ผลการค้นหา :
ไบโอเทค สวทช. พัฒนา ‘ไวรัสตัวแทน’ ทดสอบสูตรวัคซีนและยารักษาโรคโควิด-19 แบบเชิงรุก
For English-version news, please visit : BIOTEC-NSTDA develops a pseudotyped virus for testing COVID vaccines
ที่ผ่านมาการศึกษาวิจัยพัฒนาวัคซีน ประเมินประสิทธิภาพวัคซีน และยารักษาโรคโควิด-19 นักวิจัยต้องแยกไวรัส SARS-CoV-2 จากสารคัดหลั่งของผู้ป่วยในประเทศและเพิ่มปริมาณไวรัสให้ได้จำนวนมากพอเพื่อใช้ศึกษาทดลอง ซึ่งทราบกันดีว่าไวรัส SARS-CoV-2 ก่อโรคโควิด-19 แพร่ระบาดได้รวดเร็วและมีความรุนแรง นักวิจัยต้องทำงานบนความเสี่ยงสูง รวมทั้งต้องมีห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 (BSL3) ซึ่งในประเทศไทยมีไม่มากนัก จึงทำให้ยากต่อการพัฒนายาและวัคซีนให้ทันต่อการระบาดของโรค อีกทั้งยังไม่นับรวมการเตรียมรับมือกับไวรัสที่กลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา
[caption id="attachment_31106" align="aligncenter" width="750"] ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า เพื่อให้ประเทศไทยรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมวิจัยได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องการพัฒนา ‘Pseudotyped Virus’ หรือ ‘ไวรัสตัวแทน’ ที่มีกลไกในการติดเชื้อเข้าสู่เซลล์ได้เหมือนไวรัสตัวจริงแต่ตัวไวรัสเองถูกปรับให้มีคุณสมบัติที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อมนุษย์ เป็นเทคโนโลยีที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การยอมรับเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย รวมถึงมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน มาใช้พัฒนา ‘ไวรัสตัวแทนไวรัสก่อโรคโควิด-19’ สำเร็จเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยเทคโนโลยีที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นนี้สามารถใช้ผลิตไวรัสตัวแทนไวรัสก่อโรคโควิด-19’ จากข้อมูลรหัสพันธุกรรมได้ทุกสายพันธุ์
[caption id="attachment_31107" align="aligncenter" width="650"] Pseudotyped Virus หรือ ไวรัสตัวแทน[/caption]
“ไวรัสตัวแทนเป็นเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบไวรัสก่อโรคโควิด-19 จากที่ทราบกันดีว่าไวรัส SARS-CoV-2 ใช้โปรตีนตรงส่วนหนามในการจับและเข้าสู่เซลล์ ทีมวิจัยได้นำโปรตีนหนามของไวรัส SARS-CoV-2 มาใส่ไว้ในไวรัสอีกตัวหนึ่งซึ่งมีความปลอดภัยและไม่อันตราย โดยจุดเด่นของไวรัสตัวแทนที่สำคัญอันดับแรกคือช่วยให้นักวิจัยสามารถทำงาน ‘เชิงรุก’ เมื่อมีการค้นพบการกลายพันธุ์ของไวรัสก่อโรคโควิด-19 นักวิจัยสามารถนำข้อมูลรหัสพันธุกรรมมาสร้างไวรัสตัวแทนเพื่อใช้ดำเนินงานได้ทันที ไม่ต้องรอให้มีการติดเชื้อของสายพันธุ์นั้นในประเทศแล้วค่อยแยกออกมาจากผู้ป่วย สองคือ ‘ปลอดภัย’ ไวรัสตัวแทนไม่ก่อให้เกิดโรค นักวิจัยหรือเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการไม่ต้องทำงานภายใต้ความเสี่ยงสูง และนำไปใช้ในห้องปฏิบัติการของสถานพยาบาลทั่วไปได้
สามคือ ‘ทดสอบได้รวดเร็ว’ ไวรัสตัวแทนสามารถแสดงผลการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ให้เห็นอย่างชัดเจนภายใน 48 ชั่วโมง ต่างจากไวรัสของจริงที่ต้องใช้เวลา 5-6 วัน นอกจากนี้การทดสอบด้วยไวรัสตัวแทนยังทำได้มากถึงครั้งละ 90 ตัวอย่าง ขณะที่การทดสอบด้วยไวรัสของจริงทำได้เพียงครั้งละ 6 ตัวอย่างเท่านั้น สี่คือ ‘ผลิตได้ปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็ว’ ทำให้มีปริมาณไวรัสมากพอในการทดสอบ วิจัยได้อย่างประสิทธิภาพมากขึ้น และสุดท้ายคือ ‘ลดค่าใช้จ่าย’ ในการปฏิบัติงานได้มากถึง 20-30 เท่า”
ดร.อนันต์ กล่าวเสริมว่า ด้วยจุดเด่นของไวรัสตัวแทนที่กล่าวถึงข้างต้น ทำให้การวิจัยและพัฒนาวัคซีน สูตรการฉีดวัคซีน รวมถึงยารักษาโรคจากไวรัสต่างๆ ของประเทศไทยนับจากนี้จะมีความราบรื่นและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังใช้สร้างไวรัสตัวแทนไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์กลายพันธุ์ที่น่ากังวลใหม่ๆ ในการศึกษาวิจัย เพื่อเตรียมรับมือการระบาดรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
“ทั้งนี้ที่ผ่านมาไบโอเทคได้นำไวรัสตัวแทนที่พัฒนาขึ้นให้บริการการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในประเทศแล้ว ทั้งการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ที่มีการฉีดภายในประเทศ การทดสอบสูตรการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับบุคคลกลุ่มต่างๆ และการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตขึ้นในประเทศ อาทิ วัคซีน Chula-CoV-19 วัคซีนใบยา และวัคซีน HXP–GPOVac”
อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีการผลิตไวรัสตัวแทนที่ไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้น ไม่เพียงนำมาใช้ได้กับการพัฒนายาและวัคซีนโควิด-19 เท่านั้น แต่ยังใช้ผลิตไวรัสตัวแทนไวรัสก่อโรคชนิดอื่นๆ รวมถึงการป้องกันการระบาดของโรคจากสัตว์สู่คนแบบเชิงรุก ช่วยให้นักวิจัยไทยดำเนินงานสนับสนุนการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นคงทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขให้แก่ประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. และ ไบโอเบส ยุโรป ไพล็อท แพลนท์ ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทร่วมทุน ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์
For English-version news, please visit : NSTDA and Bio Base Europe Pilot Plant announce the launch of Bio Base Asia Pilot Plant
29 มีนาคม 2565 - บริษัท ไบโอเบส ยุโรป ไพล็อท แพลนท์ (BBEPP) ประเทศเบลเยี่ยมและสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประเทศไทย ประกาศเปิดบริษัท ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์ (BBAPP) ซึ่งเป็นโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี่แบบอเนกประสงค์ (multipurpose biorefinery pilot plant) สร้างขึ้นในพื้นที่ "ไบโอโพลิส (Biopolis)" เมืองนวัตกรรมชีวภาพที่รองรับการทำวิจัยขยายผลซึ่งเป็นแพลทฟอร์มนวัตกรรมตั้งอยู่ที่นวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ประเทศไทย
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตและส่งออกอ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ปัจจุบันพบว่าชีวมวลมากกว่า 40 ล้านตันยังไม่ได้รับการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งช่องว่าง (gap) นี้ถือเป็นโอกาสอย่างมหาศาลสำหรับเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีที่สามารถเปลี่ยนชีวมวลเป็นพลังงาน เคมีภัณฑ์ และวัสดุชีวภาพ ช่วยเพิ่มมูลค่าของผลผลิตทางการเกษตรและผลพลอยได้อย่างมีนัยสำคัญ
ศาสตราจารย์ วิม ซูทาร์ต (Porf. Wim Soetaert) ซีอีโอของ บริษัท ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์ กล่าวว่า "บริษัท ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์ เป็นโรงงานต้นแบบแห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนที่มีคุณสมบัติโดดเด่น แตกต่างจากบริษัทอื่นๆที่ประกอบธุรกิจลักษณะเดียวกันเนื่องจาก BBAPP มีพันธกิจในการพัฒนาและขยายขนาดผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (biobased products) และกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน"
โรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการวิจัยและพัฒนาจากภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ในระดับขยายขนาดกระบวนการหรือผลิตภัณฑ์ชีวภาพจากระดับห้องปฏิบัติการสู่ระดับนำร่อง และต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ BBAPP ยังช่วยผู้ประกอบการการในวิเคราะห์ความเป็นไปได้เชิงเทคโนโลยีและเศรษฐศาสตร์ และช่วยในการนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาด ก่อนที่ผู้ประกอบการจะตัดสินใจลงทุนในการสร้างโรงงานผลิตของตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุน
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสวทช. กล่าวว่า "BBEPP และ สวทช. ได้ร่วมมือกันจัดตั้ง บริษัท ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์ ในรูปแบบการร่วมทุน (joint venture) ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนทั้งในส่วนเงินทุนและเทคโนโลยีเพื่อจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งและความเชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่ายอย่างเต็มที่" บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ในการก่อตั้งบริษัท ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์ ในประเทศไทยได้ลงนามเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2019 “ข้อได้เปรียบของ BBAPP ซึ่งเกิดจากการรวมสิ่งที่ดีที่สุดจากพันธมิตรแต่ละฝ่ายทั้งเงินทุน know-how และความพร้อมด้านบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ช่วยให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีระดับโลก ทำให้ BBAPP ขึ้นมาเป็นผู้นำในธุรกิจประเภทเดียวกันในภูมิภาคอาเซียน” ดร.สมวงศ์ ตระกูลรุ่ง ประธานกรรมการบริหาร BBAPP กล่าว
BBEPP เป็นผู้ให้บริการระดับโลก (world-class service provider) ในเรื่องการพัฒนากระบวนการ การบริการขยายขนาดการผลิต และการผลิตผลิตภัณฑ์และกระบวนการชีวภาพตามความต้องการของลูกค้า (custom manufacturing) BBEPP มีชื่อเสียงในการดำเนินงานในลักษณะกระบวนการผลิตที่เป็นแบบโมดูล (modular design) ย่อยมาเชื่อมต่อทำงานร่วมกัน ทำให้มีความคล่องตัวในการรองรับกระบวนการแปรรูปชีวมวลจากระดับห้องปฏิบัติการสู่ระดับอุตสาหกรรมที่สามารถใช้งานได้จริง ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เทคโนโลยี และรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จของ BBEPP เป็นประโยชน์ที่สำคัญต่อความร่วมมือนี้
สวทช.โดยการลงทุนของรัฐบาลไทยในการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) ณ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เพื่อมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนในประเทศไทยภายใต้โมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) และความเชี่ยวชาญในส่วนต้นน้ำของอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี่ครอบคลุมการพัฒนาเอนไซม์และผลิตภัณฑ์เอนไซม์จากชีวมวลที่มีอยู่มากมายในประเทศถือเป็นส่วนสนับสนุนสำคัญในการร่วมทุน นอกจากนี้สวทช.ยังช่วยสนับสนุนฐานลูกค้าและเครือข่ายภายในประเทศและภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย
บริษัท ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์ ประกอบด้วยโรงงานต้นแบบทั้งในแบบ GMP (Good Manufacturing Practice) และ Non-GMP ถือเป็นแห่งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน โรงงานต้นแบบ Non-GMP จะสนับสนุนอุตสาหกรรมชีวเคมี วัสดุชีวภาพ และผลิตภัณฑ์ชีวภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่โรงงานต้นแบบ GMP จะสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหาร อาหารสัตว์ เครื่องสำอาง และโภชนเภสัชภัณฑ์ (nutraceuticals) ครอบคลุมบริการตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ (Upstream process) จนถึงกระบวนการปลายน้ำ (Downstream process) ประกอบด้วยการปรับสภาพชีวมวล (biomass pretreatment) เทคโนโลยีชีวภาพเพื่ออุตสาหกรรม (การหมักจุลินทรีย์และปฏิกิริยาทางชีวภาพ: microbial fermentation and biocataysis) กระบวนการเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green chemistry) และกระบวนการปลายน้ำ (downstream processing) เพื่อเปลี่ยนวัตถุดิบชีวมวลที่มีมูลค่าต่ำให้เป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงหลากหลายประเภทขณะนี้บริษัท ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์ อยู่ในระหว่างการก่อสร้างและจะเปิดดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ 2567
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ก่อตั้งขึ้นในปี 2534 ภายใต้พระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พ.ศ. 2534 สังกัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สวทช.มุ่งสร้างเสริมการวิจัย พัฒนา ออกแบบ และวิศวกรรม (Research Development Design and Engineering) จนสามารถถ่ายทอดไปสู่การใช้ประโยชน์ (Technology Transfer) พร้อมส่งเสริมด้านการพัฒนากำลังคน (Human Resource Development) และโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ด้าน ว และท ที่จำเป็น เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยพันธกิจนี้สำเร็จได้ผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับส่วนราชการ เอกชนและสถาบันการศึกษา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
บริษัท ไบโอเบส ยุโรป ไพล็อท แพลนท์ (BBEPP): Bio Base Europe Pilot Plant
บริษัท ไบโอเบส ยุโรป ไพล็อท แพลนท์ (BBEPP) ประกอบธุรกิจโรงงานต้นแบบอเนกประสงค์ ถือเป็นหน่วยงานอิสระที่มีพันธกิจในการพัฒนากระบวนการ การขยายขนาดการผลิต และการผลิตผลิตภัณฑ์และกระบวนการชีวภาพตามความต้องการของลูกค้า BBEPP ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2551 และตั้งอยู่ในเมืองเกนต์ ประเทศเบลเยียม เป็นผู้ให้บริการด้านการพัฒนาฐานชีวภาพ (biobased development) ที่ได้รับการยอมรับระดับโลก โดยปัจจุบัน BBEPP ทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรมากกว่า 140 รายทั่วโลก
ข่าวประชาสัมพันธ์
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 7 ฉบับที่ 12 ประจำเดือนมีนาคม 2565
ข่าว
วช. - สวทช. หนุน ‘ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง’ สร้างการแข่งขันประเทศ ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม
เอนก เร่งเครื่อง BCG ผ่านความร่วมมือของ สวทช. และ ปตท. มุ่งวิจัยต่อยอดนวัตกรรมสุขภาพการแพทย์แก้วิกฤติสุขภาพ
เนคเทค สวทช. จับมือเครือข่ายพันธมิตร เสริมแกร่งเยาวชนในยุค New Normal เฟ้นหาสุดยอดนวัตกรน้อยด้านเกษตรอัจฉริยะ HandySense ตามเศรษฐกิจใหม่ BCG Model
วช. - สวทช. ส่งมอบนวัตกรรม MagikTuch ‘ลิฟต์ไร้สัมผัส’ แก่ผู้ว่าจังหวัดปทุมฯ เพื่อลดความเสี่ยง เลี่ยงสัมผัสเชื้อโควิด
สวทช. – อบจ.ระยอง ขยายผลพื้นที่สาธิตเทคโนโลยีถุงห่อทุเรียน Magik Growth ให้กลุ่มเกษตรกรสวนทุเรียนนำร่องต้นแบบ จ.ระยอง
ENTEC สวทช. ร่วม วช. ส่งมอบ ENcase เครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อ ด้วยวิธีการผลิตทางไฟฟ้าเคมี แก่ 10 โรงพยาบาล ใน 4 จังหวัด
สวทช. มอบใบรับรองระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้กับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ใช้สิทธิยกเว้นภาษีได้ด้วยตนเอง (Self-Declaration)
ไอแทป สวทช. จับมือ ทีเซลส์ ช่วยผู้ประกอบการพัฒนา Cell Enhancer นวัตกรรมเพิ่มสารออกฤทธิ์ชีวภาพ เสริมแกร่งธุรกิจอาหารฟังก์ชัน
บทความ
อย่าหยุดเติมความรู้ เพื่อสร้างนวัตกรรมกับงาน ‘NAC2022’
Download เอกสารฉบับเต็ม (14.9MB)
จดหมายข่าว สวทช.
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2565 (NAC2022) แบบออนไลน์
For English-version news, please visit : NAC2022 takes off with the Royal Opening Ceremony
28 มีนาคม 2565 ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2565 (NSTDA Annual Conference: NAC2022) ภายใต้แนวคิด “พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG” (Revitalizing Thai Economy through BCG Research and Innovation)
ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 17 ระหว่างวันที่ 28 -31 มีนาคม 2565 บนแพลตฟอร์มออนไลน์เต็มรูปแบบผ่านเว็บไซต์ www.nstda.or.th/nac โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดธัญบุรี ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี คณะผู้บริหารกระทรวง อว. นักวิจัยและพนักงาน สวทช. ร่วมรับเสด็จฯ
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กราบบังคมทูลรายงานว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. มีการดำเนินงานตามพันธกิจที่มุ่งสร้างเสริมการวิจัย พัฒนา ออกแบบ และวิศวกรรม จนสามารถถ่ายทอดไปสู่การใช้ประโยชน์ พร้อมส่งเสริมด้านการพัฒนากำลังคน และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ได้พัฒนาผลงานวิจัยที่ได้ใช้ประโยชน์จริงต่อเกษตรกรและชุมชน ต่อภาคอุตสาหกรรม และสาธารณชนทั่วไป อย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ 2564 ที่ผ่านมา สวทช. มีผลงานโดยสรุป ได้แก่ บทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ 738 บทความ จำนวนทรัพย์สินทางปัญญาที่มีการใช้ประโยชน์ 433 รายการ มูลค่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่เกิดจากการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ 73,692 ล้านบาท มูลค่าการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในภาคการผลิตและภาคบริการ 25,224 ล้านบาท สนับสนุนนักศึกษาปริญญาโทและเอก และนักวิจัยหลังปริญญาเอก ให้ร่วมทำงานวิจัยกับ สวทช. 739 คน และมีเกษตรกรที่นำผลงานวิจัยและองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ 9,213 คน
สำหรับแนวคิดของการประชุมประจำปี สวทช. ในปีนี้ นั้น ตามที่ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศให้ระบบเศรษฐกิจแบบ BCG (Bio-Circular-Green Economy หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว) เป็นวาระแห่งชาติ โดยประกาศเป้าหมายให้ BCG เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็ง และประชาชนมีรายได้สูงขึ้น ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วย BCG ประกอบด้วย 4 แผนยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1. เกษตรและอาหาร 2. สุขภาพและการแพทย์ 3. พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ 4. การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของประเทศไทยในฐานความหลายหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมของประเทศไทย สวทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย BCG ร่วมกับทุกกระทรวงและทุกหน่วยงาน
สวทช. จึงได้จัดงานประชุมวิชาการประจำปี 2565 ออนไลน์เต็มรูปแบบทางเว็บไซต์ www.nstda.or.th/nac โดยนำเสนอองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ส่งเสริมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ BCG เพื่อสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนักวิชาการ ผู้ประกอบการ ภาครัฐ ภาคเอกชน เด็กและเยาวชน และประชาชนทั่วไปให้ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กราบบังคมทูลเบิกคณะนักวิจัยทุนนักวิจัยแกนนำประจำปี 2562 และ 2563 ผู้ชนะเลิศการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทยและการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 22,23 และ 24 และผู้ชนะเลิศการแข่งขันออกแบบและสร้างหุ่นยนต์แห่งประเทศไทยครั้งที่ 12 และ 13 เข้ารับพระราชทานเกียรติบัตร
จากนั้นสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัสเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2565 และทรงตัดแถบแพรเปิดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย” และนิทรรศการความก้าวหน้าทางงานวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. อาทิ
โครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก, โครงการสมุนไพรรักษ์น้ำ, โครงการส่งเสริมการเรียนการสอนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการ, โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ, ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างทั่วถึงบนฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการแสดงผลงานวิจัยโดยนักวิจัยไทย อาทิ
กลุ่มเกษตรและอาหาร ได้แก่ “Plant-based egg” ผลิตภัณฑ์ไข่เหลวจากโปรตีนพืช ทีมวิจัย ไบโอเทค และบริษัท ดรอปแอนด์พิค กรุ๊ป จำกัด ได้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ไข่เหลวพาสเจอร์ไรซ์จากโปรตีนพืชครั้งแรกของไทยที่มีคุณสมบัติในการขึ้นรูปในระหว่างการทอดในน้ำมันได้ และเนื้อสัมผัส ใกล้เคียงกับไข่ไก่ นำไปใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เหมาะสำหรับผู้บริโภคกลุ่มกินวีแกน(Vegan) และผู้ที่แพ้ไข่ไก่
และชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ strip test สำหรับตรวจวินิจฉัยเชื้อไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง สามารถพกพาไปใช้ในภาคสนาม โดยไม่ต้องเก็บตัวอย่างส่งมาตรวจยังห้องปฏิบัติการ ทราบผลได้ภายใน 15 นาที และตรวจสอบได้เองโดยไม่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการและเครื่องมือวัดอ่านผล ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังในประเทศไทย รวมถึงการตรวจหาเชื้อในขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการผลิตต้นพันธุ์ปลอดเชื้อ
กลุ่มสุขภาพและการแพทย์ ได้แก่ เทคโนโลยี Pseudotype virus (ไวรัสตัวแทน) สำหรับประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ซึ่งนักวิจัยไบโอเทค สวทช. ผลงานพัฒนาสำเร็จและได้ใช้งานจริงเพื่อประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนกับโครงการวัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทย
เทคโนโลยีไมโครนีดเดิล: แผ่นเข็มจิ๋วที่ออกแบบได้ตามสั่งผลิตได้อย่างรวดเร็วบนผืนผ้า โดยประยุกต์ใช้โครงสร้างคล้ายเข็มขนาดเล็ก ที่มีปลายเข็มขาดเล็กกว่า 10 ไมโครเมตร (เล็กกว่าเส้นผมเกือบสิบเท่า) สร้างช่องทางนำส่งสารสำคัญผ่านชิ้นผิวหนังได้ง่าย ไม่ทำให้เจ็บเรือเกิดรอย มีศักยภาพในการใช้งานด้านสุขภาพความงามและสามารถต่อยอดสู่ด้านการแพทย์เพื่อนำส่งยาเวชภัณฑ์ หรือ วัคซีนได้และ เครื่อง BodiiRay P (บอดีเรย์ พี) เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลสองมิติ (Portable Digital Radiography) ที่วิจัยและพัฒนาโดยทีมวิจัยระบบสร้างภาพทางการแพทย์ ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ สวทช. ใช้สำหรับเอกซเรย์อวัยวะภายในแบบสองมิติ เครื่องมีขนาดเล็กและสะดวกในการเคลื่อนย้ายไปใช้งานในที่ต่าง ๆ ประกอบด้วยเครื่องกำเนิดเอกซเรย์ ฉากรับรังสีดิจิทัลแบบไร้สาย คอมพิวเตอร์แบบพกพา ซอฟต์แวร์บริหารจัดการข้อมูลผู้ป่วยและจัดเก็บภาพถ่ายเอกชเรย์ ตั้งค่าและควบคุมการถ่ายเอกชเรย์ ประมวลผลภาพ และแสดงภาพเอกซเรย์แบบดิจิทัล (RadiView Software) โดยสามารถเชื่อมต่อกับระบบจัดเก็บสื่อสารข้อมูลภาพทางการแพทย์ (PACS) ได้
กลุ่มพลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติโปรตีนต่ำ ซึ่งนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ลดปริมาณโปรตีนที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติให้มีปริมาณโปรตีนที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้น้อยเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ช่วยยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติให้สามารถแข่งขันได้กับผลิตภัณฑ์ถุงมือยางสังเคราะห์
กลุ่มดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมAR/VR Technology สำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์เชิงวิศวกรรม เป็นการนำเทคโนโลยีความจริงเสมือน หรือ เอ-อาร์ (AR) และเทคโนโลยีความจริงเสมือนหรือ วี-อาร์ (VR) มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบและวิจัยเชิงวิศวกรรม รวมถึงสร้างสื่อการเรียนรู้ให้แก่นักศึกษา แบบ New Normal Schools ที่สามารถจัดการศึกษาและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง มีคุณภาพ เข้าถึงทุกกลุ่มวัยสามารถเรียนรู้ได้จากทุกที่ ทุกเวลา
จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรผลการดำเนินงานของ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ : (National Biobank of Thailand หรือ NBT) หนึ่งในหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (National Science and Technology Infrastructure: NSTI) จัดตั้งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2562 โดยได้รับการสนับสนุนครุภัณฑ์จากโครงการ Big Rock ของรัฐบาลในปี พ.ศ. 2561 เพื่อทำให้ประเทศมีศักยภาพในการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพของประเทศ มีกระบวนการจัดเก็บที่มีมาตรฐานสากล และใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อช่วยทำให้คงสภาพการมีชีวิตได้อย่างยาวนานประหยัดค่าใช้จ่ายและค่าแรงในการดูแลรักษา และสามารถนำกลับมาฟื้นฟูได้เมื่อเกิดภาวะวิกฤติ โดยทรัพยากรชีวภาพที่นำมาฝากกับ NBT ยังคงเป็นของผู้นำฝากอยู่เสมอ
ปัจจุบัน NBT ได้มีโครงการอนุรักษ์ร่วมกับพันธมิตรวิจัยและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อาทิ ตัวอย่างพืชและจุลินทรีย์ที่ได้จากโครงการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลน ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตัวอย่างจุลินทรีย์ที่ได้จากการสำรวจถ้ำในอุทยานธรณีสตูลที่ได้ขึ้นทะเบียนกับ UNESCO และความร่วมมือในการอนุรักษ์พืชกับทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ Royal Botanic Gardens Kew สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นธนาคารเมล็ดที่มีการเก็บรวบรวมเมล็ดพันธุ์พืชป่า พร้อมองค์ความรู้มากที่สุดในโลก เพื่อสนับสนุนการวิจัยและอนุรักษ์พรรณไม้ในรูปแบบของธนาคารเมล็ดให้มีมาตรฐานระดับนานาชาติ
โอกาสนี้ทอดพระเนตรการสาธิตนิทรรศการภาพเสมือน (NBT virtual tour) ซึ่งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ NBT มีโครงการความร่วมมือจัดทำ NBT Virtual Tour เป็นการสร้างโลกเสมือนจริงคู่ขนานของ NBT โดยทำการจำลองห้องปฏิบัติการและพื้นที่ปลอดเชื้อต่าง ๆ ภายใน NBT ให้ผู้ที่สนใจทั่วไปได้เข้าเยี่ยมชมและศึกษาเพิ่มเติมผ่านสื่อออนไลน์ โดยการสาธิต NBT Virtual Tour ครั้งนี้ มีการนำเสนอห้องปฏิบัติการธนาคารเมล็ดพรรณพืช ให้ผู้ที่เข้าชมสามารถหยิบเมล็ดจำลองที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาดูได้ พร้อมเปิดดูข้อมูลชื่อวิทยาศาสตร์ แหล่งที่พบตัวอย่างดังกล่าว และยังสามารถกดเข้าชมพื้นที่จำลองของแหล่งที่พบตัวอย่างเมล็ดพันธุ์ได้
ภายในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ระหว่างวันที่ 28 - 31 มีนาคม 2565 นี้ จัดออนไลน์เต็มรูปแบบในทุกกิจกรรม ประกอบด้วย สัมมนาออนไลน์ 45 หัวข้อ นิทรรศการออนไลน์ 102 เรื่อง และกิจกรรม Open House หรือ การเปิดห้องปฏิบัติการแบบออนไลน์ ซึ่งนักอุตสาหกรรม พันธมิตรและนักลงทุนที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมเทคโนโลยีจากศักยภาพของบุคลากรวิจัยของ สวทช. 45 ห้องปฏิบัติการ จำนวน 60 เรื่อง ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ผ่านทางเว็บไซต์ www.nstda.or.th/nac เท่านั้น
ข่าวประชาสัมพันธ์
เริ่มแล้ว! การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 หรือ NAC2022
เริ่มต้นขึ้นแล้ว! การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 หรือ #NAC2022 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG " ออนไลน์เต็มรูปแบบระหว่างวันที่ 28 - 31 มีนาคม 2565
ชมนิทรรศการออนไลน์เกี่ยวกับผลงานวิจัยและนวัตกรรม 102 ผลงาน , สัมมนาออนไลน์ 45 หัวข้อ และกิจกรรม Open House เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการออนไลน์ 45 แล็บ จำนวน 60 เรื่อง ลงทะเบียนร่วมงานและรับชมทุกกิจกรรมง่าย ๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. เปิดรับสมัคร “โครงการประกวดแนวคิดนวัตกรรมอาหาร FoodInnopolis Innovation Contest 2022”
เมืองนวัตกรรมอาหาร (FoodInnopolis) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย FI Accelerator ร่วมกับ บริษัท ฟู้ดแฟคเตอร์ จำกัด ในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ และสนับสนุน โดย ศูนย์การศึกษาด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปวิทยาการอาหารนานาชาติ (iGTC), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน), บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท พลังผัก จำกัด
เปิดรับสมัคร "โครงการประกวดแนวคิดนวัตกรรมอาหาร FoodInnopolis Innovation Contest 2022"
[ ] ::: ภายใต้สองหัวข้อการประกวดดังนี้
1. นวัตกรรมอาหารสตรีทฟู้ดสู่ผู้บริโภคในยุค New Normal (Street Food Innovation)
2.นวัตกรรมอาหารหมักพื้นถิ่น (Local Fermented Food Innovation)
*เงื่อนไข:
- ผลิตภัณฑ์ที่นำส่งเข้าประกวดต้องไม่เคยปรากฎอยู่ในตลาด
- ผลิตภัณฑ์ที่นำส่งเข้าประกวดต้องมีลักษณะที่แสดงถึงความใหม่ ของวิธีการ ส่วนประกอบ หรือ วิธีการนำเสนอผลิตภัณฑ์
- หากได้รับคัดเลือก ต้องสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Prototype) เป็นอย่างน้อย และเกิดขึ้นจริงภายในระยะเวลาโครงการ
[ ] ::: เปิดรับสมัคร 3 รุ่น
1.รุ่น “Fly weight” สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือ ปวช. (กลุ่มละ 5 คน* ตามเงื่อนไขในประกาศ)
2.รุ่น “Light weight” สำหรับนิสิต-นักศึกษา ระดับปริญญาตรี ทุกชั้นปี หรือ ปวส. (กลุ่มละ 3-6 คน* ตามเงื่อนไขในประกาศ)
3.รุ่น “Heavy weight” สำหรับบัณฑิตศึกษา อาจารย์ นักวิจัย และ บุคคลทั่วไป (กลุ่มละ 2-3 คน * ตามเงื่อนไขในประกาศ)
" ชิงรางวัลรวมทั้งสามรุ่นมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท และโอกาสพิเศษเพิ่มเติม อาทิ
โอกาสเข้ามหาวิทยาลัยรอบ TCAS1 (สำหรับรุ่น Fly weight)
รางวัลพิเศษ Grand Prize (สำหรับรุ่น Light weight)
และโอกาสแสดงผลงานใน THAIFEX2023 (สำหรับรุ่น Heavy weight)
รวมถึงโปรแกรมสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อต่อยอดโอกาสทางธุรกิจของเมืองนวัตกรรมอาหาร "
[ ] ::: ขั้นตอนการสมัครเข้าประกวด
1. เลือกหัวข้อการแข่งขัน
2. จัดทำเอกสารนำเสนอแนวคิดนวัตกรรมในรูปแบบ Powerpoint Presentation (ส่งไฟล์เป็น .pdf) ไม่เกิน 15 หน้าให้มีองค์ประกอบครบตามข้อกำหนด
3. สมัครและอัพโหลดเอกสารดังกล่าวผ่านลิงก์/QR-Code ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565
-ลิงก์สมัคร รุ่น “Fly weight”
https://forms.gle/baE9bFEjJmr9LAtT7
- ลิงก์สมัคร รุ่น “Light weight”
https://forms.gle/y9JU63jKvjZrqNKT8
- ลิงก์สมัคร รุ่น “Heavy weight”
https://forms.gle/Hd9QQ2JfL6Cgk7vc8
4. รอประกาศผลผ่าน Facebook Page: FI Innovation Contest ในเดือนพฤษภาคม 2565
สมัครเลย หากน้องๆ สนใจพัฒนาความสามารถของตนเอง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และต่อยอดไอเดียสู่ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหาร
อย่ารอช้า ชักชวนเพื่อนๆ มาเข้าร่วมการประกวดในครั้งนี้ แล้วพบกับกิจกรรมสนุกสนานมากมายตลอดโปรแกรม
สามารถติดตามข่าวสารและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Facebook Page : FI Innovation Contest ( https://www.facebook.com/Foodinnopolisinnovationcontest/)
ปฏิทินกิจกรรม
‘Functional Food’ นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต
วิกฤตการณ์การระบาดโรคโควิด-19 การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ หรือแม้แต่สถานการณ์โลกที่กำลังเข้าสู่ศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ ล้วนเป็นตัวเร่งให้ประชาชนหันมาตระหนักถึงการใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ เทรนด์ ‘ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพ’ และ ‘อาหารฟังก์ชัน (Functional Food)’ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สร้างโอกาสทองให้ผู้ประกอบการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง หากแต่ผู้บริโภคจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเหล่านั้นมีคุณภาพดีและปลอดภัยสมตามสรรพคุณที่กล่าวอ้างจริง
แน่นอนว่าผลงานการศึกษาวิจัยคือหลักฐานสำคัญที่จะยืนยันในเรื่องนี้ ทว่าการลงทุนทำวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการวิจัยเชิงคลินิกนั้นต้องใช้ทั้งเวลาและทรัพยากรซึ่งมีต้นทุนค่อนข้างสูง จึงอาจเป็นข้อจำกัดหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ด้วยเหตุนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ได้จัดทำ ‘โครงการการวิจัย พัฒนา และทดสอบทางคลินิกสำหรับอาหารฟังก์ชัน’ เพื่อสนับสนุนบ่มเพาะผู้ประกอบการไทยในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันและการวิจัยทางคลินิก ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจและความเชื่อมั่นถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันได้
รัฐร่วมเอกชนวิจัยพัฒนา ‘นวัตกรรมอาหารฟังก์ชัน’
อาหารฟังก์ชัน หรือ Functional Foods คืออาหารที่ประกอบด้วยสารสำคัญหรือสารออกฤทธิ์ที่ไม่ได้มีเพียงคุณค่าทางโภชนาการพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ยังมีส่วนช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเรสเตอรอล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ฟื้นฟูสภาพร่างกาย อาหารฟังก์ชันยังรวมถึงการพัฒนาอาหารที่มีความเหมาะสมกับผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ โดยกลไกที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการพัฒนายกระดับวัตถุดิบที่มีสู่ผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันได้สำเร็จคือ ‘การวิจัยพัฒนา’
[caption id="attachment_31002" align="aligncenter" width="750"] รศ. ดร.สุวิมล ทรัพย์วโรบล ภาควิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[/caption]
รศ. ดร.สุวิมล ทรัพย์วโรบล ภาควิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า โครงการการวิจัย พัฒนา และทดสอบทางคลินิกสำหรับอาหารฟังก์ชัน นับเป็นโครงการดีๆ ที่เข้ามาช่วยให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารได้มีโอกาสมาร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารฟังก์ชันร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ จากหน่วยงานภาครัฐหรือสถาบันการศึกษา
“ขั้นตอนการทำงานคือผู้ประกอบการจะมีวัตถุดิบและโจทย์ที่สนใจอยู่แล้วว่าอยากพัฒนาอาหารฟังก์ชันแบบใด เพื่อใช้กับกลุ่มเป้าหมายใด เมื่อทีมวิจัยได้รับโจทย์มาก็จะศึกษาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ยกตัวอย่างโครงการที่ได้ดำเนินการร่วมกับบริษัทไบโอบอร์น จำกัด ทางผู้ประกอบการมีโจทย์ว่า มีวัตถุดิบคือผงไข่ขาว หรือ อัลบูมินอยู่ และต้องการพัฒนาเป็นอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยล้างไต พอได้โจทย์แบบนี้ สิ่งที่นักวิจัยต้องทำคือศึกษาข้อมูลก่อนว่า ผู้ป่วยล้างไตต้องการพลังงานปริมาณเท่าไหร่ นอกจากโปรตีนจากไข่ขาวแล้ว
ยังต้องการสารอาหารอะไรในปริมาณสูง หรือต้องจำกัดสารอาหารประเภทใด เพื่อวางแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่เหมาะสม”
ความท้าทายในการวิจัยไม่ใช่เพียงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ตอบโจทย์ผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ตัวผลิตภัณฑ์ยังต้อง ‘ได้รับความพึงพอใจ’ จากกลุ่มเป้าหมาย และตรงตามความต้องการของตลาด
“ทีมวิจัยต้องไปดูด้วยว่ากลุ่มผู้ป่วยล้างไตชอบรสชาติแบบใด ต้องนำอัลบูมินมาเติมสารอาหารอะไรบ้าง เติมรสชาติอย่างไร ความเข้มข้นเท่าไหร่ กระทั่งเมื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบเสร็จ เรามีการนำไปทดสอบกับกลุ่มคนปกติก่อนว่า รสชาติ ความข้นหนืด เป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ ถ้าเป็นที่ยอมรับจะนำไปทดสอบในผู้ป่วยล้างไตอีกครั้งว่า ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมา ซึ่งปัจจุบันมี 5 รสชาติ และมีทั้งรูปแบบชงดื่มและซุปนั้น ผลิตภัณฑ์แบบใด รสชาติแบบไหน ที่เข้ากับผู้ป่วยล้างไตได้ดีที่สุด”
[caption id="attachment_30997" align="aligncenter" width="500"] ผลิตภัณฑ์ Albupro Plus ซุปไข่ขาวสำหรับผู้ป่วยล้างไต ชนิดผง[/caption]
ผลจากการร่วมวิจัยนำมาสู่ ผลิตภัณฑ์ Albupro Plus ซุปไข่ขาวสำหรับผู้ป่วยล้างไต ชนิดผง ซุปจากไข่ขาวเจ้าแรกในท้องตลาด โดยใช้ไข่ขาวสกัดด้วยกระบวนการพิเศษ ขจัดสารอะวิดินและไลโซไซม์ ทำให้ไม่ขัดขวางกระบวนการดูดซึมวิตามินบี รวมถึงมีโปรตีนอัลบูมินสูง ตรงตามความต้องการของผู้ป่วยล้างไต
รศ. ดร.สุวิมล เล่าว่า จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ Albupro Plus คือเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ป่วยล้างไตโดยเฉพาะ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ไม่ได้มีแค่โปรตีนสูง แต่ยังมีสารอาหารครบถ้วนทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ ในปริมาณที่เหมาะสม ตอบโจทย์ผู้ป่วยล้างไตที่มักจะเกิดภาวะ
ทุพโภชนาการ อีกทั้งยังมีรสชาติอร่อย รับประทานง่าย และเป็นที่พึงพอใจของกลุ่มผู้ป่วย
“การที่ ITAP สวทช. และ TCELS สนับสนุนทุนวิจัยให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้วิจัยร่วมกัน มีส่วนสำคัญอย่างมากในการผลักดันให้ผลงานวิจัยออกสู่เชิงพาณิชย์ได้จริง ไม่ต้องเก็บไว้บนหิ้ง อีกทั้งผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันที่เกิดขึ้นยังเกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อุตสาหกรรมผู้ผลิตไข่ก็ได้รับประโยชน์ ผู้ประกอบการได้ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ผู้ป่วยล้างไตได้รับผลิตภัณฑ์ที่ดี มีสารอาหารครบถ้วนในการเสริมโภชนาการ ขณะที่นักวิจัยก็ได้ใช้ความรู้ความสามารถในการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์”
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ Albupro Plus อยู่ระหว่างการขอรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการวิจัยทางคลินิก (Clinical Trial) ในกลุ่มผู้ป่วยโรคไตของโครงการฯ ต่อไป
‘วิจัยเชิงคลินิก’ พิสูจน์คุณภาพผลิตภัณฑ์
ทุกวันนี้คุณประโยชน์หรือสรรพคุณของอาหารฟังก์ชันและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพส่วนใหญ่ล้วนมาจากการอ้างอิงงานวิจัยหรือข้อมูลสารสำคัญที่ใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์นั้นๆ เช่น หากผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบของขิง จะเชื่อว่ามีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผลิตภัณฑ์จะมีผลต่อร่างกายเช่นนั้นจริงหรือไม่ ต้องอาศัย ‘การวิจัยทางคลินิก’
[caption id="attachment_31000" align="aligncenter" width="750"] ผศ. ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล[/caption]
ผศ. ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เล่าว่า การนำผลงานวิจัยถึงสารสำคัญต่างๆ มาใช้อ้างอิงไม่สามารถยืนยันได้ถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้ทั้งหมด เพราะอย่าลืมว่าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผู้ประกอบการจะนำสาระสำคัญหรือวัตถุดิบ ซึ่งมีที่มาแตกต่างกัน มาผสมกับส่วนผสมต่างๆ และยังผ่านกระบวนการผลิต รวมถึงการเก็บรักษาที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นต่อร่างกายอาจจะแตกต่างกันไปด้วย การวิจัยเชิงคลินิกกับผลิตภัณฑ์โดยตรงจึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีผลต่อร่างกายตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่
“งานวิจัยเชิงคลินิกเป็นงานวิจัยที่ศึกษาในมนุษย์ เป็นการศึกษาว่าหลังจากที่รับประทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งเข้าไปแล้ว ในระยะเวลาต่างๆ อาจเป็นการศึกษากลไกการดูดซึมหรือศึกษาผลที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับเข้าไปแล้วระยะเวลาหนึ่ง เช่น 30 วัน 60 วัน หรือ 120 วัน จะมีผลเปลี่ยนแปลงต่อระบบต่างๆ ของร่างกายอย่างไรบ้าง มีความปลอดภัยหรือไม่ มีผลต่อตับ ไต หรือเปล่า ยกตัวอย่างโครงการที่ทีมวิจัยทำร่วมกับบริษัทฟอร์แคร์ จำกัด ภายใต้การสนับสนุนของ ITAP และ TCELS ต้องการวิจัยว่าผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มดาร์กช็อกโกแลตผสมคาเคาออร์แกนิก (เมล็ดโกโก้ดิบ) มีผลช่วยพัฒนาในเรื่องของการผ่อนคลายสมอง ร่างกาย และช่วยให้ความทรงจำได้ดีขึ้นตามเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่”
ในการทำงาน ทีมวิจัยได้ร่วมกันวางแผนออกแบบกระบวนการวิจัยเชิงคลินิกซึ่งต้องมีความรอบคอบอย่างมาก รวมทั้งยังมีการทดสอบและเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายในส่วนต่างๆ จากอาสาสมัครต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์
“กลุ่มอาสาสมัครจะต้องบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น การรับประทานอาหาร การขับถ่าย การนอนหลับ รวมทั้งเรามีการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ความจำ การเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ การตอบสนองของสมอง การเปลี่ยนแปลงของสารชีวเคมีต่างๆ เช่น ระดับคอเลสเตอรอล ไขมัน ตัวชี้วัดการอักเสบของร่างกายอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้วิเคราะห์ผล ซึ่งผลการวิจัยในเชิงคลินิกของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มดาร์กช็อกโกแลตผสมคาเคาออร์แกนิกที่นำมาทดสอบพบว่า ได้ผลค่อนข้างดี ที่เห็นได้ชัดคือช่วยให้ความจำดีขึ้น ความเหนื่อยล้าลดลง ความดันโลหิตลดลง แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ยังไม่เห็นผลชัดเจนตามที่ผู้ประกอบการตั้งเป้าไว้ ซึ่งทีมวิจัยได้ให้คำแนะนำถึงแนวทางปรับสูตรเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้ตามเป้าหมายในอนาคต”
[caption id="attachment_30998" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มดาร์กช็อกโกแลตผสมคาเคาออร์แกนิก[/caption]
อย่างไรก็ดีกว่าจะได้ผลวิจัยเชิงคลินิกของผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผศ. ดร.ฉัตรภา สะท้อนถึงความยากในการวิจัยให้ฟังว่า ด้วยเป็นงานวิจัยในมนุษย์จึงต้องผ่านคณะกรรมการจริยธรรมก่อน ถึงจะทำการทดสอบได้ ซึ่งกว่างานวิจัยจะผ่านออกมาได้ต้องมีการตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีความปลอดภัย มีงานวิจัยที่รองรับสนับสนุน อีกทั้งกระบวนการต่างๆ มีทั้งการเจาะเลือด การบันทึกผลอย่างละเอียด ผู้เข้าร่วมโครงการต้องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี การออกแบบงานวิจัยต้องมีความรัดกุม กลุ่มเป้าหมายต้องมีจำนวนมากพอ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนตามที่ต้องการและมีความน่าเชื่อถือ
“กระบวนการวิจัยเชิงคลินิกต้องใช้ระยะเวลานานและมีค่าใช้จ่ายในงานวิจัยสูง จึงเป็นเรื่องยากในการลงทุนของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การที่หน่วยงานภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนภาคเอกชนในการวิจัยเชิงคลินิกนับว่าเป็นประโยชน์มากที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาอาหารฟังก์ชันที่มีประสิทธิภาพตามเป้าหมาย มีผลวิจัยที่ยืนยันถึงความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังเป็นข้อมูลสำคัญที่จะช่วยรับรองถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ในการส่งออกไปยังต่างประเทศ นอกจากนี้ การที่ผู้ประกอบการได้ร่วมทำงานวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญ ยังช่วยให้กลุ่มวิจัยและพัฒนาของบริษัทได้ร่วมเรียนรู้ และนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ช่วยให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีต่อไปในอนาคต”
นวัตกรรมสร้างความต่าง เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
ในโลกยุคปัจจุบันที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างเร็ว ประกอบกับเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าอย่างมาก การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารในรูปแบบเดิมคงไม่เพียงพอ การใช้นวัตกรรมเพื่อต่อยอดสู่อาหารฟังก์ชันอาจเป็นหนทางที่สร้างความแตกต่างและโอกาสในการพัฒนาธุรกิจอย่างก้าวกระโดด
[caption id="attachment_31001" align="aligncenter" width="450"] ดร.สรวง สมานหมู่ ผู้เชี่ยวชาญดำเนินโครงการวิจัย[/caption]
ดร.สรวง สมานหมู่ ผู้เชี่ยวชาญดำเนินโครงการวิจัย (ปัจจุบันเป็นอนุกรรมการสภาความร่วมมือด้านผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์แห่งประเทศไทย (MPCT) / คณะกรรมการบริษัท Cannabi Biosciences (ฮ่องกง ประเทศจีน) เล่าว่า สิ่งสำคัญที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราแตกต่างจากสินค้าในตลาดทั่วไปก็คืองานวิจัย ซึ่ง ITAP สวทช. ได้ให้ทุนสนับสนุนการขับเคลื่อนงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์มาโดยตลอด และสำหรับการพัฒนาอาหารฟังก์ชัน พิเศษกว่า เมื่อ ITAP ได้ร่วมกับ TCELS ให้ทุนผู้ประกอบการในการพัฒนาส่วนผสมเชิงหน้าที่ (Functional Ingredient) จากผลผลิตทางการเกษตร เพื่อให้ได้สารชีวภาพที่ให้คุณสมบัติพิเศษสำหรับนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น อาหารเสริมสุขภาพ อาหารฟังก์ชัน เครื่องสำอางและยา ซึ่งตรงตามยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
“ตัวอย่างงานวิจัยที่ได้พัฒนาให้ บริษัทแอดวาเทค จำกัด คือ Cell Synapse Enhancer เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็นสาร Co-Supplement สำหรับใช้เติมในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ หรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพต่างๆ ซึ่ง Cell Synapse Enhancer มีสมบัติช่วยเพิ่มการดูดซึมสารสกัดจากธรรมชาติให้เข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น ดังนั้นในกลุ่มผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ เมื่อมีการเติม Cell Synapse Enhancer ลงในผลิตภัณฑ์แล้ว จะช่วยให้เติมสารสกัดจากธรรมชาติหรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพในปริมาณที่น้อยลง เพราะร่างกายดูดซึมได้มากขึ้น เรียกว่ารับประทานน้อยได้มาก ประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ช่วยลดต้นทุนในการผลิต อีกทั้งยังเป็นสารตั้งต้นที่นำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย”
[caption id="attachment_30999" align="aligncenter" width="750"] Cell Synapse Enhancer[/caption]
Cell Synapse Enhancer ได้รับรางวัลเหรียญทองจากงานประกวดนวัตกรรมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้งได้มีการต่อยอดนำผลิตภัณฑ์ Cell Synapse ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทรีวาน่าของบริษัทอินนาเธอร์ จำกัด ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจนของบริษัท มานา เนเจอร์อินโนเวชั่น จำกัด และมีพันธมิตรที่สนใจจะนำสาร Cell Enhancer ไปต่อยอดใช้ในผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายผลิตภัณฑ์
ดร.สรวง เล่าว่า จากทุนของโครงการ ITAP สวทช. และ TCELS ช่วยสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ เป็นจุดเริ่มต้นในการวิจัย ทำให้ผู้ประกอบการและนักวิจัยร่วมกันผลักดันงานวิจัยให้ก้าวข้ามหุบเหวมรณะ (Valley of Death) สามารถพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ และยังต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่แตกกิ่งก้านสาขาได้เยอะมาก เป็นการเพิ่มมูลค่าความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ให้กลายเป็นสินค้า
ที่นำรายได้กลับเข้าประเทศได้สำเร็จ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระของชาติ
“หลังจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 เราเริ่มเห็นผู้ประกอบการให้ความสำคัญต่อการวิจัยมากขึ้น ถามว่าทำไมต้องทำงานวิจัย เพราะว่างานวิจัยจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีมูลค่าเพิ่มขึ้นและแตกต่าง จากที่เคยแข่งขันกันในตลาดที่เรียกว่า Red Ocean ซึ่งเป็นตลาดที่มีของคล้ายๆ กัน มุ่งแข่งขันทางด้านราคา ซึ่งต้องบอกว่าใครสายป่านยาวคนนั้นก็ชนะ แต่วันนี้เราจะไม่พูดแบบนั้นแล้ว เพราะเราจะทำให้คนที่มีสายป่านสั้นๆ สามารถชนะในตลาดนี้ได้ด้วยนวัตกรรม เป็น Blue Ocean ฉะนั้นวันนี้ต้องถามตัวเองแล้วว่า เราจะยืนในพื้นที่ไหนระหว่างทะเลเลือด หรือว่ามหาสมุทรสีฟ้าที่กว้างใหญ่”
ปลายทางความสำเร็จในการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้สามารถพัฒนาอาหารฟังก์ชันใหม่ๆ คงไม่ใช่แค่ตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารที่จะสร้างกำไรหรือโอกาสทางการตลาดให้แก่อุตสาหกรรมอาหารเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดประชาชนจะได้ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย และมั่นใจถึงความปลอดภัยได้อย่างแท้จริง
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช.เชิญชวนร่วมสัมมนาออนไลน์ ฟรีเรื่อง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน Supercomputerด้วย Green Technology
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัด สัมมนาออนไลน์เรื่อง “การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน Supercomputer ด้วย Green Technology เพื่อพัฒนางานวิจัยไทยสู่ความยั่งยืน” ในวันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2565 เวลา 10.30 – 11.30 น. ภายใต้งานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022: NSTDA Annual Conference 2022) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 – 31 มีนาคม 2565
การเข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ จะเข้าใจถึงเทคโนโลยี และกระบวนการเบื้องหลังในการสร้าง Supercomputer (Data Center) ของศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC) ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์ National S&T Infrastructure ของ สวทช. โครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการพัฒนาด้าน วทน. ที่สำคัญของประเทศ พร้อมกับการได้เรียนรู้ งานเบื้องหลังเทคโนโลยีรักษาสิ่งแวดล้อม (Green Technology) ที่มีความสำคัญต่อการดำเนินการสร้าง Supercomputer ของประเทศ
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจร่วมรับฟังสัมมนาในหัวข้อดังกล่าวฯ สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่ http://bit.ly/3qPAmBx ตั้งแต่บัดนี้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. โดย STKS และ มธ. โดย หอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ การจัดการสารสนเทศและองค์ความรู้
วันที่ 24 มีนาคม 2565 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยหอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดพิธีลงนาม “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ การจัดการสารสนเทศและองค์ความรู้” เวลา 9.30-12.00 น. ผ่านออนไลน์ Zoom meeting เพื่อเป็นพันธมิตรในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และเทคโนโลยีในการพัฒนาระบบสนับสนุนการดำเนินการทางวิชาการ การร่วมกันวางแผนและจัดบริการวิชาการสำหรับบุคลากร รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยอาศัยสื่อออนไลน์ที่เหมาะสม โดยมีการใช้งานอย่างสร้างสรรค์และรับผิดชอบ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะการร่วมกันพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ของไทยอย่างยั่งยืน
โดยมี ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และผู้ช่วยศาสตราจารย์เอกรินทร์ ยลระบิล ผู้อำนวยการหอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมลงนามในครั้งนี้
ซึ่งมีวัตถุประสงค์ความร่วมมือ คือ
เพื่อพัฒนาให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการ การแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดประสบการณ์หรือองค์ความรู้ หรือเทคโนโลยี เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานบุคลากร
เพื่อร่วมกันวางแผนและจัดบริการวิชาการสำหรับบุคลากร รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยอาศัย สื่อออนไลน์ และสื่ออื่นที่อาจมีขึ้นในอนาคตอย่างเหมาะสม สร้างสรรค์และรับผิดชอบ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาการปฏิบัติงานและพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ของไทยอย่างยั่งยืน
เพื่อร่วมกันบริการสารสนเทศสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.)
ข่าวประชาสัมพันธ์
เปิดรับสมัครแล้ว “PADTHAI Batch #9”
เมืองนวัตกรรมอาหาร (FoodInnopolis) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย FI Accelerator ร่วมกับเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออก มหาวิทยาลัยบูรพา และหอการค้าจังหวัดจันทบุรี
เปิดรับสมัครผู้ประกอบการ SMEs ด้านนวัตกรรมอาหารที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างโอกาสในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศภายใต้แนวคิด “From Local to Global” เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ PADTHAI #9 หลักสูตรเข้มข้น 5 วัน 5 คืน จากผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอาหารโดยตรง
>>ท่านจะได้รับ
∙ การอบรมเชิงปฏิบัติการจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงในแต่ละหัวข้อ กว่า 10 ท่าน!!
∙ โอกาสเข้าถึงแหล่งสนับสนุนทุน ตลาด และการนำเสนอแผนธุรกิจ ทั้งในและต่างประเทศ
∙ การสนับสนุนทางธุรกิจและบริการ One-Stop Service จาก FoodInnopolis และเครือข่าย
∙ เข้าเป็นผู้ประกอบการในเครือข่ายของ FoodInnopolis และโอกาสในการเข้าโครงการอื่น ๆ ของ FI Accelerator
>>สมัครเลย หากท่านมีคุณสมบัติดังนี้
∙ ผู้ประกอบการหรือทายาทธุรกิจ SMEs ในแวดวงอาหาร ที่ต้องการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ
∙ บุคลากรของหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมอาหารขององค์กร
∙ มีความมุ่งมั่น พร้อมที่จะพัฒนาธุรกิจในแนวคิด Transform Food SMEs From Local to Global !!!
>>กำหนดการโครงการ
∙ เปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการออนไลน์ : วันนี้ - 22 เม.ย. 65
∙ สัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการและประกาศผล : 25 มี.ค. -24 เม.ย. 65
∙ อบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรเข้มข้น 5 วัน 5 คืน โรงแรม แซนด์ดูนส์ เจ้าหลาว บีช รีสอร์ท จ.จันทบุรี : 9 - 13 พ.ค. 65
>>ค่าลงทะเบียนฝึกอบรม*
∙ 1 ท่าน 15,000 บาท
∙ 2 ท่าน 20,000 บาท
∙ มากกว่า 2 ท่าน ติดต่อผู้ดูแลโครงการ
* รวมค่าที่พัก 1 ห้อง ค่าอาหารและค่าใช้จ่ายตลอดการฝึกอบรม
* ไม่รวมค่าเดินทาง
หลักสูตรที่ Food SMEs ต้องเรียน
สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมโครงการตามลิงค์ด้านล่าง
—> https://forms.gle/BuMBqzqzMhQxw3P3A
หรือ Facebook Page: Padthai by FoodInnopolis
ติดต่อผู้ดูแลโครงการ
091-7135433 (กรองจิตร สมใส)
ปฏิทินกิจกรรม
ENcase เครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยวิธีไฟฟ้าเคมี พร้อมโชว์ในงาน NAC2022
นักวิจัยไทยคิดค้นเครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยวิธีทางไฟฟ้าเคมี ในชื่อ #ENcase ที่ใช้เพียงส่วนผสมระหว่าง เกลือกับน้ำบริสุทธิ์ เพื่อทำเป็นสารละลายเกลือแกง ก่อนใช้กระบวนการทางไฟฟ้าทำปฏิกิริยาเคมี จนได้น้ำยาออกมา 2 ชนิดพร้อมกัน คือกรดและด่าง โดยในส่วนที่เป็นกรดมีองค์ประกอบของไฮโปคลอรัส มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน ๆ ซึ่งผ่านการทดสอบแล้วพบว่า มีประสิทธิภาพเพียงพอในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ทีมนักวิจัยจึงตั้งชื่อน้ำยาในส่วนที่เป็นกรดไฮโปคลอรัสว่า #ENERclean
ผลงานดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในการพัฒนาเครื่อง Encase สำหรับนำไปใช้ประโยชน์ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันได้นำร่องส่งมอบและติดตั้งเครื่องต้นแบบให้กับโรงพยาบาล 10 แห่ง ใน 4 จังหวัด ทำใหโรงพยาบาลสามารถผลิตน้ำยา ENERclean ใช้ได้เองและนำไปใช้ฆ่าเชื้อในขยะมูลฝอยหรือขยะติดเชื้อของโรงพยาบาล
* * * * * ติดตามตัวอย่างผลงานวิจัยได้ในงาน : การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022) ภายใต้แนวคิด "พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG" วันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ออนไลน์เต็มรูปแบบ ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
อย่าหยุดเติมความรู้ เพื่อสร้างนวัตกรรมกับงาน ‘NAC2022’
For English-version news, please visit : Discover business potential of Bio-Circular-Green Economy at NAC2022
หากคุณกำลังสร้างนวัตกรรมในองค์กร หากคุณต้องการต่อยอดธุรกิจให้เติบโต หรือหากคุณต้องการหาความรู้เพื่อพัฒนางานในวิชาชีพของตนเอง คุณไม่ควรพลาด งานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 หรือ ‘NAC2022’
งานแนค (NAC2022) จัดโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. ปีนี้ด้วยสถานการณ์โควิด-19 จึงจัดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ช่องทาง www.nstda.or.th/nac ระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม 2565 เพื่อคนทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนนักศึกษา ผู้ประกอบการ รวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยทั้งในและต่างประเทศที่เข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนา เพื่อนำเอาองค์ความรู้มาสื่อสาร แลกเปลี่ยนและพัฒนานวัตกรรมที่ดีที่สุด
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ‘NAC2022’ ถือเป็นอีกหนึ่งเวที ที่จัดขึ้นมาให้เกิดการแลกเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์ ทั้งฝั่ง Demand ฝั่ง Supply และฝั่งที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ที่นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์และพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นการจัดประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ทุกๆ ปี เป้าหมายนอกจากเผยแพร่ความรู้และแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกันแล้ว เป้าหมายหลักยังเป็นการช่วยกันพัฒนาประเทศผ่านการทำงานร่วมกันบนกลไก ‘จตุภาคี’ ตามแนวคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งหมายถึงการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาสังคม และภาควิชาการ
ไฮไลต์สำคัญของงาน NAC2022 มีการสัมมนาออนไลน์ 45 หัวข้อ 4 วันเต็มของการจัดงาน เพื่อรับฟังความเห็นจากภาคเอกชนและเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ผลิต และนำข้อคิดเห็น นำโจทย์วิจัยที่ท้าทายกลับเข้ามายังหน่วยวิจัย เพื่อคิดค้นนวัตกรรมนั้นๆ ออกไปยังภาคการผลิตและภาคประชาสังคมเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์และแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นระยะยาวของสังคมไทย
ตัวอย่างนวัตกรรม 102 ผลงาน ให้ชมในรูปแบบนิทรรศการออนไลน์ ซึ่งปีนี้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมนำมาแสดงภายใต้แนวคิด พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทยด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG ทั้ง 4 สาขา ได้แก่ 1. เกษตรและอาหาร 2.สุขภาพและการแพทย์ 3.พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ 4.การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตัวอย่างเช่น
สาขาเกษตรและอาหาร
ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติโปรตีนต่ำ
นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ลดปริมาณโปรตีนที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติให้มีปริมาณโปรตีนที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้น้อยเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ISO 11193-1:2008, EN 455 และ ASTM D3578-05 ช่วยยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติให้สามารถแข่งขันได้กับผลิตภัณฑ์ถุงมือยางสังเคราะห์ และรักษาความเป็นผู้นำด้านการผลิตยางและผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติของประเทศไทย
“Plant-based egg” ผลิตภัณฑ์ไข่เหลวจากโปรตีนพืช
ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ไบโอเทค และบริษัท ดรอปแอนด์พิค กรุ๊ป จำกัด ได้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ไข่เหลวพาสเจอร์ไรซ์จากโปรตีนพืชครั้งแรกของไทย โดยพัฒนาสูตรโปรตีนจากพืชเป็นไข่เหลวจากพืชพาสเจอร์ไรซ์ ที่มีคุณสมบัติในการขึ้นรูปในระหว่างการทอดในน้ำมันได้ และเนื้อสัมผัส ใกล้เคียงกับไข่ไก่ นำไปใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เหมาะสำหรับกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มกินวีแกน(Vegan) และกลุ่มที่แพ้ไข่ไก่
นวัตกรรม มะนีมะนาว น้ำมะนาวคั้นสด 100% แช่แข็ง (ManeeManao)
“น้ำมะนาวแช่แข็ง” นักวิจัยนาโนเทค สวทช. ได้เปลี่ยนสภาวะการแช่เยือกแข็งที่เหมาะสม โดยขั้นตอนการผลิตเดิมไม่ถูกเปลี่ยน ช่วยเพิ่มคุณสมบัติในการลดการทำงานของเอนไซม์ ผลการทดสอบด้วยกระบวนการที่ปรับปรุงนั้นคือ กลิ่น สี และรสของน้ำมะนาวแช่แข็งที่นำมาทำละลายเทียบเคียงน้ำมะนาวสด ซึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของกลิ่น สี รส ภายใน 2-3 วัน แต่น้ำมะนาวแช่แข็งสามารถเก็บได้นานกว่า 2 ปี ที่สำคัญหากนำน้ำมะนาวแช่แข็งด้วยกระบวนการที่ปรับปรุงนี้ไปทำละลายแล้ว สามารถเก็บในรูปของเหลวได้นาน 2-3 เดือน โดยที่กลิ่น สี และรสเทียบเคียงมะนาวสด
การผลิตและเพิ่มมูลค่าพันธุ์ฟักทองไข่เน่าอัตลักษณ์ท้องถิ่น กลุ่มนาน้อย จ.น่าน
ตัวอย่างความสำเร็จการพัฒนาชุมชนด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG : โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการคัดเลือกสายพันธุ์ฟักทอง การคัดเลือกสายพันธุ์ฟักทองไข่เน่า เพื่อการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรท้องถิ่น สู่การรับรองเป็นพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่นของ จ.น่าน ทำให้ได้สายพันธุ์ฟักทองไข่เน่าที่มีสีเขียวปนเหลือง มีความสม่ำเสมอของรูปทรงผล มีรสชาติหวาน มัน อร่อยและเนื้อเหนียวหนึบ นอกจากนี้ยังส่งผลผลิตสดจำหน่ายซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ฟักทองผง ข้าวเกรียบฟักทอง ส่วนเมล็ดฟักทองนำมาสกัดเป็น “น้ำมันเมล็ดฟักทอง” ชิ้นส่วนที่เหลืออื่นๆ นำไปหมักด้วยหัวเชื้อจุลินทรีย์ประสิทธิภาพสูงเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์สำหรับเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์และโค ทำให้เป็นชุมชนที่มีระบบการผลิตทางการเกษตรให้ปลอดวัสดุเหลือใช้ (Zero waste agriculture) อย่างแท้จริง
Handy Sense + Farm to School
นักวิจัยเนคเทค สวทช. คิดค้นระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ (HandySense) ประกอบด้วยอุปกรณ์ตรวจวัดและควบคุมสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยต่อการเจริญเติบโตของพืช ด้วยการนำเทคโนโลยีเซนเซอร์ (sensor) ผนวกอุปกรณ์ไอโอที (Internet of Things) มาพร้อมกับความโดดเด่นคือ อุปกรณ์ใช้งานง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ในราคาที่เกษตรกรเข้าถึงได้ โดย HandySense จะตรวจวัดค่าสภาพแวดล้อมที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชผลแบบเรียลไทม์ผ่านเซนเซอร์ (sensor) ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ ความชื้นในดิน ความชื้นสัมพัทธ์ แสง และส่งต่อข้อมูลจากเซนเซอร์ผ่านระบบคลาวด์แล้วนำมาเปรียบเทียบกับค่าที่เหมาะสมของการเพาะปลูกพืช (Crop Requirement) เพื่อแจ้งเตือนและสั่งการระบบต่างๆ ให้ทำงานต่อไป
มีการติดตั้งใช้งานไปแล้วมากกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ และประกาศเป็นเทคโนโลยีแบบเปิด (Open Innovation) เพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้กับแปลงเกษตรและเชิงพาณิชย์ได้แล้ว และขยายผลสู่ Farm to School ทดสอบการใช้งานในพื้นที่นำร่องของโครงการใน 3 ตำบล 3 อำเภอของจังหวัดสุรินทร์ ประกอบด้วย 8 กลุ่มวิสาหกิจและเครือข่ายเกษตรกรและ 5 โรงเรียนใน ต.จอมพระ อ.จอมพระ, ต. อู่โลก อ.ลำดวน และ ต.ตานี อ.ปราสาท
ชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ strip test สำหรับตรวจวินิจฉัยเชื้อไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง
สวทช. ได้พัฒนาเทคนิคการตรวจกรองไวรัสใบด่างในต้นพันธุ์มันสำปะหลัง โดยได้พัฒนาน้ำยาแอนติบอดีสำหรับตรวจไวรัสใบด่างมันสำปะหลังสายพันธุ์ที่พบในประเทศไทยโดยใช้เทคนิคอิไลซ่า (ELISA) พบว่า น้ำยาแอนติบอดีที่พัฒนาขึ้นมีความไว (sensitivity) ในการตรวจมากกว่าน้ำยาที่มีการขายในเชิงการค้า และมีราคาต่อตัวอย่างถูกกว่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การตรวจด้วยเทคนิคอิไลซ่าจำเป็นต้องเก็บตัวอย่างนำมาตรวจสอบภายในห้องปฏิบัติการและต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องอ่านผล ใช้เวลาในการตรวจสอบจนทราบผลประมาณ 1-2 วัน
ทีมนักวิจัย จึงได้พัฒนาชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ strip test สามารถพกพาไปใช้ในภาคสนาม โดยไม่ต้องเก็บตัวอย่างส่งมาตรวจยังห้องปฏิบัติการ ทราบผลได้ภายใน 15 นาที และตรวจสอบได้เองโดยไม่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการและเครื่องมือวัดอ่านผล ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังในประเทศไทย รวมถึงการตรวจหาเชื้อในขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการผลิตต้นพันธุ์ปลอดเชื้อต่อไป
สาขาสุขภาพและการแพทย์
เทคโนโลยี Pseudotype virus (ไวรัสตัวแทน) สำหรับประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19
สวทช. ผลงานพัฒนาสำเร็จและได้ใช้งานจริงเพื่อประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนกับโครงการวัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทย เช่น Chula-Cov-19, วัคซีนของบริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม และ วัคซีนขององค์การเภสัชกรรม นวัตกรรมนี้ยังได้ถูกใช้ประโยชน์เพื่อประเมินประสิทธิภาพวัคซีนสูตรต่างๆ ที่ใช้ในประเทศไทยต่อการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เช่น สายพันธุ์โอมิครอน BA.1 และ BA.2 นอกจากนี้เทคโนโลยี Pseudotyped virus ยังสามารถต่อยอดนำไปเป็นวิธีทดสอบหายาต้านไวรัสตัวใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอนติบอดีรักษาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเข้าสู่เซลล์ของไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ โดยทีมวิจัยของ สวทช เป็นผู้ดำเนินการทดสอบ และมีแผนร่วมมือกับหลายหน่วยงานเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในอนาคต
นวัตกรรม “ENcase” เครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยวิธีการผลิตทางไฟฟ้าเคมี
นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. คิดค้นเครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยวิธีทางไฟฟ้าเคมี ในชื่อ ENcase ที่ใช้เพียงส่วนผสมระหว่าง เกลือกับน้ำบริสุทธิ์ เพื่อทำเป็นสารละลายเกลือแกง ก่อนใช้กระบวนการทางไฟฟ้าทำปฏิกิริยาเคมี จนได้น้ำยาออกมา 2 ชนิดพร้อมกัน คือกรดและด่าง โดยในส่วนที่เป็นกรดมีองค์ประกอบของไฮโปคลอรัส มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน ๆ ซึ่งผ่านการทดสอบแล้วพบว่า มีประสิทธิภาพเพียงพอในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ทีมนักวิจัยจึงตั้งชื่อน้ำยาในส่วนที่เป็นกรดไฮโปคลอรัสว่า ENERclean ผลงานดังกล่าวได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในการพัฒนาเครื่อง Encase สำหรับนำไปใช้ประโยชน์ในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันได้นำร่องส่งมอบและติดตั้งเครื่องต้นแบบให้กับโรงพยาบาล 10 แห่ง ใน 4 จังหวัด ทำให้โรงพยาบาลสามารถผลิตน้ำยา ENERclean ใช้ได้เองและนำไปใช้ฆ่าเชื้อขยะมูลฝอยหรือขยะติดเชื้อของโรงพยาบาลเพื่อลดต้นทุนและปลอดภัยกับผู้ใช้งาน
สาขา พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ
แบบจำลองสามมิติค่าการหมุนเวียน เพื่อความยั่งยืนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง (3D Circularity model)
เครื่องมือสำหรับประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและตัวเลขการหมุนเวียนของวัสดุ (Material Circularity Indicator: MCI) ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนของวัสดุก่อสร้าง สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ สำหรับนักออกแบบผลิตภัณฑ์และผู้ซื้อในการพิจารณาเพื่อเลือกวัสดุที่ใช้จะต้องมาจากส่วนประกอบที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้โดยไม่สูญเสียการรีไซเคิล
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโละและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ในฐานะประธานการจัดงาน NAC2022 กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจคือ Open House หรือการเปิดบ้านให้ผู้ประกอบการ และ นักลงทุน ได้เยี่ยมชมแบบออนไลน์ จากการนําเสนอเทคโนโลยีจากความชำนาญของห้องปฏิบัติการชั้นนำ 45 ห้องปฏิบัติการจำนวนรวม 60 เรื่อง ซึ่งความพิเศษของการจัดในรูปแบบออนไลน์ คือ สวทช. เปิดบ้านให้เห็นห้องปฏิบัติการวิจัยผ่านวีดีโอแบบใกล้ชิด และหากมีคำถามก็สามารถแชทข้อความสอบถามได้ทันที ดังนั้น “งาน ‘NAC2022’ เป็นโอกาสอีกครั้งท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 เมื่อคุณเข้าร่วมงาน คุณจะเห็นว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเข้มแข็งและยั่งยืนไปด้วยกัน”
ดร.ณรงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “อย่าหยุดเติมความรู้ เพื่อสร้างนวัตกรรม” เพราะหากเมื่อไหร่ที่เราหยุดเติมความรู้ องค์ความรู้เราก็จะถดถอย และจะสร้างนวัตกรรมไม่ได้ ความสามารถในการแข่งขันก็จะถดถอยไปด้วย ดังนั้นงาน NAC2022 จะเป็นอีกแพลตฟอร์มออนไลน์สำคัญ ที่เราจะเติมความรู้ นำความรู้เหล่านั้นไปสร้างนวัตกรรมเพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง
28-31 มีนาคมนี้ ชวนกันมาเติมความรู้ เพื่อสร้างสรรค์คนวัตกรรมไปด้วยกัน บนแพลตฟอร์มออนไลน์เต็มรูปแบบที่ www.nstda.or.th/nac กับงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 ภายใต้แนวคิด พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทยด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ


