย์เก่าทุน สวทช. รวมทั้งนักเรียนทุนที่กำลังศึกษาอยู่ในโครงการ TAIST-Science Tokyo ที่มาช่วยดูแลและให้คำแนะนำน้อง ๆ ในการทดลองสร้างผลงานจริง กิจกรรมนี้ผสมผสานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์กับศิลปะอย่างสร้างสรรค์ การประชุมวันสุดท้ายจึงไม่เพียงมอบความรู้และแรงบันดาลใจ แต่ยังสร้างมิตรภาพและเปิดโอกาสให้เยาวชนได้ต่อยอดความคิดสู่การเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศต่อไป  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. -ตลาดหลักทรัพย์ ฯ หนุน SMEs ผ่านเวที “SMEs ต้องรอด 2025” ชูผลิตภัณฑ์และบริการเชิงพาณิชย์ 11 บริษัท แข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ ห้องประชุมเสรี จินตนเสรี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (Business Innovation Division: BID) ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กำหนดจัดกิจกรรมสำคัญประจำปี Pitching Showcases: ก้าวข้ามขีดจำกัดสู่ High-Value SMEs โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า จัดขึ้นเพื่อเป็น เวทีสำคัญ ในการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเทคโนโลยีไทย ได้นำเสนอศักยภาพและนวัตกรรมต่อสายตาของนักลงทุน ลูกค้าเป้าหมาย และพันธมิตรทางธุรกิจโดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือและต่อยอดโอกาสเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ธุรกิจไทยก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้น และถือเป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนาใหญ่ประจำปี “SMEs ต้องรอด 2025” ที่มุ่งเน้นการ ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจไทย พลิกเกมฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและกลยุทธ์ที่นำไปปฏิบัติได้จริง สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ซึ่งกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับ SMEs จากธุรกิจแบบดั้งเดิมไปสู่การเป็น Technology-Based SMEs เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลก ทั้งนี้โครงการ “ก้าวข้ามขีดจำกัดเพื่อมุ่งสู่การเป็น SMEs ที่มีมูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยี” (C-HV SMEs 2025) เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างสมดุลและยกระดับระบบนิเวศนวัตกรรมไทย โดยเชื่อมโยงผลงานวิจัยและพัฒนาจากสถาบันวิจัยภาครัฐและมหาวิทยาลัยเข้าสู่การสร้างธุรกิจที่สามารถแข่งขันได้จริงในตลาด ดำเนินการโดย ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) สวทช. ซึ่งมุ่งเน้นผลักดันให้ผู้ประกอบการที่มีผลงานวิจัยระดับ TRL 6 ขึ้นไป สามารถต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์และบริการเชิงพาณิชย์ ที่สร้างรายได้และมีศักยภาพแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ โดยเวทีดังกล่าวเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเทคโนโลยีไทย 11 บริษัทดาวเด่น ที่ผ่านการบ่มเพาะภายใต้โครงการ C-HV SMEs 2025 (Crossing the Chasm to High-Value SMEs) ได้นำเสนอศักยภาพและนวัตกรรมต่อสายตานักลงทุน ลูกค้าเป้าหมาย และพันธมิตรทางธุรกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสเชื่อมโยงเครือข่าย ขยายฐานธุรกิจ และยกระดับการพัฒนาสู่ SMEs มูลค่าสูง (High-Value SMEs) อย่างแท้จริง ภายใต้งานสัมมนาใหญ่ประจำปี “SMEs ต้องรอด 2025” ซึ่งมุ่งเน้นการ “ปลดล็อคศักยภาพธุรกิจไทย” และการ “พลิกเกมฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ” ด้วย นวัตกรรม กลยุทธ์ และโอกาสจากตลาดทุน “ขอแสดงความชื่นชมและให้กำลังใจแก่ผู้ประกอบการทั้ง 11 บริษัท ที่พร้อมจะก้าวขึ้นเวที Pitching เพื่อแสดงศักยภาพและเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ขอให้ทุกท่านใช้เวทีนี้อย่างเต็มที่ในการเชื่อมโยงเครือข่าย ต่อยอดแนวคิด และสร้างแรงบันดาลใจ และเชื่อมั่นว่า นี่จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะผลักดันธุรกิจของท่านไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในหัวข้อ “SMEs ต้องรอด: กลยุทธ์สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคเศรษฐกิจใหม่” กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ สวทช. ในการจัดเวที Pitching Showcases ไม่เพียงแต่เปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการได้นำเสนอผลงาน แต่ยังสะท้อนถึงความตั้งใจร่วมกันในการ ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจไทย และพลิกเกมฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและตลาดทุน ทั้งนี้มีข้อมูลว่าประเทศไทยมีผู้ประกอบการกว่า 3 ล้านราย ที่เป็นเสาหลักของระบบเศรษฐกิจ แต่ต้องเผชิญความท้าทายอย่างซับซ้อน ทั้งการแข่งขันระดับโลก ต้นทุนที่ผันผวน และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ดังนั้น การที่ SMEs จะรอด จึงไม่ใช่เพียงการ “เอาตัวรอด” ไปในแต่ละวัน แต่คือการสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยสิ่งสำคัญคือ 3 แนวทาง ได้แก่ 1.การปรับกลยุทธ์: SMEs ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และนำเทคโนโลยีมาสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่า 2.การเปลี่ยนกลไก:  ต้องอาศัยระบบนิเวศธุรกิจที่เกื้อกูล ตั้งแต่แหล่งทุน ความรู้ เครือข่าย ไปจนถึงพันธมิตรทางธุรกิจ และ 3.การสร้างความยั่งยืน: การเติบโตต้องควบคู่กับการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อให้ธุรกิจแข็งแกร่งในระยะยาว “ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะกลไกสำคัญของระบบนิเวศธุรกิจ พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถก้าวจาก ธุรกิจแบบดั้งเดิม (Traditional SMEs) ไปสู่ ธุรกิจที่มีมูลค่าสูง (High-Value SMEs) โดยอาศัย นวัตกรรม เทคโนโลยี และตลาดทุน เป็นแรงขับเคลื่อน ท้ายที่สุดนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ สวทช. ขอยืนยันความมุ่งมั่นที่จะ ร่วมเป็นคู่คิด คู่สร้าง และคู่ขับเคลื่อน ไปกับผู้ประกอบการไทยทุกท่าน เพื่อทำให้นโยบาย “SMEs ต้องรอด” เป็นจริง และเพื่อให้ธุรกิจไทยเติบโตอย่าง แข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืน” นายประพันธ์ กล่าว สำหรับผู้ประกอบการทั้ง 11 บริษัท ที่ขึ้นเวที Pitching เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมาประกอบด้วย 1.บริษัท คอสเม่เน็ต จำกัด 2.บริษัท โฮลิสต้า จำกัด 3.บริษัท เมลโม่ อีวี ลอน โมเว่อร์ ไทยสมบูรณ์ จำกัด 4.บริษัท ลอคอล จำกัด 5.บริษัท มาโคด จำกัด 6.บริษัท พีบี ฟู้ดทอรี่ จำกัด 7.บริษัท เอส ชี เฮลท์เทค จำกัด 8.บริษัท สไปก์ อาร์ชิเทคโทนิคส์ จำกัด 9.บริษัท เพท เพอร์ฟอร์ม จำกัด 10.บริษัท โครโนไลฟ์ จำกัด และ 11.บริษัท นาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด เพื่อนำเสนอผลงานนวัตกรรมสู่กลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกอบการ SMEs ที่กำลังมองหาโอกาสในการเป็นคู่ค้า พันธมิตร หรือตัวแทนจำหน่าย และลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการนำเทคโนโลยีไปต่อยอดทางธุรกิจ รวมถึงนักลงทุนที่มองหาธุรกิจที่มีศักยภาพ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเครือข่ายธุรกิจและเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดเสวนา ปลดล็อกทางรอดธุรกิจ: พลิกเกมเศรษฐกิจด้วย ‘การทดสอบมาตรฐาน’ ระดับโลก ในงาน Thailand LAB International 2025
 (วันที่ 4 กันยายน 2568) ณ ห้อง MR-218 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ในงาน Thailand LAB International 2025: ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STIS) เป็นประธาน เปิดงานเสวนาหัวข้อ “ปลดล็อกทางรอดธุรกิจ: พลิกเกมเศรษฐกิจด้วย ‘การทดสอบมาตรฐาน’ ระดับโลก กับ สวทช.” โดยมี ผอ. หน่วยงานที่ให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ (NQI) ทั้ง 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC), ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC), ดร.สาวิตรี กองเกียรติวานิช ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านและเซรามิกอุตสาหกรรม (CTEC), ดร.ภญ.รวิวรรณ มณีรัตนโชติ (รักษาการ)ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบทางพิษวิทยาและชีววิทยา (TBES) และนายวรวิทย์ จันทร์สีหราช (รักษาการ) ผู้อำนวการฝ่ายบริการงานวิศวกรรม สวทช. (NFED) เป็นวิทยากรร่วมเสวนา ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า มีความยินดีที่จัดงานเสวนาในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ สวทช. ด้านการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต่อการยกระดับผลิตภัณฑ์สู่มาตรฐานระดับโลก และแนะนำบริการวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วย * ลดความเสี่ยง: สร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ตามเกณฑ์สากล * เพิ่มความน่าเชื่อถือ: ได้รับการรับรองที่ยอมรับในระดับนานาชาติ สร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าและผู้บริโภค * สร้างโอกาสทางการตลาด: ขยายตลาดสู่ต่างประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน * ต่อยอดนวัตกรรม: บริการออกแบบและพัฒนาต้นแบบเชิงวิศวกรรม NFED ที่จะช่วยให้ไอเดียของคุณกลายเป็นผลิตภัณฑ์ได้จริง     กิจกรรมในวันนี้จึงเป็นการส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovative Startup Ecosystem) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จและเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการให้เติบโตอย่างยั่งยืนในสภาวะวิกฤตเศรษกิจการค้าโลกต่อไป นอกจากนี้ สวทช. ยังนำหน่วยงานที่ให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ (NQI) มาร่วมออกบูธและให้คำปรึกษาในงาน Thailand LAB International 2025 ด้วย จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการเยี่ยมชมและพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับนักวิจัยและวิศวกรที่บูธ สวทช. ภายในงาน ระหว่างวันที่ 3 – 5 กันยายน 2568                 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญนักวิจัย อาจารย์ นิสิต นักศึกษา และผู้สนจเข้าร่วมเวทีนานาชาติ IBD2025 ร่วมขับเคลื่อนงานวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพสู่ระดับโลก!
เริ่มนับถอยหลังสู่การประชุมนานาชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ 2025 : IBD 2025 . ขอเชิญนักวิจัย อาจารย์ นิสิต นักศึกษา และผู้สนจเข้าร่วมเวทีนานาชาติ IBD2025 ร่วมขับเคลื่อนงานวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพสู่ระดับโลก! International Conference on Biodiversity 2025 (IBD2025) หัวข้อหลัก: "Biodiversity and Humanity in Global Crisis" วันที่ 5–7 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) กรุงเทพฯ ________________________________________ สวทช. ผลักดันเวทีความหลากหลายทางชีวภาพระดับโลกร่วมกับหน่วยงานขับเคลื่อนงานวิจัยของประเทศไทย อาทิ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา มูลนิธิสวนหลวง ร.9 และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พบกับนักวิชาการระดับโลก ผลงานวิจัยกว่า 200 เรื่องในรูปแบบภาคบรรยาย และภาคโปสเตอร์ พร้อมกิจกรรมเสวนา นิทรรศการ และทัศนศึกษาแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพ ลงทะเบียนภายในวันที่ 15 กันยายน 2568 เท่านั้น! www.biodconference.org สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: Email: info.ibdconf@gmail.com LINE Official Account: @ibdconf Facebook: Ibd2025 Website: www.biodconference.org ร่วมเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทย ในการขับเคลื่อนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในระดับนานาชาติ
ปฏิทินกิจกรรม
 
10 Technologies to Watch 2025: แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ (Bispecific Antibody)
โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรโลก ซึ่งยังไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผลดีและหายขาด แต่ขณะนี้เรามีเทคโนโลยีที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะปฏิวัติการรักษามะเร็งที่ให้ผลแม่นยำและอาจส่งผลให้การติดเชื้อไวรัสอย่าง HIV หายขาดได้ นั่นคือ “แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่” ร่างกายคนสร้างภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคอย่างจำเพาะเจาะจง ซึ่งปกติแอนติบอดีมี “แขนสองข้างที่เหมือนกัน” ทำให้จับกับเป้าหมายบนผิวเซลล์เชื้อโรคได้เพียงชนิดเดียว แต่แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่มี “แขนสองข้างที่แตกต่างกัน” ทำให้จับกับเป้าหมายที่ต่างกัน 2 ชนิดได้ในเวลาเดียวกัน เสมือน “สะพานโมเลกุล” ที่เชื่อมเซลล์หรือโปรตีน 2 ชนิดเข้าด้วยกัน จึงทำลายเชื้อโรคแม่นยำขึ้น ตัวอย่างการใช้งาน เช่น ทีเซลล์ เอนเกจเจอร์ (T cell Engager) กลไกสร้างแอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ที่ออกแบบให้แขนข้างหนึ่งจับกับโปรตีนบนผิวเซลล์มะเร็ง และแขนอีกข้างหนึ่งจับกับโปรตีนบนผิวทีเซลล์ (T cell) ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงดึงทีเซลล์เข้ามาใกล้เซลล์มะเร็งเป้าหมาย จึงทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เหมือนสร้างสะพานให้กองกำลังทหารเข้าโจมตีผู้ร้ายได้ตรงจุด ความเหนือชั้นของเทคโนโลยีนี้คือ “ความแม่นยำ” เพราะโจมตีเซลล์มะเร็งได้ตรงเป้า จึงช่วยลดผลกระทบต่อเซลล์ปกติ อีกทั้ง “มีกลไกการทำงานหลากหลาย” และที่สำคัญ “เข้าถึงง่ายกว่ายาแบบเดิม” เพราะผลิตยาแล้วใช้กับผู้ป่วยได้ทันที ต่างจากคาร์-ทีเซลล์ (CAR-T Cell) ที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน เพราะต้องนำทีเซลล์ผู้ป่วยมาดัดแปลงพันธุกรรมในห้องปฏิบัติการก่อนฉีดกลับเข้าร่างกาย เทคโนโลยีนี้เริ่มใช้งานอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในกลุ่มโรคมะเร็งเม็ดเลือดและไขกระดูก ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก และกำลังขยายผลสู่การรักษาโรคมะเร็งชนิดก้อน เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม รวมถึงโรคภูมิคุ้มกันต่อตนเอง ที่สั่นสะเทือนวงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์ คือ การใช้รักษาโรคติดเชื้อ เช่น HIV ถือเป็นความหวังใหม่ที่จะรักษาผู้ป่วย HIV ให้หายขาด ปัจจุบันหลายบริษัททั่วโลกกำลังพัฒนาและผลิตแอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ให้จำเพาะต่อมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น ยาบลินไซโต (Blincyto®) หรือชื่อสามัญคือบลินาทูโมแมบ (blinatumomab) เป็น T cell Engager ตัวแรกที่ได้รับการอนุมัติใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน ขณะนี้มีการพัฒนา Trispecific Antibody ที่จับเป้าหมาย 3 ชนิดพร้อมกันได้สำเร็จ ช่วยนำส่งยาเข้าสู่เซลล์มะเร็งได้แม่นยำขึ้น เป็นความหวังผู้ป่วยโรคมะเร็ง สร้างโอกาสทางธุรกิจเปิดตลาดยาใหม่และนวัตกรรมที่มีมูลค่ามหาศาล สวทช. มีความพร้อมทั้งบุคลากร องค์ความรู้ และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีแอนติบอดีและเซลล์ที่พร้อมรองรับการวิจัยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีนี้สู่การใช้จริงเชิงพาณิชย์และผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางรับจ้างวิจัยและผลิตยาชีววัตถุในภูมิภาค 📌 อ่านข้อมูลฉบับเต็มและข่าวประชาสัมพันธ์ได้ที่: https://www.nstda.or.th/r/BtQWQ 📌 รับชมการบรรยายได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=8cAv6AEX55c
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
กิจกรรม Meet the Food Expert by FI หัวข้อ “วิเคราะห์คุณค่า เข้าใจ และกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการของตลาด”
🎊🎊 มาแล้ว! กิจกรรมให้คำปรึกษาแบบ One on One สำหรับผู้ประกอบการอาหารที่ต้องการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด สวทช. โดย Food Innopolis เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอาหารรับคำปรึกษาแบบ One on One ในกิจกรรม Meet the Food Expert by FI หัวข้อ “วิเคราะห์คุณค่า เข้าใจ และกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการของตลาด” ✍️ ดำเนินการโดยทีมวิทยากรหลักสูตร Agro-Industrial Innovation & Management คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ✨ เหมาะสำหรับผู้ประกอบการอาหารที่ต้องการเข้าใจลูกค้าเชิงลึก แบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจน (Segment/Persona) และกำหนดตำแหน่งสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด 🗓️ จัดขึ้นวันอังคารที่ 16 และวันพุธที่ 17 กันยายน 2568 📍 ผ่านระบบการประชุมออนไลน์ Zoom Meeting ✍️ ลงทะเบียนได้ที่: คลิกที่นี่ 📌 รับจำนวนจำกัดเพียง 10 บริษัทเท่านั้น เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 9 กันยายน 2568 (หรือจนกว่าจะครบจำนวนที่กำหนด) 📢 ประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือกและรายละเอียดการเข้าร่วม วันที่ 10 กันยายน 2568 ทางอีเมล 📲 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Facebook: Foodinnopolis Email: bd@foodinnopolis.or.th      
ข่าว
 
ปฏิทินกิจกรรม