ผลการค้นหา :
เปิดตัว “Roxizyme” เอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระฝีมือนักวิจัยไทย ประสิทธิภาพเหนือวิตามินซี
นักวิจัยไบโอเทค สวทช. เปิดตัว “ร็อกซิไซม์” (Roxizyme) นวัตกรรมเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ ที่พัฒนาจากยีสต์สายพันธุ์ท้องถิ่นในไทย พร้อมเดินหน้าต่อยอดสู่ธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยร่วมพัฒนาการผลิตเชิงพาณิชย์และขยายตลาดสู่สากล
กระแสการดูแลสุขภาพและความงามในปัจจุบันให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะ "สารต้านอนุมูลอิสระ" ที่เป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสารเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีข้อจำกัดในการแข่งขันทางการตลาด
[caption id="attachment_74761" align="aligncenter" width="617"] ดร.พิษณุ ปิ่นมณี นักวิจัย ไบโอเทค สวทช.[/caption]
จากปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้พัฒนา “Roxizyme” โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพจากยีสต์ที่คัดเลือกจากตัวอย่างข้าวหมักจากทางภาคเหนือของไทย และปรับกระบวนการผลิตให้ยีสต์ดังกล่าวสามารถสร้างเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระที่มีความสำคัญ ได้แก่ ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส (Superoxide dismutase; SOD) คะตะเลส (Catalase; CAT) และกลูตาไธโอนเปอร์ออกซิเดส (Glutathione peroxidase; GPx) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางระดับสากล
[caption id="attachment_74758" align="aligncenter" width="562"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ “Roxizyme” เพื่ออุตสาหกรรมความงาม (ภาพจาก ไบโอเทค)[/caption]
ปัญหาสำคัญของการใช้เอนไซม์ในเชิงพาณิชย์ คือ ความไม่เสถียร ทีมวิจัยจึงพัฒนาเทคโนโลยีการผสมสูตร (formulation technology) เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรของเอนไซม์ ทำให้สามารถคงคุณภาพและประสิทธิภาพการทำงานได้ดียิ่งขึ้น
ผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นว่า Roxizyme มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่สูง (ABTS assay) และสามารถช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสในระดับใกล้เคียงกับสารที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เช่น กรดโคจิก (Kojic acid) (anti-tyrosinase assay) โดยไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์ (cell cytotoxicity) และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเซลล์ผิว (skin irritation test) ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวมีประโยชน์ในการต่อยอดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ดร.พิษณุ ปิ่นมณี นักวิจัยทีมเทคโนโลยีเอนไซม์ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า “สารต้านอนุมูลอิสระที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของประเทศไทยมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 2,400-2,600 ล้านบาท และยังเติบโตต่อเนื่อง โดยผลิตภัณฑ์ Roxizyme มีโอกาสเข้าสู่ตลาดเครื่องสำอางที่เน้นส่วนผสมจากธรรมชาติซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย พร้อมทั้งช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย”
[caption id="attachment_74762" align="aligncenter" width="562"] ดร.พิษณุ ปิ่นมณี นำเสนอนวัตกรรม Roxizyme บนเวทีการนำเสนอผลงานวิจัยเด่นที่น่าลงทุน (Investment Pitching) ในงาน Thailand Tech Show 2025[/caption]
นอกจากนี้ นวัตกรรมเอนไซม์ Roxizyme ยังได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 10 ผลงานนำเสนอในเวที Thailand Tech Show 2025 (TTS2025) เพื่อหาความร่วมมือกับภาคเอกชนในการต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยทีมวิจัยตั้งเป้าให้สามารถนำ Roxizyme ไปใช้จริงในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และขยายไปสู่อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงตลาดต่างประเทศในอนาคต
[caption id="attachment_74760" align="aligncenter" width="750"] สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติเป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์ดังระดับโลกมากมาย[/caption]
Roxizyme จึงไม่เพียงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบเครื่องสำอาง แต่ยังเป็นตัวอย่างสำคัญของการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของไทยมาต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สามารถเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและยกระดับอุตสาหกรรมความงามของประเทศให้ก้าวสู่เวทีโลก
ผู้ประกอบการที่สนใจนวัตกรรม Roxizyme ติดต่อได้ที่ ดร.พิษณุ ปิ่นมณี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 6700 ต่อ 3401 อีเมล phitsanu.pin@biotec.or.th
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ภาพประกอบโดย ไบโอเทค สวทช. และ Shutterstock
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
นวัตกรรมคนไทย ! รถเข็นสระผม “แคร์ธี่” ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยติดเตียงและผู้ดูแล
การสระผมเป็นกิจวัตรที่ทุกคนต้องทำเป็นประจำเพื่อทำความสะอาดเส้นผมและหนังศีรษะ ทั้งยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่การสระผมสำหรับผู้ป่วยติดเตียงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมแพทย์และนักวิจัยไทยจึงร่วมกันพัฒนานวัตกรรมรถเข็นสระผม “แคร์ธี่” (Kathy) ที่ช่วยให้การสระผมของผู้ป่วยติดเตียงสะดวกยิ่งขึ้น ประหยัดเวลา และลดความเสี่ยงการบาดเจ็บของผู้ดูแลจากการทำงาน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ พัฒนานวัตกรรมรถเข็นสระผม “แคร์ธี่” เพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่เคลื่อนย้ายลำบากให้สามารถสระผมที่เตียงได้
[caption id="attachment_74669" align="aligncenter" width="750"] ดร.ฉัตรชัย จันทร์เด่นดวง นักวิจัย เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.ฉัตรชัย จันทร์เด่นดวง ทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า การสระผมให้ผู้ป่วยติดเตียงในโรงพยาบาลนั้นมีความลำบาก ทำได้ไม่สะดวก ต้องใช้บุคลากรหลายคน และใช้อุปกรณ์จำนวนมาก อีกทั้งยังเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุต่อผู้ปฏิบัติงาน สถาบันประสาทวิทยาจึงได้ร่วมกับทีมวิจัยเอ็มเทคในการพัฒนารถเข็นสระผมผู้ป่วยติดเตียง โดยทีมวิจัยได้เข้าไปศึกษาขั้นตอนการสระผมให้ผู้ป่วยติดเตียงจากพยาบาลที่สถาบันประสาทวิทยา และออกแบบพัฒนารถเข็นสระผมให้มีฟังก์ชันการใช้งานตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานจริง
[caption id="attachment_74670" align="aligncenter" width="750"] นายแพทย์วุฒิพงษ์ ฐิรโฆไท นายแพทย์เชี่ยวชาญกลุ่มงานประสาทศัลยศาสตร์ สถาบันประสาทวิทยา[/caption]
"จากการศึกษาและสังเกตการสระผมให้ผู้ป่วยติดเตียงที่สถาบันประสาทวิทยาพบว่า การสระผมแต่ละครั้งต้องใช้บุคลากร 2 คน และใช้รถเข็น 2 คัน คันหนึ่งสำหรับบรรทุกภาชนะใส่น้ำ อีกคันหนึ่งเป็นอ่างสระผมพร้อมถังรองรับน้ำทิ้งอยู่ใต้อ่างสระผม เวลาสระผมให้ผู้ป่วยพยาบาลคนหนึ่งจะเป็นผู้ประคองศีรษะและสระผมให้ผู้ป่วย ส่วนพยาบาลอีกคนหนึ่งจะคอยใช้ขันตักน้ำราดศีรษะ ซึ่งก่อนสระผมพยาบาลจะต้องยกภาชนะใส่น้ำที่มีน้ำหนักมาก ขึ้นลงบนรถเข็น ทำให้เสี่ยงต่ออาการปวดหลัง และยังเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุจากการลื่นล้มหากมีน้ำหกเลอะเทอะ อีกทั้งการใช้รถเข็น 2 คันทำให้ใช้พื้นที่ในการปฏิบัติงานมาก ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานจึงมีความต้องการรวมอุปกรณ์ทุกอย่างสำหรับสระผมผู้ป่วยให้อยู่ในรถเข็นคันเดียว โดยสามารถลดภาระงานของบุคลากรและเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ปฏิบัติงานและผู้ป่วย”
ทีมวิจัยได้ออกแบบรถเข็นสระผมแคร์ธี่ให้มีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงของผู้ดูแลผู้ป่วย โดยรวมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการสระผมผู้ป่วยไว้ในรถเข็นคันเดียว ประกอบด้วย อ่างสระผมพร้อมที่รองศีรษะ หัวฝักบัวและหัวฉีด ถังเก็บน้ำดี ถังรองรับน้ำทิ้ง ช่วยให้บุคลากรไม่ต้องเคลื่อนย้ายอุปกรณ์หลายชิ้น และลดขั้นตอนการทำงาน มีระบบปั๊มน้ำที่ทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดก๊อก และหยุดทำงานเมื่อปิดก๊อก นอกจากนี้ยังมีไฟแจ้งเตือนระดับน้ำในถังเก็บน้ำ ทำให้ทราบปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ ช่วยให้บริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเติมน้ำเข้าถังได้โดยตรงด้วยการต่อสายยางจากก๊อกน้ำ และเลือกการใช้งานแบบต่อน้ำตรงเพื่อใช้น้ำได้ต่อเนื่องได้อีกด้วย
[caption id="attachment_74671" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยส่งมอบรถเข็นสระผมแคร์ธี่ให้แก่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี[/caption]
จุดเด่นของรถเข็นสระผมแคร์ธี่ คือ อ่างสระผมมีที่รองศีรษะพร้อมหมอนรองคอ จึงไม่ต้องประคองศีรษะผู้ป่วยเวลาสระผม มีหัวฝักบัวยืดหยุ่นและสายหัวฉีดให้เลือกใช้งานได้ตามความสะดวก สามารถปรับระดับความสูงของอ่างสระผมให้เหมาะกับความสูงเตียงหรือสรีระของผู้ใช้งานได้ ทำให้ไม่ต้องก้มมากเกินไป โครงสร้างรถเข็นทำจากอะลูมิเนียมโพรไฟล์และสเตนเลส แข็งแรง ทำความสะอาดง่ายและไม่เป็นสนิม ระบบไฟฟ้าใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ที่ชาร์จไฟใหม่ได้ มีระบบความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น ระบบป้องกันการชาร์จไฟระหว่างใช้งาน จึงไม่ต้องกลัวไฟดูด ระบบตัดน้ำอัตโนมัติในถังน้ำดีเมื่อเติมน้ำเต็มถัง ระบบป้องกันน้ำล้นในถังน้ำทิ้ง ระบบไฟแจ้งเตือนระดับน้ำในถัง ระบบใช้ไฟฉุกเฉินจากอะแดปเตอร์ในกรณีแบตเตอรี่หมดกะทันหันระหว่างใช้งาน มาตรวัดแสดงปริมาณแบตเตอรี่ มีปลั๊กไฟสำหรับเครื่องเป่าผมพกพา 12 โวลต์ มีช่องเสียบ USB Type A และ Type C พร้อมด้วยตะกร้าวางของสเตนเลสสำหรับใส่อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้
[caption id="attachment_74672" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยส่งมอบรถเข็นสระผมแคร์ธี่ให้แก่โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์[/caption]
นายแพทย์วุฒิพงษ์ ฐิรโฆไท นายแพทย์เชี่ยวชาญกลุ่มงานประสาทศัลยศาสตร์ สถาบันประสาทวิทยา และหัวหน้าโครงการพัฒนารถเข็นสระผมผู้ป่วย กล่าวว่า การนำนวัตกรรมรถเข็นสระผมมาใช้ในโรงพยาบาลช่วยให้การสระผมผู้ป่วยทำได้ง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นกว่าเดิม ผู้ป่วยได้รับความสะดวกสบาย ลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก และลดภาระงานของพยาบาลจากเดิมที่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ 2–3 คน เหลือเพียงพยาบาล 1 คนก็สามารถดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยที่ยังไม่สามารถไปห้องน้ำเอง หรือจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การสังเกตอาการตลอดเวลา ก็รับการสระผมได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
[caption id="attachment_74673" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยส่งมอบรถเข็นสระผมแคร์ธี่ให้แก่โรงพยาบาลเลิดสิน[/caption]
“นวัตกรรมรถเข็นสระผมไม่ได้จำกัดการใช้งานเฉพาะผู้ป่วยติดเตียงเท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะไม่สามารถลุกไปห้องน้ำได้ชั่วคราว หรือยังไม่ควรอยู่ในท่ายืน คนไข้ที่ต้องอยู่ในท่านอนหรือยกหัวสูง รวมถึงคนไข้ที่มีแผลผ่าตัดบริเวณศีรษะ จำเป็นต้องสระผมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยสามารถป้องกันแผลผ่าตัดด้วยวัสดุกันน้ำและสระเฉพาะบริเวณโดยรอบ ทำให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยให้กระบวนการดูแลคนไข้เป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ”
[caption id="attachment_74674" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยส่งมอบรถเข็นสระผมแคร์ธี่ให้แก่สถาบันโรคทรวงอก[/caption]
ปัจจุบันรถเข็นสระผมแคร์ธี่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยทางไฟฟ้าตามมาตรฐาน IEC 60335-1 ความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMC) ตามมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ IEC 60601-1-2 และการป้องกันน้ำตามมาตรฐาน IEC 60529 (IPX4) ซึ่งทดสอบโดยศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) และได้จดสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์และอนุสิทธิบัตร รวมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทมหานครมิทอล จำกัด เพื่อผลิตและจำหน่าย
[caption id="attachment_74675" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยส่งมอบรถเข็นสระผมแคร์ธี่ให้แก่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี[/caption]
ทั้งนี้ เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับสถาบันประสาทวิทยา ได้รับทุนสนับสนุนจากกรมการแพทย์ เพื่อพัฒนาและผลิตรถเข็นสระผมแคร์ธี่และส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ 7 แห่ง นำไปใช้งาน ได้แก่ สถาบันประสาทวิทยา โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี โรงพยาบาลเลิดสิน โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) สถาบันโรคทรวงอก และสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี นอกจากนี้ทีมวิจัยยังมีความร่วมมือกับโรงพยาบาลอีกหลายแห่งในการทดลองการใช้งานรถเข็นสระผม เพื่อปรับปรุงพัฒนารถเข็นสระผมรุ่นต่อไปให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นและต้นทุนต่ำลง
[caption id="attachment_74677" align="aligncenter" width="750"] นวัตกรรมรถเข็นสระผมแคร์ธี่[/caption]
“การใช้งานรถเข็นสระผมแคร์ธี่ช่วยลดภาระงานหนักและเพิ่มความสะดวกให้แก่พยาบาลในการทำงานดูแลผู้ป่วย ป้องกันการบาดเจ็บหรือปวดเมื่อย ลดจำนวนบุคลากรในการทำงาน ลดเวลาในการปฏิบัติงาน จากปกติต้องใช้เวลา 30 นาทีในการสระผมให้ผู้ป่วย 1 คน เหลือเพียง 10-15 นาที ทำให้สามารถสระผมให้ผู้ป่วยได้มากขึ้น ผู้ป่วยที่ได้รับการสระผมจะมีสุขอนามัยที่ดี รู้สึกผ่อนคลาย และมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น” ดร.ฉัตรชัยกล่าว
นวัตกรรมรถเข็นสระผมแคร์ธี่ไม่เพียงตอบโจทย์ปัญหาหลายมิติ ทั้งในด้านประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร ความปลอดภัยในการทำงาน แต่ยังเป็นนวัตกรรมที่จำเป็นและมีความหมายอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
สนใจนวัตกรรมรถเข็นสระผมแคร์ธี่ ติดต่อได้ที่ เอ็มเทค สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 6500
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กและอินโฟกราฟิกโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา และวีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ดร.ฉัตรชัย จันทร์เด่นดวง เอ็มเทค และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ไบโอเทค สวทช. เปิดตัว ‘ต้นไผ่ตัดอายุ’ เหมือนต้นแม่ทุกประการ แต่อายุเริ่มจากศูนย์
ไผ่เป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจของไทยที่นำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งในอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมไม้แปรรูป โครงสร้าง เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงพลังงานชีวมวล แต่การขยายพันธุ์ไผ่คุณภาพยังเป็นปัญหาที่เกษตรกรต้องเผชิญ เพราะการนำเมล็ดไผ่มาปลูกให้ได้ต้นที่มีคุณลักษณะตรงตามต้องการมีโอกาสสำเร็จไม่ถึงร้อยละ 1 เนื่องจากไผ่มีอัตรากระจายตัวทางพันธุกรรมสูง
หากจะแก้ปัญหาด้วยวิธีขยายต้นพันธุ์แบบปกติ เช่น การตอน ชำลำ แยกเหง้าลงดิน หรือการตัดข้อของต้นพันธุ์ที่ไม่ทราบอายุมาเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ ก็ยังต้องเสี่ยงกับวิกฤต ‘ตายขุย’ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไผ่ต้นแม่ออกดอกแล้วตาย เมื่อต้นแม่ตาย ไผ่ต้นลูกที่ปกติแล้วมีอายุทางชีวภาพเทียบเท่ากับต้นแม่ จะทยอยตายตามไปด้วยใน 3-5 ปี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัว ‘ต้นไผ่ตัดอายุพันธุ์ฟ้าหม่น’ ที่คงลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ มีคุณลักษณะเหมาะสำหรับอุตสาหกรรมไม้แปรรูป แต่มีอายุเริ่มต้นที่ศูนย์ปี คล้ายกลไกการพัฒนาต้นจากเอ็มบริโอ (embryo) นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีสำหรับขยายพันธุ์ได้ครั้งละปริมาณมาก พร้อมรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
[caption id="attachment_74079" align="aligncenter" width="750"] ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า ที่ผ่านมาทีมวิจัยได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสายพันธุ์ไผ่ ในการคัดเลือกต้นแม่พันธุ์ดีเด่นสายพันธุ์ฟ้าหม่นที่กำลังออกดอกและเริ่มทยอยตาย มาวิจัยกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากเซลล์ร่างกายด้วยวิธีโซมาติกเอ็มบริโอเจเนซิส (somatic embryogenesis) โดยนำเซลล์จากช่อดอกอ่อน (young inflorescence) ของต้นแม่มาเพาะเลี้ยงบนอาหารสูตรเฉพาะ เพื่อกระตุ้นให้เกิดเซลล์ที่ยังไม่จำแนกหน้าที่หรือแคลลัส (callus) ก่อนชักนำให้เกิดต้นอ่อนที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนเซลล์เริ่มต้น (somatic embryo) จากนั้นจึงพัฒนาให้เป็นต้นสมบูรณ์ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ทุกประการ (clonal plant) ด้วยวิธีการนี้ ทำให้เอ็มบริโอที่ชักนำขึ้นจากเซลล์ต้นแม่ เกิดการพัฒนาจากจุดเริ่มต้นอายุใหม่
[caption id="attachment_74084" align="aligncenter" width="750"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่นที่ออกดอกแล้ว[/caption]
[caption id="attachment_74083" align="aligncenter" width="750"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่นที่ออกดอกแล้ว[/caption]
“หลังจากพัฒนากระบวนการชักนำให้เกิดต้นอ่อนที่แข็งแรงได้สำเร็จ ทีมวิจัยได้นำต้นที่ได้ไปปลูกทดสอบผลเรื่องการตัดอายุเรียบร้อยแล้ว ผลปรากฏว่าต้นที่ปลูกไม่ออกดอก หรือหมายถึงประสบความสำเร็จในการตัดอายุต้นแม่ ได้เป็นต้นใหม่ที่มีอายุเริ่มต้นจากศูนย์ ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังเตรียมขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยได้เข้าถึงการใช้ประโยชน์จากไผ่สายพันธุ์นี้แล้ว
“ทีมวิจัยคาดว่าผลสำเร็จของการวิจัยและพัฒนานี้จะต่อยอดไปสู่การผลิตไผ่ตัดอายุสายพันธุ์อื่น ๆ ได้ด้วย โดยปัจจุบันกำลังดำเนินการพัฒนากระบวนการผลิตไผ่ตัดอายุพันธุ์ซางหม่นในขั้นตอนการเพาะเลี้ยงต้นอ่อน ก่อนนำไปปลูกเพื่อวัดผลด้านการตัดอายุต่อไป"
[caption id="attachment_74076" align="aligncenter" width="750"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่นที่เพาะเลี้ยงด้วยกระบวนการโซมาติกเอ็มบริโอเจเนซิส[/caption]
[caption id="attachment_74078" align="aligncenter" width="750"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่นที่เพาะเลี้ยงด้วยกระบวนการโซมาติกเอ็มบริโอเจเนซิส[/caption]
[caption id="attachment_74077" align="aligncenter" width="750"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่นที่เพาะเลี้ยงด้วยกระบวนการโซมาติกเอ็มบริโอเจเนซิส[/caption]
[caption id="attachment_74080" align="aligncenter" width="450"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่น[/caption]
[caption id="attachment_74081" align="aligncenter" width="450"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่น[/caption]
[caption id="attachment_74082" align="aligncenter" width="450"] ไผ่พันธุ์ฟ้าหม่น[/caption]
นอกจากการมุ่งมั่นพัฒนากระบวนการการผลิตต้นพันธุ์ไผ่คุณภาพ อีกสิ่งหนึ่งที่นักวิจัยไบโอเทค สวทช. ให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์ให้ได้เร็วและมีคุณภาพสูง ตอบโจทย์ความต้องการอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้จริง
ดร.ยี่โถ เล่าว่า ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไผ่ตัดอายุพันธุ์ฟ้าหม่นด้วยระบบไบโอรีแอกเตอร์แบบกึ่งจม (Temporary Immersion Bioreactor: TIB) ซึ่งเป็นการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อตามเงื่อนไขที่กำหนดด้วยระบบอัตโนมัติ เพื่อควบคุมปริมาณอาหารและสภาพแวดล้อมให้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืชที่เพาะเลี้ยงอยู่เสมอ ผลจากการทดสอบพบว่า ต้นอ่อนไผ่พันธุ์ฟ้าหม่นที่เพาะเลี้ยงด้วยสูตรอาหารและเงื่อนไขที่ทีมวิจัยกำหนดเติบโตเร็วกว่าการเพาะเลี้ยงแบบวิธีทั่วไปที่ใช้อาหารแข็งหรือกึ่งแข็งถึง 3-5 เท่า และยังเพาะเลี้ยงได้คราวละหลายต้น
“วิธีการนี้เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาใช้ผลิตต้นพันธุ์ในเชิงพาณิชย์หรือในระดับอุตสาหกรรม โดยทีมวิจัยมีแผนจะพัฒนากระบวนการผลิตอุปกรณ์ TIB ขนาดเล็ก เพื่อลดต้นทุนค่าอุปกรณ์ ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ง่ายขึ้น คาดว่าจะพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า”
[caption id="attachment_74087" align="aligncenter" width="750"] ระบบไบโอรีแอกเตอร์แบบกึ่งจม (Temporary Immersion Bioreactor: TIB)[/caption]
นอกจากการวิจัยกระบวนการผลิตไผ่ตัดอายุและกระบวนการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ทีมวิจัยกำลังดำเนินโครงการสร้างโมเดลคัดเลือกไผ่สายพันธุ์ดีเด่นขนานกันไป เพื่อนำเอาต้นพันธุ์จากการเพาะเมล็ดที่ผ่านการคัดเลือกมาถอดลายนิ้วมือทางพันธุกรรม (DNA fingerprint) และลักษณะที่ปรากฏ (phenotype) ก่อนนำไปขึ้นทะเบียนพันธุ์และพัฒนากระบวนการขยายต้นพันธุ์ในระดับอุตสาหกรรม ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเจริญ (meristem culture) เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยได้เข้าถึงต้นพันธุ์ไผ่คุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละภาคส่วนมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันทีมวิจัยได้คัดเลือกต้นพันธุ์ดีเด่นแล้ว 2 สายพันธุ์ เป็น ไผ่ฟ้าหม่น 1 สายพันธุ์ และไผ่ซางหม่น 1 สายพันธุ์ โดยทั้งสองสายพันธุ์อยู่ระหว่างการเตรียมตั้งชื่อและขึ้นทะเบียนพันธุ์กับกรมวิชาการเกษตร คาดว่าจะแล้วเสร็จในอนาคตอันใกล้
[caption id="attachment_74086" align="aligncenter" width="750"] คุณชนนท์ณัฏฐ์ พัฒนะศิลป์ (สวนป่าจำปาทอง จ.กระบี่), คุณสุกัญญา อุดมกรสิทธิ์กุล (บ.อิมเพรสชันอินเตอร์เนชันแนล จำกัด) และคุณจีระ มากดี (เจ้าของสวนไผ่ที่ จ.กาญจนบุรี) ผู้ให้การสนับสนุนไผ่สายพันธุ์คุณภาพเพื่อการวิจัยและพัฒนา (คนที่ 1,2 และ 4 ตามลำดับ)[/caption]
[caption id="attachment_74085" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยกระบวนการผลิตไผ่สายพันธุ์คุณภาพ[/caption]
สำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการที่สนใจต้นพันธุ์ไผ่รวมถึงเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยง ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3310
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และไบโอเทค สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : SIMPLE เรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพผ่าน AR และ VR
📌 เกี่ยวกับอะไร ?
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนประเทศฝรั่งเศส (IRD) และมหาวิทยาลัยเกิ่นเทอ (Can Tho University) ประเทศเวียดนาม ดำเนินโครงการ SIMPLE (Sustainability Issue Metaverse for Building Participatory Learning Environments) เพื่อพัฒนาหลักสูตรการศึกษาเสริมสร้างความรู้และความตระหนักเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชนไทย
โดย สวทช. ได้เลือกหัวข้อการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพมาพัฒนาเป็นต้นแบบหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ ‘BiodiVRestorer (ไบโอเดิฟรีสตอเรอร์) : Immersive VR Experience for Biodiversity Restoration’ จนสำเร็จ และนำเวอร์ชันแรกไปทดสอบจัดกิจกรรมให้แก่เยาวชนไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
BiodiVRestorer คือโลกจำลองที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้สวมบทบาทเป็นนักฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ทำการสำรวจ วิเคราะห์ วางแผน และลงมือฟื้นฟูป่าด้วยตัวเอง ผ่านเทคโนโลยี AR (augmented reality) และ VR (virtual reality) ซึ่งผู้เข้าร่วมจะได้เห็นผลการฟื้นฟูป่าในทันทีผ่านระบบจำลองสถานการณ์ (simulation) ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ พร้อมนำองค์ความรู้ไปใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเหมาะสมต่อไป
📌 ดีอย่างไร ?
BiodiVRestorer เป็นต้นแบบหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้เรื่องการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการแบบ 1 วัน ให้แก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กิจกรรมจะเริ่มต้นจากการบรรยายเพื่อสร้างความตระหนักถึงสถานการณ์และความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไม้ในประเทศไทย แล้วจึงต่อด้วยการเรียนรู้วิธี ‘ฟื้นฟูป่า’ ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงด้วยเทคโนโลยี AR และ VR
[caption id="attachment_73367" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption]
[caption id="attachment_73368" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption]
[caption id="attachment_73370" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption]
[caption id="attachment_73369" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption]
ในช่วงกิจกรรมฟื้นฟูป่า ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การสำรวจป่าในโลกเสมือนเพื่อประเมินระดับความเสื่อมโทรมของพื้นที่ โดยอิงหลักเกณฑ์และวิธีการ Rapid Site Assessment (RSA) หรือการประเมินพื้นที่เบื้องต้นอย่างรวดเร็วที่เจ้าหน้าที่และนักอนุรักษ์ป่าไม้ใช้ในการปฏิบัติงานจริง ต่อด้วยการวางแผนฟื้นฟูป่าโดยคำนวณว่าควรนำพืชชนิดใดเข้าไปปลูกทดแทนในปริมาณเท่าไหร่เพื่อให้ระบบนิเวศกลับมาสมดุลและอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้ง จากนั้นจะออกเดินสำรวจป่าในโลกเสมือน เพื่อเลือกเก็บผลไม้ชนิดต่าง ๆ สำหรับนำมาฟื้นฟูป่า และขั้นตอนสุดท้ายคือการรับชมผลการฟื้นฟูป่าในช่วง 20 ปีให้หลัง
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ฝึกทักษะที่สำคัญ คือ ความละเอียดรอบคอบในการสังเกตและการวางแผน รวมทั้งได้รับความรู้จากการบรรยายในระหว่างทำกิจกรรม ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้รู้จัก รัก และหวงแหนความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลงมือฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพด้วยความเข้าใจ เพื่อให้ระบบเกิดความสมดุล และมีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน
📌 ตอบโจทย์อะไร ?
คณะทำงานโครงการ SIMPLE ได้นำกิจกรรม BiodiVRestorer ไปนำร่องทดสอบจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวนกว่า 200 คน จาก 21 โรงเรียน ในกรุงเทพฯ, ปทุมธานี และเชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พบว่านักเรียนได้รับทั้งความรู้ ความเข้าใจ และจดจำเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและการฟื้นฟูด้วยวิธีการที่เหมาะสมได้ในระยะยาวแล้ว ผ่านกิจกรรมที่สนุก ได้ลงมือทำจริง และได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เข้าร่วมกับวิทยากรด้วย
หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ที่คณะทำงานโครงการ SIMPLE พัฒนาขึ้นนี้ จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะมีส่วนช่วยสร้างความตระหนักเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเหมาะสมให้แก่เยาวชนไทย ให้พวกเขาได้นำองค์ความรู้ไปปรับใช้ สื่อสารอย่างถูกต้อง มีส่วนช่วยอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และร่วมกันสร้างโลกใบนี้ให้เป็นบ้านที่ปลอดภัยสำหรับทุกชีวิตตลอดไป
📌 สถานะของงานวิจัย ?
ปัจจุบันโครงการ SIMPLE ในส่วนของประเทศไทยดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว โดยคณะทำงานกำลังพัฒนาหลักสูตรให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทั้งการปรับกระชับเนื้อหา และการเพิ่มกิจกรรมเกม VR ให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้กระบวนการฟื้นฟูป่าแบบครบขั้นตอนยิ่งขึ้น โดยในปี 2570 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการดำเนินงาน คณะทำงานมีแผนที่จะพัฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะแก่การนำไปติดตั้งยังแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการขยายผลการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
สำหรับผู้ที่สนใจนำหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ไปใช้จัดกิจกรรมในสถานศึกษา ติดต่อสอบถามได้ที่ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. อีเมล nbt.pr@nstda.or.th และติดตามรายละเอียดความคืบหน้าของโครงการได้ผ่าน www.project-simple.eu
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : ‘SIMPLE’ โครงการสร้างความตระหนักเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เรียนรู้วิธีฟื้นฟูป่าผ่านโลกเสมือน AR และ VR
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย คณะทำงานโครงการ SIMPLE ประเทศไทย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
“นิรันดร์” นวัตกรรมระบบดูแลผู้สูงวัย ยกระดับสังคมไทยในยุคดิจิทัล
ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อจำนวนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี พ.ศ. 2567 มีจำนวนผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ราว 13 ล้านคน หรือร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ และคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ตัวเลขนี้จะทะยานขึ้นเกิน 20 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรไทยทั้งหมด
เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ริเริ่ม “โครงการผู้บริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ แก้วิกฤติประชากร” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “ผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิ” ซึ่งทำหน้าที่ดูแลผู้สูงวัยในชุมชนเสมือนเป็นลูกหลาน คอยปกป้องสิทธิ ดูแลสุขภาพ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ครอบคลุมทุกมิติ โดยได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พัฒนาระบบการปฏิบัติงานสำหรับผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ “Nirun for community” หรือระบบ “นิรันดร์” เป็นเครื่องมือสนับสนุนการทำงานของผู้บริบาล
[caption id="attachment_72912" align="aligncenter" width="750"] ทีมนักวิจัย สวทช. และกรมกิจการผู้สูงอายุ ลงพื้นที่เยี่ยมชมการใช้งานแพลตฟอร์มนิรันดร์ช่วยดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ตำบลนิคมกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี[/caption]
วิกฤตประชากรสูงวัย ความท้าทายของประเทศ
ศาสตราจารย์ ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองประธานคณะที่ปรึกษาติดตามและเร่งรัดการขับเคลื่อนนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. กล่าวถึงสถานการณ์ในปัจจุบันว่า ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบแล้ว โดยปัจจุบันมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-6 แสนคนต่อปี และคาดว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2570-2580 จะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านคน และอีก 10 ปีข้างหน้า จะมีผู้สูงอายุมากกว่า 20 ล้านคน หรือในคนไทย 3 คน จะมีผู้สูงอายุ 1 คน ซึ่งนั่นหมายความว่าเราเข้าสู่จุดวิกฤตแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องวางระบบบริหารจัดการและโครงสร้างพื้นฐานรองรับผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้นอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้สูงอายุไม่เป็นภาระต่อสังคม แต่ยังสามารถมีส่วนร่วมและเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้
“ผู้สูงอายุแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก กลุ่มแรก คือ ติดสังคม (อายุ 60–75 ปี) ยังใช้ชีวิตนอกบ้านได้ ค่าใช้จ่ายในการดูแลไม่สูง กลุ่มที่สอง คือ ติดบ้าน (อายุ 75 ปีขึ้นไป) เริ่มออกนอกบ้านยากขึ้น ไม่ค่อยได้พบเจอใคร ทำให้รู้สึกเหงา เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์และจิตใจ ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย และนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น โรคไต หัวใจ สมอง เบาหวาน ความดัน และอาจทำให้ไปสู่กลุ่มที่สามเร็วขึ้น คือ ติดเตียง ซึ่งกลุ่มนี้ต้องการการดูแลใกล้ชิดและค่าใช้จ่ายสูงมาก โจทย์สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุอยู่ในภาวะ “ติดสังคม” ได้นานที่สุด เพื่อลดการเข้าสู่ภาวะติดบ้านและติดเตียง ยืดเวลาคุณภาพชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายทั้งต่อครอบครัวและภาครัฐ
[caption id="attachment_72904" align="aligncenter" width="750"] ศาสตราจารย์ ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน[/caption]
“ผู้บริบาล” ดูแลพิทักษ์สิทธิ์ผู้สูงวัยในชุมชน
กรมกิจการผู้สูงอายุได้เตรียมความพร้อมด้านระบบการบริหารจัดการและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการดูแลผู้สูงอายุที่มีจํานวนเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ปี โดยริเริ่มโครงการผู้บริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชนขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อดูแลผู้สูงอายุในชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพกายที่แข็งแรง มีสภาพจิตใจที่ดี ลดภาระการรักษาพยาบาล และไม่เป็นภาระต่อสังคม โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ ทำหน้าที่ดุจลูกหลานของคนในชุมชน ปกป้อง คุ้มครองพิทักษ์สิทธิ ช่วยเหลือดูแล และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุครอบคลุมทั้ง 5 มิติ ได้แก่ มิติสังคม สุขภาพ เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และเทคโนโลยี ซึ่งดำเนินงานต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี ครอบคลุม 156 พื้นที่ ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ ปัจจุบันมีผู้บริบาลในโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 342 คน และมีผู้สูงอายุได้รับการดูแลจำนวนมากกว่า 342,000 คน หรือผู้บริบาล 1 คน ดูแลผู้สูงอายุ 100 คน
[caption id="attachment_72913" align="aligncenter" width="750"] ผู้บริบาลเยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้าน และบันทึกข้อมูลลงในแพลตฟอร์มนิรันดร์[/caption]
ศาสตราจารย์ ดร.กนก กล่าวถึงความท้าทายของโครงการนี้ว่า การดูแลผู้สูงอายุระดับแสนคนด้วยผู้บริบาลเพียงไม่กี่ร้อยคนจำเป็นต้องมีระบบที่ช่วยบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ กรมกิจการผู้สูงอายุจึงได้ร่วมกับ สวทช. พัฒนาระบบนิรันดร์เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้บริบาลอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ นอกจากช่วยตรวจสอบการทำงานของผู้บริบาลให้ได้มาตรฐานแล้ว ระบบนิรันดร์ยังเป็นเครื่องมือสำคัญด้านข้อมูลนโยบาย ทำให้รัฐรู้สถานการณ์จริง เช่น ผู้สูงอายุติดบ้าน-ติดเตียงมีสัดส่วนเท่าใด เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร และช่วยกำหนดทิศทางการใช้งบประมาณได้อย่างแม่นยำ ข้อมูลที่ได้จากระบบนิรันดร์ยังเป็นฐานสำคัญในการทำวิจัยเชิงนโยบาย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ประเทศไทยกำหนดนโยบายผู้สูงอายุในอนาคตได้อย่างแม่นยำ
[caption id="attachment_72905" align="aligncenter" width="750"] ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล[/caption]
“นิรันดร์” ผู้ช่วยดูแลผู้สูงอายุ สร้างฐานข้อมูลเชิงนโยบาย
ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล ผู้อำนวยการขับเคลื่อนแผนงานระบบสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ สวทช. กล่าวว่า สวทช. พัฒนาระบบ “นิรันดร์” ซึ่งเป็นระบบซอฟต์แวร์บริหารจัดการสถานดูแลผู้สูงอายุ เพื่อสนับสนุนโครงการบริบาลสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน โดยเป็นเครื่องมือช่วยผู้บริบาลในการทำงาน เช่น บันทึกข้อมูลผู้สูงอายุรายบุคคล ติดตามกิจกรรมและการดูแลในแต่ละวัน สรุปผลสุขภาพของผู้สูงอายุในโครงการ และสรุปผลการทำงานของผู้บริบาล
[caption id="attachment_72908" align="aligncenter" width="750"] ผู้บริบาลวัดความดันให้ผู้สูงอายุที่บ้าน[/caption]
"ระบบนิรันดร์สามารถประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ เช่น อายุ โรคประจำตัว คะแนนประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน (Activities of Daily Living: ADL) และแสดงผลเป็นแผนการดูแลเบื้องต้น (Recommended Care Plan) หรือข้อแนะนำในการดูแล เช่น ควรให้กายภาพบำบัด ควรเฝ้าระวังโภชนาการ เพื่อให้ผู้บริบาลนำไปปรับใช้กับผู้สูงอายุแต่ละรายได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ข้อมูลจากระบบยังใช้ได้ในระดับนโยบาย โดยกระทรวง พม. สามารถนำไปกำหนดยุทธศาสตร์การดูแลผู้สูงอายุในภาพรวมของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ สวทช. ในมิติลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม จากการพัฒนาแพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (AI-C) ตามกลยุทธ์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand)”
[caption id="attachment_72906" align="aligncenter" width="750"] นายธาวินทร์ ลีลาคุณารักษ์[/caption]
เทคโนโลยีคู่ความห่วงใย หัวใจแห่งการดูแล
ปัจจุบันกรมกิจการผู้สูงอายุนำระบบนิรันดร์ไปให้ผู้บริบาลใช้ในการบันทึกข้อมูลการดูแลผู้สูงอายุในหลายพื้นที่ เช่น ที่ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) องค์การบริหารส่วนตำบลนิคมกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี
นายธาวินทร์ ลีลาคุณารักษ์ ผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ องค์การบริหารส่วนตำบลนิคมกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า ระบบนิรันดร์ช่วยให้ผู้บริบาลทำงานสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งในการบันทึกข้อมูลรายวัน ติดตามการดูแลผู้สูงอายุแบบเรียลไทม์ และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างครอบคลุมในทุกมิติ ระบบยังช่วยให้ค้นหาข้อมูลผู้สูงอายุได้สะดวกและรวดเร็วด้วยโทรศัพท์มือถือ แทนการค้นหาจากเอกสารกระดาษแบบเดิม และระบุพิกัดที่อยู่ของผู้สูงอายุได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดเวลาในการลงพื้นที่ และที่สำคัญ ข้อมูลที่บันทึกไว้สามารถนำไปวิเคราะห์วางแผนการดูแลรายบุคคลและรายพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะด้านการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ ซึ่งช่วยให้ผู้บริบาลสามารถประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับสิทธิประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว
[caption id="attachment_72907" align="aligncenter" width="750"] นายหลงมา ทีปะลา[/caption]
นายหลงมา ทีปะลา อายุ 85 ปี ชาวตำบลนิคมกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เล่าว่า ปัจจุบันอาศัยอยู่เพียงลำพัง แม้ลูกหลานจะกลับมาหาบ้าง แต่ก็รู้สึกอุ่นใจที่มีผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ เข้ามาดูแลเสมือนญาติคนหนึ่ง เวลาแวะมาเยี่ยมก็มักเอาของมาฝาก กวาดบ้าน ถูบ้าน รองน้ำ และช่วยตรวจวัดความดันให้ตลอด เวลาไม่สบายก็คอยถาม อาสาพาไปโรงพยาบาล และชื่นชมภาครัฐที่มีโครงการดี ๆ แบบนี้ โดยส่งคนเข้ามาคอยช่วยเหลือ ดูแลผู้สูงอายุ ในวันที่สภาพร่างกายผู้สูงอายุไม่เอื้ออำนวย และยังช่วยเหลือดูแลเป็นธุระเรื่องอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี
[caption id="attachment_72910" align="aligncenter" width="750"] ผู้สูงอายุในชุมชน ตำบลนิคมกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี[/caption]
ด้วยการผสานระหว่าง “ผู้บริบาลที่ดูแลด้วยใจ และ “นิรันดร์” เทคโนโลยีช่วยดูแลผู้สูงวัย ทำให้ประเทศไทยสามารถยกระดับการดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมสร้างฐานข้อมูลเชิงนโยบายที่แม่นยำ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกอุ่นใจเหมือนมีครอบครัวอยู่ใกล้ ๆ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนและพัฒนาสังคมไทยให้พร้อมรับประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ภาพประกอบโดย ชัชวาลย์ โบสุวรรณ, อัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : Acamp แพลตฟอร์มคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (CFO)
📌 เกี่ยวกับอะไร ?
รู้หรือไม่ ! หากเจ้าของโรงงานไทยยังไม่เริ่มคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (CFO) ตั้งแต่วันนี้ การส่งออกสินค้าไปยุโรปอาจต้องหยุดชะงัก เพราะค่า CFO เป็นข้อมูลสำคัญในการคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) สำหรับยื่นประกอบการส่งออกสินค้าไปยุโรปตามมาตรการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนจากผู้นำเข้าหรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) อีกทั้งค่า CFP ยังส่งผลโดยตรงต่อการกำหนดราคาสินค้าด้วย ยิ่งค่า CFP มาก ภาษีก็จะยิ่งสูง ทำให้สินค้ามีราคาแพง เกิดเป็นข้อเสียเปรียบทางการแข่งขันในตลาดโลก
เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงเทคโนโลยีการคำนวณค่า CFO ที่ใช้งานง่าย และนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ต่อได้สะดวก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนา Acamp (Automated Carbon Accounting Management Platform) หรือเอแคมป์ แพลตฟอร์มสำหรับคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (CFO) ไว้ให้บริการแล้ว
📌 ดีอย่างไร ?
แพลตฟอร์มนี้ใช้งานง่าย ระบบจะเก็บข้อมูลการปล่อยคาร์บอนจากการใช้พลังงานไฟฟ้า รวมถึงข้อมูลการวางแผนทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning: ERP) มาคำนวณค่า CFO ให้อัตโนมัติ โดยหลังคำนวณระบบจะแสดงผลค่า CFO บนแดชบอร์ดออนไลน์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้ผู้ประกอบการตรวจสอบข้อมูลได้สะดวก นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ต่อได้ทันที
📌 ตอบโจทย์อะไร ?
นอกจากค่า CFO จะมีประโยชน์ในการนำไปใช้คำนวณค่า CFP เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังยุโรปแล้ว การที่ผู้ประกอบการทราบค่า CFO แบบเรียลไทม์ ยังเป็นประโยชน์ต่อองค์กรในการปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เท่าทันสถานการณ์ รวมทั้งยังช่วยผลักดันประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำและความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593)
📌 สถานะของเทคโนโลยี ?
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ สวทช. กำลังเปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการนำร่องเพื่อปรับเปลี่ยนโรงงานสู่อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำและอุตสาหกรรม 4.0 โดย สวทช. พร้อมสนับสนุนทั้งที่ปรึกษาและเงินทุน สมัครเข้าร่วมได้ที่ www.nectec.or.th/smc/ida-platform/
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : Acamp’ แพลตฟอร์มคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (CFO) แบบอัตโนมัติ ใช้งานง่าย ปรับตัวทันนโยบายภาษีคาร์บอน
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘nPatch’ แผ่นแปะเข็มจิ๋ว ทางเลือกใหม่สำหรับผู้กลัวเข็ม ใช้ง่าย ไม่เจ็บ
เมื่อ ‘ความกลัวเข็ม’ และ ‘ความจำเป็นในการเข้ารับบริการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง’ กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการตัดสินใจรักษาของผู้ป่วย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้พัฒนาเทคโนโลยี ‘แผ่นแปะไมโครนีดเดิล (microneedle patch)’ หรือ ‘แผ่นแปะเข็มจิ๋วขนาดระดับไมโครเมตร’ ที่ใช้งานง่าย เจ็บน้อย และมีรูปลักษณ์เป็นมิตรกับผู้ใช้ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับอุตสาหกรรมแพทย์และเวชสำอาง เพื่อการนำส่งสารลงสู่ชั้นผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพ
[caption id="attachment_72524" align="aligncenter" width="450"] ดร.จีราพร ลีลาวัฒนชัย นักวิจัย ทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.จีราพร ลีลาวัฒนชัย นักวิจัย ทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน นาโนเทค สวทช. เล่าว่าที่ผ่านมาทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการพัฒนาแผ่นแปะไมโครนีดเดิลสำหรับนำส่งสารออกฤทธิ์ เช่น ยา วิตามิน รวมถึงสารชีวโมเลกุลต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว 4 รูปแบบหลัก ได้แก่ เข็มตัน (solid microneedle) ใช้เจาะเปิดช่องเล็ก ๆ บนผิวก่อนทายาหรือสารออกฤทธิ์ เข็มเคลือบสารออกฤทธิ์บนผิวเข็ม (coated microneedle) ใช้ส่งสารออกฤทธิ์เข้าสู่ชั้นผิวหนัง โดยเมื่อเข็มเจาะผ่านผิวหนัง สารเคลือบจะละลายและซึมเข้าสู่ชั้นผิวอย่างรวดเร็ว
“เข็มละลายได้บรรจุสารออกฤทธิ์ (dissolving microneedle) เป็นเข็มที่ทำจากพอลิเมอร์หรือน้ำตาลที่ละลายในชั้นผิวหนังได้ โดยภายในเนื้อเข็มจะผสมสารออกฤทธิ์ไว้ เมื่อเข็มเจาะผ่านชั้นผิวจะละลายและปลดปล่อยสารเข้าสู่ร่างกาย และชนิดสุดท้ายคือเข็มไฮโดรเจล (hydrogel microneedle) เป็นเข็มที่ทำจากพอลิเมอร์ชนิดดูดน้ำสูง เมื่อเจาะผ่านชั้นผิวจะดูดซับของเหลวทำให้โครงสร้างขยายตัว และปล่อยสารออกฤทธิ์ออกมาตามการควบคุมการปลดปล่อย (controlled release)
“เข็มทั้ง 4 รูปแบบ ผลิตได้ตั้งแต่ความยาว 100-2,000 ไมโครเมตร มีรูปแบบผลิตภัณฑ์เป็นแผ่นแปะคล้ายพลาสเตอร์ยาทั่วไป ทำให้ใช้งานง่าย ช่วยลดความหวาดกลัวเข็มได้เป็นอย่างดี โดยผู้เข้าร่วมทดสอบให้ข้อคิดเห็นว่าแทบไม่รู้สึกเจ็บหรือรู้สึกเจ็บในระดับต่ำมาก”
แผ่นแปะไมโครนีดเดิลเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการตรวจวินิจฉัยหรือการนำส่งสารออกฤทธิ์ผ่านผิวหนัง เนื่องจากผิวหนังชั้นนอกสุด (stratum corneum) ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันการซึมผ่านของสารต่าง ๆ โดยเฉพาะสารโมเลกุลขนาดใหญ่และสารที่ชอบน้ำ แผ่นแปะไมโครนีดเดิลจะช่วยสร้างรูพรุนขนาดเล็กระดับไมโครเมตรบนผิวหนังชั้นนอกสุด (มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า) ช่วยให้ส่งผ่านยาหรือสารออกฤทธิ์เข้าสู่ชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งควบคุมปริมาณและอัตราการปล่อยได้อย่างแม่นยำ จึงประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง ทั้งในอุตสาหกรรมการแพทย์ เครื่องสำอาง และเวชสำอาง ครอบคลุมทั้งการตรวจ วินิจฉัย รักษา และบำรุง
ดร.จีราพร อธิบายว่า ปัจจุบันทีมวิจัยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วหลายผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างแรก คือ ‘nPatch: Triamcinolone Acetonide’ แผ่นแปะไมโครนีดเดิลชนิดละลายได้สำหรับรักษาคีลอยด์ (แผลเป็นนูนผิดปกติ) แทนการฉีดสเตียรอยด์ที่ต้องพบแพทย์เดือนละ 2 ครั้งต่อเนื่องนาน 6 เดือน ช่วยลดความถี่ในการพบแพทย์ และช่วยลดความเจ็บปวดจากการใช้เข็มฉีดดันยาเข้าสู่แผลได้อย่างมาก
“ตัวอย่างที่สอง ‘nPatch: Vitamin C’ แผ่นแปะไมโครนีดเดิลชนิดละลายได้สำหรับนำส่งวิตามินซีเข้าสู่ผิวหนัง เพื่อช่วยบำรุงผิวให้แลดูเรียบเนียน กระจ่างใส และมีสีผิวสม่ำเสมอ พร้อมช่วยบำรุงผิวให้มีสุขภาพดี ตัวอย่างที่สาม ‘nPatch: Broad-Spectrum Antibiotics’ แผ่นแปะไมโครนีดเดิลชนิดละลายได้สำหรับรักษาสิวอักเสบชนิดไม่รุนแรง ช่วยยับยั้งเชื้อจุลชีพ ลดการลุกลาม และส่งเสริมการฟื้นฟูผิวให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว
“ตัวอย่างที่สี่ ‘nPatch: Phytohemagglutinin’ แผ่นแปะไมโครนีดเดิลชนิดละลายได้สำหรับการทดสอบภูมิคุ้มกันทางผิวหนัง โดยใช้สารไฟโทฮีแมกกลูทินิน (phytohemagglutinin: PHA) กระตุ้นการตอบสนองของเซลล์เม็ดเลือดขาว เพื่อประเมินการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เหมาะสำหรับการคัดกรองภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ผู้รับเคมีบำบัด ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ และผู้ที่ต้องติดตามสภาวะภูมิคุ้มกันในระยะยาว นอกจากนี้ยังใช้ตรวจภูมิคุ้มกันในสัตว์ เช่น โค กระบือ สุกร สุนัข รวมถึงสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ เพื่อเฝ้าระวังโรคและคัดกรองสุขภาพฝูงได้ด้วย
“ตัวอย่างสุดท้ายคือ ‘nPatch: Nitrate/Nitrite’ ไมโครนีดเดิลชนิดไฮโดรเจลสำหรับตรวจวัดปริมาณไนเทรตและไนไทรต์ในอาหาร โดยใช้คุณสมบัติการดูดซับของไฮโดรเจลร่วมกับสารตรวจจับ ให้ผลรวดเร็ว แม่นยำ เหมาะสำหรับเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านอาหารทั้งในกระบวนการผลิตและการตรวจสอบภาคสนาม”
นอกจากตัวอย่างผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีข้างต้นแล้ว แพลตฟอร์มการผลิตไมโครนีดเดิลยังผ่านการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นในการวิจัยและพัฒนาสูง ทำให้พร้อมรองรับโจทย์การวิจัยจากผู้ประกอบการได้อย่างหลากหลาย และพร้อมต่อยอดสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ สำหรับผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่สนใจ สอบถามรายละเอียดได้ที่ ดร.จีราพร ลีลาวัฒนชัย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ อีเมล jeerapond@nanotec.or.th โทรศัพท์ 09 7124 6127
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และนาโนเทค สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘SIMPLE’ โครงการสร้างความตระหนักเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เรียนรู้วิธีฟื้นฟูป่าผ่านโลกเสมือน AR และ VR
‘ปลูกป่าอาจไม่เท่ากับการฟื้นฟูระบบนิเวศ’ ทุกวันนี้แม้จะมีการปลูกต้นไม้ใหม่นับล้านต้นต่อปี แต่ก็ยังไม่อาจฟื้นคืนพื้นที่ป่าได้มากเท่าไหร่นัก เพราะในความเป็นจริงแล้วป่าไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การมีต้นไม้ปกคลุมผืนดินจนเขียวขจี แต่ยังหมายรวมไปถึงการมีสายสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งภายในพื้นที่ด้วย ดังนั้นการปลูกป่าจึงควรดำเนินการด้วยความรู้ ความเข้าใจ และความระมัดระวัง เพื่อให้ระบบนิเวศฟื้นคืนกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนประเทศฝรั่งเศส (IRD) และมหาวิทยาลัยเกิ่นเทอ (Can Tho University) ประเทศเวียดนาม ดำเนินโครงการ ‘SIMPLE (Sustainability Issue Metaverse for Building Participatory Learning Environments)’ เพื่อพัฒนาหลักสูตรสร้างความตระหนักเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชนไทย
โดยคณะทำงาน สวทช. ได้เลือกหัวข้อ ‘การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ’ มาพัฒนาเป็นต้นแบบหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ ‘BiodiVRestorer: Immersive VR Experience for Biodiversity Restoration’ จนสำเร็จ และนำเวอร์ชันแรกไปทดสอบจัดกิจกรรมให้แก่เยาวชนไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
BiodiVRestorer คือโลกจำลองที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้สวมบทบาทเป็นนักฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ทำการสำรวจ วิเคราะห์ วางแผน และลงมือฟื้นฟูป่าด้วยตัวเอง ผ่านเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้เห็นผลการฟื้นฟูในทันทีผ่านระบบจำลองสถานการณ์ (simulation) เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ พร้อมนำองค์ความรู้ไปใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเหมาะสมต่อไป
ปลูกป่าด้วยความเข้าใจ ฟื้นฟูความหลากหลายอย่างสมดุล
[caption id="attachment_72242" align="aligncenter" width="750"] ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. และหัวหน้าโครงการ SIMPLE ในฝั่งประเทศไทย[/caption]
ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. และหัวหน้าโครงการ SIMPLE ในฝั่งประเทศไทย เล่าว่า BiodiVRestorer คือ ต้นแบบหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้เรื่องการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ สำหรับใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการแบบ 1 วันให้แก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
“กิจกรรมการเรียนรู้จะเริ่มต้นจากการบรรยายเพื่อสร้างความตระหนักถึงความหลากหลายทางชีวภาพ และสายสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดในระบบนิเวศ ซึ่งสายใยเหล่านี้กำลังพังทลายลงอย่างรวดเร็วจากการกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการบุกรุก ทำลาย หรือใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็น จนท้ายที่สุดเมื่อธรรมชาติขาดความสมดุล ผลกระทบเหล่านั้นก็ได้หวนกลับมาทำร้ายตัวมนุษย์เอง ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนความมั่นคงทางอาหาร การต้องเผชิญกับภัยพิบัติธรรมชาติ หรือกระทั่งการไม่มีอากาศบริสุทธิ์ให้หายใจ
“จากจุดเริ่มต้นที่พาผู้เข้าร่วมกิจกรรมไปสู่การตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว กิจกรรมต่อมาจะเป็นการลงมือปฏิบัติจริงเพื่อเรียนรู้วิธีฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพที่เหมาะสม ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ ‘ฟื้นฟูป่า’ ผ่านเทคโนโลยี AR และ VR ซึ่งในระหว่างการทำกิจกรรมสุดสนุกนี้ จะมีการบรรยายให้ความรู้คู่ขนานกันไปด้วย เพราะเป้าหมายปลายทางของกิจกรรมคือการที่ผู้เข้าร่วมได้รู้จัก รัก และหวงแหนความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลงมือฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพด้วยความเข้าใจ เพื่อให้ระบบเกิดความสมดุล และมีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน”
Experimental-based Learning เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ
ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าว่า กิจกรรมแรกของการฟื้นฟูป่า คือ การสำรวจเพื่อประเมินระดับความเสื่อมโทรมของพื้นที่ โดยอิงหลักเกณฑ์และวิธีการ Rapid Site Assessment (RSA) หรือการประเมินพื้นที่เบื้องต้นอย่างรวดเร็วที่เจ้าหน้าที่และนักอนุรักษ์ป่าไม้ใช้ในการปฏิบัติงานจริง
“ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแต่ละกลุ่มจะเริ่มลงมือสำรวจป่า โดยนำสมาร์ตโฟนไปสแกน QR code เพื่อเข้าสู่พื้นที่ป่าสามมิติที่แสดงผลด้วยเทคโนโลยี AR เมื่อเข้าไปแล้วก็จะได้ลงมือสำรวจและเก็บข้อมูลความหนาแน่นและคุณภาพป่าไม้ในพื้นที่สุ่ม 10 จุด ซึ่งแต่ละจุดจะมีข้อมูลคุณภาพป่าแตกต่างกันออกไป ผู้เข้าร่วมจะต้องเก็บข้อมูลจากทุกจุดให้ละเอียด เพื่อนำมาวิเคราะห์และวางแผนการฟื้นฟูอย่างเหมาะสม โดยต้องคำนวณว่าควรนำพืชชนิดใดเข้าไปปลูกทดแทนในปริมาณเท่าไหร่บ้างจึงจะทำให้ระบบนิเวศกลับมาสมดุลและอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้ง ซึ่งในการทำกิจกรรมผู้เข้าร่วมแต่ละกลุ่มจะได้รับใบงานไว้ใช้เป็นตัวช่วยในการจดบันทึกการสำรวจและการคำนวณด้วย”
[caption id="attachment_72254" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption]
[caption id="attachment_72255" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption]
หลังจากวางแผนฟื้นฟูกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเข้าสู่กิจกรรมเชิงปฏิบัติการช่วงที่สอง ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแต่ละกลุ่มจะได้พากันออกไปท่องโลกเสมือนผ่านเทคโนโลยี VR
ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าว่าในช่วงที่สองของการทำกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ ผู้เข้าร่วมแต่ละคนจากทุกกลุ่มจะได้สวมแว่น VR เพื่อเข้าสู่เกมเก็บเมล็ดพันธุ์ แล้วออกเดินสำรวจป่าในโลกเสมือน เพื่อเลือกเก็บผลไม้ชนิดต่าง ๆ ให้ถูกต้องและได้ปริมาณที่เหมาะตามที่วางแผนไว้ โดยภายในเกมจะมีกับดักไว้ท้าทายความละเอียดรอบคอบของผู้เล่นด้วย
[caption id="attachment_72262" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
[caption id="attachment_72263" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
[caption id="attachment_72259" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
[caption id="attachment_72261" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
[caption id="attachment_72260" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
[caption id="attachment_72258" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
[caption id="attachment_72264" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
“หลังจากทุกคนได้สนุกกันอย่างเต็มที่ไปกับการคิดวิเคราะห์ วางแผน คำนวณ และลงมือเก็บผลไม้เพื่อนำเมล็ดพันธุ์ไปใช้ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ป่าที่สำรวจ ก็จะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของกิจกรรม BiodiVRestorer นั่นคือการดูผลการฟื้นฟูป่าผ่านระบบจำลองสถานการณ์ โดยระบบจะจำลองสภาพป่าในช่วง 20 ปีหลังจากการนำต้นกล้าไปฟื้นฟูป่าให้เห็น ซึ่งปัจจัยความสำเร็จในการฟื้นฟูของแต่กลุ่มจะมาจาก 3 ส่วนหลัก ๆ คือ ความละเอียดรอบคอบในการสังเกต การวางแผนร่วมกับเพื่อนในทีมอย่างเหมาะสม และการเลือกเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ถูกต้องได้อย่างครบถ้วน ไม่มากหรือน้อยเกินไป
“หากผู้เล่นคนไหนพลาดเก็บเอากับดักที่ผู้พัฒนาเกมวางไว้มาด้วย ระบบก็จะสะท้อนผลลัพธ์ออกมาให้เห็นผ่านระบบจำลองสถานการณ์นี้ด้วยเช่นกัน โดยในที่นี้ผู้พัฒนาเกมได้ออกแบบให้กับดักที่ว่าคือพืชชนิดเดียวกันแต่มาจากต่างถิ่น ซึ่งพืชต่างถิ่นนั้นมีจุดแข็งเรื่องการเจริญเติบโตดีกว่าพืชท้องถิ่น ทำให้ท้ายที่สุดพืชต่างถิ่นก็ได้กลับกลายมาเป็นผู้เบียดเบียนการเจริญเติบโต จนพืชท้องถิ่นต้องล้มหายตายจากไปในที่สุด ความผิดพลาดดังกล่าวจะเป็นบทเรียนสำคัญให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้เรื่องการนำพืชต่างถิ่นเข้าไปปลูกในพื้นที่ป่าโดยขาดความรู้ความเข้าใจ ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้พืชท้องถิ่นบางชนิดสูญพันธุ์ไปจากพื้นที่นั้น”
[caption id="attachment_72257" align="aligncenter" width="750"] ภาพแสดงผลกลุ่มที่ฟื้นฟูป่าสำเร็จ[/caption]
[caption id="attachment_72256" align="aligncenter" width="750"] ภาพแสดงผลกลุ่มที่ฟื้นฟูป่าไม่สำเร็จ[/caption]
นอกจากบทเรียนเรื่องพืชต่างถิ่นแล้ว เนื้อหาอื่น ๆ ที่วิทยากรบรรยายสอดแทรกเข้าไปตามลำดับการดำเนินกิจกรรมยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น หลักเกณฑ์และวิธีประเมินพื้นที่ป่าที่เจ้าหน้าที่ใช้ในการสำรวจจริง, หลักเกณฑ์การคัดเลือกและคำนวณปริมาณเมล็ดพันธุ์ให้สอดคล้องกับอัตราการงอกของพืชชนิดนั้น ๆ, หลักการคำนวณว่าจะเก็บเมล็ดพันธุ์จากแหล่งต่าง ๆ ได้ในปริมาณเท่าไหร่, วิธีการดูแลพื้นที่ป่าที่ปลูกทดแทนในช่วงอนุบาลหรือ 1-2 ปีแรกของการเพาะปลูก
[caption id="attachment_72265" align="aligncenter" width="750"] ตัวอย่างใบงานประกอบกิจกรรมการเรียนรู้[/caption]
[caption id="attachment_72266" align="aligncenter" width="750"] ตัวอย่างใบงานประกอบกิจกรรมการเรียนรู้[/caption]
เตรียมขยายผลต้นแบบกิจกรรมการเรียนรู้ในปี 2570
ที่ผ่านมาคณะทำงานโครงการ SIMPLE ได้นำกิจกรรม BiodiVRestorer ไปนำร่องทดสอบจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจาก 21 โรงเรียน ในกรุงเทพฯ, ปทุมธานี และเชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีผู้เข้าร่วมรวมทั้งสิ้นมากกว่า 200 คน
ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าว่าจากการทดลองจัดกิจกรรม ได้ผลลัพธ์ที่ดีในทุกครั้ง ทั้งด้านความรู้ความเข้าใจและการจดจำเนื้อหาสำคัญได้ในระยะยาว นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมยังสะท้อนด้วยว่ารู้สึกสนุกและมีความสุขกับการได้มีส่วนร่วมในการทำทุกกิจกรรม รวมถึงการได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เข้าร่วมกับวิทยากร
“แม้การจัดกิจกรรมนำร่องจะให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว ปัจจุบันคณะทำงานก็ยังคงเดินหน้าใช้เวลาที่เหลือภายในโครงการพัฒนาหลักสูตรให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทั้งการปรับกระชับเนื้อหา และการเพิ่มกิจกรรมเกม VR ให้ผู้เข้าร่วมได้ลงมือปลูกและดูแลพืชในช่วงอนุบาล เพื่อประคับประคองให้พืชเหล่านั้นรอดพ้นจากทั้งภัยธรรมชาติและการรุกล้ำพื้นที่จากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ จนแข็งแรงพอที่จะเติบโตต่อด้วยตัวเองตามวิถีธรรมชาติ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เกิดความหวงแหนในทรัพยากรป่าไม้ พร้อมทั้งได้เรียนรู้กระบวนการฟื้นฟูป่าแบบครบขั้นตอนตามหลักการที่ถูกต้อง”
ปัจจุบันโครงการ SIMPLE ในส่วนของประเทศไทยดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว คณะทำงานคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะพัฒนากิจกรรมส่วนต่อขยายได้แล้วเสร็จ และในปี 2570 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการดำเนินงาน คณะทำงานได้มีแผนที่จะพัฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ ให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะแก่การนำไปติดตั้งยังแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการขยายผลการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าทิ้งท้ายว่า คณะทำงานคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นจะมีส่วนช่วยสร้างความตระหนักเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเหมาะสมให้แก่เยาวชน เพื่อให้พวกเขาได้นำองค์ความรู้ไปปรับใช้ สื่อสารอย่างถูกต้อง ช่วยอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และร่วมกันสร้างโลกใบนี้ให้เป็นบ้านที่ปลอดภัยสำหรับทุกชีวิตตลอดไป
สำหรับผู้ที่สนใจนำหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ไปใช้จัดกิจกรรมในสถานศึกษา ติดต่อสอบถามได้ที่ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. อีเมล nbt.pr@nstda.or.th และติดตามรายละเอียดความคืบหน้าของโครงการได้ผ่าน www.project-simple.eu
ผู้ดำเนินงานหลักด้านการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอน
ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. ดำเนินงานด้านการพัฒนาเนื้อหาและระบบจำลองสถานการณ์
ฝ่ายบริการทางวิชาการและการประเมินหลักสูตรด้านพัฒนากำลังคน สวทช. ดำเนินงานด้านการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมให้แก่ผู้เรียน
ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ดำเนินงานด้านการออกแบบโมเดลสามมิติ และจัดทำสื่อ AR
กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เนคเทค สวทช. ดำเนินงานด้านการพัฒนาสื่อ VR
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย คณะทำงานโครงการ SIMPLE ประเทศไทย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ไบโอเทคพัฒนา ‘เห็ดแครงสายพันธุ์ใหม่’ จากเห็ดพื้นบ้าน สู่แพลนต์เบสต์สัญชาติไทย
เห็ดแครง (split gill) เป็นเห็ดสายพันธุ์ท้องถิ่นของประเทศไทยที่คนใต้นิยมนำมาทำอาหาร เช่น แกงคั่ว แกงเผ็ด คั่วกลิ้ง ลาบ หมก น้ำพริก เพราะเห็ดชนิดนี้นอกจากมีรสชาติเข้มข้นเฉพาะตัวเหมาะสำหรับทำอาหารรสจัดจ้านแล้วยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบมากถึงร้อยละ 17 ของน้ำหนักแห้ง มีไขมันต่ำ นอกจากนี้ยังมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารบีตากลูแคนที่มีคุณสมบัติทางยาเป็นส่วนประกอบ
อย่างไรก็ตามแม้เห็ดแครงจะมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายที่ครบถ้วน แต่ก็กลับยังไม่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในภูมิภาคอื่น ๆ นัก เนื่องจากเห็ดแครงตามธรรมชาติมีดอกค่อนข้างเล็ก สีเข้ม มีรสชาติขม และมีกลิ่นที่ค่อนแรง อีกทั้งยังกลายพันธุ์ได้ง่าย ทำให้ควบคุมคุณภาพผลผลิตได้ยาก
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับศูนย์รวมสวนเห็ดบ้านอรัญญิก พัฒนา “เห็ดแครงสายพันธุ์การค้า” ที่โดดเด่นทั้งเรื่องรสชาติ กลิ่น สี และขนาดของดอกเห็ด พร้อมต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์อาหารแพลนต์เบสต์ (plant-based food) โปรตีนทางเลือกจากวัตถุดิบไทย
ขาว อวบ อร่อย สายพันธุ์การค้าโดย สวทช.
[caption id="attachment_71769" align="aligncenter" width="750"] ดร.อัมพวา ปินเรือน ทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.อัมพวา ปินเรือน ทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ไบโอเทค สวทช. เล่าว่า ทีมวิจัยเริ่มพัฒนาสายพันธุ์เห็ดแครงจากการเก็บรวบรวมพันธุ์เห็ดจากป่าชุมชนและสวนเกษตรทั่วประเทศไทย จนได้เห็ดแครงที่มีความแตกต่างกันถึง 121 สายพันธุ์ จากนั้นจึงนำมาคัดสรรหาสายพันธุ์ที่มีคุณลักษณะตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร คือ ดอกโต ขนาดดอกสม่ำเสมอ สีขาวนวล เนื้อสัมผัสดี ไม่เหนียว รสชาติกลมกล่อม ดอกสดไม่ติดรสขม กลิ่นไม่แรง นอกจากนี้ในด้านการผลิตยังต้องออกดอกได้รวดเร็วและทนทานต่อโรคด้วย
“เพื่อให้ได้สายพันธุ์การค้าที่มีคุณสมบัติตรงตามต้องการ ทีมวิจัยได้ใช้เทคนิคแยกสปอร์เดี่ยว (single spore isolation) ของสายพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกร่วมกับผู้ประกอบการที่เชี่ยวชาญด้านการเพาะเห็ดและผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมอาหารจากศูนย์รวมสวนเห็ดบ้านอรัญญิก ก่อนนำมาผสมพันธุ์ด้วยกระบวนการภายในห้องปฏิบัติการจนได้พันธุ์ลูกผสมที่มีลักษณะโดดเด่นตามต้องการ และมีความคงตัวทางพันธุกรรมสูง ไม่กลายพันธุ์ง่าย
“ทีมวิจัยได้ร่วมกับสวนเห็ดบ้านอรัญญิกนำเห็ดแครงสายพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นไปเพาะในห้องเพาะเลี้ยงเพื่อทดสอบ ผลปรากฏว่าเห็ดแครงสายพันธุ์ที่พัฒนาให้ผลผลิตภายใน 21 วัน ต่างจากเห็ดแครงสายพันธุ์ทั่วไปที่ต้องใช้เวลา 35-45 วัน ที่สำคัญยังเก็บเกี่ยวดอกเห็ดแครงได้มากถึง 3 รอบ แตกต่างจากพันธุ์ทั่วไปที่เก็บผลผลิตได้เพียง 2 รอบ เท่านั้น นอกจากจะได้คุณสมบัติที่ตรงตามความต้องการของภาคธุรกิจทั้งหมดแล้ว ยังมีอีกจุดเด่นที่สำคัญคือทนทานต่อโรคสูง ทำให้การทดสอบเพาะแบบอินทรีย์ได้ผลผลิต 100 เปอร์เซ็นต์”
ผลักดันวัตถุดิบไทยสู่อาหารแพลนต์เบสต์เพื่อความยั่งยืน
[caption id="attachment_71768" align="aligncenter" width="750"] บุญโชค ไทยทัตกุล เจ้าของศูนย์รวมเห็ดบ้านอรัญญิก[/caption]
บุญโชค ไทยทัตกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะเห็ด เจ้าของศูนย์รวมเห็ดบ้านอรัญญิก เล่าถึงที่มาการทำวิจัยร่วมกับไบโอเทค สวทช. ว่า ศูนย์รวมเห็ดบ้านอรัญญิกให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาและส่งต่อองค์ความรู้อย่างยิ่ง ที่ผ่านมาจึงได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงไบโอเทค สวทช. วิจัยและพัฒนากระบวนการเพาะพันธุ์เห็ดนานาชนิด และพัฒนากระบวนการแปรรูปเห็ดให้เป็นอาหารและยาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เห็ดไทยมาโดยตลอด ซึ่งนอกจากการผลิตและจำหน่ายด้วยตัวเองแล้ว ยังเปิดให้ทุกคนที่สนใจทั้งจากในไทยและต่างประเทศเข้ามาเรียนรู้ เพื่อเติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน
“ในส่วนของเห็ดแครงที่ร่วมดำเนินการวิจัยกับไบโอเทค สวทช. ศูนย์ฯ ได้ร่วมกำหนดคุณลักษณะของเห็ดที่ต้องการ และทำหน้าที่ออกแบบกระบวนการเพาะเลี้ยงที่เหมาะสม โดยตั้งเป้าว่าจะนำเห็ดชนิดนี้มาเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอาหารแพลนต์เบสต์ เพื่อให้มีตลาดรองรับที่ชัดเจน จำหน่ายได้ทั้งดอกสด ดอกแห้ง และอาหารแปรรูป โดยศูนย์ฯ ได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตอาหารในระดับอุตสาหกรรมจากบริษัทไทย วัน ช้อยส์ โปรดักส์ จำกัด นำเห็ดแครงไปพัฒนาเป็นอาหารแพลนต์เบสต์แล้วหลายชนิด”
เมนูอาหารจากเห็ดแครงที่ศูนย์รวมเห็ดบ้านอรัญญิกและบริษัทไทย วัน ช้อยส์ โปรดักส์ จำกัด รังสรรค์มีหลากหลาย เช่น ผัดกะเพรา คั่วกลิ้ง ผัดไทย แหนมเห็ด ข้าวเกรียบ ไปจนถึงการแปรรูปขั้นสูงอย่างเห็ดสามชั้น (เลียนแบบหมูสามชั้น) และเห็ดชาชู (เลียนแบบหมูชาชู) ที่ไม่เพียงหน้าตาเหมือนจนแยกยาก แต่รสชาติยังอร่อย รับประทานเพลินไม่แพ้กัน
[caption id="attachment_71774" align="aligncenter" width="750"] คั่วกลิ้งเห็ดแครง[/caption]
[caption id="attachment_71775" align="aligncenter" width="750"] ผัดไทยเห็ดแครง[/caption]
[caption id="attachment_71776" align="aligncenter" width="750"] สามชั้นและชาชูเห็ดแครง[/caption]
[caption id="attachment_71777" align="aligncenter" width="750"] แซนด์วิชเห็ดแครง[/caption]
[caption id="attachment_71773" align="aligncenter" width="450"] ขวัญทอง ชุมนุมพร กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทย วัน ช้อยส์ โปรดักส์[/caption]
ขวัญทอง ชุมนุมพร ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตอาหารแพลนต์เบสต์ในระดับอุตสาหกรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทย วัน ช้อยส์ โปรดักส์ เล่าถึงที่มาของการเลือกนำเห็ดแครงและเห็ดนานาชนิดที่เป็นทรัพยากรท้องถิ่นของไทยมาทำอาหารแพลนต์เบสต์ว่า ปัจจุบันอาหารแพลนต์เบสต์ของไทยส่วนใหญ่ผลิตจากวัตถุดิบหลัก คือ ถั่วเหลืองและโปรตีนผงที่นำเข้าจากต่างประเทศ จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะผลิตอาหารแพลนต์เบสต์ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศไทยแทน
“ในการผลิตนอกจากจะนำเห็ดแครงและเห็ดชนิดอื่น ๆ เช่น เห็ดนางรม เห็ดมิลก์กี้ มาใช้เป็นส่วนประกอบแล้ว ส่วนผสมอื่น ๆ ยังเลือกใช้วัตถุดิบจากในประเทศเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นมะพร้าว หัวไชเท้า กล้วยน้ำว้า ฯลฯ การนำวัตถุดิบในประเทศมาใช้นอกจากช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบไทย และสร้างรายได้เพิ่มให้แก่เกษตรกรแล้ว ยังช่วยลดการนำเข้า และเพิ่มความมั่นคงด้านอาหารด้วย
“ตอนนี้นอกจากการพัฒนาสูตรอาหารต่าง ๆ ทางศูนย์ฯ และบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญเรื่องการออกแบบกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล และการจัดทำข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint of Organization: CFO) เพื่อให้พร้อมนำผลิตภัณฑ์ไปบุกตลาดอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพในระดับนานาชาติ”
ปัจจุบันไบโอเทค สวทช. กำลังเตรียมขึ้นทะเบียนเห็ดแครงสายพันธุ์ที่พัฒนากับกรมวิชาการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรจากทั่วประเทศได้นำไปเพาะพันธุ์เพื่อสร้างรายได้ต่อไป โดยผู้ประกอบการที่สนใจเพาะเห็ดชนิดนี้ติดต่อสอบถามเพื่อเรียนรู้กระบวนการเพาะพันธุ์ และลิ้มลองรสชาติอาหารจากเห็ดแครงได้ที่ศูนย์รวมเห็ดบ้านอรัญญิก จังหวัดนครปฐม เบอร์โทรศัพท์ 08 1318 3004
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘iSmart OEE’ อุปกรณ์ประเมินประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบอัตโนมัติ
ทุกวันนี้โรงงานของคุณยังให้พนักงานบันทึกการทำงานของเครื่องจักรลงกระดาษ แล้วค่อยนำมาคำนวณประสิทธิภาพในภายหลังอยู่หรือเปล่า หากคำตอบคือใช่ คุณอาจกำลังพลาดโอกาสสำคัญในการลดเวลาการทำงานและต้นทุนการผลิตแบบไม่รู้ตัว
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา iSmart OEE อุปกรณ์วัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบอัตโนมัติ พร้อมแสดงผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ ใช้งานง่าย รองรับทั้งเครื่องจักรรุ่นเก่าและเครื่องจักรแบบสมาร์ต
iSmart OEE เทคโนโลยีสนับสนุนอุตสาหกรรมก้าวกระโดดสู่ 4.0
[caption id="attachment_71517" align="aligncenter" width="750"] อุ่นพงศ์ สุภัคชูกุล นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมการผลิตอัจฉริยะ เนคเทค สวทช.[/caption]
อุ่นพงศ์ สุภัคชูกุล นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมการผลิตอัจฉริยะ เนคเทค สวทช. อธิบายว่า โรงงานส่วนใหญ่ของไทยในภาพรวมยังนำระบบดิจิทัลมาใช้เก็บข้อมูลเพื่อวัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร (Overall Equipment Effectiveness: OEE) ไม่มากนัก โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีราคาค่อนข้างสูง การปรับแต่งฟังก์ชันให้เหมาะกับเครื่องจักรที่มีอยู่เดิมทำได้ยาก และอาจต้องเสียเงินจำนวนมากจ้างผู้จัดจำหน่ายหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาปรับแต่งอุปกรณ์ให้
“การที่ผู้ประกอบการไม่ทราบถึงสถานะการทำงานของเครื่องจักรแบบเรียลไทม์ อาจทำให้ไม่ทราบถึงสัญญาณผิดปกติล่วงหน้า แก้ไขปัญหาได้ล่าช้า และส่งผลให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง เช่น ผลิตสินค้าได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น คุณภาพสินค้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลในภาพรวม”
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยเนคเทค สวทช. ได้พัฒนาอุปกรณ์ iSmart OEE อุปกรณ์วัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบอัตโนมัติ ที่ใช้งานง่ายและมีราคาจับต้องได้ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SMEs เข้าถึงการใช้งานอุปกรณ์นี้
[caption id="attachment_71520" align="aligncenter" width="500"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์ iSmart OEE (ชุดจัดแสดง)[/caption]
อุ่นพงศ์ อธิบายว่า iSmart OEE คือ อุปกรณ์สำหรับติดตามประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร 3 ด้านหลัก ประกอบด้วย %A (availability) ความพร้อมใช้งานของเครื่องจักร, %P (performance) ประสิทธิภาพการผลิต และ %Q (quality) คุณภาพของสินค้าที่ผลิต โดยเมื่อนำผลลัพธ์ที่ได้จากทั้ง 3 ส่วนมาคำนวณร่วมกันจะได้เป็น %OEE หรือประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร
“iSmart OEE รองรับการนำเข้าข้อมูลจากเครื่องจักรหลายรูปแบบ ประกอบด้วยช่องทางสำหรับรับโพรโทคอลอุตสาหกรรม เช่น Modbus RTU, Modbus TCP, MQTT ช่องทางสำหรับรับสัญญาณดิจิทัล 4 ช่อง ช่องสำหรับรับข้อมูลจากเครื่องนับพัลส์ความเร็วสูง (high speed pulse counter) 2 ช่อง ช่องสำหรับต่อสาย LAN และ RS-485 นอกจากนี้อุปกรณ์ยังรองรับการกรอกข้อมูลเข้าระบบเพิ่มเติมผ่านเมาส์และคีย์บอร์ดด้วย อุปกรณ์ iSmart OEE จึงใช้งานได้กับทั้งเครื่องจักรทั่วไปและเครื่องจักรแบบสมาร์ต”
เมื่อผู้ใช้งานติดตั้งระบบการนำเข้าข้อมูลทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย อุปกรณ์จะแสดงผลข้อมูลที่จัดเก็บและคำนวณแบบเรียลไทม์ ผ่านทั้งทางหน้าจอของอุปกรณ์และแดชบอร์ดออนไลน์ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งรูปแบบการแสดงผลให้เหมาะกับการทำงานได้
แสดงผลชัด ติดตามได้แบบเรียลไทม์
อุ่นพงศ์ อธิบายว่า การแสดงผลของระบบ iSmart OEE แบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ส่วน A คือความพร้อมใช้งานของเครื่องจักร จะแสดง 5 ค่า คือ สถาะ ‘on/off’ เปิดหรือปิดเครื่อง, ‘running’ ระยะเวลาที่เดินเครื่องจักรเพื่อผลิตชิ้นงาน, ‘idle’ ระยะเวลาที่เครื่องจักรอยู่ในโหมดพร้อมใช้งานแต่ยังไม่เริ่มเดินเครื่อง เช่น รอวัตถุดิบ รอสั่งการผลิต, ‘minor stop’ ระยะเวลาที่หยุดทำงานในระยะสั้น ๆ หลักวินาทีหรือนาที เนื่องจากเกิดปัญหาเล็กน้อยกับเครื่องจักร ซึ่งพนักงานแก้ไขด้วยตัวเองได้ และ ‘breakdown’ ระยะเวลาที่เครื่องจักรชำรุดจนต้องหยุดการทำงาน
“ส่วน P จะแสดงความเร็วในการผลิตสินค้าแต่ละชิ้น และส่วน Q จะแสดงผลว่าสินค้าที่ผลิตได้ตรงตามมาตรฐานและไม่ตรงตามมาตรฐานกี่ชิ้น โดยระบบ iSmart OEE จะแสดงผลทั้งตัวเลขข้อมูลดิบที่ได้จากการจัดเก็บ และตัวเลขที่ผ่านการคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วทั้ง %A, %P, %Q และ %OEE โดยหากประสิทธิภาพต่ำกว่าที่กำหนด ระบบจะแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลเครื่องจักรทันที
“นอกจากนี้เนคเทค สวทช. ยังได้จัดทำ NomadML แพลตฟอร์มผลิตโมเดล AI สำหรับใช้ตรวจสอบคุณภาพสินค้าจากภาพถ่าย เช่น สี รอยขีดข่วน ขนาด รูปทรง ไว้ให้บริการด้วย ซึ่งหากโรงงานใช้งานแพลตฟอร์มนี้ ข้อมูลที่ AI ประเมินผลจะส่งต่อไปคำนวณ %Q และแสดงผลที่อุปกรณ์ iSmart OEE โดยอัตโนมัติ แต่หากการตรวจสอบคุณภาพสินค้าจำเป็นต้องใช้คน อุปกรณ์เฉพาะทาง หรือการทดสอบในห้องปฏิบัติการ ผู้ตรวจสอบสามารถนำข้อมูลผลการตรวจสอบ %Q มาคำนวณร่วมกับค่า %A, %P ได้เองในภายหลัง
แม้การติดตั้งอุปกรณ์ iSmart OEE จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบไฟฟ้าและการควบคุมเครื่องจักร เช่น ช่างซ่อมบำรุงของบริษัท ผู้บูรณาการระบบ (System Integrator: SI) แต่ภายหลังการติดตั้งเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานภายในโรงงานสามารถเรียนรู้วิธีใช้งานอุปกรณ์นี้ได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาดำเนินงานควบคุมระบบ การใช้งานอุปกรณ์นี้จึงไม่ก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่ผูกพันในระยะยาว
อุ่นพงศ์ ให้ข้อมูลทิ้งท้ายว่า ขณะนี้ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) เนคเทค สวทช. กำลังดำเนินโครงการ IDA Platform (Industrial IoT and Data Analytics Platform) เพื่อเป็นระบบนิเวศสำหรับผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยการสนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และการเชื่อมต่อกับแหล่งเงินทุน โดยอุปกรณ์ iSmart OEE เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่โครงการให้การสนับสนุนด้วย หากผู้ประกอบการท่านใดสนใจใช้งานอุปกรณ์ iSmart OEE สมัครเข้าร่วมโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนด้านต่าง ๆ รวมถึงอุปกรณ์ ได้ที่ www.nectec.or.th/smc/ida-platform/ ทั้งนี้โครงการ IDA Platform ได้รับการสนับสนุนการดำเนินงานจากเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi)
ปัจจุบันเนคเทค สวทช. ยังคงเปิดให้บริการถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบ iSmart OEE สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจนำไปประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อีเมล smc-business@nectec.or.th หรือผ่านทาง Line Official Account: @smceeci และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเฟซบุ๊ก www.facebook.com/smceeci
[caption id="attachment_71525" align="aligncenter" width="138"] Line Official Account: @smceec[/caption]
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และภาพจาก Shutterstock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘N-sense’ อุปกรณ์คัดกรอง BY2 ตกค้างในทุเรียน รับมือวิกฤตส่งออกจีน
Basic Yellow 2 หรือที่นิยมเรียกกันในชื่อ BY2 คือ สารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอและกระดาษ รวมถึงห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์บางประเภท โดยสารชนิดนี้อาจก่อมะเร็งในมนุษย์ได้ ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (พบการก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง แต่ยังไม่มีผลการทดสอบทางคลินิก)
ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้ผลิตและส่งออกทุเรียนทั้งในไทยและต่างประเทศนำสารชนิดนี้มาย้อมเปลือกทุเรียน เพื่อให้เปลือกมีสีเหลืองทอง น่ารับประทาน สร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งผลให้เดือนมกราคมที่ผ่านมา สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ออกมาตรการควบคุมการนำเข้าทุเรียนจากต่างประเทศ โดยผู้ส่งออกต้องแนบเอกสารใบรับรองการตรวจสอบสาร BY2 ว่าไม่มีสารปนเปื้อนที่เปลือก (หรือมีไม่เกิน 2 ppb) กรมวิชาการเกษตร ประเทศไทย จึงได้ออกมาตรการ Set Zero หรือห้ามไม่ให้มีการใช้สาร BY2 กับทุเรียนส่งออกทันที โดยหากตรวจพบ ผู้ประกอบการจะโดนระงับการออกใบรับรองสุขอนามัยพืชที่ต้องใช้แนบประกอบการส่งออก และอาจนำไปสู่การยกเลิกหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนโรงงานได้
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา N-sense อุปกรณ์วิเคราะห์ปริมาณสาร BY2 แบบพกพา ใช้งานง่าย รู้ผลใน 20 นาที
[caption id="attachment_71191" align="aligncenter" width="750"] ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล รองผู้อำนวยการ นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล รองผู้อำนวยการ นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า ตั้งแต่มีการประกาศถึงอันตรายจากการใช้งานสาร BY2 ในอุตสาหกรรมทุเรียนทั้งในไทยและต่างประเทศ นักวิจัยนาโนเทค สวทช. ไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งพัฒนาอุปกรณ์สำหรับใช้ตรวจคัดกรองปริมาณสารตกค้าง เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยเข้าถึงเครื่องมือง่าย สะดวก และรวดเร็วขึ้น
“สาร BY2 เป็นสารเคมีชนิดละลายน้ำได้ มีความทนทานต่อแสงและความร้อน สารชนิดนี้จึงมีโอกาสตกค้างในพื้นที่ที่ใช้งานได้นานหลายวันถึงหลายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับปริมาณและความเข้มข้นของสาร ดังนั้นแม้สถานประกอบการจะหยุดใช้สารชนิดนี้ก่อนจัดเก็บผลผลิตทุเรียนชุดใหม่แล้ว ก็อาจยังมีสารตกค้างอยู่ตามลัง พื้นที่โรงคัดบรรจุ หรือกระทั่งเสื้อผ้าและถุงมือของแรงงาน ซึ่งจะปนเปื้อนทุเรียนที่เข้ามาใหม่ได้
“ทั้งนี้หากการตรวจหาปริมาณสาร BY2 ตกค้าง เพื่อออกเอกสารรับรองสำหรับส่งออก พบการปนเปื้อนแม้เพียงผลใดผลหนึ่งจากการสุ่มตรวจทั้งหมด ทุเรียนในลอตนั้นจะโดนตีกลับทั้งหมดทันที โดยทั่วไปตู้คอนเทนเนอร์ 1 ตู้ บรรจุได้ประมาณ 2,000-4,000 ผล หรือน้ำหนักประมาณ 15-18 ตัน ซึ่งผู้ประกอบการหรือกลุ่มเกษตรกรไทยส่งออกลอตละ 1-50 ตู้ต่อรายต่อวันในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ดังนั้นหากเกิดข้อผิดพลาดก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาลได้”
จากข้อมูลล่าสุด ณ เดือนเมษายน ประเทศไทยมีห้องปฏิบัติการ 10 แห่ง ที่ได้รับการรับรองจากกรมศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) และอยู่ภายใต้การรับรองของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ตรวจและออกใบรับรองการตรวจวิเคราะห์ปริมาณสาร BY2 ปนเปื้อนในเปลือกทุเรียนว่าไม่เกิน 2 ppb โดยใช้เวลาประมาณ 48 ชั่วโมงต่อลอต และมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 บาทต่อชุดตัวอย่างที่สุ่มตรวจ ซึ่งเป็นต้นทุนเฉลี่ยต่อ 1 ตู้คอนเทนเนอร์
[caption id="attachment_71190" align="aligncenter" width="750"] ดร.อรรณพ คล้ำชื่น ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.อรรณพ คล้ำชื่น ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูงความปลอดภัยและสารสนเทศ นาโนเทค สวทช. ทีมวิจัยผู้พัฒนา N-sense อุปกรณ์วิเคราะห์ปริมาณสาร BY2 แบบพกพา อธิบายว่า ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านนาโนเทคโนโลยีเซนเซอร์และการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูงมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอุปกรณ์ชนิดนี้ โดยอุปกรณ์ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ ขั้วเซนเซอร์เคมีไฟฟ้าที่มีความจำเพาะกับสาร BY2 และเครื่องอ่านและประมวลผลแบบพกพา
“N-sense ใช้งานง่าย ผู้ใช้งานเพียงตัดเปลือกทุเรียนจากผลที่ต้องการสุ่มตรวจมาปั่นละเอียด แล้วนำเปลือกที่ปั่นแล้วปริมาณ 1 กรัม ไปผสมกับแอลกอฮอล์ปริมาณ 5 มิลลิลิตรในหลอดทดลอง เขย่าสารให้เข้ากันแล้วตั้งทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที จากนั้นใช้หลอดดูดเฉพาะส่วนที่เป็นของเหลวมาหยดลงบนขั้วของเซนเซอร์ที่เสียบไว้กับเครื่องอ่านผล เพียงเท่านี้ก็จะทราบผลการวิเคราะห์เป็นตัวเลขปริมาณสาร BY2 ที่ตรวจพบได้ภายใน 1-2 นาที หรือใช้เวลาตรวจรวมไม่เกิน 20 นาที ทุกขั้นตอนทำได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้ห้องปฏิบัติการและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการตรวจและอ่านผล”
เทคโนโลยี N-sense ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นตรวจวัดปริมาณสาร BY2 ได้ที่ความเข้มข้นต่ำสุด 0.56 ppb มีความแม่นยำมากกว่าร้อยละ 85 มีอัตราการคลาดเคลื่อนของปริมาณสารที่ตรวจวัดได้ต่ำ อย่างไรก็ตามอุปกรณ์นี้เหมาะสำหรับใช้ตรวจคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนการตรวจจากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองเพื่อออกเอกสารประกอบการส่งออกได้
[caption id="attachment_71198" align="aligncenter" width="750"] สมาน พรหมมา ประธานกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ทุเรียนวังจันทร์ จ.ระยอง[/caption]
สมาน พรหมมา ประธานกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ทุเรียนวังจันทร์ จ.ระยอง ในฐานะตัวแทนกลุ่มเกษตรที่มีพื้นที่เพาะปลูกรวมกันกว่า 300 ไร่ เล่าว่า หลังจากมีการออกมาตรการตรวจสอบสาร BY2 ในทุเรียนที่จะส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยต่างต้องเร่งศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสารนี้ และดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ผลทุเรียนมี BY2 ตกค้างหรือปนเปื้อน
“การที่นักวิจัยจากนาโนเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีคัดกรองที่ใช้ตรวจง่าย รู้ผลเร็ว และมีราคาจับต้องได้ ซึ่งถูกกว่าการตรวจโดยห้องปฏิบัติการประมาณ 10 เท่ามาช่วยเหลือ มีส่วนช่วยทำให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในกลุ่มรู้สึกอุ่นใจขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะการได้สุ่มตรวจคัดกรองตั้งแต่ต้นด้วยตัวเองก่อนเตรียมการส่งออกผลผลิต จะช่วยลดโอกาสความผิดพลาดที่อาจสร้างความเสียหายมหาศาลได้เป็นอย่างดี”
ปัจจุบันทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. กำลังวางแผนร่วมกับสมาคมทุเรียนไทยและสมาคมผู้ผลิตทุเรียนไทย เพื่อขยายผลการทดสอบใช้งานอุปกรณ์ N-sense เพิ่มเติมในจังหวัดระยอง จันทบุรี และชุมพร โดยได้ผลิตอุปกรณ์เตรียมไว้แล้วประมาณ 50 ชุด นอกจากนี้ทีมวิจัยยังมีแผนขอความร่วมมือไปยังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และกรมวิชาการเกษตรในการสอบเทียบมาตรฐานอุปกรณ์ เพื่อนำไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจต่อไป
สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ที่งานพัฒนาธุรกิจ นาโนเทค สวทช. อีเมล์ bdis-bdv@nanotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์, ชัชวาลย์ โบสุวรรณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. และภาพจาก Shutterstock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผลงานวิจัยเด่น
‘ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ’ วิจัยเทคโนโลยีชีวภาพระดับโมเลกุล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย
ปัจจุบันผู้คนอาจเริ่มคุ้นเคยกับคำว่า Big Data Analysis หรือการนำข้อมูลปริมาณมหาศาลมาสกัดเอาส่วนสำคัญไปใช้ประโยชน์ต่อ เช่น ใช้พัฒนาเทคโนโลยี Generative AI อย่าง Chat GPT และ Gemini, พยากรณ์อากาศ, วางแผนการตลาดของบริษัทชั้นนำต่าง ๆ แต่รู้หรือไม่ว่างานด้านเทคโนโลยีชีวภาพก็มีการเก็บรวบรวมข้อมูลปริมาณมหาศาลมาสกัดเพื่อใช้ประโยชน์เช่นกัน ทั้งเพื่อสร้างองค์ความรู้ สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดตั้ง ‘ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ’ ขึ้นในปี 2563 เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านโอมิกส์ที่ทันสมัยที่สุดของประเทศไทย สำหรับขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมชีวภาพ พร้อมทั้งให้บริการวิจัย พัฒนา และทดสอบระดับโมเลกุล ในหลายอุตสาหกรรม เช่น เกษตร สุขภาพ สิ่งแวดล้อม แบบครบวงจร (one-stop service) เพื่อเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพให้ภาครัฐและเอกชน
‘โอมิกส์’ คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อเทคโนโลยีชีวภาพ
[caption id="attachment_71248" align="aligncenter" width="750"] ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า โอมิกส์ (Omics) คือ คำที่ใช้เรียกเทคโนโลยีและการศึกษาทางชีววิทยาในระดับโมเลกุลอย่างเป็นระบบและครอบคลุม โดยคำว่าโอมิกส์มาจากคำต่อท้ายของศาสตร์ย่อย เช่น จีโนมิกส์ (genomics) การศึกษารหัสพันธุกรรมในระดับจีโนม, ทรานสคริปโตมิกส์ (transcriptomics) การศึกษาการแสดงออกหรือการทำงานของยีน, โปรตีโอมิกส์ (proteomics) การศึกษาหน้าที่และการทำงานร่วมกันของโปรตีน และเมตาโบโลมิกส์ (metabolomics) การศึกษาการสร้างและการเปลี่ยนแปลงของสารเมตาบอไลต์หรือสารออกฤทธิ์
“หากอธิบายให้เข้าใจง่าย เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นเบื้องหลังของเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบและออกแบบปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์เศรษฐกิจ เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย กุ้งกุลาดำในระดับรหัสพันธุกรรม, การสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์ เช่น ปะการัง โกงกาง เสือโคร่ง, การวิเคราะห์และประเมินฤทธิ์ทางชีวภาพของพืชสมุนไพร เช่น กระชายดำ กะเพรา กัญชง กัญชา เพื่อใช้ประโยชน์ด้านสุขภาพและการแพทย์, การวิเคราะห์ชนิดและปริมาณของโปรตีนเพื่อการผลิตสารฟังก์ชัน เช่น เพปไทด์ คอลลาเจน
“ไบโอเทค สวทช. ได้ก่อตั้งศูนย์โอมิกส์แห่งชาติขึ้นในปี 2563 เพื่อดำเนินพันธกิจด้านการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศ พร้อมนำโครงสร้างพื้นฐานในระดับสากลนี้มาให้บริการแก่ภาครัฐและเอกชนไทยแบบครบวงจร ทั้งบริการด้านการวิจัย พัฒนา และทดสอบ นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนากำลังคนและการสร้างความร่วมมือในระดับสากล เพื่อบูรณาการองค์ความรู้และขยายผลการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีด้วย”
เสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
[caption id="attachment_71249" align="aligncenter" width="750"] ดร.วิรัลดา ภูตะคาม ผู้อำนวยการศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.วิรัลดา ภูตะคาม ผู้อำนวยการศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. เล่าถึงหนึ่งในตัวอย่างผลงานเด่นเพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมเกษตรว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลสำหรับตรวจสอบความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสมด้วยดีเอ็นเอ หรือ DNA-based purity testing for F1 hybrid seeds ขึ้น เพื่อให้บริการสุ่มตรวจสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์ลูกผสมที่ผลิตเพื่อจำหน่ายว่ามาจากพ่อ-แม่พันธุ์ที่ต้องการหรือไม่ โดยใช้เวลาตรวจเพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้น (ตรวจได้มากถึง 10,000 ตัวอย่างต่อวัน) แตกต่างจากวิธีการดั้งเดิมที่ต้องใช้การสุ่มปลูกจริงเพื่อรอดูผลซึ่งใช้เวลานานกว่ามาก
“การตรวจสอบคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ได้เร็วจะช่วยให้เกษตรกรได้รับค่าตอบแทนภายใน 2 สัปดาห์ มีเงินทุนไปใช้ผลิตรอบใหม่ทันที สามารถเพิ่มรอบการผลิตจากปีละ 1-2 รอบ เป็น 3-4 รอบหรือมากกว่าได้ ขณะที่ผู้ประกอบการก็ส่งออกเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูงได้เร็วขึ้น ช่วยให้เมล็ดพันธุ์มีอัตราการงอกที่ดีกว่าเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการเก็บมานานแล้ว ถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่ช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้
“ขณะนี้ประเทศไทยมีการส่งออกเมล็ดพันธุ์มูลค่าสูงถึงหนึ่งหมื่นล้านบาทหรือเป็นอันดับ 3 ของเอเชียรองจากจีนและญี่ปุ่น หากผู้ประกอบการหันมาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้กันมากขึ้นก็อาจสร้างมูลค่าการส่งออกได้มากขึ้นแบบเท่าตัว”
ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีไปให้บริการตรวจสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์ลูกผสมครอบคลุมพืชเศรษฐกิจแล้วหลายชนิด เช่น ข้าวโพด มะเขือเทศ พริก แตงโม แตงกวา เมลอน มะระ ฟัก ฟักทอง บวบ มะเขือยาว นอกจากนี้ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติยังได้รับงบประมาณแผนงานยุทธศาสตร์ เพื่อให้บริการพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลที่ใช้ตรวจสอบความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสม สำหรับสร้างฐานข้อมูลดีเอ็นเอพ่อ-แม่พันธุ์ในประเทศให้แก่ SMEs ไทยโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายด้วย เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ
สำหรับตัวอย่างผลงานด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ดร.วิรัลดา เล่าว่า ที่ผ่านมาศูนย์โอมิกส์แห่งชาติได้ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ศึกษาและพัฒนาฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของปะการังชนิดที่เติบโตในน่านน้ำไทย เพื่อเฝ้าระวังการเสี่ยงสูญพันธุ์ รวมทั้งใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และฟื้นฟูอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ทีมวิจัยยังกำลังศึกษาปัจจัยที่ส่งผลให้ปะการังแต่ละชนิดมีความเสี่ยงต่อการฟอกขาวแตกต่างกัน เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการอนุรักษ์ปะการังในน่านน้ำไทย
“ทีมวิจัยยังร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สร้างฐานข้อมูลลายนิ้วมือทางพันธุกรรมหรือ DNA fingerprint เพื่อใช้ระบุตัวเสือโคร่งทั้ง 6 ชนิดย่อย ประกอบด้วยเสือโคร่งไซบีเรีย เสือโคร่งเบงกอล เสือโคร่งอินโดไชนีส เสือโคร่งสุมาตรา เสือโคร่งจีนใต้ และเสือโคร่งมลายู เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้ระบุรหัสพันธุกรรมของเสือแต่ละตัวได้อย่างจำเพาะเจาะจง ไม่ต่างกับการตรวจลายนิ้วมือเพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีไปใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการปราบปรามอาชญากรรมสัตว์ป่าแล้ว และในอนาคตอาจขยายผลไปสู่การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของเสือโคร่งในไทยต่อไป”
ผลงานวิจัยข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างไม่กี่ผลงานจากที่ทีมวิจัยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. ได้หยิบยกมาเล่าด้วยจุดประสงค์สำคัญคือ การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการให้บริการด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพด้วยเทคโนโลยีโอมิกส์ รวมถึงการให้บริการอุปกรณ์โครงสร้างพื้นฐานระดับชั้นนำของเอเชีย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ทั้งภาครัฐและเอกชนไทยได้ใช้ประโยชน์จากความพร้อมเหล่านี้ยกระดับเศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยอย่างเต็มประสิทธิภาพ
สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลผลงานวิจัยและขอรับบริการด้านการวิจัย พัฒนา และทดสอบ รวมถึงบริการด้านอุปกรณ์โครงสร้างพื้นฐาน ติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. โทร 0 2564 7000 ต่อ 71441 หรืออีเมล noc.th@nstda.or.th และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.nstda.or.th/noc
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. และภาพจาก Shutterstock
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


