หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. ชวนคนไทยเลือกใช้ ‘วัสดุและวิธีก่อสร้าง’ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำความเข้าใจได้ง่ายผ่าน ‘แบบจำลองอาคารสามมิติ’
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/3d-simulation-model-for-sustainable-construction.html   ทุกวันนี้ในท้องตลาดมีวัสดุก่อสร้างให้เลือกซื้อหลายรูปแบบ ทั้งวัสดุที่ผลิตจากทรัพยากรธรรมชาติ และวัสดุที่นำของเหลือหรือขยะจากภาคส่วนต่างๆ มาเป็นส่วนผสมในการผลิต แล้วเราในฐานะผู้บริโภคจะตัดสินใจเลือกใช้วัสดุอย่างไรให้เหมาะสมและคุ้มค่าทั้ง ‘อายุการใช้งาน’ และ ‘ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิจัยและพัฒนาการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและตัวเลขการหมุนเวียนของวัสดุก่อสร้าง ตามแนวคิดโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี โดยนำเสนอข้อมูลผ่านแบบจำลองสามมิติ (3D Simulation) ที่สะดวกและเข้าใจง่าย ภายใต้ทุนสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)   [caption id="attachment_39527" align="aligncenter" width="700"] ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ นักวิจัย TIIS สวทช.[/caption]   ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ นักวิจัย TIIS สวทช. เล่าว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและสังคม เพราะเป็นรากฐานของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเติบโตของทุกอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงคือ อุตสาหกรรมนี้สามารถสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมสูงหากขาดการจัดการที่เหมาะสมจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง ผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมาก่อสร้าง รวมถึงผู้จัดการสิ่งรื้อถอน “TIIS จึงร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมดังกล่าววิจัยและพัฒนา ‘ชุดข้อมูลการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและตัวเลขการหมุนเวียนของวัสดุก่อสร้าง’ โดยนำเกณฑ์ Material Circularity Indicator (MCI) ที่มีการคิดค้นและนำเสนอไว้โดย Ellen MacArthur Founder ซึ่งเหมาะแก่การใช้วิเคราะห์วัสดุก่อสร้างมาเป็นดัชนีในการประเมิน ตัวชี้วัดของดัชนีนี้มี 4 ด้าน คือ ปริมาณวัตถุดิบนำเข้าใหม่ วัตถุดิบเหลือทิ้ง วัตถุดิบรีไซเคิล รวมถึงการใช้งานและอายุการใช้งานของวัสดุ ทั้งนี้ค่า MCI จากการคำนวณจะแสดงเป็นตัวเลข 0-1 โดย 1 คือคะแนนเต็มหรือเป็นวัสดุที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสูง”     การทำวิจัยครั้งนี้ TIIS ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากผู้ผลิตรายใหญ่ของประเทศไทย ในการให้ข้อมูลกระบวนการการผลิตวัสดุก่อสร้างที่มีการใช้งานมากในปัจจุบัน โดย TIIS ได้ทำวิจัยวัสดุรวมทั้งสิ้น 13 ชนิด และเปิดเผยข้อมูลให้ทุกภาคส่วนใช้ประโยชน์แล้ว 5 ชนิด ดร.นงนุช เล่าว่า การทำวิจัยในเฟสแรกเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ค่า MCI ของวัสดุหลักที่ใช้ในการก่อสร้าง 5 ชนิด คือ เหล็กเส้น คอนกรีตผสมเสร็จ ปูนซีเมนต์สำเร็จรูป ฉนวนกันความร้อน และแผ่นไม้อัด โดยได้จัดทำชุดข้อมูลเปรียบเทียบค่า MCI ของวัสดุที่ผลิตด้วยวัตถุดิบที่แตกต่างกัน เช่น เหล็กเส้นที่ใช้วัตถุดิบธรรมชาติกับเหล็กเส้นที่ใช้เศษเหล็กเป็นวัตถุดิบหลัก ก่อนนำข้อมูลมานำเสนอผ่านแบบจำลองอาคารสามมิติ (ไม่รองรับการใช้งานผ่านสมาร์ตโฟน) เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่างๆ เห็นภาพการใช้งานวัสดุก่อสร้างชนิดนั้นๆ ว่ามีการใช้งานที่ส่วนใดของอาคารและมีค่า MCI เท่าไหร่ ซึ่งจะช่วยให้การตัดสินใจเลือกใช้วัสดุทำได้ง่ายและคุ้มค่ายิ่งขึ้น (ค่า MCI จะนำเสนอเป็นค่ากลาง ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเฉพาะของแต่ละแบรนด์) ซึ่งปัจจุบันประชาชนสามารถเข้าชมข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ www.nstda-tiis.or.th/3d-mci-bm (ไม่รองรับการใช้งานผ่านสมาร์ตโฟน) “ขณะนี้ทีมวิจัยกำลังเร่งดำเนินงานในเฟสที่ 2 และเตรียมนำเสนอข้อมูลการวิเคราะห์ค่า MCI ของวัสดุเพิ่มอีก 8 ชนิด ประกอบด้วยอิฐ กระเบื้องปูพื้น วัสดุปิดผนัง ฝ้าเพดาน ประตูและหน้าต่าง ท่อประปา สุขภัณฑ์ และหลังคา ซึ่งในอนาคตการวิจัยค่า MCI ของวัสดุก่อสร้างจะยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดย TIIS และผู้ประกอบการจะร่วมกันปรับปรุงข้อมูล MCI ของวัสดุทุกชนิดให้เป็นปัจจุบันตลอดทุกปี (เปิดรับข้อมูลจากทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรม) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แสดงถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงค่าความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของวัสดุก่อสร้างที่มีการใช้งานในประเทศไทย”     นอกจากการพัฒนาค่า MCI ของวัสดุก่อสร้างแล้ว TIIS ยังได้ร่วมกับสถาบันการศึกษา อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี รวมถึงภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง วิจัยและพัฒนาการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดร.นงนุช เล่าว่า TIIS และหน่วยงานพันธมิตรได้ร่วมกันวิจัย ‘ดัชนีชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อม’ เพื่อดูว่าการก่อสร้างในแต่ละรูปแบบของทั้ง ‘อาคารที่ก่อสร้างแบบดั้งเดิม (Conventional construction) ซึ่งเป็นระบบเปียก (Wet process) หรือการก่อสร้างทุกขั้นตอนที่สถานที่ตั้งอาคาร และ ‘อาคารที่ก่อสร้างแบบสำเร็จรูป (Modular construction)’ หรือการก่อสร้างโดยนำชิ้นส่วนสำเร็จรูปมาประกอบ มี ‘ดัชนีชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อม’ ที่ประกอบด้วย ค่าการหมุนเวียนของอาคาร (Building circular indicator: BCI) ต้นทุนวัฏจักรชีวิตหรือต้นทุนที่เกิดขึ้นตั้งแต่การก่อสร้างจนถึงสิ้นสุดอายุการใช้งาน (LCC) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกของการก่อสร้างอาคาร (GHG) และปริมาณขยะก่อสร้างและรื้อถอน (CDW) เท่าไหร่บ้าง โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกวิธีการก่อสร้างและวัสดุต่างๆ เพื่อให้ระบบคำนวณค่า BCI, LCC, GHG และ CDW โดยอัตโนมัติได้     “ทั้งนี้ค่า BCI จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการตัดสินใจออกแบบก่อสร้าง เพราะแม้การเลือกใช้วัสดุที่ผลิตจากวัตถุดิบรีไซเคิลหรือการก่อสร้างแบบสำเร็จรูปอาจมีราคาค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า เป็นผลมาจากการผลิตและก่อสร้างต้องอาศัยเทคโนโลยีเฉพาะทางในการดำเนินงาน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตลอดอายุการใช้งาน รวมถึงค่าความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว จะเห็นได้ถึงความคุ้มค่าในระยะยาวและความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมที่มากกว่า ซึ่งการวางแผนก่อสร้างอย่างรอบคอบจะช่วยลดปัญหาเรื่องขยะก่อสร้างและรื้อถอนที่ปัจจุบันไทยยังขาดแนวทางการจัดการให้สามารถหมุนเวียนวัสดุกลับมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้คาดว่าจะเผยแพร่แบบจำลองอาคารสามมิติเพื่อแสดงค่า BCI รวมถึงค่า MCI ของวัสดุก่อสร้างทั้ง 13 ชนิดได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้” การจัดทำข้อมูลทั้งค่า MCI ของวัสดุก่อสร้าง และค่า BCI นับเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ทั้งผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมาก่อสร้าง และผู้ว่าจ้างในการก่อสร้าง ในการร่วมกันลดการสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี นอกจากนี้ TIIS ยังเปิดให้บริการการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน โดยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อได้ที่ www.nstda-tiis.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย  TIIS สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
แนวปฏิบัติกระบวนการทางดิจิทัลภาครัฐ – ภาพรวม (GUIDELINES FOR DIGITAL GOVERNMENT PROCESS) (มสพร. 6-2565)
มาตรฐานสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ว่าด้วยแนวปฏิบัติกระบวนการทางดิจิทัลภาครัฐ - ภาพรวม (GUIDELINES FOR DIGITAL GOVERNMENT PROCESS) (มสพร. 6-2565) มาตรฐานสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ฉบับนี้นำเสนอเนื้อหาในภาพรวมของการจัดทำกระบวนการทางดิจิทัลสำหรับการ “ขออนุญาต” หมายความรวมถึง ขอรับใบอนุญาต ขออนุมัติ ขอจดทะเบียน ขอขึ้นทะเบียน ขอแจ้ง ขอจดแจ้ง ขออาชญาบัตร ขอการรับรอง ขอความเห็นชอบ ขอความเห็น ขอให้พิจารณา ขออุทธรณ์ ร้องทุกข์ หรือร้องเรียน ขอให้ดำเนินการ ขอรับเงิน ขอรับสวัสดิการ และขอรับบริการอื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ มิได้ครอบคลุมกระบวนการดำเนินงานอื่นภายในหน่วยงานของรัฐ และข้อมูลทางเทคนิคของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยเป็นแนวทางการปฏิบัติสำหรับใช้ภายในสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือเป็นการเสนอแนะแนวปฏิบัติวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ได้ตามระดับความพร้อม ซึ่งเนื้อหาได้อ้างอิงจากกฎหมาย มาตรฐาน ข้อเสนอแนะ และแนวทางการดำเนินงานที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาเท่านั้น  ดาวน์โหลด เอกสารแนวปฏิบัติกระบวนการทางดิจิทัลภาครัฐ – ภาพรวม รูปแบบอ้างอิงเอกสารฉบับนี้ : สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน). (2022, October 3). มาตรฐานสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ว่าด้วยแนวปฏิบัติกระบวนการทางดิจิทัลภาครัฐ—ภาพรวม (GUIDELINES FOR DIGITAL GOVERNMENT PROCESS) (มสพร. 6-2565). Digital Government Standard. https://standard.dga.or.th/dga-std/5212/  
เอกสารเผยแพร่
 
แปรรูป ‘เปลือกหอย’ ขยะอุตสาหกรรม สู่ ‘สารสำคัญเวชสำอาง พลาสติก กระดาษ’
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/bio-calcium-carbonate-from-mussel-shells.html   เปลือกหอย เป็นปัญหาขยะจากอุตสาหกรรมเครื่องประดับและอาหาร เพราะการกำจัดต้องใช้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานมาก แต่รู้หรือไม่ว่าร้อยละ 95 ของเปลือกหอยมีสารแคลเซียมคาร์บอเนตที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายอุตสาหกรรม ดังนั้นหากมีเทคโนโลยีที่สามารถเปลี่ยนขยะเปลือกหอยเหล่านี้ให้สร้างมูลค่าเพิ่มได้ก็นับว่าคุ้มค่าน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง นักวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการแปรรูป ‘เปลือกหอยมุก’ ขยะในอุตสาหกรรมเครื่องประดับให้เหมาะแก่การใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมเวชสำอาง ด้วยกระบวนการที่ใช้พลังงานต่ำและไม่ก่อให้เกิดของเสีย ภายใต้ทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)   [caption id="attachment_39293" align="aligncenter" width="700"] ดร.ชุติพันธ์ เลิศวชิรไพบูลย์ นักวิจัย นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.ชุติพันธ์ เลิศวชิรไพบูลย์ นักวิจัยทีมวิจัยการวินิจฉัยระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการพัฒนากระบวนการแปรรูปนี้มาจากการทำวิจัยในระดับปริญญาเอก โดยได้ทำการศึกษาเรื่องปรากฏการณ์เชิงแสงในเปลือกหอยมุก ทำให้ค้นพบกระบวนการแยกสารอินทรีย์ คือไบโอแคลเซียมคาร์บอเนต (Bio-calcium carbonate, CaCO3) ออกจากเปลือกหอยด้วยพลังงานความร้อนต่ำ โดยไม่ก่อให้เกิดการทำลายโครงสร้างที่สมบูรณ์ ทั้งนี้ไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตจะอยู่ในรูป ‘อะราโกไนต์ (Aragonite form)’ มีลักษณะโครงสร้างเป็นรูปทรง 6 เหลี่ยม ขนาด 5-10 ไมครอน ความหนา 200-500 นาโนเมตร และมีคุณสมบัติทางเคมีเหมือนแคลเซียมคาร์บอเนตทั่วไปที่ผลิตจากภูเขาหินปูน ซึ่งมีโครงสร้างเป็นทรงกลมและขนาดเล็กกว่า   [caption id="attachment_39294" align="aligncenter" width="700"] ไบโอแคลเซียมคาร์บอเนต (Bio-calcium carbonate)[/caption]   [caption id="attachment_39295" align="aligncenter" width="700"] รูปทรงอะราโกไนต์ (Aragonite form)[/caption]   [caption id="attachment_39296" align="aligncenter" width="700"] รูปทรงอะราโกไนต์ (Aragonite form)[/caption]   หลังจากการค้นพบในครั้งนั้น นักวิจัยได้ทำวิจัยต่อเนื่องเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตให้ประหยัดพลังงานยิ่งขึ้นและสามารถขยายขนาดการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญต่อการวิจัยเพื่อสร้างตลาดเฉพาะให้ไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตที่มีโครงสร้างแบบอะราโกไนต์ ดร.ชุติพันธ์ เล่าว่า ทีมวิจัยได้ศึกษาหาแนวทางการนำไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตที่สกัดได้จากเปลือกหอยมุกไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเวชสำอาง ซึ่งการใช้เปลือกหอยมุกจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ผลิตภัณฑ์ได้ ตัวอย่างการนำไปใช้ เช่น ใช้ทดแทนไมโครพลาสติกในผลิตภัณฑ์สครับผิว ใช้แปรรูปเป็นสารไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Hydroxyapatite) ในยาสีฟันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลือบและซ่อมแซมฟัน เพราะสารโครงสร้างแบบอะราโกไนต์มีรูปทรงและขนาดที่เหมาะสมแก่การใช้งานโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปเป็นอนุภาคนาโนเหมือนสารทั่วไป อีกทั้งสารชนิดนี้ยังผ่านการทดสอบตามมาตรฐานอุตสาหกรรมแล้วว่าใช้เป็นสารประกอบในอุตสาหกรรมเวชสำอางได้     ความสำเร็จของงานวิจัยไม่ใช่เพียงการสกัดสารอะราโกไนต์จากเปลือกหอยมุกเหลือทิ้งเพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเวชสำอาง แต่นักวิจัยยังต่อยอดใช้เทคโนโลยีเดียวกันนี้เพิ่มมูลค่าขยะเปลือกหอยจากอุตสาหกรรมอาหาร เช่น เปลือกหอยแมลงภู่ หอยนางรม หอยเป๋าฮื้อ ดร.ชุติพันธ์ เล่าว่า ยังมีอีกหลายอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้แคลเซียมคาร์บอเนตที่อยู่ในรูปอะราโกไนต์ ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการผลิตเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเหล่านั้น เช่น อุตสาหกรรมผลิตพลาสติกที่ต้องใช้แคลเซียมคาร์บอเนตเป็นสารเติมเต็ม (Filler) ทดแทนพอลิเมอร์ เพื่อลดต้นทุนในการผลิต ซึ่งสารทั่วไปที่นำไปใช้ในปัจจุบันมีรูปร่างเป็นทรงกลม ส่งผลให้เกิดการกระจายแสงไปทุกทิศทาง หากใส่ปริมาณมากจะทำให้เนื้อพลาสติกมีความขุ่น แต่สารในรูปแบบอะราโกไนต์กระจายแสงได้ดีกว่า หากใส่ปริมาณที่เท่ากันจะไม่ทำให้เกิดความขุ่นมากเท่า จึงใช้ทดแทนพอลิเมอร์ได้มากกว่า       “อีกด้านหนึ่งคืออุตสาหกรรมกระดาษ ที่ตามปกติจะใช้สารเคลือบพื้นผิวเพื่อเพิ่มคุณสมบัติป้องกันน้ำ แต่ปัจจุบัน EU ออกข้อกำหนดว่าสารที่ใช้เคลือบกระดาษจะต้องย่อยสลายได้ 100 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทำให้ต้นทุนการผลิตมีราคาสูงขึ้นมาก เกิดเป็นข้อจำกัดทางการค้า นักวิจัยจึงได้พัฒนาสารเคลือบจากเปลือกหอยแมลงภู่ซึ่งมีสารที่อยู่ในรูปอะราโกไนต์เช่นเดียวกับหอยมุกแต่มีขนาดเล็กกว่า ทำให้ใช้เคลือบกระดาษได้มีประสิทธิภาพเหมาะแก่การใช้ผลิตเป็นสารทดแทน ปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตนี้อยู่ในขั้นตอนการวิจัยเพื่อเสริมประสิทธิภาพและขยายขนาดการผลิตแล้ว” การสกัดไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอย นับเป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญในการพลิกโฉม ‘เปลือกหอย’ ขยะอุตสาหกรรมสู่ ‘สารมูลค่าสูง’ ช่วยลดต้นทุนการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หลากหลายอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงเปิดรับการลงทุนเพื่อร่วมวิจัยต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ที่ช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ภายใต้การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผู้ที่สนใจในเทคโนโลยีติดต่อได้ที่ ดร.ชุติพันธ์ เลิศวชิรไพบูลย์ อีเมล chutiparn.ler@nanotec.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และนาโนเทค สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
หมวกนิรภัยแบบไหนปลอดภัยที่สุด
มาดูกันครับว่าหมวกนิรภัยที่ใช้กันอยู่ มีความปลอดภัยอยู่ในระดับใด แบบไหนใช้แล้วปลอดภัยที่สุด เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะคะ  
NSTDA Infographic
 
แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566 – 2570
ด้วยพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 44(3) กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) มีหน้าที่และอำนาจ จัดทำนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ เพื่อกำหนดและกำกับทิศทางในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาประเทศ   สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดทำแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้จัดทำแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2566-2570 โดยใช้แนวทางตามกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม พ.ศ. 2566-2570 โดยให้ความสำคัญกับการนำวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และมีศักยภาพเพียงพอในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมรองรับความท้าทายใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยมุ่งเน้นให้ คนไทยมีสมรรถนะและทักษะสูง เพียงพอในการพลิกโฉมประเทศให้ยกระดับความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน เศรษฐกิจไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่าและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพิ่มความมั่นคงของเศรษฐกิจฐานราก และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนพร้อมสู่อนาคต และสังคมไทยมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนสามารถแก้ปัญหาท้าทายของสังคมและสิ่งแวดล้อม ปรับตัวได้ทันต่อพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลก   แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566 – 2570 โดยท่านสามารถดาวน์โหลด (ฉบับสมบูรณ์) อ่าน และ ทำความเข้าใจได้ที่ QR Code บนภาพ หรือคลิกเพื่อ  ดาวน์โหลดเอกสาร   หรืออ่านเอกสารสรุปสาระสำคัญแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566 – 2570 ดาวน์โหลดเอกสารสรุปสาระสำคัญ
เอกสารเผยแพร่
 
‘ปิกนิก เทเบิล’ เฟอร์นิเจอร์ไม้สักสุดคูล คิด-ออกแบบ ตามแนวคิด Circular Economy
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/picnic-table-furniture-with-circular-design.html   หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy คือ แนวคิดที่ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไปพร้อมกับการดูแลธรรมชาติและสังคมอย่างยั่งยืน ดังนั้นการออกแบบนวัตกรรมกรรมตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ถือเป็นแนวทางที่ช่วยทำให้ผู้ประกอบการและนักวิจัยได้นำความรู้ ทั้งศาสตร์เชิงกลด้านวิศวกรรมและศาสตร์การออกแบบดีไซน์มาร่วมกันสร้างสรรค์และออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้ตั้งแต่ต้นทาง ที่สำคัญคือนำกลับมาใช้ซ้ำได้ยาวนาน ปิกนิก เทเบิล (Picnic Table) เฟอร์นิเจอร์ไม้สัก คือตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้ประโยชน์จากวัสดุไม้สักอย่างคุ้มค่า ผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้เทคนิคทางวิศวกรรมเข้ามาช่วยเพิ่มความมั่นคงแข็งแรงของเฟอร์นิเจอร์ โดยตัดขั้นตอนการใช้สารเคมีออกจากกระบวนการผลิต แถมยังส่งผลดีต่อการนำชิ้นส่วนของเฟอร์นิเจอร์กลับมาใช้งานได้ใหม่ เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ   [caption id="attachment_39075" align="aligncenter" width="700"] ดร.นุจรินทร์ รามัญกุล (ขวาสุด) และนายจิรชัย ตั้งกิจงามวงศ์ (คนที่ 2)[/caption]   ดร.นุจรินทร์ รามัญกุล ผู้เชี่ยวชาญวิจัยกลุ่มวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ได้รับการสนับสนุนจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ (Simulation) โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาแบบจำลองและออกแบบ เพื่อทดสอบความมั่นคงแข็งแรงของผลิตภัณฑ์ต่างๆ อีกทั้งเติมเต็มเรื่องข้อมูลของผลทดสอบที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมได้เห็นข้อมูลรอบด้านและสามารถคิดต่อได้ว่าจะเดินหน้าไปในทางไหน ที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมของตนเอง           นายจิรชัย ตั้งกิจงามวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท อุตสาหกรรมดีสวัสดิ์ จำกัด (DEESAWAT) กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ CE ทำให้บริษัทเริ่มกลับมาคิดการพัฒนาเฟอร์นิเจอร์ใหม่ โดยคำนึงถึงการออกแบบตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางการใช้งาน ไม่ใช่การออกแบบนำการผลิตตามรูปแบบเดิม เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นดีสวัสดิ์ ในฐานะผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์จากไม้สัก ซึ่งเป็นทรัพยากรป่าไม้ที่สำคัญ ต้องคำนึงถึงการใช้ประโยชน์และรักษาคุณค่าของไม้สักไว้ให้ได้นานที่สุด และตอบสนองการใช้งานผู้บริโภคในปัจจุบัน     “ปิกนิก เทเบิล คือเฟอร์นิเจอร์ปิกนิกจากงานไม้สัก ที่มีการออกแบบตามหลักแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน จากเดิมที่เคยผลิตชิ้นงานเฟอร์นิเจอร์ โดยนำไม้สักมาแปรรูป ฝังเดือย ใส่กาวเกือบทุกชิ้นส่วน และต้องมีการไสเศษไม้ส่วนเกินออก เพื่อตกแต่งชิ้นส่วนให้เรียบสวยงาม ก่อนนำมาเข้าลิ่ม เข้าเดือย ซึ่งวิธีนี้ถือเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์ถูกกำหนดให้ใช้งานแบบตายตัว และบางส่วนถูกตัดทิ้งเป็นของเสีย ใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ  แต่ตอนนี้ดีสวัสดิ์ เปลี่ยนแนวคิดใหม่ มีการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางของผลิตภัณฑ์ เพื่อคงคุณค่าของเฟอร์นิเจอร์และวัสดุไม้สักให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด โดยทำในลักษณะของ Modular คือ การออกแบบชิ้นส่วนให้มีความใกล้เคียงกันที่สุด อาศัยการออกแบบเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากไม้สูงสุด ไม่ทำแบบเข้าลิ่ม เข้าเดือยแบบเดิม และเมื่อผู้ใช้ไม่คิดจะใช้เฟอร์นิเจอร์กลุ่มนี้แล้ว ไม้ทุกชิ้นส่วนที่เป็นส่วนประกอบของเฟอร์นิเจอร์ก็สามารถถอดออกและคืนกลับเป็นวัสดุตั้งต้นเพื่อไม่ให้เกิดขยะในอนาคต นี่คือหลักคิดใหม่สำหรับการออกแบบนวัตกรรมกรรมตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเป็นมิตรต่อเราและโลกด้วย” นายณัฐกร กีรติไพบูลย์ วิศวกรศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ฟอร์นิเจอร์ดั้งเดิมของดีสวัสดิ์มีการใช้การเข้าลิ่มกาวและสกรูในการยึดชิ้นส่วนต่างๆ ประกอบเข้าด้วยกัน ทีมวิจัยจึงใช้แนวคิดการออกแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมาออกแบบชิ้นส่วนของเฟอร์นิเจอร์ให้มีขนาดที่ใกล้เคียงกัน ขั้นตอนการประกอบจะใช้เพียงสกรูในการยึดติดชิ้นส่วนต่างๆ เท่านั้น เพื่อให้สามารถเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้ตลอดเวลา “ทีมวิจัยเข้ามาช่วยพัฒนาการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้ใช้งานได้หลากหลาย สามารถถอดชิ้นส่วนกลับไปใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นได้ง่าย สำหรับนำไปประกอบเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่ตามความต้องการ โดยคำนึงถึงความแข็งแรงของผลิตภัณฑ์เป็นสำคัญ ทั้งนี้มีการทดสอบความแข็งแรงและการรองรับน้ำหนัก ซึ่งผลทดสอบพบว่ามีความแตกต่างกับเฟอร์นิเจอร์แบบเดิมเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่ได้มีผลเกิดความเสียหายต่อวัสดุ และโครงสร้างของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ หรือ Simulation เพื่อจำลองการออกแบบและใช้งาน ลดการออกแบบที่เกินความจำเป็น หรือ Over Design ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดวัสดุ ลดทรัพยากร ลดต้นทุนและพลังงานในการผลิตได้อย่างมาก และยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่กลุ่มผู้ใช้งานด้วย   [caption id="attachment_39074" align="aligncenter" width="700"] ชิ้นส่วนสามารถถอดประกอบเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้[/caption]   ทั้งนี้ผลจากการปรับดีไซน์ของผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์แบบเดิม มาเป็นผลิตภัณฑ์ ‘ปิกนิก เทเบิล’ ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ช่วยทำให้ลดปริมาณไม้สักในการผลิตได้ 10% ลดพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิต 12% ลดการสูญเสียเศษไม้ 30% และลดต้นทุนการผลิตโดยรวมได้ถึง 20% ที่สำคัญไม่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต จึงเป็นมิตรแก่ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และยังสามารถนำวัสดุในผลิตภัณฑ์ไปหมุนเวียนใช้เป็นวัสดุตั้งต้นใหม่ได้ 100%” นายธีรวุธ ตันนุกิจ ผู้อำนวยการกองนวัตกรรมวัตถุดิบและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง (กพร.) อธิบายเสริมว่า จากการที่ กพร. ทำเรื่องการส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลมานาน ทำให้พิสูจน์ได้ว่า การคิดใหม่ การออกแบบใหม่ (Rethink/Redesign) เพื่อคำนึงถึงการนำผลิตภัณฑ์ที่สิ้นอายุการใช้งาน หรือของเสียที่เกิดขึ้นกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อช่วยให้เกิดรูปแบบการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน และยังช่วยให้เกิดการนำวัสดุต่างๆ มาใช้ซ้ำได้ง่าย โดยเฉพาะในขั้นตอนของการนำมารีไซเคิล “เนื่องจากบางผลิตภัณฑ์ไม่มีการใช้สารเคมีอันตรายในวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ตั้งแต่แรก จึงช่วยลดต้นทุนในกระบวนการรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาเป็นวัตถุดิบทดแทนให้กับภาคอุตสาหกรรมตามหลักกระบวนการเศรษฐกิจหมุนเวียนที่รัฐบาลขับเคลื่อนได้ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่ง 20 ปีที่ผ่านมามีการใช้สารเคมีอันตราย ต่อมาภายหลังมีระเบียบเรื่องการจำกัดการใช้สารอันตราย ทำให้ต้นทุนของการกระบวนการรีไซเคิลลดลง ขณะเดียวในกระบวนการออกแบบให้ชิ้นส่วนต่างๆ สามารถแยกชิ้นส่วนได้ง่ายขึ้น ทำให้การนำมาหมุนเวียนใช้ซ้ำมีความง่ายขึ้นตามไปด้วย” อย่างไรก็ตาม การนำเอาหลักการเศรฐกิจหมุนเวียนมาช่วยในการออกแบบทำให้วัสดุอยู่ในระบบได้นานขึ้น และง่ายต่อกระบวนการดึงไปเป็นวัตถุดิบทดแทนให้กับภาคอุตสาหกรรม นับเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันเป้าหมายทิศทางการพัฒนาประเทศเพื่อให้ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ รวมทั้งเป้าหมายของไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission หรือ Net Zero Carbon) ภายในปี ค.ศ. 2065 ต่อไป     เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2565
วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2565 อำนาจการควบคุมของ ‘สมอง’ รู้จักสมองของเรา สมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อนควบคุมความคิด ความจำ อารมณ์ สัมผัส การมองเห็น การหายใจ อุณหภูมิ ความหิว และทุกกระบวนการที่ควบคุมร่างกาย สมองมีน้ำหนักประมาณ 1.36 กิโลกรัม สมองไม่ใช่กล้ามเนื้อ แต่เต็มไปด้วยหลอดเลือดและเส้นประสาท รวมเซลล์ประสาท และเซลล์เกลีย เนื้อสมองแบ่งออกเป็น 2 ส่วน หรือ 2 สี คือ ส่วนที่เป็นสีเทา อยู่ส่วนนอกที่มีสีเข้มกว่า และส่วนที่เป็นสีขาว อยู่ด้านใน ส่วนที่เป็นสีเทานั้น ทำหน้าที่ควบคุมข้อมูลที่รับและส่งออก เนื่องจากมีเซลล์ของเซลล์ประสาทอยู่ ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ และการให้ความรู้สึก ส่วนที่เป็นสีขาว ซึ่งเป็นเส้นใยใช้ส่งสัญญานไปยังส่วนอื่นๆ ของสมองไขสันหลัง และร่างกาย รู้จักศัพท์ทางประสาท - นิวรอน (Neuron) หรือเซลล์ประสาท - แอกซอน (Axon) เป็นเส้นใยที่ใช้ส่งสัญญาณไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมื่อแอกซอนรวมตัวกันเป็นมัดเรียกว่าเส้นประสาท - ไมอีลิน (Myelin) เยื่อหุ้มประสาทที่ช่วยให้การนำข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังเซลล์ประสาทอื่นรวดเร็วขึ้น - นิวโรแทรนสมิตเทอร์ (Neurotransmitter) สารสื่อประสาท เป็นสารเคมีที่เซลล์ประสาทผลิตขึ้น เพื่อนำสัญญาณจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์ประสาท โดยผ่านช่องว่างไซแนปซ์ - ไซแนปซ์ (Synapse) หรือช่องว่างระหว่างเซลล์ประสาทกับเซลล์กล้ามเนื้อ หรือเซลล์ประสาทกับเซลล์ประสาท สมองส่วนต่างๆ และหน้าที่ สมองมีการรับ-ส่งสัญญาณเคมีและไฟฟ้าทั่วร่างกาย โดยสัญญาณที่แตกต่างกัน กระบวนการแตกต่างกัน และสมองจะตีความแตกต่างกันออกไป กระบวนการที่เกิดขึ้นนี้ระบบประสาทส่วนกลางต้องอาศัยเซลล์ประสาทหลายพันล้านเซลล์ เพื่อให้ร่างกายมีการตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นอาการเหนื่อย หรือรู้สึกเจ็บปวด ซึ่งข้อความบางอย่างถูกเก็บไว้ในสมอง ขณะที่ข้อความอื่นจะถูกส่งต่อผ่านกระดูกสันหลังและเครือข่ายเส้นประสาทของร่างกายไปแขนขา สมองคนเราแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือ ซีรีบรัม (Cerebrum) ก้านสมอง (Brainstem) และซีรีเบลลัม (Cerebellum) ซีรีบรัม (Cerebrum)           ซีรีบรัม เป็นส่วนของสมองที่ใหญ่ที่สุด ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ประสาทสัมผัส การมองเห็น รวมถึงการเรียนรู้ การคิดและการให้เหตุผล การแก้ปัญหาและอารมณ์ ซีบรัม แบ่งย่อยได้ 4 ส่วน ได้แก่ - สมองส่วนหน้า (Frontal Lope) เป็นกลีบสมองที่ใหญ่ที่สุด อยู่ด้านหน้าศีรษะ โดย ทำงานเกี่ยวกับลักษณะบุคลิกภาพ การเคลื่อนไหว การตัดสินใจ การรู้กลิ่น และความสามารถในการพูด - สมองพาไรเอทัล (Parietal lope) อยู่บริเวณตรงกลางของสมอง ทำงานเกี่ยวกับการรับรู้ ความรู้สึกสัมผัส ความเจ็บปวด การรับรู้ภาพ เสียง และภาษา - สมองส่วนหลัง (Occipital lope) ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็น - สมองส่วนขมับ (Temporal lope) อยู่ด้านข้างของสมอง ทำงานเกี่ยวกับความจำระยะสั้น คำพูด เสียง และการรับรู้กลิ่นในระดับหนึ่ง ซีรีเบลลัม (Cerebellum) ซีรีเบลลัม หรือสมองน้อย มีขนาดราวกำปัน อยู่บริเวณด้านหลังศีรษะ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และความสมดุล จากการวิจัยพบว่า ซีรีเบลมีบทบาทสำคัญด้านความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมทางสังคมด้วย ก้านสมอง (Brainstem)           ก้านสมอง เชื่อมต่อซีรีบรัมกับไขสันหลัง ก้านสมองประกอบด้วย สมองส่วนกลาง พอนส์ (Pons) และไขกระดูก - สมองส่วนกลาง หรือ มีเซนเซฟาลอน (Mesencephalon)  มีหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยิน การเคลื่อนไหว และการตอบสนอง - พอนส์ (Pons) เป็นแหล่งกำเนิดของเส้นประสาทสมอง 4 ใน 12 เส้น ซึ่งช่วยให้ทำกิจกรรมต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น การฉีกขาด การเคี้ยว การกะพริบตา การโฟกัสการมองเห็น การทรงตัว การได้ยิน และการแสดงออกทางสีหน้า - ไขกระดูก (Medulla) บริเวณด้านล่างของก้านสมอง เป็นที่ที่สมองไปบรรจบกับไขสันหลัง ไขกระดูกมีความสำคัญต่อการอยู่รอด หน้าที่ควบคุมกิจกรรมของร่างกาย จังหวะการเต้นของหัวใจ การหายใจ การไหลเวียนของเลือด และระดับออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ สารเคมีที่สำคัญต่อสมอง สื่อประสาท (Neurotransmitters) และฮอร์โมน (Hormone) สารสื่อประสาท หรือนิวโรแทรนสมิตเทอร์ (Neurotransmitter) เป็นสารที่ช่วยให้เซลล์ประสาททั่วร่างกายสามารถสื่อสารกันได้ ทำให้สมองทำหน้าที่ต่างๆ ได้หลากหลายจากกระบวนการส่งผ่านสารสังเคราะห์ทางเคมีนี้ สารสื่อประสาทมีความสำคัญต่อชีวิต นับตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของพัฒนาการ รวมถึง การเติบโตของเซลล์ประสาท และการพัฒนาวงจรประสาท           ฮอร์โมน (Hormone) ผลิตจากระบบต่อมไร้ท่อ ได้แก่ ต่อมใต้สมอง ไพเนียลไทมัส ไทรอยด์ ต่อหมวกไต ตับอ่อน รวมถึง อัณฑะและรังไข่ ฮอร์โมนมีผลต่อกระบวนการต่างๆ มากมายในร่างกาย เช่น การเติบโตและพัฒนาการเมตาบอลิซึม อารมณ์ ตัวอย่างสารสื่อประสาทและฮอร์โมนที่สำคัญในภาพรวม           อะดรีนาลีน (Adrenaline) หลั่งโดยต่อมหมวกไตอยู่ด้านบนของไตแต่ละข้าง อะดรีนาลีนจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อ เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและทำให้รูม่านตาขยายมีปริมาณสูงในการตอบสนองต่อการเอาตัวรอด การต่อสู้ หรือหนี นอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) เป็นสารสื่อประสาทและฮอร์โมน เชื่อมโยงกับความกลัว ความเครียด และกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว โดพามีน (Dopamine) สารแห่งความสุข เปรียบเสมือนสารเสพติดที่สมองต้องการปลดปล่อยเมื่อมีความรู้สึกพึงพอใจ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ จากกิจกรรมหรืออาหารที่ชอบ ไม่ใช่แค่สารเคมีเพื่อความสุขเท่านั้น แต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ การตัดสินใจ การเคลื่อนไหว ความสนใจ ความจำในการทำงาน และการเรียนรู้ ออกซิโตซิน (Oxytocin) เป็นสารสื่อประสาทและฮอร์โมน ถูกปล่อยออกมาเมื่อคุณอยู่ใกล้บุคคลอื่น การสร้างความสัมพันธ์ บางครั้งออกซิโตซินถูกเรียกว่า ฮอร์โมนแห่งความรัก กาบา (GABA: Gamma-Aminobutyric Acid) เป็นสารสื่อประสาทที่สกัดกั้นกระแสประสาทระหว่างเซลล์ในสมอง ช่วยให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และเกิดความสมดุลในสมอง แอซิติลโคลีน (Acetylcholine) เป็นสารสื่อประสาทหลัก มีหน้าที่เกี่ยวกับกระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัว การเคลื่อนไหวของร่างกายทั้งหมดเกี่ยวข้องกับสื่อประสาทนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการรับรู้และความจำ กลูตาเมต (Glutamate) เป็นสารสื่อประสาทที่มีมากที่สุดในระบบประสาทของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง เซลล์ประสาทใช้กลูตาเมตเพื่อส่งสัญญาณไปยังเซลล์อื่นๆ หากมีมากเกินไปอาจทำให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญา เอนเดอร์ฟิน (Endorphins) เสมือนยาแก้ปวดตามธรรมชาติของร่างกาย ตอบสนองต่อความเจ็บปวดหรือความเครียด ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ร่ายกายจะหลั่งสารเมื่อออกกำลังกาย เต้นรำ ร้องเพลง เซโรโทนิน (Serotonin) สารแห่งความสุขที่เชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ที่ดี มีหน้าที่ควบคุมความสมดุลของอารมณ์ วงจรการนอนหลับ และการย่อยอาหาร เซโรโทนินเพิ่มขึ้นจากการออกกำลังและสัมผัสกับแสงแดด ความรู้สึก อำนาจจากการควบคุมของสมอง ตัวอย่างความรู้สึกที่เกิดจากการควบคุมของสมอง การหัวเราะ ยาขนานเอกช่วยให้สุขภาพดี รู้สึกเบิกบาน คนเราเริ่มหัวเราะตั้งแต่อายุ 3 เดือน หัวเราะก่อนที่จะมีการเรียนรู้ที่จะพูด การหัวเราะเป็นกลไกธรรมชาติ การหัวเราะ ยังไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ โดยคาดว่า เกิดจากการทำงานของสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่กำหนดการตอบสนองทางอารมณ์ การหัวเราะจะช่วยลดระดับคอร์ติซอล (Cortisol) เป็นฮอร์โมนความเครียดตัวหลักของร่างกายในกระแสเลือดลดลง แทนที่ด้วยสารเคมีในสมอง ได้แก่ โดปามีน ออกซิโทซิน และเอ็นดอร์ฟิน การหัวเราะช่วยให้การทำงานของภูมิคุ้มกันดีขึ้น สุขภาพหัวใจและหลอดเลือดดีขึ้น ความวิตกกังวลลดลง ความรู้สึกปลอดภัย และอารมณ์ดี ทำให้สมองปลอดโปร่ง มีความคิดสร้างสรรค์และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนรอบข้าง การร้องไห้ เป็นปรากฎการณ์ที่มีลักษณะของมนุษย์ ตอนสนองตามธรรมชาติ ตั้งแต่โศกเศร้าถึงความสุขสุดขีด การร้องไห้เกิดจากการทำงานหลายส่วน ทั้งในซีรีบรัมที่รับรู้ถึงความโศกเศร้า ระบบต่อมไร้ท่อจะถูกกระตุ้นเพื่อปล่อยฮอร์โมนไปยังบริเวณดวงตา ซึ่งทำให้เกิดน้ำตา รวมถึงกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic nervous system: PN) การร้องไห้ส่งผลดีต่อสุขภาพเหมือนเป็นยาระบายปลดปล่อยความเครียด ความเจ็บปวดทางอารมณ์ และกระตุ้นการปล่อยสารเคมีในสมอง เช่น ออกซิโทซิน ความรัก เป็นสิ่งที่วัฒนธรรมบนโลกให้ความสำคัญ เห็นได้ชัดเจนจากคำสอนทางศาสนา นวนิยาย การ์ด บทเพลง รวมถึงวาเลนไทน์ หลายคนจะได้ยินคำพูดที่ว่า ความรักไม่มีเหตุผล เป็นความรู้สึกพิเศษที่มาจากใจ ไม่สามารถอธิบายได้ เป็นความรู้สึกที่มาจากจิตใจ มากกว่าการใช้สมองคิดไตร่ตรอง แต่ทางวิทยาศาสตร์ความรักเป็นกลไกเกิดขึ้นจากสมองโดยตรง เหมือนความรู้สึกอื่นๆ ที่สามารถอธิบายได้ด้วยปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย จากการศึกษาของทีมวิทยาศาสตร์โดย ดร. Helen Fisher นักมานุษยวิทยาชีวภาพ แบ่งความรักเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ความหลง/ความปรารถนา (Lust) ความรัก (Attraction) และความผูกพัน (Attachment)  ความรักทำให้โลกสดใสเป็นสีชมพู แต่ก็มีด้านมืดมาพร้อมกัน ความรักมักมาพร้อมกับความหึงหวง ความไร้เหตุผล การใช้กัญชาทางการแพทย์ การใช้กัญชาทางการแพทย์ในสหรัฐฯ           สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในหลายประเทศที่อนุญาตให้ครอบครอง และใช้กัญชา สารสกัด CBD (ที่มี THC น้อยกว่า 0.3%) ได้ภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ การใช้กัญชายังขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละรัฐ มี 37 รัฐ เขตอาณา 4 แห่ง และกรุงวอชิงตัน กำหนดให้ใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อการรักษาบางโรคถูกต้องตามกฎหมาย เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) โรคเอดส์ โรคโครห์น โรคลมบ้าหมู ต้อหิน เส้นโลหิตตีบและกล้ามเนื้อกระตุก อาการปวดอย่างรุนแรงและเรื้อรัง อาการคลื่นไส้หรืออาเจียนรุนแรงจากการรักษามะเร็ง การพิจารณาการใช้การรักษาด้วยกัญชา ต้องมีคำแนะนำเป็นลายลักษณ์อักษรจากแพทย์ที่มีใบอนุญาตในรัฐที่สามารถใช้ได้อย่างถูกกฎหมาย ผู้ป่วยต้องมีเงื่อนไขเข้าเกณฑ์สำหรับการใช้กัญชาทางการแพทย์ ถึงจะสามารถเข้ารับการรักษา หรือซื้อกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์ได้           การศึกษาวิจัยด้านสมองในสหรัฐฯ           21st Century Cures Act 21st  Century Cures Act เป็นพระราชบัญญัติ ที่ได้ลงนามในกฎหมายในสมัยประธานาธิบดี โอบามา เพื่อช่วยเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และนำเสนอนวัตกรรมและความก้าวหน้าใหม่ๆ แก่ผู้ป่วยที่ต้องการอย่างรวดเร็ว เพื่อศึกษา 4 โครงการนวัตกรรมขั้นสูง ได้แก่ - All of us Research Program (เดิมชื่อโครงการ PMI Cohort) โครงการสร้างฐานข้อมูล ที่สามารถให้ข้อมูลการศึกษาหลายพันเรื่องเกี่ยวกับภาวะสุขภาพ ปัจจัยเสี่ยงของโรคบางชนิด การพิจารณาว่าการรักษาแบบใดได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีภูมิหลังต่างกัน - Cancer Moonshot โครงการศึกษาเกี่ยวกับมะเร็ง ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน และการแชร์ข้อมูล ประธานาธิบดีไบเดน ได้กล่าวถึงเป้าหมายของโครงการ ในการลดอัตราการเสียชีวิตของโรคมะเร็งลงอย่างน้อย 50% ในอีก 25 ปีข้างหน้า และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยรอดชีวิตจากมะเร็ง - Regenerative Medicine Innovation Project ที่จะสนับสนุนการวิจัยทางคลินิกร่วมกับองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) โดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากผู้ใหญ่เพื่อส่งเสริมด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู - Brain Ressearch through Advancing Innovative Neurotechnologies (BRAIN) Initiative เพื่อศึกษาระบบการทำงาน จัดเก็บ และดึงข้อมูลออกมาใช้ของสมอง ซึ่งจะช่วยให้วินิจฉัยและรักษาความผิดปกติทางระบบประสาทและจิตใจ   BRAIN Initiative สมองของคนเราประกอบด้วยเซลล์ประสาทเกือบ 100 พันล้านเซลล์ ที่มีการเชื่อมโยงกัน 100 ล้านล้านเครือข่ายนั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์และความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้านการแพทย์ โรคที่เกิดจากความผิดปกติทางระบบประสาทและจิตเวช ส่งผลกระทบต่อบุคคล ครอบครัว และสังคม ดังนั้น การช่วยเหลือผู้ป่วย สิ่งสำคัญคือ นักวิจัยต้องมีเครื่องมือและข้อมูลที่สมบูรณ์ เพื่อทำความเข้าใจกลไกการทำงานของสมองและเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างไร Brain Research Through Advancing Innovation Neurotechnologies Initiative (BRAIN Initiative) เป็นโครงการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสมองของมนุษย์ใช้เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ จะเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างภาพไดนามิกของสมองที่แสดงให้เห็นว่าเซลล์แต่ละเซลล์มีปฏิสัมพันธ์ภายในวงจรประสาทที่ซับซ้อน แนวทางวิธีใหม่ในการรักษาโรค การป้องกันความผิดปกติของสมอง เข้าใจกระบวนการทำงานของสมอง ทั้งการบันทึกการประมวลผล ใช้ประโยชน์ และดึงข้อมูลจำนวนมหาศาลออกมาใช้   อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2022/ost-sci-review-feb2022.pdf            
คลังความรู้
 
นานาสาระน่ารู้
 
ประกาศคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เรื่อง นโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (พ.ศ. 2565 – 2570)
นโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2565-2570 ฉบับนี้ เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 มาตรา 9 (1) บัญญัติให้คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.)มีหน้าที่และอำนาจ เสนอนโยบายและแผนว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ส่งเสริม และสนับสนุนการดำเนินการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตามมาตรา 42 และมาตรา 43 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบนโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์นี้ใช้เป็นแผนแม่บท ในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทย การพัฒนาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในภาพรวมที่ครอบคลุมในทุกมิติ และเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ มาตรา 9 (3) บัญญัติให้คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) มีหน้าที่และอำนาจ จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เสนอต่อคณะรัฐมนตรี สำหรับเป็นแผนแม่บทในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยซเบอร์ในสถนการณ์ปกติและในสถานการณ์ ที่อาจจะเกิดหรือเกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยแผนดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนระดับชาติ และกรอบนโยบายและแผนแม่บทที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงของสภาความมั่นคงแห่งชาติ   (more…)
เอกสารเผยแพร่
 
‘SunGuard PV’ นวัตกรรมกันสาดโซลาร์ผลิตไฟฟ้า
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/sunguard-pv-solar-awning.html   นับวันค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน โดยเฉพาะ ‘ไฟฟ้า’ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนเริ่มหันมาพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน ด้วยการติดตั้ง ‘แผงโซลาร์เซลล์’ ตามบ้านเรือนและสถานที่ต่างๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ด้วยข้อจำกัดของแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไปที่มีลักษณะรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า น้ำหนักมาก และโค้งงอไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถติดตั้งในบางพื้นที่ อีกทั้งการติดตั้งยังจำเพาะกับหลังคาที่มีพื้นที่หลังคากว้าง เช่น หลังคาทรงจั่ว หลังคาทรงปั้นหยา และหลังคาทรงโมเดิร์น ไม่เหมาะใช้งานกับบ้านที่มีลักษณะหลังคารูปทรงแบบโค้ง หากแต่ว่าปัจจุบันจะเห็นได้ว่าหลังคาแบบโค้งนิยมนำมาใช้ทำหลังคากันสาดเป็นส่วนใหญ่ และเริ่มได้รับความนิยมในการออกแบบทำร้านอาหาร ร้านกาแฟ เพื่อให้มีมุมสถาปัตยกรรมแบบยุโรปและดูทันสมัย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) พัฒนานวัตกรรม ‘ซันการ์ดพีวี (SunGuard PV) หรือ กันสาดโซลาร์’ แผงโซลาร์เซลล์แบบใหม่ ที่มีน้ำหนักเบา โค้งงอได้ เหมาะสำหรับใช้เป็นกันสาดและติดตั้งได้ทันที   [caption id="attachment_38854" align="aligncenter" width="700"] ว่าที่ร้อยตรี ดร.นพดล สิทธิพล นักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช.[/caption]   ว่าที่ร้อยตรี ดร.นพดล สิทธิพล นักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช. เล่าถึงที่มางานวิจัยว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ประชาชนให้ความสนใจติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา หรือ Solar Rooftop เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในครัวเรือนมากขึ้น แต่ด้วยลักษณะของ Solar Roof ในปัจจุบันไม่ได้เอื้อต่อการติดตั้งกับหลังคาบางรูปแบบ ประกอบกับแผงมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยมากถึง 25-30 กิโลกรัมต่อแผง ขณะเดียวกันประเทศไทยตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรทำให้ได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ปริมาณมาก และมีอากาศร้อน บ้านเรือนส่วนใหญ่ต่างติดตั้งกันสาดแทบทุกหลังคาเรือน แต่ด้วยลักษณะแผงโซลาร์เซลล์ที่มีอยู่นำมาประยุกต์ใช้ได้ยาก หากไม่นับเรื่องความสวยงามที่จะเกิดขึ้นกับตัวบ้านหรืออาคารก็ยังติดเรื่องน้ำหนักและปัญหาการติดตั้ง ทีมวิจัยเล็งเห็นว่าการพัฒนานวัตกรรมกันสาดโซลาร์เป็นโจทย์ที่น่าสนใจ ช่วยลดปัญหาข้อจำกัดการใช้งาน ทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย และสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ภาคเอกชนด้วย “ทีมวิจัยมุ่งพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์แบบใหม่ที่มีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย และมีความทันสมัยเข้ากับงานออกแบบสถาปัตยกรรม ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่มีความท้าทายพอสมควร เนื่องจากไม่ได้เป็นการใช้เพียงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ แต่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องศิลปะและมุมมองด้านความสวยงามเมื่อนำไปติดตั้งใช้งาน อีกทั้งยังคิดครอบคลุมถึงการจัดการหลังแผงปลดจากการใช้งานแล้ว ซึ่งทีมวิจัยสามารถพัฒนานวัตกรรมตามแนวคิดที่ตั้งเป้าไว้ได้สำเร็จและยื่นจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว “สำหรับกระบวนการพัฒนานวัตกรรม ทีมวิจัยได้ทำการศึกษาตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบที่นำมาใช้ในองค์ประกอบหลัก 3 ส่วนของแผงโซลาร์เซลล์​  คือ กระจกด้านหน้า เซลล์แสงอาทิตย์ และแผ่นป้องกันที่อยู่ด้านหลังแผง (Back Sheet) ซึ่งทำจากวัสดุพอลิไวนิล ฟลูออไรด์ (Polyvinyl Fluoride: PVF หรือ ชื่อทางการค้า Tedlar) ในส่วนของกระจกทีมวิจัยเลือกใช้วัสดุพอลิเอทิลีน เทอเรปทาเลต (Polyethylene Terephthalate: PET) ที่นิยมใช้ทำขวดพลาสติก โดยใช้เกรดเพื่อผลิตแผงโซลาร์เซลล์โดยเฉพาะ เนื่องจาก PET มีลักษณะโปร่งแสงเทียบเท่ากระจกแต่มีน้ำหนักเบากว่า และสามารถปรับให้โค้งงอได้ ในขณะที่แผ่น PVF เลือกใช้วัสดุอะครีโลไนไตรล์-บิวทาไดอีน-สไตรีน เมทีเรียล (Acrylonitrile-Butadiene-Styrene Material: ABS) ทดแทน เพราะมีข้อดีคือน้ำหนักเบา มีความแข็งแรงและความเหนียว ช่วยเสริมแผงให้ทนแรงกระแทกและทนต่อสภาพอากาศ ที่สำคัญทีมวิจัยยังคำนึงถึงการผลิตแผงจึงได้คิดค้นเทคนิคการผลิตที่ไม่กระทบขั้นตอนการผลิตเดิมของแผงโซลาร์เซลล์​ทั่วไป เพื่อให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีไปใช้ได้ตามไลน์การผลิตที่มี”   [caption id="attachment_38857" align="aligncenter" width="700"] กันสาดโซลาร์[/caption]   ว่าที่ร้อยตรี ดร.นพดล เล่าว่า จุดเด่นของนวัตกรรมกันสาดโซลาร์ คือมีน้ำหนักต่อพื้นที่เบากว่าแผงโครงสร้างทั่วไปมากกว่า 50% โค้งงอได้ และยังคงความทนทานต่อสภาพแวดล้อม รับแรงกระแทกได้ดี สามารถเพิ่มเติมสีสันให้เข้ากับสถาปัตยกรรมอาคาร บ้านเรือน หรือร้านค้าได้ ที่สำคัญคือติดตั้งง่าย โดยตัดหรือเจาะได้โดยตรง โดยไม่ทำให้แผงโซลาร์เซลล์เสียหาย ยึดติดกับโครงสร้างผนังหรือหลังคาได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพื่อซื้ออุปกรณ์เสริมหรือต่อเติมโครงสร้างเฉพาะ ซึ่งด้วยคุณสมบัติเหล่านี้เอง ทำให้สามารถนำกันสาดโซลาร์ไปติดตั้งแทนกันสาดที่เป็นวัสดุพอลิคาร์บอเนตเดิมได้ทันที เพราะมีน้ำหนักใกล้เคียงกัน และไม่ต้องปรับโครงสร้างกันสาดที่มีอยู่เดิม และเมื่อตัวกันสาดโซลาร์หมดอายุการใช้งานก็เปลี่ยนและติดตั้งใหม่ได้โดยง่าย ในขณะที่กันสาดโซลาร์ที่ปลดจากการใช้งานแล้วยังนำกลับมารีไซเคิลได้ เนื่องจากวัสดุ PET และ ABS เป็นกลุ่มพอลิเมอร์ประเภทเดียวกันที่รีไซเคิลได้ เท่ากับว่าลดขั้นตอนการถอดชิ้นส่วนเพื่อนำกลับไปใช้ซ้ำได้ง่ายขึ้น “ในด้านประสิทธิภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้า กันสาดโซลาร์มีประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าต่ำกว่าแผงโซลาร์เซลล์แบบทั่วไปอยู่ที่ 8.5% โดยประมาณ เนื่องจากความโค้งและมุมรับแสงที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามแผงกันสาดโซลาร์มีข้อดีในส่วนอุณหภูมิใต้แผงที่ต่ำกว่าแผงแบบทั่วไป 3-5 องศาเซลเซียส ทำให้พื้นที่ใต้กันสาดมีอุณหภูมิที่เย็นกว่าการนำแผงแบบทั่วไปมาทำเป็นกันสาด”     ‘กันสาดโซลาร์’ ได้รับการจดสิทธิบัตรและมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทเอกชนแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการวิจัยร่วมกันเพื่อพัฒนาต้นแบบให้ได้ตามมาตรฐาน International Electrotechnical Commission (IEC) ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ภายในปี 2566 ถือเป็นความสำเร็จและความภาคภูมิใจของทีมวิจัยที่ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติ ที่สนับสนุนการออกแบบ การปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่ช่วยประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจบันทึกประวัติศาสตร์ อว.
ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจบันทึกประวัติศาสตร์ อว. ถอดบทเรียนกองหนุน อว. กองหนุนประเทศไทยในสถานการณ์โควิด-19ที่มาของชื่อชุดหนังสือ เพราะเธอเป็นลมหายใจ บันทึกประวัติศาสตร์ อว. : ถอดบทเรียนกองหนุนอว. กองหนุนประเทศไทยในสถานการณ์โควิด-19 ทางกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ต้องการเน้นย้ำถึงคำว่า "เธอ" ในสองความหมายโดยความหมายแรกหมายถึงประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์โรคระบาด ทั้งที่เป็นผู้ป่วยโดยตรงและผู้ที่ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมขณะที่ "เธอ" ในความหมายที่สองหมายถึงบุคลากรในสังกัดกระทรวง อว. ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ นักศึกษาแพทย์และพยาบาลนักวิจัยคณาจารย์ รวมถึงข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเป็นเครือข่ายทั่วประเทศ ซึ่งได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ความรู้ และความเชี่ยวชาญตลอดกว่า 3ปีที่ผ่านมาในฐานะ 'กองหนุนช่วยชาติ'ที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะวิกฤติใหญ่ครั้งนี้มาได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคำว่า "เธอ" ในความหมายใดต่างมีความสำคัญและเปรียบเสมือน"ลมหายใจ" ที่ทำให้ภารกิจเร่งด่วนและสำคัญของกระทรวง อว. ครั้งนี้สำเร็จได้อย่างสวยงามชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจ ประกอบไปด้วยหนังสือ 11 เล่ม โดยแต่ละเล่มบอกเล่าถึงภารกิจของกระทรวง อว. ในช่วงวิกฤติโควิด-19 รวม 11 ภารกิจ ได้แก่โรงพยาบาลหลัก อว.ความหวังของผู้ป่วยโรงพยาบาลสนาม อว. กองหนุนขนาดยักษ์อว.กองกำลังสร้างภูมิคุ้มกัน โควิดU2T สร้างงาน สร้างรายได้พลิกโฉมการเรียนและสอนออนไลน์เยียวยานิสิตนักศึกษาผู้ประกอบการงานวิจัยเร่งด่วนตรงเป้าหน่วยสนับสนุน อว. (อว.พารอด)ข้อมูลวิชาการถูกต้อง รวดเร็ว ฉับไวอุปกรณ์เวชภัณฑ์ นวัตกรรมพร้อมใช้ไอทีและเอไอเพื่อการบริหารจัดการเนื้อหาแต่ละเล่มแบ่งเป็น 5 บทได้แก่บทที่ 1 รู้จัก อว. กล่าวถึงประวัติกระทรวงและภาพรวมของทั้ง 11 ภารกิจบทที่ 2 พวกเราชาวอว.ทำอะไรเพื่อคนไทยบ้างที่มา ขั้นตอน ผลการดำเนินงาน และเคล็ดลับความสำเร็จของแต่ละภารกิจ บทที่ 3 จากใจชาว อว. บทสัมภาษณ์และความประทับใจของผู้อยู่เบื้องหลังการทำงานในแต่ละภารกิจบทที่ 4 บทเรียนจากเหตุการณ์ส่งผ่านสู่อนาคตถอดบทเรียนเชิงวิเคราะห์และข้อเสนอเพื่อการรับมือกับวิกฤติการณ์ในอนาคต และ บทที่ 5 ก้าวไปกับพวกเรา ชาว อว.รายชื่อของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้ง 11 ภารกิจชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจถือเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าและถอดบทเรียนการทำงานและความร่วมมือของชาว อว. เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวไทยให้สามารถก้าวผ่านความโหดร้ายของโรคระบาดครั้งนี้ที่กินเวลานานกว่า 3 ปี และยกระดับขีดความสามารถทางด้านอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมของประเทศไทยไปพร้อม ๆ กันอีกทั้งยังมีความตั้งใจในการนำเสนอบทเรียนและข้อเสนอแนะในการทำงาน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย Open open open Open Open Open Open Open Open Open Open ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจบันทึกประวัติศาสตร์ อว. ถอดบทเรียนกองหนุน อว. กองหนุนประเทศไทยในสถานการณ์โควิด-19ISBN: 978-616-584-091-0จัดทำโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว)75/47 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400โทร. 0 2333 3700เว็บไซต์ www.mhesigo.th
เอกสารเผยแพร่
 
ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัล ประจำปี 2565 โดย IMD (2022 IMD World Digital Competitiveness Ranking)
ในปี 2565 IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของ 63 ประเทศทั่วโลก และได้เผยแพร่ไว้ที่ https://www.imd.org/centers/world-competitiveness-center/rankings/world-digital-competitiveness/ โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้ ตารางผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของประเทศ 5 อันดับแรกและประเทศไทย ปี 2564-2565 โดย IMD                         ประเทศ เดนมาร์ก สหรัฐอเมริกา สวีเดน สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ ไทย                             ปี 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564 อันดับรวม 1 4 2 1 3 3 4 5 5 6 40 38 1. ความรู้ 6 8 4 3 2 2 5 4 1 1 45 42 1.1 ความสามารถพิเศษ 5 5 14 13 6 7 3 2 2 3 37 39 1.2 การฝึกอบรมและการศึกษา 7 4 23 24 4 2 9 13 8 7 57 56 1.3 ความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ 17 17 1 2 2 4 11 11 8 8 36 36 2. เทคโนโลยี 7 9 9 4 5 8 1 3 12 11 20 22 2.1 โครงสร้างการควบคุม 6 4 12 12 2 3 1 5 8 9 34 29 2.2 เงินทุน 14 13 2 1 7 5 11 14 12 12 20 19 2.3 โครงสร้างเทคโนโลยี 6 6 13 9 9 13 2 2 11 11 18 22 3. ความพร้อมในอนาคต 1 2 3 1 4 6 10 11 7 3 49 44 3.1 ทัศนคติที่ปรับตัวได้ 5 4 4 1 7 5 17 11 12 10 52 53 3.2 ความคล่องตัวทางธุรกิจ 1 7 4 1 10 13 9 12 7 4 41 34 3.3 การรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ 1 1 10 3 4 5 8 7 6 4 50 43 เดนมาร์กได้อันดับ 1 เลื่อนขึ้น 3 อันดับจากปีที่แล้ว รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ถัดมาเป็นสวีเดน มีอันดับ 3 เหมือนปีที่แล้ว สิงคโปร์ได้อันดับ 4 ในปีนี้ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ อันดับ 5 คือ สวิตเซอร์แลนด์ มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับจากปีที่แล้ว ส่วนไทยได้อันดับ 40 ลดลงจากปีที่แล้ว 2 อันดับ เดนมาร์กได้อันดับ 1 ในปีนี้ เลื่อนขึ้น 3 อันดับจากปีที่แล้ว เนื่องมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยความรู้ เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 6 ในปีนี้ 2. ปัจจัยเทคโนโลยี เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ 3. ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความรู้เกิดจากการยังคงรักษาอันดับ 5 และ 17 ไว้ได้ทั้งในปีนี้และปีที่แล้วของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษและปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ตามลำดับ และการเลื่อนอันดับลง 3 อันดับ จากอันดับ 4 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ ของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา ตัวชี้วัดที่ทำเกิดการรักษาอันดับไว้ได้ทั้งปีนี้และปีที่แล้วของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ คือ ตัวชี้วัดการประเมินนักเรียนนานาชาติขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) วิชาคณิตศาสตร์ ที่ยังคงรักษาอันดับ 12 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว และตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ยังคงรักษาอันดับได้เหมือนปีแล้ว คือ ตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน และตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิง ที่ยังรักษาอันดับ 2 และ 32 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ตามลำดับ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของ 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา ตัวชี้วัดความสำเร็จของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และตัวชี้วัดผู้หญิงที่ได้รับปริญญา โดยเฉพาะตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา เลื่อนอันดับลง 3 อันดับ เป็นอันดับ 10 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 7 ส่วนปัจจัยเทคโนโลยี มีอันดับเลื่อนขึ้น เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม และปัจจัยย่อยเงินทุน 2 และ 1 อันดับ จากอันดับ 4 และ 13 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 6 และ 14 ในปีนี้ ตามลำดับ และการยังคงรักษาอันดับ 6 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม เลื่อนอันดับลง คือ ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 17 อันดับ จากอันดับ 25 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 42 ในปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนลงมากที่สุด การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยเงินทุนเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของตัวชี้วัดหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดทางสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ 4 อันดับ ในปีนี้มีอันดับ 54 ส่วนปีที่แล้วมีอันดับ 50 ทำให้ตัวชี้วัดหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดทางสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำสุดจากตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว การยังคงรักษาอันดับไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงและขึ้นเล็กน้อยของตัวชี้วัดทั้งหมดซึ่งมี 6 ตัวชี้วัด โดยที่ตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดบรอดแบนด์ไร้สาย และตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต มีอันดับเลื่อนลงเล็กน้อย ในขณะที่ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ตัวชี้วัดความเร็วการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทค มีอันดับเลื่อนขึ้นเล็กน้อย ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับขึ้น เนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ 6 อันดับ จากอันดับ 7 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจมีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ตัวชี้วัดโอกาสและอุปสรรค และตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 5 และถึง 7 อันดับ เป็นอันดับ 1 และ 6 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics เป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุด สหรัฐอเมริกา ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 2 ในปีนี้ เกิดจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยทั้งหมด ได้แก่ 1. ปัจจัยความรู้ เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 4 ในปีนี้ 2. ปัจจัยเทคโนโลยี เลื่อนอันดับลง 5 อันดับ เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ 3. ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับลง 2 อันดับ เป็นอันดับ 3 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้เกิดจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ 1 อันดับ จากอันดับ 13 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 14 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 10 ในปีนี้ ของตัวชี้วัดทักษะทางด้านเทคโนโลยีหรือดิจิทัล ทำให้ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษเลื่อนอันดับลง ปัจจัยเทคโนโลยี มีอันดับเลื่อนลง เนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีเป็นหลัก ที่เลื่อนอันดับลง 4 อันดับ จากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 13 การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของ 5 ตัวชี้วัดจากทั้งหมด 6 ตัวชี้วัด ได้แก่ ตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ตัวชี้วัดบรอดแบนด์ไร้สาย ตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทค โดยเฉพาะตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ และตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต มีอันดับเลื่อนลง 6, ถึง 15 และถึง 12 อันดับ เป็นอันดับ 21, 28 และ 35 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับลง เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นหลัก ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 7 อันดับ จากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 10 ตัวชี้วัดที่มีผลให้ปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ มีอันดับเลื่อนลง คือ ตัวชี้วัดการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน และตัวชี้วัดความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 7 และ 5 อันดับ จากอันดับ 11 และ 22 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 18 และ 27 ในปีนี้ ตามลำดับ สวีเดน มีอันดับ 3 เหมือนปีที่แล้ว เนื่องมาจากการยังคงรักษาอันดับ 2 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยความรู้ ส่วนปัจจัยที่เหลืออีก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยเทคโนโลยี และปัจจัยความพร้อมในอนาคต มีอันดับเลื่อนขึ้น 3 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 5 และ 4 ในปีนี้ ตามลำดับ การยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยความรู้ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษและปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ 1 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 6 และ 2 ในปีนี้ ตามลำดับ และการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา 2 อันดับ จากอันดับ 2 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 4 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษเลื่อนอันดับขึ้น ได้แก่ ตัวชี้วัดประสบการณ์ระหว่างประเทศ และตัวชี้วัดบุคลากรที่มีทักษะสูงเรื่องต่างประเทศ ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 2 อันดับเท่ากัน เป็นอันดับ 3 และ 17 ในปีนี้ ตามลำดับ การเลื่อนอันดับขึ้นของตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน ตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิง ตัวชี้วัดผลิตผลทางการวิจัยและพัฒนาในรูปของสิ่งพิมพ์เผยแพร่ ตัวชี้วัดการจ้างงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และตัวชี้วัดการศึกษาวิจัยพัฒนาเกี่ยวกับหุ่นยนต์ โดยเฉพาะตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ เป็นอันดับ 8 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์มีอันดับเลื่อนขึ้น การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของตัวชี้วัดการฝึกหัดพนักงาน 4 อันดับ จากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ สิงคโปร์ได้อันดับ 4 ในปีนี้ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ เป็นผลจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยเทคโนโลยีและปัจจัยความพร้อมในอนาคต 2 และ 1 อันดับ เป็นอันดับ 1 และ 10 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 3 และ 11 ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่เหลืออีก 1 ปัจจัย คือ ปัจจัยความรู้มีอันดับลดลง 1 อันดับ จากอันดับ 4 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 5 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ทำให้ปัจจัยเทคโนโลยีมีอันดับดีขึ้น คือ ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม และปัจจัยย่อยเงินทุน ที่มีอันดับดีขึ้น 4 และ 3 อันดับ จากอันดับ 5 และ 14 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 1 และ 11 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุมเลื่อนอันดับขึ้นเนื่องจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นเป็นหลักของตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองถึง 18 อันดับ จากอันดับ 61 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 43 ในปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุด ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้ปัจจัยย่อยเงินทุนมีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ตัวชี้วัดการร่วมลงทุน ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ เป็นอันดับ 6 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความพร้อมในอนาคตเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ 3 อันดับ จากอันดับ 12 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจมีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ตัวชี้วัดโอกาสและอุปสรรค ตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท ตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics และตัวชี้วัดการถ่ายทอดความรู้ โดยเฉพาะตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท และตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics มีอันดับเลื่อนขึ้น 3 อันดับเท่ากัน เป็นอันดับ 10 และ 11 ในปีนี้ ตามลำดับ อันดับ 5 คือ สวิตเซอร์แลนด์ มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับจากปีที่แล้ว เนื่องจากการยังคงรักษาอันดับ 1 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยความรู้ และการเลื่อนอันดับลง 1 และ 4 อันดับ จากอันดับ 11 และ 3 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 12 และ 7 ในปีนี้ ของปัจจัยเทคโนโลยีและปัจจัยความพร้อมในอนาคต ตามลำดับ การยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยความรู้เป็นผลมาจากการยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ที่อันดับ 8 เหมือนปีที่แล้ว ตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ยังคงรักษาอันดับไว้ได้ คือ ตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน ที่ยังคงรักษาอันดับ 4 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ปัจจัยเทคโนโลยีเลื่อนอันดับลงเนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม 1 อันดับ จากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 8 ในปีนี้ และการยังคงรักษาอันดับ 12 และ 11 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยย่อยเงินทุนและปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ตามลำดับ ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุมเลื่อนอันดับขึ้นเกิดจากการเลื่อนอันดับขึ้นเล็กน้อยของตัวชี้วัดการเริ่มต้นธุรกิจ ตัวชี้วัดการบังคับใช้สัญญา และตัวชี้วัดการพัฒนาและโปรแกรมใช้งานของเทคโนโลยี การยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยย่อยเงินทุนเกิดจากการยังคงรักษาอันดับไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของตัวชี้วัดการให้ทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี ตัวชี้วัดการประเมินความน่าเชื่อถือของประเทศ และตัวชี้วัดการร่วมลงทุน ที่อันดับ 9, 1 และ 11 ตามลำดับ ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยียังคงรักษาอันดับไว้ได้เหมือนปีที่แล้วเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นและลงของตัวชี้วัดทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 6 ตัวชี้วัด โดยที่ตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดความเร็วการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ต มีอันดับเลื่อนขึ้น 1, 2 และ 1 อันดับ เป็นอันดับ 7, 11 และ 2 ในปีนี้ ตามลำดับ ในขณะที่ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ตัวชี้วัดบรอดแบนด์ไร้สาย และตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทค มีอันดับเลื่อนลง 5, 4 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 11, 42 และ 33 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยความพร้อมในอนาคตมีอันดับเลื่อนลงเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปจจัยย่อยทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 3 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ และปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีอันดับเลื่อนลง 2, 3 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 12, 7 และ 6 ในปีนี้ ตามลำดับ ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้เลื่อนอันดับลง คือ ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน ที่เลื่อนอันดับลงถึง 22 จากอันดับ 4 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 26 ในปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนลงมากที่สุด ตัวชี้วัดที่มีผลทำให้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจเลื่อนอันดับลง คือ ตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท ตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics และตัวชี้วัดความกลัวของผู้ประกอบการต่อความล้มเหลว โดยเฉพาะตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท มีอันดับเลื่อนลง 3 อันดับ เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศมีอันดับเลื่อนลง คือ ตัวชี้วัดความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 8 อันดับ เป็นอันดับ 15 ในปีนี้ ปีนี้ไทยได้อันดับ 40 ลดลงจากปีที่แล้ว 2 อันดับ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้และปัจจัยความพร้อมในอนาคต 3 และ 5 อันดับ จากอันดับ 42 และ 44 ในที่แล้ว เป็นอันดับ 45 และ 49 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่เหลือ คือ ปัจจัยเทคโนโลยี มีอันดับเลื่อนขึ้น 2 อันดับ จากอันดับ 22 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 20 ดังนั้นไทยยังคงต้องพัฒนาด้านความรู้และด้านความพร้อมในอนาคต เนื่องจากยังคงมีอันดับค่อนไปในทางที่ไม่ดีในปีนี้และมีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว และทั้งสองปัจจัยเป็นเหตุทำให้ไทยจัดอยู่ในอันดับ 40 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างมากซึ่งมีทั้งอันดับต่ำในปีนี้และปีที่แล้ว คือ 1. ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา อยู่ภายใต้ปัจจัยความรู้ ที่เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ จากอันดับ 56 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 57 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษามีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว 2. ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ อยู่ภายใต้ปัจจัยความพร้อมในอนาคต มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับ จากอันดับ 53 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 52 ในปีนี้ ตัวชี้วัดหลักที่มีผลต่อปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา คือ ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา และตัวชี้วัดจำนวนเฉลี่ยของนักศึกษาต่ออาจารย์ในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย มีอันดับ 59 และ 56 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 50 และ 55 ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษาเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีที่แล้ว ตัวชี้วัดที่สำคัญที่มีผลต่อปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ คือ ตัวชี้วัดการค้าปลีกทางอินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของแท็บเล็ต มีอันดับ 46 และ 58 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 50 และ 57 ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของแท็บเล็ตเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีนี้ ถึงแม้ปัจจัยเทคโนโลยีมีอันดับจัดอยู่ในระดับปานกลางทั้งปีนี้และปีที่แล้ว แต่มีตัวชี้วัดภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม ปัจจัยย่อยเงินทุน และปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีที่ต้องพัฒนาอย่างมาก คือ ตัวชี้วัดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม ตัวชี้วัดการให้ทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีและตัวชี้วัดการประเมินความน่าเชื่อถือของประเทศภายใต้ปัจจัยย่อยเงินทุน และตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ที่มีอันดับ 43, 40, 41 และ 44 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนตัวชี้วัดที่ได้รับการพัมนาขึ้นจากปีที่แล้วอย่างมาก ได้แก่ 1. ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 9 อันดับ จากอันดับ 59 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 50 ในปีนี้ ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา ปัจจัยความรู้ 2. ตัวชี้วัดการให้ทุนสิทธิบัตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 11 อันดับ จากอันดับ 42 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 31 ในปีนี้ ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ปัจจัยความรู้ ในขณะที่ตัวชี้วัดที่มีอันดับดีมากในปีนี้ คือ ตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิงที่ยังคงครองอันดับดีที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว โดยได้อันดับ 6 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ปัจจัยความรู้ และตัวชี้วัดการลงทุนในโทรคมนาคม ที่มีอันดับ 7 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วมีอันดับ 10 อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยเงินทุน ปัจจัยเทคโนโลยี สำหรับไทยยังคงต้องพัฒนาอีกหลายตัวชี้วัดดังได้กล่าวมาแล้ว เนื่องจากปีนี้มีอันดับ 40 ซึ่งเป็นอันดับค่อนไปในทางที่ไม่ดี โดยเฉพาะด้านการเป็นเจ้าของแท็บเล็ตและด้านความสามารถความปลอดภัยทางไซเบอร์ของรัฐบาล ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำสุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีนี้ อยู่ที่อันดับที่ 57 ในปีนี้ เพื่อให้ในปีหน้าไทยจะมีอันดับดีขึ้นมาก
นานาสาระน่ารู้
 
Sci News Flash: หนาวมาเยือนแล้ว ‘หนอนเจาะสมอฝ้าย’ ภัยกุหลาบก็มาด้วย
  หนอนเจาะสมอฝ้าย (Cotton bollworm) เป็นหนอนที่เจาะเข้าไปกัดกินภายในดอกกุหลาบ ทำให้ดอกได้รับความเสียหายหนักจนเกษตรกรไม่สามารถนำไปจำหน่ายได้ การระบาดของหนอนชนิดนี้มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูร้อน ไบโอเทค สวทช. ขอเสนอ ‘ชีวภัณฑ์ไวรัส NPV (Nuclear Polyhedrosis Virus: NPV)’ เป็นทางเลือกในการกำจัดแมลงศัตรูพืช โดย NPV เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในแมลง ไม่มีสารพิษตกค้างในพืช ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญช่วยลดสารเคมีและค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้อีกด้วย จุดเด่นของไวรัสชนิดนี้ คือ มีความจำเพาะกับหนอน 3 ชนิด ได้แก่ หนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก และหนอนเจาะสมอฝ้าย เมื่อหนอนกินไวรัสเข้าไป จะป่วย กินอาหารได้น้อยลง และตายใน 5-7 วัน ซึ่งด้วยกลไกตามธรรมชาตินี้จะทำให้แมลงศัตรูพืชไม่เกิดการดื้อยา แตกต่างจากการใช้สารเคมีที่มักพบการดื้อยา สำหรับวิธีการใช้งานทำได้ง่ายเพียงผสมน้ำและฉีดพ่นให้ทั่วใบและดอกเท่านั้น ปัจจุบัน ไบโอเทค สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่บริษัทเอกชนแล้ว 2 บริษัท คือ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด (06 4536 3549) และบริษัทบีไบโอ จำกัด (08 1806 1268) ผู้สนใจสามารถติดต่อบริษัทได้โดยตรง   รายละเอียดเพิ่มเติม : รู้จัก-รู้ใช้ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช อ้างอิงเรื่องการระบาดของหนอน : สำนักควบคุมพืชและวัสดุเกษตร   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น