หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
นวัตกรรมคนไทย ! รถเข็นสระผม “แคร์ธี่” ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยติดเตียงและผู้ดูแล
  การสระผมเป็นกิจวัตรที่ทุกคนต้องทำเป็นประจำเพื่อทำความสะอาดเส้นผมและหนังศีรษะ ทั้งยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่การสระผมสำหรับผู้ป่วยติดเตียงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมแพทย์และนักวิจัยไทยจึงร่วมกันพัฒนานวัตกรรมรถเข็นสระผม “แคร์ธี่” (Kathy) ที่ช่วยให้การสระผมของผู้ป่วยติดเตียงสะดวกยิ่งขึ้น ประหยัดเวลา และลดความเสี่ยงการบาดเจ็บของผู้ดูแลจากการทำงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ พัฒนานวัตกรรมรถเข็นสระผม “แคร์ธี่” เพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่เคลื่อนย้ายลำบากให้สามารถสระผมที่เตียงได้   [caption id="attachment_74669" align="aligncenter" width="750"] ดร.ฉัตรชัย จันทร์เด่นดวง นักวิจัย เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ฉัตรชัย จันทร์เด่นดวง ทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า การสระผมให้ผู้ป่วยติดเตียงในโรงพยาบาลนั้นมีความลำบาก ทำได้ไม่สะดวก ต้องใช้บุคลากรหลายคน และใช้อุปกรณ์จำนวนมาก อีกทั้งยังเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุต่อผู้ปฏิบัติงาน สถาบันประสาทวิทยาจึงได้ร่วมกับทีมวิจัยเอ็มเทคในการพัฒนารถเข็นสระผมผู้ป่วยติดเตียง โดยทีมวิจัยได้เข้าไปศึกษาขั้นตอนการสระผมให้ผู้ป่วยติดเตียงจากพยาบาลที่สถาบันประสาทวิทยา และออกแบบพัฒนารถเข็นสระผมให้มีฟังก์ชันการใช้งานตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานจริง   [caption id="attachment_74670" align="aligncenter" width="750"] นายแพทย์วุฒิพงษ์ ฐิรโฆไท นายแพทย์เชี่ยวชาญกลุ่มงานประสาทศัลยศาสตร์ สถาบันประสาทวิทยา[/caption]   "จากการศึกษาและสังเกตการสระผมให้ผู้ป่วยติดเตียงที่สถาบันประสาทวิทยาพบว่า การสระผมแต่ละครั้งต้องใช้บุคลากร 2 คน และใช้รถเข็น 2 คัน คันหนึ่งสำหรับบรรทุกภาชนะใส่น้ำ อีกคันหนึ่งเป็นอ่างสระผมพร้อมถังรองรับน้ำทิ้งอยู่ใต้อ่างสระผม เวลาสระผมให้ผู้ป่วยพยาบาลคนหนึ่งจะเป็นผู้ประคองศีรษะและสระผมให้ผู้ป่วย ส่วนพยาบาลอีกคนหนึ่งจะคอยใช้ขันตักน้ำราดศีรษะ ซึ่งก่อนสระผมพยาบาลจะต้องยกภาชนะใส่น้ำที่มีน้ำหนักมาก ขึ้นลงบนรถเข็น ทำให้เสี่ยงต่ออาการปวดหลัง และยังเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุจากการลื่นล้มหากมีน้ำหกเลอะเทอะ อีกทั้งการใช้รถเข็น 2 คันทำให้ใช้พื้นที่ในการปฏิบัติงานมาก ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานจึงมีความต้องการรวมอุปกรณ์ทุกอย่างสำหรับสระผมผู้ป่วยให้อยู่ในรถเข็นคันเดียว โดยสามารถลดภาระงานของบุคลากรและเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ปฏิบัติงานและผู้ป่วย”     ทีมวิจัยได้ออกแบบรถเข็นสระผมแคร์ธี่ให้มีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงของผู้ดูแลผู้ป่วย โดยรวมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการสระผมผู้ป่วยไว้ในรถเข็นคันเดียว ประกอบด้วย อ่างสระผมพร้อมที่รองศีรษะ หัวฝักบัวและหัวฉีด ถังเก็บน้ำดี ถังรองรับน้ำทิ้ง ช่วยให้บุคลากรไม่ต้องเคลื่อนย้ายอุปกรณ์หลายชิ้น และลดขั้นตอนการทำงาน มีระบบปั๊มน้ำที่ทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดก๊อก และหยุดทำงานเมื่อปิดก๊อก นอกจากนี้ยังมีไฟแจ้งเตือนระดับน้ำในถังเก็บน้ำ ทำให้ทราบปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ ช่วยให้บริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเติมน้ำเข้าถังได้โดยตรงด้วยการต่อสายยางจากก๊อกน้ำ และเลือกการใช้งานแบบต่อน้ำตรงเพื่อใช้น้ำได้ต่อเนื่องได้อีกด้วย   [caption id="attachment_74671" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยส่งมอบรถเข็นสระผมแคร์ธี่ให้แก่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี[/caption]   จุดเด่นของรถเข็นสระผมแคร์ธี่ คือ อ่างสระผมมีที่รองศีรษะพร้อมหมอนรองคอ จึงไม่ต้องประคองศีรษะผู้ป่วยเวลาสระผม มีหัวฝักบัวยืดหยุ่นและสายหัวฉีดให้เลือกใช้งานได้ตามความสะดวก สามารถปรับระดับความสูงของอ่างสระผมให้เหมาะกับความสูงเตียงหรือสรีระของผู้ใช้งานได้ ทำให้ไม่ต้องก้มมากเกินไป โครงสร้างรถเข็นทำจากอะลูมิเนียมโพรไฟล์และสเตนเลส แข็งแรง ทำความสะอาดง่ายและไม่เป็นสนิม ระบบไฟฟ้าใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ที่ชาร์จไฟใหม่ได้ มีระบบความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น ระบบป้องกันการชาร์จไฟระหว่างใช้งาน จึงไม่ต้องกลัวไฟดูด ระบบตัดน้ำอัตโนมัติในถังน้ำดีเมื่อเติมน้ำเต็มถัง ระบบป้องกันน้ำล้นในถังน้ำทิ้ง ระบบไฟแจ้งเตือนระดับน้ำในถัง ระบบใช้ไฟฉุกเฉินจากอะแดปเตอร์ในกรณีแบตเตอรี่หมดกะทันหันระหว่างใช้งาน มาตรวัดแสดงปริมาณแบตเตอรี่ มีปลั๊กไฟสำหรับเครื่องเป่าผมพกพา 12 โวลต์ มีช่องเสียบ USB Type A และ Type C พร้อมด้วยตะกร้าวางของสเตนเลสสำหรับใส่อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้   [caption id="attachment_74672" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยส่งมอบรถเข็นสระผมแคร์ธี่ให้แก่โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์[/caption]   นายแพทย์วุฒิพงษ์ ฐิรโฆไท นายแพทย์เชี่ยวชาญกลุ่มงานประสาทศัลยศาสตร์ สถาบันประสาทวิทยา และหัวหน้าโครงการพัฒนารถเข็นสระผมผู้ป่วย กล่าวว่า การนำนวัตกรรมรถเข็นสระผมมาใช้ในโรงพยาบาลช่วยให้การสระผมผู้ป่วยทำได้ง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นกว่าเดิม ผู้ป่วยได้รับความสะดวกสบาย ลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก และลดภาระงานของพยาบาลจากเดิมที่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ 2–3 คน เหลือเพียงพยาบาล 1 คนก็สามารถดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยที่ยังไม่สามารถไปห้องน้ำเอง หรือจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การสังเกตอาการตลอดเวลา ก็รับการสระผมได้อย่างสะดวกและปลอดภัย   [caption id="attachment_74673" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยส่งมอบรถเข็นสระผมแคร์ธี่ให้แก่โรงพยาบาลเลิดสิน[/caption]   “นวัตกรรมรถเข็นสระผมไม่ได้จำกัดการใช้งานเฉพาะผู้ป่วยติดเตียงเท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะไม่สามารถลุกไปห้องน้ำได้ชั่วคราว หรือยังไม่ควรอยู่ในท่ายืน คนไข้ที่ต้องอยู่ในท่านอนหรือยกหัวสูง รวมถึงคนไข้ที่มีแผลผ่าตัดบริเวณศีรษะ จำเป็นต้องสระผมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยสามารถป้องกันแผลผ่าตัดด้วยวัสดุกันน้ำและสระเฉพาะบริเวณโดยรอบ ทำให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยให้กระบวนการดูแลคนไข้เป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ”   [caption id="attachment_74674" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยส่งมอบรถเข็นสระผมแคร์ธี่ให้แก่สถาบันโรคทรวงอก[/caption]   ปัจจุบันรถเข็นสระผมแคร์ธี่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยทางไฟฟ้าตามมาตรฐาน IEC 60335-1 ความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMC) ตามมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ IEC 60601-1-2 และการป้องกันน้ำตามมาตรฐาน IEC 60529 (IPX4) ซึ่งทดสอบโดยศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) และได้จดสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์และอนุสิทธิบัตร รวมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทมหานครมิทอล จำกัด เพื่อผลิตและจำหน่าย   [caption id="attachment_74675" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยส่งมอบรถเข็นสระผมแคร์ธี่ให้แก่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี[/caption]   ทั้งนี้ เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับสถาบันประสาทวิทยา ได้รับทุนสนับสนุนจากกรมการแพทย์ เพื่อพัฒนาและผลิตรถเข็นสระผมแคร์ธี่และส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ 7 แห่ง นำไปใช้งาน ได้แก่ สถาบันประสาทวิทยา โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี โรงพยาบาลเลิดสิน โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) สถาบันโรคทรวงอก และสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี นอกจากนี้ทีมวิจัยยังมีความร่วมมือกับโรงพยาบาลอีกหลายแห่งในการทดลองการใช้งานรถเข็นสระผม เพื่อปรับปรุงพัฒนารถเข็นสระผมรุ่นต่อไปให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นและต้นทุนต่ำลง   [caption id="attachment_74677" align="aligncenter" width="750"] นวัตกรรมรถเข็นสระผมแคร์ธี่[/caption]   “การใช้งานรถเข็นสระผมแคร์ธี่ช่วยลดภาระงานหนักและเพิ่มความสะดวกให้แก่พยาบาลในการทำงานดูแลผู้ป่วย ป้องกันการบาดเจ็บหรือปวดเมื่อย ลดจำนวนบุคลากรในการทำงาน ลดเวลาในการปฏิบัติงาน จากปกติต้องใช้เวลา 30 นาทีในการสระผมให้ผู้ป่วย 1 คน เหลือเพียง 10-15 นาที ทำให้สามารถสระผมให้ผู้ป่วยได้มากขึ้น ผู้ป่วยที่ได้รับการสระผมจะมีสุขอนามัยที่ดี รู้สึกผ่อนคลาย และมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น” ดร.ฉัตรชัยกล่าว นวัตกรรมรถเข็นสระผมแคร์ธี่ไม่เพียงตอบโจทย์ปัญหาหลายมิติ ทั้งในด้านประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร ความปลอดภัยในการทำงาน แต่ยังเป็นนวัตกรรมที่จำเป็นและมีความหมายอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น สนใจนวัตกรรมรถเข็นสระผมแคร์ธี่ ติดต่อได้ที่ เอ็มเทค สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 6500 เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กและอินโฟกราฟิกโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา และวีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภาพประกอบโดย ดร.ฉัตรชัย จันทร์เด่นดวง เอ็มเทค และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. จับมือพันธมิตร ปั้นนวัตกรเพื่อชาติ เสริมทักษะให้นักเรียนทุนฯ ผสานงานวิจัยสู่การแก้ปัญหาจริง
(วันที่ 11 กันยายน 2568) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดสัมมนานักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่สำเร็จการศึกษา ประจำปี 2568 หัวข้อ "Innovating Tomorrow: Scholars Leading Thailand's Future" ซึ่งเป็นการสัมมนาครั้งสำคัญสำหรับนักเรียนทุนรัฐบาลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำเร็จการศึกษาประจำปี 2568 โดยมีนักเรียนทุนซึ่งเป็นกำลังสำคัญของชาติเข้าประมาณ 80 คน ร่วมรับฟังการถ่ายทอดแนวคิดจากผู้บริหารระดับสูงให้นักวิจัยรุ่นใหม่เปลี่ยนมุมมองจากการทำผลงานเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการส่วนตน ไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สามารถแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของประเทศ การสัมมนาภายใต้หัวข้อ "Innovating Tomorrow: Scholars Leading Thailand's Future" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-12 กันยายน 2568 ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง, เตรียมความพร้อมและสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน, และเสริมทักษะการสร้างผลงานวิจัยที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศ ดร.พัชร์ลิตา  ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ด้านพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  กล่าวว่า สวทช. ได้รับมอบหมายจากกระทรวง อว. ให้เป็นหน่วยงานที่ดูแลการศึกษาของนักเรียนทุนรัฐบาล และจัดงานสัมมนาในวันนี้ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์อันเข้มแข็งระหว่างนักเรียนทุนรุ่นใหม่ เตรียมความพร้อมและสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนทุนสามารถเริ่มต้นการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นในการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศชาติได้อย่างแท้จริง นางสาววราภรณ์ รุ่งตระการ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประธานในพิธีฯ กล่าวเปิดงานว่า การจัดงานในวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่นักเรียนทุนได้มาทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานร่วมกันในอนาคต ซึ่ง “นักเรียนทุนรัฐบาล” ทุกคนเป็นความหวังที่จะช่วยกันนำผลงานวิจัยมาพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ยังทำให้นักเรียนทุนได้เข้าใจถึงระเบียบและแนวทางการปฏิบัติงานในหน่วยงานต้นสังกัดต่อไป ที่จะช่วยส่งเสริมทั้งด้านการทำวิจัยและการทำงาน ซึ่งทราบกันดีว่านักเรียนทุนจะต้องมีความก้าวหน้าทางวิชาการ เช่น การขอตำแหน่งทางวิชาการ หลายคนได้ดำรงตำแหน่งทางการบริหาร โดยนักเรียนทุนรุ่นพี่ที่จบมาหลายท่านได้มีบทบาทสำคัญในการนำผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนประเทศอย่างต่อเนื่อง โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการใช้ศักยภาพของบุคลากรระดับหัวกะทิได้ไม่เต็มที่ พร้อมชวนตั้งคำถามให้นักวิจัยรุ่นใหม่ทบทวนเป้าหมายว่า "เราทำวิจัยเพื่ออะไร" และเน้นย้ำว่า เป้าหมายไม่ควรเป็นเพียงการตีพิมพ์ผลงานวิชาการเพื่อตัวเอง ซึ่งจะนำไปสู่สภาวะ "everyone for themselves" หรือ “ตัวใครตัวมัน” แต่ควรเป็นการนำความต้องการที่แท้จริงของประเทศมาเป็นที่ตั้ง เพื่อค้นหาโจทย์วิจัยที่เหมาะสมและสร้างคุณค่าให้แก่ตนเองและประเทศชาติอย่างคุ้มค่าที่สุด เนื่องจากความรู้และเทคโนโลยีเดินจากจุดที่เราเรียนจบมาไกลมากแล้ว จึงต้องเรียนรู้เพิ่มแต่ต้องทำภาพการทำงานวิจัยของตัวเองให้ชัด สร้างคุณค่าให้ตัวเอง เข้าใจและมีความสามารถที่จะหาโจทย์วิจัยที่เหมาะสมกับตัวเองและนำไปทำงานได้ผลสำเร็จ นอกจากนี้ ดร.สิทธิสุนทร สุโพธิณะ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สวทช. ซึ่งเป็นอดีตนักเรียนทุนรัฐบาลฯ ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์การเป็นนักวิจัยอาชีพ โดยแนะนำให้นักวิจัยใหม่เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจระเบียบการทำงานของหน่วยงาน, เรียนรู้ธรรมชาติของโครงการวิจัยแต่ละประเภท, และให้ความสำคัญกับการสร้างทีมงานวิจัยที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในการบริหารโครงการขนาดใหญ่ ด้านกิจกรรมเสวนาในหัวข้อ “Driving Thailand’s Future: Innovation, Startups, and Ecosystem” โดยสมาคมนักวิจัยไทยรุ่นใหม่ (TYSA) นำโดย ดร.อุดม แซ่อึ่ง ดร.ศศิธร ศรีสวัสดิ์ รศ. ดร.ศิวัช ลาวัลย์วดีกุล ผศ. ดร.ภาคภูมิ บวบทอง ดร.ชัยณรงค์ อมรบัญชรเวช และคุณเชษฐ์ธิดา ศรีสุขสาม ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของนักวิจัยที่ประสบความสำเร็จในหลากหลายเส้นทางมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ เน้นการปรับเปลี่ยนวิธีคิดของนักวิจัยใหม่ด้วยแนวคิดที่ตอบโจทย์ อาทิ เข้าใจผู้ใช้ (User) ต้องรับฟังความต้องการของลูกค้าหรือผู้ใช้งานให้มาก เพราะสิ่งที่ดีที่สุดของนักวิจัยอาจไม่ใช่สิ่งที่ตลาดต้องการ หาโจทย์จาก Pain Point ค้นหา "Pain Point" ที่แท้จริงของผู้ใช้หรือสังคมเพื่อนำมาเป็นโจทย์วิจัย แทนที่จะคิดต่อยอดจากความรู้เดิมเพียงอย่างเดียว สร้างผลกระทบ ไม่ใช่แค่สร้างความรู้ การทำงานวิจัยไม่ควรมีเป้าหมายเพียงเพื่อเพิ่มองค์ความรู้ในเอกสารทางวิชาการ (add knowledge into the Literature) พัฒนาทักษะด้านปฏิสัมพันธ์ (People Skill) ทักษะการสื่อสารและการเข้าหาผู้คนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำงานร่วมกับผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จ การสัมมนาในวันแรกได้ปิดฉากลงด้วยการส่งสารที่ชัดเจนถึงนักวิจัยคลื่นลูกใหม่ว่า อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของพวกเขา และทิศทางของการวิจัยและนวัตกรรมนับจากนี้ จะต้องถูกขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าความสำเร็จส่วนตน นั่นคือการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. และ มหาวิทยาลัยพะเยา ลงนามความร่วมมือพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและบุคลากร ตอบโจทย์นโยบาย “อว. for EV”
วันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  โดย  ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)  กับ มหาวิทยาลัยพะเยา โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุภกร พงศบางโพธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา ในการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรด้านยานยนต์ไฟฟ้า โดยมี ดร.ชินะ เพ็ญชาติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. และผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุวิทย์ ปัญญาวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์ มหาวิทยาลัยพะเยา ร่วมเป็นพยาน ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้ง  2 หน่วยงาน ในการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรด้านยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนนโยบาย “อว. for EV” ซึ่งประกอบด้วย 3 แผนงานหลัก ได้แก่ 1) การพัฒนาทักษะบุคลากร (EV-HRD)  โดยมุ่งเน้นบุคลากรตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป 2) การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน (EV-Transformation) และ 3) การสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อยกระดับผู้ประกอบการไทย  (EV-Innovation) นอกจากจะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม พลังงาน และสังคมแล้ว ยังเป็นการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทยอีกด้วย นอกจากนี้ คณะผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยพะเยายังเข้าเยี่ยมชมความก้าวหน้าของห้องปฏิบัติการวิจัยภายใน สวทช. ประกอบไปด้วย ห้องวิจัยผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและอิเล็กทรอนิกส์กำลัง  ห้องวิจัยมอเตอร์และการแปลงผันกำลังงาน  ห้องวิจัยวิศวกรรมน้ำหนักเบา และห้องวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน โดยมี คุณวรัญญู ผิวทองคำ ดร.บุรินทร์ เกิดทรัพย์ คุณปิยพงศ์ เปรมวรานนท์ ดร.มานพ มาสมทบ ร่วมต้อนรับและแนะนำงานวิจัย ตามลำดับ ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้มอบของที่ระลึกแก่อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยาในโอกาสดังกล่าว ตอกย้ำบทบาทของ สวทช. ในการผลักดันการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อ “สร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. มอบประกาศนียบัตร “โปรแกรมเสริมแกร่งผู้ประกอบการปรับตัวสู่การผลิตดิจิทัล” สร้างที่ปรึกษาด้านการผลิตดิจิทัล 51 คน หนุนอุตสาหกรรมไทยก้าวสู่ Industry 4.0
(วันที่ 12 กันยายน 2568) ณ ห้อง SD-601 อาคารสราญวิทย์ สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตร “โปรแกรมเสริมแกร่งผู้ประกอบการปรับตัวสู่การผลิตดิจิทัล (Digital Manufacturing Advisor : DMA)” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้โครงการสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการไทยสู่การผลิตดิจิทัลและอุตสาหกรรม 4.0 โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 สวทช. ผู้ประกอบการและพันธมิตรที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสวทช. กล่าวแสดงความยินดีและเน้นย้ำว่า โครงการ DMA ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนากำลังคนและผู้ประกอบการไทยเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งเน้นทั้งการอบรมเชิงทฤษฎี การฝึกปฏิบัติ และการให้คำปรึกษาเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถนำองค์ความรู้ไปปรับใช้จริงในองค์กร ตั้งแต่การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การวางแผนการลงทุน ไปจนถึงการเข้าถึงแหล่งทุนและสิทธิประโยชน์จาก BOI และสถาบันการเงิน ตลอดระยะเวลาดำเนินโครงการ DMA ประสบความสำเร็จในการสร้าง “ที่ปรึกษาด้านการผลิตดิจิทัล” กว่า 51 คน ครอบคลุมโรงงานผู้ผลิต บริษัท System Integrator (SI) นักวิจัย และบุคลากรของ สวทช. ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวสู่ Industry 4.0 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ตลอดการดำเนินโครงการ โรงงานผู้ผลิต 12 แห่งที่เข้าร่วม ได้ลงทุนจริงรวมกว่า 15.2 ล้านบาท ระหว่างเดือนมีนาคม–สิงหาคม 2568 และมีการคาดการณ์ว่าจะเกิดการลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 114 ล้านบาท ในช่วงปี 2568–2570 ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยในการปรับตัวสู่อนาคต “ความสำเร็จในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงความภาคภูมิใจของผู้เข้าร่วมโครงการ แต่ยังเป็นความสำเร็จร่วมกันของ สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร ที่ได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความพร้อมของอุตสาหกรรมไทยสู่ยุคดิจิทัล” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวทิ้งท้ายทั้งนี้ สวทช. มีความตั้งใจที่จะสานต่อความสำเร็จ ด้วยการพัฒนาหลักสูตร DMA รุ่นต่อไป เพื่อสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการและที่ปรึกษาด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่ง รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศอย่างมั่นคงและยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรมโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) สนับสนุนงบประมาณผ่านแผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) สมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (Thai Subcon) และสมาคมการจัดการระบบคลังสินค้าไทย (TIA) นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์จาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ควบคู่กับความร่วมมือด้านสินเชื่อจาก ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) และ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งทุนและยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันได้อย่างครบวงจร
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“สุดาวรรณ” อำลากระทรวง อว. ฝากรัฐมนตรีใหม่สานต่อนโยบายสำคัญ ดึงมหาวิทยาลัย-สถาบันวิจัยลุยแก้ปัญหาตอบโจทย์ท้องถิ่น พร้อมใช้วิทยาศาสตร์ วิจัย นวัตกรรมเปิดโอกาส สร้างความเท่าเทียม ลดเหลื่อมล้ำ
 วันที่ 12 ก.ย.68 น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และทีมการเมือง ประกอบด้วย น.ส.พลอย ธนิกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวง อว. และ วิเชียร สุขสร้อย เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวง อว. ร่วมพิธีอำลาตำแหน่ง โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมทั้งคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวง อว. เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น น.ส.สุดาวรรณ กล่าวว่า ขอขอบคุณผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวง อว. ทุกคน ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานอย่างเต็มที่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ดิฉันจะดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวง อว. เพียงไม่นาน แต่ระยะเวลากว่า 2 เดือนนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็ง ความมุ่งมั่น และศักยภาพของบุคลากรทุกคน ที่ทุ่มเทในการขับเคลื่อนการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง ดิฉันเชื่อมั่นว่า ด้วยรากฐานที่กระทรวง อว. ได้ร่วมกันวางไว้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาคนและกำลังแรงงานยุคใหม่ การยกระดับงานวิจัยและนวัตกรรมสู่ระดับนานาชาติ การสร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนการนำองค์ความรู้ไปยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน จะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ขอฝากให้พวกเราและท่านรัฐมนตรีคนต่อไปช่วยสานต่อภารกิจและนโยบายสำคัญ โดยเฉพาะการนำองคาพยพของกระทรวง อว. ลงไปช่วยพัฒนาและแก้ปัญหาในระดับพื้นที่ เพื่อเปิดโอกาส สร้างความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ให้กับคนไทยทุกคน เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน จากนั้น ผู้บริหารกระทรวง อว. นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. พร้อมด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยงานได้ร่วมแสดงมุทิตาจิตและมอบดอกไม้แด่ น.ส.สุดาวรรณ โดยปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงไม่นานที่พวกเราชาวกระทรวง อว. ได้ร่วมงานกับรัฐมนตรีสุดาวรรณ แต่ก็ทำให้เราได้เห็นถึงความตั้งใจจริง เห็นแนวทางการทำงานที่ชัดเจนและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่พวกเราทุกคนในการร่วมกันสร้างสรรค์การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ให้เป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญของประเทศ และขอยืนยันว่า พวกเราจะยังคงยึดมั่นในพันธกิจและหน้าที่ เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของท่านและเพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติตลอดไป ทั้งนี้ ตลอดการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมา น.ส.สุดาวรรณ ได้ขับเคลื่อนผลงานสำคัญหลายด้าน อาทิ 1. ขับเคลื่อน Soft power ไทยสู่สากล จากงานวิจัยสู่ชีวิตจริง โดยเน้นบทบาทของ อว. ในการพัฒนากำลังคนทักษะสูง สนับสนุนทุนวิจัย เปิดพื้นที่และสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งกายภาพและดิจิทัล 2. อนุมัติ 5 หลักสูตรแซนด์บ็อกซ์ใหม่ ระดับปริญญาโท-เอก เพื่อผลิตนักวิจัยขั้นสูง รองรับอุตสาหกรรมอนาคต เช่น ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาการข้อมูลเชิงพื้นที่ ระบบราง เภสัชศาสตร์ เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ในสุขภาพ 3. ตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยชายแดนไทย-กัมพูชา รองรับผู้ประสบภัยกว่า 7,600 คน โดยมหาวิทยาลัยในพื้นที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว 4. ระดมรับมือภัยน้ำท่วมและพายุวิภา ตั้ง War Room ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้ข้อมูลน้ำและดาวเทียมประเมินพื้นที่เสี่ยง พร้อมระดมมหาวิทยาลัยในพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน 5. ยกระดับอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (RSP) ให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับพื้นที่ สร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ 6. เปิดตัว TCASFolio แฟ้มสะสมผลงานมาตรฐานสำหรับนักเรียนใช้ฟรีใน TCAS69 พร้อมจัดสอบสำรองและสนับสนุนค่าสมัคร ลดภาระผู้ปกครอง และ 7. ผลักดัน “อว. For Water” เป็นนโยบายชาติ เตรียมจัดทำสมุดปกขาวเพื่อการแก้ปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน โดยเน้นการบูรณาการ องค์ความรู้ และการนำไปใช้จริง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีนโยบายสำคัญ คือ โครงการ “1 มหาวิทยาลัย 1 ภารกิจ เพื่อท้องถิ่น” โดยดึงมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยลุยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม พร้อมเดินหน้าพัฒนากำลังคน ลดเหลื่อมล้ำ ให้ทุนเรียนต่อระดับอุดมศึกษา ทั้งทุนเพื่อนักศึกษาพิการ ทุนเพื่อเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ทุน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และทุนอื่นๆ อีก 7,900 ทุน ขณะที่การบริหารจัดสรรทุนวิจัยต้องมีความรัดกุม เน้นประสิทธิภาพและประโยชน์ครอบคลุมทุกมิติ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เยาวชนไทยคว้า 11 รางวัลระดับโลก ISEF 2025
คณะผู้บริหารกระทรวง อว. นำทีมเยาวชนไทยที่ไปร่วมแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์สำหรับเยาวชนระดับโลก REGENERON ISEF 2025 เข้าพบ "ประเสริฐ จันทรรวงทอง" รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกล่าวแสดงความชื่นชมว่า ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของเยาวชนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก หลังไปคว้ารางวัลระดับโลกได้ถึง 11 รางวัล __ __ สำหรับการแข่งขัน REGENERON ISEF 2025 กระทรวง อว. โดย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ร่วมกับ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้ส่งทีมเยาวชนไทย จำนวน 14 ทีม ไปร่วมแข่งขันกับเยาวชนจาก 66 ประเทศทั่วโลก ที่สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ผลปรากฏว่า เยาวชนไทยได้รับรางวัลถึง 11 รางวัล แบ่งเป็น Grand Award 8 รางวัล และ Special Award อีก 3 รางวัล
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. เปิดตัว “ต้นแบบรถขุดตักดัดแปลงทำลายทุ่นระเบิด PMN-2 สำหรับภูมิประเทศซับซ้อนสูงในพื้นที่ชายแดน”
 (วันที่ 11 กันยายน 2568) ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร: คณะนักศึกษา วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 67 หรือ วปอ.67 ได้กระทำพิธีส่งมอบ “รถขุดตักดัดแปลงทำลายทุ่นระเบิด PMN-2 สำหรับภูมิประเทศซับซ้อนสูงในพื้นที่ชายแดน” ให้แก่ พล.ท.สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง กองทัพบก เพื่อนำไปใช้ในภารกิจการป้องกันประเทศ พลตรี เสด็จ อาคะจักร ประธานนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 67 กล่าวว่า “ในห้วงที่ผ่านมา ในสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ทหารไทยมีหน้าที่ปกป้อง ดูแลประเทศชาติในพื้นที่ชายแดน ต้องประสบเหตุการณ์เหยียบกับระเบิด PMN-2 ที่ฝ่ายกัมพูชา ลักลอบนำมาวางไว้ตามภูมิประเทศ โดยเฉพาะเส้นทางที่ทหารไทยใช้ในการลาดตระเวน ทำให้พี่น้องทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ ต้องบาดเจ็บ และสูญเสียอวัยวะไปจำนวนหลายนาย นักศึกษา วปอ.67 จึงระดมความคิดโดยใช้ศักยภาพและเครือข่ายของนักศึกษา หารือร่วมกับ กรมการทหารช่าง (แผนกสงครามทุ่นระเบิด) เพื่อหาแนวทางที่จะรักษาและพิทักษ์กำลังรบของไทยต่อปัญหาดังกล่าว โดยได้ร่วมมือกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการออกแบบจัดทำ รถขุดตักดัดแปลงทำลายทุ่นระเบิด PMN-2 เพื่อให้เป็นรถต้นแบบ ที่สามารถเข้าไปในภูมิประเทศ หรือเส้นทางขนาดเล็ก และสามารถกดทำลายวัตถุระเบิดชนิด PMN-2 ได้ เพื่อเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะให้หน่วยทหารลาดตระเวนขนาดเล็กสามารถนำเข้าไปใช้งานในพื้นที่ต้องสงสัยหรือพื้นที่เสี่ยงภัยต่อทุ่นระเบิด PMN-2 อันจะทำให้ลดอันตรายที่จะเกิดขึ้น และเป็นการพิทักษ์ประชาชนและกำลังพลของกองทัพไทย วันนี้คณะนักศึกษา วปอ.67และ สวทช. ขอมอบรถต้นแบบดังกล่าวให้กับกรมการทหารช่าง เพื่อนำไปใช้งานในพื้นที่ต่อไป สำหรับ Blue Print หรือแบบพิมพ์เขียวในการจัดทำ สวทช. ยินดีให้การสนับสนุนหากต้องการนำไปผลิตและพัฒนาเพิ่มเติมต่อไป” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. และในฐานะนักศึกษา วปอ.67 กล่าวเสริมว่า “สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ภายใต้การสนับสนุนจากนักศึกษา วปอ. 67 ได้พัฒนาต้นแบบเครื่องมือทำลายทุ่นระเบิดฯ โดยมี ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ (RMT) เป็นหัวหน้าทีมในการออกแบบกระบวนการทางวิศวกรรมขั้นสูงและเทคโนโลยีวัสดุ สำหรับใช้ในการทำลายทุ่นระเบิด PMN-2 การพัฒนานวัตกรรมเริ่มต้นจากแนวคิดการประยุกต์ใช้รถขุดดินขนาดเล็ก (ขนาดประมาณ 3.5 ตัน) ที่มีความคล่องตัวในการเคลื่อนในภูมิประเทศลาดชันและทุรกันดาร ใช้ทักษะในการขับขี่พื้นฐาน และมีความแข็งแรงทนทานเพียงพอ มาติดตั้งอุปกรณ์ทำลายทุ่นระเบิด พร้อมติดตั้งชุดเกราะเสริมความปลอดภัยให้ห้องคนขับ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ปฏิบัติงานควบคุมไม่ได้รับอันตราย การออกแบบทางวิศวกรรมขั้นสูงที่ผนวกรวมการออกแบบ 3 มิติ (3D Design) และการจำลองบนคอมพิวเตอร์ (Computer Simulation) ถูกใช้ในขั้นตอนการออกแบบชิ้นส่วนทางวิศวกรรม เพื่อให้มั่นใจถึงความแม่นยำในขนาดมิติในการผลิตและใช้งาน แข็งแรงเพียงพอจากแรงดันระเบิดนอกจากนี้ ได้มีการเรียนรู้ถึงพฤติกรรมแรงดันจากการระเบิดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับมนุษย์ด้วยการจำลองทางคอมพิวเตอร์ การเลือกใช้วัสดุความแข็งแรงเป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่คณะวิจัยของเอ็มเทค สวทช. มีประสบการณ์และคลุกคลีกับวัสดุกลุ่มนี้ยาวนาน การพัฒนาชุดเกราะเสริมความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานควบคุม จึงได้เลือกเหล็กกล้าความแข็งแรงสูงที่มีค่าความเค้น ณ จุดคราก ไม่ต่ำกว่า 700 MPa (S700 Structural Steel) ความหนา 12 มม. ชุดหัวกดทำลายทุ่นระเบิด (Landmine Punching Destroyer) ได้ออกแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขและสภาวะการณ์ในการทำลายทุ่นระเบิด โดย"ก้านกด" ถูกติดตั้งให้มีระยะความสูงห่างจากพื้นดินที่เหมาะสมเพื่อช่วยการระบายของแรงดันจากการระเบิดอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะลดโอกาสการเกิดความเสียหายของชิ้นส่วน วัสดุของก้านกดเป็นเหล็กกล้าปานกลางผ่านกระบวนการอบชุบทางความร้อนเพื่อให้มีความแข็งแรงเพียงพอ (Yield Strength 720 MPa) ทำเป็นแท่งเกลียว (Stud Bolt) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 28.5 มม. ทำให้สะดวกต่อการถอดเปลี่ยนหรือปรับปรุงแก้ไขหากเกิดการชำรุดในระหว่างปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดน การพัฒนาต้นแบบฯ ได้แล้วเสร็จในระยะเวลาอันสั้นเพียง 1 เดือน และพร้อมที่จะส่งมอบให้กับกรมการทหารช่าง กองทัพบก เพื่อนำไปทดสอบและประเมินผลในสถานการณ์จริง การนำไปใช้จริงนี้จะช่วยให้ทีมวิจัยสามารถรวบรวมข้อมูลและข้อเสนอแนะจากผู้ใช้งาน เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาในรุ่นต่อไป” นวัตกรรมนี้แสดงให้เห็นว่า สวทช. ไม่ได้ทำงานอยู่แค่ในห้องทดลอง แต่ยังนำงานวิจัยมาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมของประเทศ การพัฒนาเครื่องมือที่ผลิตโดยคนไทยเพื่อความมั่นคงของชาตินับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และเป็นการคืนความปลอดภัยให้กับชีวิตและผืนดินของประชาชนตามแนวชายแดน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ ก.พ. ปั้นหัวกะทิวิทย์ฯ รุ่นใหม่ เตรียมความพร้อมสู่เวทีโลก ขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จัดงานสัมมนาและปฐมนิเทศนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2568 ประเภททุนบุคคลทั่วไประดับปริญญา เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนทุนจำนวน 26 คน ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและเอกในต่างประเทศ งานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-5 กันยายน 2568 ณ โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น นาดา ดอนเมือง แอร์พอร์ต โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างบุคลากรศักยภาพสูงที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง ในพิธีเปิด ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ได้กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดี กับนักเรียนทุนทุกคน พร้อมย้ำถึงบทบาทของพวกเขาในฐานะตัวแทนประเทศไทยที่จะไปแสวงหาองค์ความรู้ในประเทศชั้นนำ เพื่อกลับมาขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) โดยมีอุตสาหกรรมเป้าหมายได้แก่: เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีหุ่นยนต์อัตโนมัติและแมคคาทรอนิกส์ (Autorobot and Mechatronics) ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และพลังงานสะอาด วิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering) ดร.พัชร์ลิตา ได้ให้ข้อคิดแก่นักเรียนทุนว่า "หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนนี้ก็คือ 'คน' นั่นก็คือพวกเราทุกคนในที่นี้" พร้อมฝากหลักในการปฏิบัติตน 4 ประการ คือ การทำตัวเป็นฟองน้ำที่พร้อมเรียนรู้, การเป็น "ทูต" ของประเทศไทย, การสร้างเครือข่าย และการดูแลตนเอง ตลอดการปฐมนิเทศ 2 วัน นักเรียนทุนได้รับข้อมูลสำคัญอย่างรอบด้าน ตั้งแต่ระเบียบการรับทุนและการปฏิบัติตัวจากทีมเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.พ. และกระทรวง อว. ไปจนถึงการเสวนาพิเศษในหัวข้อ "หน่วยงานต้นสังกัด กับการดูแลนักเรียนทุนรัฐบาล" โดย รศ. ดร.ชลธี โพธิ์ทอง จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และคุณชลันลักษณ์ จันทร์วันเพ็ญ จาก สอวช. พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ว่าที่นักเรียนทุนรัฐบาลได้พบปะพูดคุยกับหน่วยงานต้นสังกัดโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายในหัวข้อ "ชีวิตสดใส ปรับตัวอย่างไรเมื่ออยู่ต่างแดน" โดย ผศ.ดร.ศุภาพิชญ์ มณีสาคร โฟน โบร์แมนน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา จากสำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อเตรียมความพร้อมด้านจิตใจให้นักเรียนทุนสามารถรับมือกับความท้าทายในการใช้ชีวิตกับสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ในต่างประเทศ ไฮไลท์สำคัญของงานคือเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากนักเรียนทุนรุ่นพี่ที่สำเร็จการศึกษาจาก 6 ประเทศชั้นนำทั่วโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, เนเธอร์แลนด์และออสเตรเลีย ซึ่งช่วยสร้างแรงบันดาลใจและมอบแนวทางการปรับตัวจากประสบการณ์จริงให้แก่นักเรียนทุนรุ่นน้อง สำหรับนักเรียนทุนรัฐบาลฯ ประจำปี 2568 ทั้ง 26 คน มีความหลากหลายทั้งในด้านวุฒิการศึกษาและสาขาวิชา โดยเป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี 69.2% และปริญญาโท 30.8% ครอบคลุมสาขาวิชาที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ อาทิ รังสีเทคนิค, วิศวกรรมเคมี, วิศวกรรมขนส่งทางราง, นิติวิทยาศาสตร์, Data Science และรัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความหลากหลายที่จะเป็นพลังในการขับเคลื่อนประเทศต่อไป ทั้งนี้ โครงการทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์ฯ ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 และได้สร้างบุคลากรคุณภาพกลับมาพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมในหน่วยงานภาครัฐแล้วกว่า 4,000 คน ตอกย้ำความสำเร็จของโครงการในการสร้างกำลังคนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา พลิกโฉมการศึกษาเกษตรยุคใหม่ด้วยวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม
(วันที่ 11 กันยายน 2568) ณ ห้องมหาจักรีวิทยประสิทธิ ชั้น 4 อาคาร 60พรรษาราชสุดาสมภพ (604) สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา (สจด.) เขตดุสิต กรุงเทพฯ: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา (สจด.) ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสู่การเรียนรู้และส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตร ซึ่งถือเป็นการยกระดับการศึกษาและสร้างบุคลากรที่พร้อมรับมือกับโลกยุคใหม่ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า "ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นภารกิจสำคัญของ สวทช. ในการนำองค์ความรู้จากงานวิจัยและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในภาคการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเกษตร ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศ เราจะร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดาในการจัดทำหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้นักเรียน ครู และชุมชน ได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริงด้วยเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ เราเชื่อมั่นว่าการบูรณาการองค์ความรู้จะช่วยสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพและสามารถนำความรู้ไปต่อยอดเป็นอาชีพได้อย่างยั่งยืน" ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา กล่าวเสริมว่า "สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดามุ่งเน้นการบูรณาการความรู้ทางวิชาการเข้ากับการปฏิบัติจริง เพื่อให้นักศึกษาและบุคลากรของเรามีทักษะที่จำเป็นในโลกยุคใหม่ การร่วมมือกับ สวทช. ในครั้งนี้จะช่วยเติมเต็มศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมให้กับหลักสูตรของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร เราเชื่อมั่นว่าการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ระหว่างนักวิจัยของ สวทช. กับครูและนักเรียนของสถาบัน จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น" สำหรับความร่วมมือของ 2 หน่วยงาน ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ 1.สร้างความร่วมมือทางวิชาการและการจัดการหลักสูตรการเรียนรู้ด้านการเกษตรด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม  2.ส่งเสริมกิจกรรมที่พัฒนาการเรียนการสอนและสาธิตเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ โดยมีครู นักเรียน และชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม3.แลกเปลี่ยนงานวิชาการและความรู้ระหว่างนักวิจัย ครู นักเรียน และชุมชนและ 4. สร้างความสัมพันธ์และจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างบุคลากรของทั้งสองหน่วยงานตลอดจนร่วมกันจัดหาและสนับสนุนทรัพยากร เช่น บุคลากร งบประมาณ และอุปกรณ์ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้นอกจากการลงนามความร่วมมือกับ สวทช. ทาง สดจ. ยังลงนามความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรวมทั้งสิ้น 26 แห่ง ซึ่งมีทั้งหน่วยงานวิจัย ภาคการศึกษามหาวิทยาลัย และภาคเอกชน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือพันธมิตรจัดนิทรรศการ Thailand Pavilion แสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมด้านเครื่องมือแพทย์ในงาน Medical Fair Thailand 2025
(10 กันยายน 2568) ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทย ร่วมมือจัดนิทรรศการ Thailand Pavilion ในงาน “MEDICAL FAIR THAILAND 2025” เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพระดับภูมิภาค  โดยรวบรวมผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ และผู้พัฒนานวัตกรรมจากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก เพื่อสร้างเวทีเชื่อมต่อองค์ความรู้และความร่วมมือระดับโลก โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการ เอ็มเทค สวทช. ร่วมเป็นประธานกล่าวเปิดงาน รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการ เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า “ประเทศไทยยังคงพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์จากต่างประเทศ เอ็มเทค สวทช. ภาคเอกชน มุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึกด้านวัสดุและเครื่องมือแพทย์ เพื่อวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเครื่องมือแพทย์ ซึ่งมีฐานข้อมูลองค์ความรู้และผลงานวิจัยพร้อมถ่ายทอด ปัจจุบันมีผลงานที่ถ่ายทอดสู่เชิงพาณิชย์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวัสดุชีวภาพ อุปกรณ์ฝังใน เทคโนโลยีวินิจฉัย และเวชศาสตร์ฟื้นฟู ตัวอย่างเช่น วัสดุทดแทนกระดูก, แผ่นโลหะดามกระดูก และแบบจำลองเพื่อฝึกเก็บชิ้นเนื้อคัดกรองมะเร็งเต้านม รองศาสตราจารย์ เติมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากนี้ ภายในงาน Medical Fair Thailand 2025 ครั้งนี้ เอ็มเทค สวทช. ยังได้จัดสัมมนา “Driving Thai MED Tech Forward” เพื่อสะท้อนถึงศักยภาพและแนวทางการยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยด้วยมาตรฐานระดับสากล โดยมีไฮไลต์สำคัญ เช่น การเปิดตัวบริการ Biocompatibility screening test (ISO 10993) ที่จะช่วยยืนยันความเข้ากันได้ทางชีวภาพของอุปกรณ์การแพทย์เบื้องต้น และการเปิด Open Call เชิญผู้ประกอบการเข้าร่วมพัฒนาเครื่องมือแพทย์ไทยจาก Partial สู่ Full CSDT ตามมาตรฐานสากล และจะมีเปิดตัว NSTDA MEDDrive Platform ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยเชื่อมโยงงานวิจัยสู่การใช้งานจริง สนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ก้าวเข้าสู่มาตรฐานสากลได้อย่างมั่นคง และเพิ่มโอกาสเข้าสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ และความเชื่อมั่นว่า การจัดนิทรรศการ Thailand Pavilion ครั้งนี้ เป็นเวทีในการแสดงศักยภาพนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย และเป็นจุดเริ่มต้นของเครือข่ายความร่วมมือที่จะนำพาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยไปสู่ความยั่งยืนในอนาคตต่อไป” ดร.สุรอรรถ ศุภจัตุรัส รองผู้อำนวยการด้านการเงินนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) ตั้งเป้าลดการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ ยา และบริการทางการแพทย์มูลค่า 1,500 ล้านบาท ภายในปี 2569 โดยสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งด้านการทดสอบตลาด (Market Validation) และการขยายตลาด (Market Expansion) ผ่านเครือข่ายย่านนวัตกรรมการแพทย์ (YMID และ SMID) นอกจากนี้ NIA ยังมีแผนผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมสุขภาพระดับโลก (Global Wellness Hub) โดยมุ่งเน้นการส่งออกเทคโนโลยี การจับคู่ธุรกิจ และขยายตลาดต่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้ จ้างงาน และยกระดับระบบสุขภาพของประเทศ โดยเน้นการสร้างความเชื่อมโยงในระดับนานาชาติ เช่น การส่งออกเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยังตลาดต่างประเทศ รวมทั้งขยายฐานความสามารถด้านการสร้างและพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ตลาดโลก ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และโอกาสในการจ้างงานในประเทศ รวมถึงการบรรลุเป้าหมายในการปรับปรุงโครงสร้างระบบสุขภาพให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ครอบคลุมและเข้าถึงง่ายขึ้น” ด้าน นายจารุเดช คุณะดิลก ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เปิดนิทรรศการ Thailand Pavilion เครื่องมือแพทย์ไทยในวันนี้ ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพสู่ระดับสากล หวังเป็นอย่างยิ่งว่างานนี้จะเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศต่อไป” สำหรับงาน MEDICAL FAIR THAILAND 2025 จะมีการจัดแสดงสินค้ามากกว่า 1,000 ราย จากกว่า 40 ประเทศ พร้อมด้วย 20 พาวิลเลียนไทยและนานาชาติ ครอบคลุมเทคโนโลยีหลากหลายด้าน เช่น โรงพยาบาล ยา เวชภัณฑ์ เวชศาสตร์ฟื้นฟู และดิจิทัลเฮลธ์ ภายในงานยังมีสัมมนาและเวิร์กชอปเฉพาะทางเกี่ยวกับนวัตกรรมและเทรนด์ในอุตสาหกรรมสุขภาพ และเปิดตัวโซนจัดแสดงใหม่หลายรายการ ได้แก่ LaunchPad: เวทีแสดงนวัตกรรมและผลงานจากสตาร์ทอัพ, Community Care: เทคโนโลยีดูแลผู้สูงอายุ ฟื้นฟูสมรรถภาพ และดูแลระยะยาวและ Medical Manufacturing: ขยายพื้นที่นำเสนอเทคโนโลยีการผลิตเครื่องมือแพทย์ อัตโนมัติ และวัสดุนวัตกรรม ติดตามการจัดงาน MEDICAL FAIR THAILAND 2025 ได้ที่ www.medicalfair-thailand.com
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
รองนายกฯ “ประเสริฐ” ร่วมแสดงความยินดี พร้อมชื่นชมเยาวชนไทยที่คว้ารางวัล บนเวทีโครงงานวิทย์ฯ ระดับโลก ISEF 2025 หลังสร้างความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทยสำเร็จ
10 กันยายน ณ ห้องฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีกับความสำเร็จของตัวแทนทีมเยาวชนไทย หลังสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้สำเร็จจากการคว้ารางวัลจากเวทีการแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์สำหรับเยาวชน ระดับโลก REGENERON ISEF 2025 พร้อมมอบโอวาทให้กับเหล่าเยาวชนที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ โดยมี นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำคณะผู้บริหารกระทรวง อว. พร้อมด้วย ดร.กรรณิการ์ เฉิน รองผู้อำนวยการ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.), ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), รศ.ดร.ธณัฏฐ์คุณ มงคลอัศวรัตน์ นายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ, นางสาวกริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และคุณธนาภรณ์ พงศ์ปริตร ผู้จัดการโครงการกิจกรรมเพื่อสังคมธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และตัวแทนทีมเยาวชน เข้าร่วมด้วย ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความยินดีกับความสำเร็จของตัวแทนทีมเยาวชนไทย ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มอดินแดง) จ.ขอนแก่น, โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จ.นครปฐม จำนวน 2 ทีม, โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ จำนวน 2 ทีม, โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จ.ระยอง จำนวน 2 ทีม, โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กรุงเทพฯ จำนวน 2 ทีม และโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จ.เชียงราย จำนวน 2 ทีม พร้อมชื่นชมเยาวชนที่นำความรู้ความสามารถไปแสดงบนเวทีระดับโลก “ซึ่งผลงานของเยาวชนไทยในครั้งนี้นับว่ายอดเยี่ยมและน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง โดยสามารถคว้ารางวัลรวมทั้งสิ้น 11 รางวัล สะท้อนถึงความสามารถ ความมุ่งมั่น และความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนไทยที่สามารถแข่งขันและได้รับการยอมรับในระดับโลก ความสำเร็จนี้ไม่เพียงเป็นเกียรติยศของเยาวชนไทยเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของระบบการศึกษาไทย และความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างภาครัฐ สถานศึกษา และองค์กรด้านวิทยาศาสตร์ระดับประเทศ ที่ร่วมกันผลักดันให้เยาวชนไทยได้มีโอกาสแสดงความสามารถบนเวทีโลก โดยตนขอให้เยาวชนนำความสำเร็จครั้งนี้ไว้เป็นแรงผลักดันเพื่อต่อยอดในการพัฒนาและสร้างประโยชน์ในวงกว้างให้กับประเทศไทยต่อไปในอนาคต” นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม รองปลัดกระทรวง อว. เผยว่า “ปีนี้ กระทรวง อว. โดย อพวช. สวทช. และวช. ร่วมกับ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ส่งทีมเยาวชนไทย จำนวน 14 ทีม โดยผลงานของทีมเยาวชนไทยในครั้งนี้ ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของเยาวชนและทุกหน่วยงานที่สนับสนุนเหล่าเยาวชนไปสู่เวทีแข่งขันระดับโลก เพราะเยาวชนไทยสามารถพัฒนาผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ออกมาได้โดดเด่นจนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยสำเร็จ  ประกอบด้วยรางวัล Grand Award จำนวน      8 รางวัล และ Special Award จำนวน 3 รางวัล รวมทั้งหมด 11 รางวัล ในหลากหลายสาขา อาทิ         สาขาสัตวศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ปริวรรต สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ สาขาเคมี สาขาชีวเคมี และสาขาเทคโนโลยีส่งเสริมศิลปะ ทั้งนี้ กระทรวง อว. มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการพัฒนาต่อยอดโครงงานของเยาวชนเหล่านี้ให้สามารถนำไปใช้จริง เพื่อแก้ไขปัญหา ยกระดับคุณภาพชีวิต และส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ อันจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลกอย่างยั่งยืนต่อไป”  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เปิดบ้านต้อนรับผู้บริหารจากสมาคมมักซ์พลังค์ เยอรมนี หารือการวางรากฐานความร่วมมือวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ
(4 กันยายน 2568) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ดำเนินการต้อนรับคณะผู้แทนจาก สมาคมมักซ์พลังค์ (Max Planck Society: MPG) แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในโอกาสการประชุมหารือระดับนโยบายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมทั้งเยี่ยมชมโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัย ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ตลอดจนขยายความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพัฒนาบุคลากร ในการนี้ ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และ นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยี ให้การต้อนรับ ดร.คริสเตียนเน เฮาพท์ หัวหน้าฝ่ายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมาคมมักซ์พลังค์ กล่าวว่า สมาคมมักซ์พลังค์ถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายวิจัยที่ทรงพลังที่สุดของโลก ประกอบด้วย 84 สถาบันวิจัย และมี 19 ศูนย์ความร่วมมือในต่างประเทศ รวมถึงในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น มีบุคลากรมากกว่า 26,000 คน และนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่จากนานาชาติกว่า 8,100 คน ทั้งนี้ สมาคมมักซ์พลังค์ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งใน Top 25 Global Innovators โดย Thomson Reuters และมีผลงานวิจัยติดอันดับ 5 ของโลกใน Nature Publishing Index นอกจากนี้ ยังสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น สิ่งประดิษฐ์ 134 รายการในปี 2024 และก่อตั้ง 200 สตาร์ทอัพตั้งแต่ปี 1990 รวมถึงได้รับการยอมรับว่าเป็น นายจ้างยอดนิยมอันดับ 1 ในสายวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ดร.พูนัม เสห์กัล สุริ ผู้แทนสมาคมมักซ์พลังค์ และผู้ประสานงานการสนับสนุนในกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แนะนำโครงการ Kick-Off Workshops เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยกับสถาบันต่างประเทศ โดยจัดสรรงบประมาณสนับสนุนสูงสุดถึง 20,000 ยูโร สำหรับการจัดเวิร์กชอปทางวิชาการ จุดมุ่งหมายคือเปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันมักซ์พลังค์ได้ทำความรู้จักกับสภาพแวดล้อมการวิจัยของประเทศคู่ความร่วมมือ และเชื่อมโยงนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ของประเทศเจ้าภาพกับผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมนี เพื่อปูทางไปสู่ความร่วมมือในอนาคต จากนั้น คณะผู้แทนจากสมาคมมักซ์พลังค์ได้พูดคุยกับนักวิจัยไทยที่เคยทำงานกับมักซ์พลังค์และเครือข่ายต่างประเทศ รวมถึงอดีตนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่เคยเข้าร่วมการประชุมกับนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา และโครงการ Global Young Scientists Summit พร้อมทั้งเยี่ยมชมงานวิจัยของไทย อาทิ ดร.ดวงพร เครสปี้ นักวิจัยจากทีมวิจัยนาโนเพื่อการเกษตรขั้นสูง (Advanced Nano Agriculture Research Team) ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ และนางสาวอนุตตรา ณ ถลาง นักวิจัยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ดร.กันตพัฒน์ จันทร์แสนภักดิ์ และนางสาวจีราพร ลีลาวัฒนชัย นักวิจัยกลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ดร.อัชฌา กอบวิทยา และทีมจากหน่วยวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์ นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง โดยมี ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ์ ให้การแนะนำและดูแลคณะ นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริการทางวิชาการและการประเมินหลักสูตรด้านพัฒนากำลังคน ได้แนะนำภารกิจด้านการพัฒนากำลังคนของ สวทช. และบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรแก่คณะผู้แทนจากสมาคมมักซ์พลังค์ พร้อมกล่าวว่า ผลงานของนักวิทยาศาสตร์จากสมาคมมักซ์พลังค์มีคุณภาพสูงและส่งผลกระทบต่อมนุษยชาติ โดยพิสูจน์ได้จากผลงานที่ได้รับรางวัลโนเบลแล้วถึง 31 ราย ครอบคลุมทั้งสาขาฟิสิกส์ เคมี และการแพทย์ เช่น Albert Einstein (โนเบลฟิสิกส์ 1921) Otto Hahn (โนเบลเคมี 1944) Emmanuelle Charpentier (โนเบลเคมี 2020 จากการพัฒนาเทคโนโลยี CRISPR) Ferenc Krausz (โนเบลฟิสิกส์ 2023) การประชุมหารือในครั้งนี้เป็นไปด้วยดีและได้รับความพึงพอใจอย่างสูง คาดว่าจะนำไปสู่ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ การพัฒนากำลังคนบนพื้นฐานของความเข้มแข็งจากทั้งสองสถาบัน และการสนับสนุนการวิจัยเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์