ผลการค้นหา :
สวทช. รับรางวัล โครงการวิจัยด้านการเกษตรดีเด่น สวก. ประจำปี 2568
(26 กันยายน 2568) ณ เมืองทองธานี : ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ นักวิจัยนโยบายอาวุโส ฝ่ายบริหารกลยุทธ์และนโยบายองค์กร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้ารับรางวัลโครงการวิจัยด้านการเกษตรดีเด่น สวก. ประจำปี 2568 ในเรื่อง การศึกษาแนวทางบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน หรือ Food surplus (กรณีศึกษาพื้นที่นำร่อง กทม. และ ต่างจังหวัด) ประเภทรางวัล ดีเด่น ลำดับที่ 3 โดยได้รับเกียรติจาก ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) เป็นประธานพร้อมมอบเกียรติบัตร
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินงานภายใต้ กลยุทธ์ คือ ‘S&T Implementation for Sustainable Thailand’ หรือ “การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยยั่งยืน” ของ สวทช. มีเป้าหมายในการลดปริมาณขยะอาหารและเพิ่มความมั่นคงทางอาหารในกลุ่มเปราะบาง โดยประยุกต์ใช้นวัตกรรมจาก 3 ศูนย์แห่งชาติ ได้แก่ BIOTEC, MTEC และ NECTEC และมีความร่วมมือในการขยายผลกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟซัสทีแนนซ์ (SOS) และเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
โอกาสนี้ ดร.นวลวรรณ สงวนศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมแสดงความยินดีพร้อมมอบช่อดอกไม้ในครั้งนี้ด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
คณะทูตเนเธอร์แลนด์–ผู้เชี่ยวชาญเยือน TMEC สวทช. แลกเปลี่ยน–ศึกษาศักยภาพ “เซมิคอนดักเตอร์ไทย” ปูทางความร่วมมือ
เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) จังหวัดฉะเชิงเทรา นำโดย ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล (รักษาการ) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ ดร.วุฒินันท์ เจียมศักดิ์ศิริ นักวิจัยอาวุโส TMEC ให้การต้อนรับและนำชมศูนย์แก่คณะผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
คณะผู้แทนนำโดย นางกฤษฎิ์ธิดา สุจิรา ที่ปรึกษา ร่วมด้วย
Peter Zwart, Senior Policy Advisor, International Enterprise Department, Ministry of Foreign Affairs of the Netherlands
Micha Tahar, Business Development & Project Manager (Semiconductor Cluster), High Tech NL
Kit Sin Ang, Senior Economic Officer (Semiconductor and High Tech), Embassy of the Netherlands in Malaysia
การเยือนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการระหว่างวันที่ 22–26 กันยายน 2568 เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ศึกษาศักยภาพระบบนิเวศอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไทย และหารือแนวทางความร่วมมือในอนาคต
พร้อมกันนี้ คณะผู้แทนยังได้เรียนรู้บทบาทของ TMEC ในการส่งเสริมศักยภาพด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ของไทย และได้หารือเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือและโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
Netherlands Delegation Explores Thai Semiconductor Potential at TMEC, Paving Way for Collaboration
On 24 September 2025, the National Science and Technology Development Agency (NSTDA), through the Thailand Microelectronics Center (TMEC) in Chachoengsao Province, welcomed a delegation from the Royal Thai Embassy in The Hague. The delegation was guided by Dr. Pattravadee Ploykitikoon, Vice President for Science and Technology Infrastructure Services, NSTDA, and Dr. Wutthinan Jeamsaksiri, Senior Researcher at TMEC.
The delegation was led by Ms. Krisditida Sujira, Counsellor, together with:
Peter Zwart, Senior Policy Advisor, International Enterprise Department, Ministry of Foreign Affairs of the Netherlands
Micha Tahar, Business Development & Project Manager (Semiconductor Cluster), High Tech NL
Kit Sin Ang, Senior Economic Officer (Semiconductor and High Tech), Embassy of the Netherlands in Malaysia
The visit was part of a program held from 22–26 September 2025 to exchange knowledge, gain insights into Thailand’s semiconductor ecosystem, and explore pathways for future cooperation.
The program also provided the delegation with an opportunity to learn more about TMEC’s role in enhancing Thailand’s capabilities in microelectronics and semiconductors, as well as to discuss potential avenues for collaboration in the future.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
FOREFOOD COHORT #5 DEMO DAY จุดประกายนวัตกรรมอาหารอนาคต สตาร์ทอัพโชว์ผลงานต่อผู้ลงทุนและพันธมิตรธุรกิจ
เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย เมืองนวัตกรรมอาหาร (FoodInnopolis) ร่วมกับ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด จัดงาน “FOREFOOD ACCELERATION COHORT #5 DEMO DAY” ณ Singha Complex ชั้น 34 เพื่อเปิดเวทีให้สตาร์ทอัพด้าน นวัตกรรมอาหารและเกษตร (FoodTech & AgriTech) นำเสนอผลงานต่อผู้ลงทุนและพันธมิตรธุรกิจ
พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ คุณไพชยนต์ นุชนารถ Corporate Capability Strategy Manager, Corporate Capability Development Group บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกล่าวเปิดงานและถ่ายทอดวิสัยทัศน์ในการพัฒนา FoodTech Ventures เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทยสู่ระดับสากล
ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญ ได้แก่
Keynote Sessions จากผู้เชี่ยวชาญ ครอบคลุมประเด็นการลงทุน โปรตีนทางเลือก ความยั่งยืน และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
Startup Pitching จาก 16 ทีม FoodTech & AgriTech โชว์ผลงานนวัตกรรมเพื่ออนาคตของอุตสาหกรรมอาหาร
Networking & Business Matching เปิดโอกาสสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ
Product Showcase ให้ผู้เข้าร่วมสัมผัสนวัตกรรมอาหารจริง
บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก มีผู้เข้าร่วมกว่า 380 คน ประกอบด้วยนักลงทุน ผู้ประกอบการ นักวิจัย และผู้สนใจด้านนวัตกรรมอาหาร ทุกท่านได้รับทั้งองค์ความรู้ เครือข่ายธุรกิจ และแรงบันดาลใจใหม่ ๆ เพื่อร่วมกันผลักดันธุรกิจนวัตกรรมอาหารของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการระดมความคิดเห็นกลยุทธ์ในการยกระดับระบบวิจัยและนวัตกรรมในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง – ตะวันตก
วันที่ 25 กันยายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย สายงานบริการโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อระดมความคิดเห็นกลยุทธ์ในการยกระดับระบบวิจัยและนวัตกรรมในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง – ตะวันตก (Central – Western Economic Corridor: CWEC) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
โดยมี ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. ให้เกียรติกล่าวต้อนรับและเปิดการประชุม ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมฯ ประกอบด้วย ผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐ เจ้าของกิจการ ผู้บริหารภาคเอกชน และสถาบันอุดมศึกษา ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคกลาง - ตะวันตก 4 จังหวัดประกอบด้วย จ.พระนครศรีอยุธยา จ.นครปฐม จ.สุพรรณบุรี และ จ.กาญจนบุรี ร่วมรับฟังการบรรยายพิเศษ เรื่อง โอกาสของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคกลาง – ตะวันตก โดย คุณเมธา จารัตนากร CEO & Partner บริษัท ซีไอพี แวลู จำกัด และการนำเสนอแผนระดมความคิดเห็นกลยุทธ์ในการยกระดับระบบวิจัยและนวัตกรรมฯ โดย ดร.จิตภินันท์ วงษ์ขันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเบส แอดไวเซอร์ จำกัด สุดท้ายได้มีการร่วมกิจกรรมเชิงปฏิบัติการและระดมความคิดเห็นตามกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเกษตร กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมมุ่งเน้น
การจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ คาดว่าจะสร้างให้เกิดผลลัพธ์ดังต่อไปนี้
เพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการยกระดับระบบวิจัยและนวัตกรรมฯ ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมอาหารและเกษตร โดยบูรณาการความร่วมมือจากภาคชุมชน ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาสร้างให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และประเทศ
เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมมุ่งเน้น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์ 2. ด้านเทคโนโลยีเซนเซอร์ 3. ด้าน AI และ 4. ด้านดิจิทัล ให้แก่ผู้ประกอบการ ในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ครอบคลุมพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภูมิภาค ภาคกลาง - ตะวันตก
เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานมุ่งสู่การเสริมสร้างศักยภาพอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภูมิภาค ภาคกลาง - ตะวันตก
เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภูมิภาค ภาคกลาง - ตะวันตก
การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภูมิภาค ภาคกลาง – ตะวันตก มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยเฉพาะในมิติของการสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การพัฒนาดังกล่าวจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
คณะผู้บริหาร สวทช. เข้าร่วมต้อนรับ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว.
วันที่ 26 กันยายน 2568 คณะผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย คณะผู้บริหารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานกลยุทธ์องค์กร ผศ.ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ BIOTEC ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ NECTEC ดร.ภญ.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ NANOTEC ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านบริหารทั่วไป และ ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสวทช. ด้านสารสนเทศ เข้าร่วมให้การต้อนรับ นายสุรศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
พิธีดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนจะเริ่มปฏิบัติงานอย่างเป็นทางการ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. นางสาววราภรณ์ รุ่งตระการ รองปลัดกระทรวง อว. ดร.วันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวง อว. ร่วมให้การต้อนรับและแสดงความยินดี เริ่มต้นพิธีด้วยการไหว้ศาลพระภูมิ ณ กรมวิทยาศาสตร์บริการ สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ ไหว้ศาลพระภูมิชัยมงคล และสักการะพระพุทธรูปประจำห้องทำงาน ชั้น 22 ณ อาคารอุดมศึกษา 2 (ศรีอยุธยา)
ในช่วงท้าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ได้พบปะผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรในสังกัด โดยคณะผู้บริหาร สวทช. ได้มอบช่อดอกไม้เพื่อร่วมต้อนรับและแสดงความยินดี ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สป.อว.
นายสุรศักดิ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลว่า การเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง รมว.อว. ครั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำชัดให้ตนและคณะรัฐมนตรีชุดนี้ทำงานอย่างเต็มกำลัง พร้อมกำหนดปฏิทินการดำเนินงานที่ชัดเจน โดยมีแนวทางหลักในการพัฒนากระทรวง อว. ได้แก่ การยกระดับการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ให้ก้าวทันโลก การนำเทคโนโลยีมาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การใช้ผลงานวิจัยเป็นกลไกเร่งด่วนในการรองรับและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ ทั้งนี้ จะมีการประกาศนโยบาย Quick Win ที่เห็นผลได้จริง ควบคู่กับการต่อยอดนโยบายเดิมที่มีพื้นฐานแข็งแรงอยู่แล้ว เพื่อให้การขับเคลื่อนเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในเร็ว ๆ นี้
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. โดย นาโนเทค ร่วมแสดงความยินดี ‘สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิคส์’ ดีปเทคสตาร์ตอัป สวทช. จับมือลงนาม 2 พันธมิตร
วันที่ 25 กันยายน 2568 ณ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) - คุณศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BID) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแสดงความยินดีกับบริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิคส์ จำกัด หนึ่งในดีปเทคสตาร์ตอัปภายใต้ สวทช. ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับเครือข่ายพันธมิตร ทั้งคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีและศูนย์พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ (MIND) มหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัท ดอกเตอร์พงศ์ สกิน รีเสิร์ช แล็บ จำกัด นับเป็นก้าวสำคัญ ในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาควิชาการ หน่วยงานวิจัย และภาคเอกชน เพื่อผลักดันนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปสู่การประยุกต์ใช้ในด้านการแพทย์และอุตสาหกรรมความงาม ตามพันธกิจของ สวทช. ที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งภายในงาน ได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์ นายแพทย์ หม่อมหลวงชาครีย์ กิติยากร รองคณบดีฝ่ายนวัตกรรมและคู่ความร่วมมือ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, เภสัชกรหญิง พุทธิมน ศรีบนฟ้า หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์และวิจัย บริษัท ดอกเตอร์พงศ์ สกิน รีเสิร์ช แล็บ จำกัด, ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติจากทุกภาคส่วนเข้าร่วม โดยมี ดร. ไพศาล ขันชัยทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ และคุณลลิตภัทร ศุภประภากร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและกรรมการบริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิคส์ จำกัด ให้การต้อนรับ
บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิคส์ จำกัด จัดตั้งเมื่อปี 2565 เป็นหนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จ ของบริษัทดีปเทคสตาร์ตอัป ภายใต้กลไก NSTDA Startup ของ สวทช. ที่มุ่งผลักดันผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ สร้าง Ecosystem และขีดความสามารถให้บุคลากร รวมถึงเป็นโอกาสที่นักวิจัยสามารถเป็นเจ้าของและบริหารธุรกิจจากผลงานวิจัยได้อย่างเต็มที่ และยังช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจด้วยการมีพันธมิตรร่วมลงทุน โดยได้นำงานวิจัยและพัฒนาจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์วิจัย ภายใต้ สวทช. ต่อยอดสู่ “เทคโนโลยีไมโครสไปก์” ด้วยเทคนิคการขึ้นเข็มขนาดไมโคร (Microneedle) ด้วยแสง บนวัสดุผืนผ้า ในรูปแบบแผ่นแปะที่มีลักษณะเฉพาะ ตอบโจทย์ความต้องการด้านประสิทธิภาพในการนำส่งสารสำคัญผ่านผิวหนัง และลดปัญหาคอขวดเรื่องการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิคส์ จำกัด สามารถผลิตได้เร็วกว่าบริษัทในต่างประเทศถึง 13.5 เท่า นับเป็น Game Changer สำหรับภาคเอกชนที่จะเข้ามาจับมือร่วมกันใช้นวัตกรรม สร้างจุดเด่น หรือความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจของตนเอง และปัจจุบัน สไปก์ฯ ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิผลงานวิจัยของ สวทช. ไปแล้วกว่า 11 ผลงาน อาทิ นวัตกรรมแผ่นแปะสำหรับใต้ตา ร่องแก้ม เข่า เป็นต้น
สำหรับการลงนามในครั้งนี้ สะท้อนถึงความตั้งใจร่วมกันของทุกภาคส่วน ที่พร้อมนำความเชี่ยวชาญและศักยภาพในแต่ละด้านมาร่วมขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเฉพาะด้านการแพทย์ สุขภาพและความงาม ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และสอดคล้องกับแนวโน้มการดูแลสุขภาพในปัจจุบันแล้ว ยังสอดคล้องกับพันธกิจของ สวทช. ในการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยอีกด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ชู “AI” ขับเคลื่อนสะเต็มศึกษาในอาเซียน ณ เวทีประชุม SEAMEO STEM-ED
บาหลี, อินโดนีเซีย – เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568, ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้แทนประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาของซีมีโอ (SEAMEO STEM-ED) ครั้งที่ 8 และการประชุม Cross-Center Collaborative Forum เพื่อร่วมกำหนดทิศทางและยกระดับสะเต็มศึกษาในภูมิภาค
ในการประชุมคณะกรรมการบริหารฯ ได้มีการอนุมัติแผนงานและงบประมาณประจำปี พร้อมหารือความคืบหน้าของโครงการสำคัญหลายโครงการ อาทิ โครงการพัฒนาครูในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA-TEP) เพื่อเสริมศักยภาพครูรับมือห้องเรียนยุคใหม่, โครงการส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลกผ่านสะเต็มศึกษา และการเตรียมความพร้อมบุคลากรทางการศึกษาให้ใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการด้าน AI นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวโครงการ “Southeast Asia Day of AI and Modern STEM in Education” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง
ส่วนการประชุม Cross-Center Collaborative Forum ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง 3 ศูนย์ของซีมีโอ ได้แก่ SEAMEO STEM-ED, SEAMOLEC และ RECSAM ได้มุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ของภูมิภาค เพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนสามารถปรับตัวและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ในโอกาสนี้ ศ. ดร.ชูกิจ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำ AI มาใช้เป็นเครื่องมือช่วยครูในการวัดผลและปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน (Personalized Learning) ช่วยลดอุปสรรคด้านภาษา และแก้จุดอ่อนทางการศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้าน AI แห่งชาติของไทย โดยความร่วมมือระหว่างประเทศจะเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับศักยภาพของเยาวชนและครูในภูมิภาคให้พร้อมรับความท้าทายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘ไวรัสเอ็นพีวี’ ชีวภัณฑ์กู้วิกฤต ‘หนอนบุกทำลายพืชเศรษฐกิจไทย’
หนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอฝ้าย และหนอนเจาะฝักถั่ว เป็นศัตรูร้ายที่สร้างความเสียหายต่อพืชเศรษฐกิจไทยมายาวนาน เกษตรกรจำนวนไม่น้อยจึงเลือกใช้สารเคมีที่ออกฤทธิ์รุนแรงเพื่อกำจัดให้สิ้นซากในทันที ทว่าการพึ่งพาสารเคมีในระยะยาวไม่เพียงส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ใช้และผู้บริโภค แต่ยังทำลายสมดุลของระบบนิเวศ อีกทั้งยังเร่งให้เกิดปัญหาหนอนดื้อยา ส่งผลให้ไม่สามารถใช้สารเคมีชนิดเดิมหรือที่มีฤทธิ์อ่อนกว่าเดิมในการกำจัดได้อีก ท้ายที่สุดเกษตรกรอาจต้องเผชิญกับความสูญเสียในระดับที่ยากต่อการแก้ไข
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการผลิตเชื้อไวรัสเอ็นพีวี ชีวภัณฑ์สำหรับกำจัดหนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอฝ้าย และหนอนเจาะฝักถั่วอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ในระยะยาว
‘ไวรัสเอ็นพีวี’ ปราบหนอนศัตรูพืชแบบอยู่หมัด
สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ นักวิชาการอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า ‘ไวรัสเอ็นพีวี’ หรือ ‘Nucleopolyhedrovirus (NPV)’ คือ ไวรัสที่มีคุณสมบัติทำให้หนอนป่วย เมื่อหนอนกัดกินไวรัสที่ฉีดพ่นไว้ที่ดอก ใบ หรือผล สีตัวของหนอนจะเปลี่ยนไป เคลื่อนไหวได้ช้าลง กินอาหารได้น้อยลง และตายใน 3–7 วัน ไวรัสชนิดนี้จะออกฤทธิ์แบบจำเพาะกับหนอนแต่ละชนิดจึงไม่เป็นอันตรายต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาหนอนดื้อยา หากเกษตรกรใช้ไวรัสเอ็นพีวีอย่างต่อเนื่องในปริมาณที่เหมาะสมจะลดปริมาณการใช้สารลงได้ตามลำดับจนเหลือเพียงการฉีดพ่นเพื่อเฝ้าระวังการระบาดซ้ำ
“ปัจจุบันไบโอเทค สวทช. พัฒนากระบวนการผลิตไวรัสเอ็นพีวีในระดับอุตสาหกรรมจนประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว 4 ชนิด ประกอบด้วยไวรัสเอ็นพีวีสำหรับกำจัดหนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอฝ้าย และหนอนเจาะฝักถั่ว โดยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตไวรัสเอ็นพีวีชนิดสำหรับกำจัดหนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก และหนอนเจาะสมอฝ้ายให้แก่บริษัทเอกชนแล้ว 2 บริษัท ได้แก่ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด และบริษัทบีไบโอ จำกัด ส่วนไวรัสเอ็นพีวีสำหรับกำจัดหนอนเจาะฝักถั่วอยู่ในขั้นทดสอบภาคสนาม คาดว่าจะพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงต้นปี 2569”
3 ตัวอย่างความสำเร็จจากแปลงเกษตร
[caption id="attachment_75149" align="aligncenter" width="750"] สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
สัมฤทธิ์ เล่าว่า ที่ผ่านมาทีมวิจัยเคยนำชีวภัณฑ์ไวรัสเอ็นพีวีไปใช้ช่วยแก้ปัญหาหนอนดื้อยาให้แก่เกษตรกรแล้วหลายกลุ่ม ตัวอย่างแรก คือ ในปี 2562 ทีมวิจัยได้เข้าช่วยเหลือผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ในจังหวัดนครปฐมที่กำลังเผชิญปัญหาหนอนกระทู้หอม และหนอนกระทู้ผักบุกกัดกินดอกและใบจนแทบหมด ความเสียหายในครั้งนั้นร้ายแรงถึงขั้นทำให้ผู้ประกอบการแทบล้มละลาย
“เมื่อได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือ ทีมวิจัยได้ลงพื้นที่เพื่อช่วยวางแผนกำจัดหนอนศัตรูพืชให้แก่ผู้ประกอบการแต่ละรายทันที โดยติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงแผนไปจนกระทั่งปัญหาคลี่คลายและผลผลิตกลับมามีคุณภาพสูงอีกครั้งหนึ่ง
“ผลจากการลงพื้นที่ไปร่วมเผชิญทุกข์กับผู้ประกอบการในคราวนั้นไม่เพียงควบคุมศัตรูพืชได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ แต่ทีมวิจัยและเกษตรกรในพื้นที่ยังค้นพบสูตรสำเร็จในการวางแผนควบคุมการระบาดของหนอนอย่างยั่งยืนซึ่งนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่เพาะปลูกพืชชนิดอื่น ๆ ได้ด้วย”
อีกตัวอย่างความสำเร็จ คือ ในปี 2567 ทีมวิจัยได้นำชีวภัณฑ์ไวรัสเอ็นพีวีไปช่วยเหลือเจ้าของสวนดอกดาวเรืองในจังหวัดนครราชสีมาที่กำลังเผชิญปัญหาผลผลิตกว่าร้อยละ 60 โดนหนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย และหนอนกระทู้ผักกัดกินจนเสียหาย
สัมฤทธิ์ เล่าว่า เมื่อเจ้าของสวนที่กำลังเผชิญปัญหาติดต่อขอความช่วยเหลือเข้ามา คล้ายคลึงกับกรณีสวนกล้วยไม้ ทีมวิจัยจึงได้นำสูตรสำเร็จจากครั้งก่อนมาใช้วางแผนกำจัดหนอนให้ โดยหลังจากเจ้าของสวนดอกดาวเรืองดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามแผน ปริมาณหนอนในพื้นที่ก็ลดลงอย่างชัดเจนใน 2 สัปดาห์
“เจ้าของสวนเล่าให้ทีมวิจัยฟังว่าจากที่เคยต้องใช้สารเคมีอันตรายฉีดพ่นทุก 5–10 วัน มีต้นทุนสูงถึง 240 บาทต่อครั้งต่อไร่ ปัจจุบันเหลือเพียงการฉีดพ่นชีวภัณฑ์ชนิดนี้ทุก 7–10 วัน เพื่อควบคุมไม่ให้หนอนกลับมาระบาดซ้ำ ต้นทุนค่าชีวภัณฑ์อยู่ที่ 40 บาทต่อครั้งต่อไร่เท่านั้น”
นอกจากตัวอย่างการช่วยกอบกู้วิกฤตให้ผู้ประกอบการกลุ่มไม้ดอก ยังมีการใช้ประโยชน์เพื่อกอบกู้ผักเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
ช่วงกลางปีที่ผ่านมาผู้ผลิตหน่อไม้ฝรั่งในจังหวัดอำนาจเจริญรายหนึ่งได้ติดต่อมาหาทีมวิจัยด้วยปัญหาหนอนกระทู้หอมดื้อยาระบาดในพื้นที่ แต่ไม่สามารถใช้สารเคมีควบคุมการระบาดได้ ทีมวิจัยจึงเร่งวางแผนการกำจัดหนอนให้ทันทีและได้ผลลัพธ์ออกมาดีดังคาด ปัญหาหนอนระบาดคลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 เดือน โดยหลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤต ผู้ประกอบการได้สะท้อนให้ทีมวิจัยฟังว่า การนำชีวภัณฑ์ไวรัสเอ็นพีวีมาใช้งานไม่เพียงช่วยเรื่องการรักษาคุณภาพผลผลิต แต่ยังช่วยลดการใช้สารเคมี จึงควบคุมคุณภาพสินค้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานการส่งออกที่เข้มงวดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย
“การส่งออกสินค้าทางการเกษตรที่เป็นอาหาร กระบวนการผลิตและคุณภาพของสินค้าจะต้องผ่านทั้งมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (Good Agricultural Practices: GAP) มาตรฐานการตรวจสอบสารตกค้างสูงสุด (Maximum Residue Limits: MRLs) รวมไปถึงการออกใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) เพื่อยืนยันว่าสินค้านั้นปลอดภัยจากศัตรูพืชตามระเบียบข้อห้าม หากผู้ผลิตไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างเคร่งครัดก็อาจโดนปฏิเสธการนำเข้า ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่การผลิต และอาจกระทบไปถึงภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศได้” สัมฤทธิ์อธิบาย
จะเห็นได้ว่าไวรัสเอ็นพีวีไม่ได้เป็นเพียงชีวภัณฑ์ที่ช่วยกอบกู้วิกฤตหนอนศัตรูพืชทำลายผลผลิตทางการเกษตรเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการทำเกษตรอย่างปลอดภัยและยั่งยืน รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถด้านการส่งออกสินค้าการเกษตรไทย
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โรงงานต้นแบบผลิตไวรัสเอ็นพีวีเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3781 หรือฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3310
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และภาพจาก Shutterstock และ Adobe Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ENTEC สวทช. – สจล. ชุมพร ลงนามบันทึกข้อตกลงวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีพลังงาน
วันที่ 24 กันยายน 2568: ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ รศ. ดร.คำรณวิทย์ ทิพย์มณี รองอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ จังหวัดชุมพร ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา “โครงการบูรณาการองค์ความรู้เพื่อการศึกษา การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีพลังงาน” ผ่านระบบ VDO Conference (Webex) โดยมีคณะนักวิจัยและผู้บริหารของทั้งสองหน่วยงานเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน
สำหรับการลงนามในครั้งนี้ มุ่งส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการ การวิจัย และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ โดยเฉพาะด้านยานยนต์ไฟฟ้าและระบบที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจร ตั้งแต่ยานพาหนะไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ระบบขับเคลื่อน การจัดเก็บพลังงาน ระบบการชาร์จ การควบคุมอัจฉริยะ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชุมพรและจังหวัดใกล้เคียง ทั้งยังครอบคลุมถึงการพัฒนาศักยภาพนักศึกษาและบุคลากร ผ่านการจัดการเรียนการสอน การฝึกอบรมเชิงวิชาการ การฝึกงาน การศึกษาดูงาน การเรียนรู้แบบบูรณาการกับการทำงาน (Work-Integrated Learning) ผ่านสหกิจศึกษาและโครงงานวิศวกรรมขั้นสูง เพื่อเตรียมความพร้อมของกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน
ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเชื่อมโยงศักยภาพด้านวิชาการและงานวิจัยของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีพลังงานให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยจะไม่เพียงยกระดับศักยภาพของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ วิทยาเขตชุมพร และ ENTEC สวทช.เท่านั้น หากยังมุ่งสู่การพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมและพลังงานรุ่นใหม่ การขยายผลสู่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับพื้นที่และระดับประเทศ พร้อมเป็นต้นแบบในการขับเคลื่อนสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ให้การต้อนรับคณะข้าราชการระดับสูงจากมาเลเซีย
เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 Prof. Dr.Azmawani Abd Rahman, CEO Putra Business School พร้อมด้วย ดร.ธันยวัต สมใจทวีพร ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) นำคณะข้าราชการระดับสูงจากมาเลเซีย เข้าเยี่ยมชมสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารองค์กรระดับชาติและภาวะผู้นำ ภายใต้โครงการ Leadership Quest in a Global Immersion Experience ซึ่งจัดโดย Public Service Department และ Putra Business School ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต้อนรับ และ ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวแนะนำ สวทช. พร้อมด้วย ดร.ปริณนดา อินทรานนท์ ที่ปรึกษาอาวุโส ฝ่ายบริการนวัตกรรมและคีย์แอคเคานต์ สวทช. ร่วมแนะนำเกี่ยวกับอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ตลอดจนคณะนักวิจัย สวทช. ได้นำผลงานมาร่วมจัดแสดงนิทรรศการ อาทิ Eco-processing Enzyme, Lignin and Biomass Composite, OSSICURE Bone Graft, ชุดตรวจโรคใบด่างในมันสำปะหลัง และชุดตรวจโรคไต นอกจากนี้คณะฯ ยังเข้าเยี่ยมชมธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) และ บริษัท สยาม มอดิฟายด์ สตาร์ช จำกัด ซึ่งเป็นผู้เช่าสำคัญในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยอีกด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
เชิญชวนยื่นข้อเสนอโครงการจัดหาไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดเซลล์โฟโตวอลเทอิก (Photovoltaic Cell) แบบติดตั้งบนหลังคา
เชิญชวนยื่นข้อเสนอโครงการจัดหาไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดเซลล์โฟโตวอลเทอิก (Photovoltaic Cell) แบบติดตั้งบนหลังคา
สวทช. มีความประสงค์จะจัดหาไฟฟ้า จากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดเซลล์โฟโตวอลเทอิก (Photovoltaic Cell) แบบติดตั้งบนหลังคา ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยมีขอบเขตของงาน (Term of Reference: TOR) ปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย
ยื่นข้อเสนอโครงการ
ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568
เวลา 08.30 - 16.30 น.
ณ ฝ่ายพัสดุ ชั้น 1 อาคารสำนักงานกลาง สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย หรือจัดส่งเอกสารทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) ที่ฝ่ายพัสดุ ชั้น ๑ อาคารสำนักงานกลาง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เลขที่ 111 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120
หมายเหตุ
(วงเล็บมุมซอง "โครงการจัดหาไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดเซลล์โฟโตวอลเทอิก (Photovoltaic Cell) แบบติดตั้งบนหลังคา") โดย สวทช. จะยึดวันประทับตราไปรษณีย์เป็นหลัก เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นข้อเสนอโครงการแล้ว สวทช. จะไม่รับข้อเสนอโครงการดังกล่าว
ข้อมูลเพิ่มเติม:
https://drive.google.com/.../1FTSKgCKJeNKFq77XDvO.../view...
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 0 2564 7000 ต่อ 3139 (คุณวีระชัย)
Email: weerachai.wut@nstda.or.th
โทร. 0 2564 7000 ต่อ 1076 (คุณธีรวิสุทธิ์)
Email: tiravisut.ngo@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
Durian Trace ติดตามข้อมูลทุเรียนส่งออกจากไทยได้ง่าย ๆ แค่สแกน QR Code
ช่วงต้นปี 2568 ประเทศไทยต้องเผชิญแรงกดดันจากการส่งออกทุเรียนไปต่างประเทศ ทั้งการผลิตให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยตามที่ผู้นำเข้ากำหนด เช่น มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) มาตรฐานหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (GMP) มาตรฐานสุขอนามัยพืช นอกจากนี้ยังพบปัญหาลักลอบสวมสิทธิ์ทุเรียนไทยด้วยทุเรียนจากต่างประเทศที่ไม่ได้มาตรฐาน จนก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อประเทศไทย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘Durian Trace’ ระบบตรวจสอบย้อนกลับทุเรียนที่ส่งออกจากประเทศไทย โดยตรวจสอบข้อมูลได้ตั้งแต่สายพันธุ์ทุเรียน มาตรฐานความปลอดภัย ไปจนถึงคุณภาพการขนส่ง ซึ่งผู้บริโภคดูข้อมูลของทุเรียนแต่ละผลได้ง่าย ๆ เพียงใช้สมาร์ตโฟนสแกน QR Code ไม่ต้องติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติม
บันทึกตั้งแต่ ‘ล้ง’ ถึง ‘ปลายทาง’
[caption id="attachment_75159" align="aligncenter" width="450"] ดร.สุพร พงษ์นุ่มกุล หัวหน้าทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.สุพร พงษ์นุ่มกุล หัวหน้าทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ เนคเทค สวทช. เล่าว่า Durian Trace เป็นระบบตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) ที่ผ่านการออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นเกี่ยวกับคุณภาพของทุเรียนไทยให้แก่ผู้บริโภค โดยระบบนี้เป็นตัวช่วยให้ผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ใช้จัดเก็บข้อมูลสำคัญในรูปแบบดิจิทัล เช่น เลข GAP จากสวน ใบรับรอง GMP ของโรงคัดบรรจุ เอกสารสุขอนามัยพืช (e-Phyto) ได้สะดวก ซึ่งหลังจากบันทึกข้อมูลแล้วระบบจะสร้าง QR code สำหรับให้นำไปติดที่ก้านทุเรียนแต่ละผลเสมือนเป็นฉลากสินค้า
“ทีมวิจัยนำร่องทดสอบใช้ Durian Trace ติดตามสินค้าที่ส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขั้นตอนการส่งออก ผู้ส่งออกจะบันทึกข้อมูลการนำทุเรียนแต่ละลังเข้าตู้คอนเทนเนอร์ โดยข้อมูลทั้งหมดจะผ่านการจัดเก็บเข้าสู่ระบบคลาวด์ เพื่อให้ผู้ส่งออก ผู้ควบคุมการขนส่ง และผู้นำเข้า ใช้ติดตามข้อมูลการขนส่งทางบกได้แบบเรียลไทม์ ทั้งข้อมูลอุณหภูมิและความชื้นภายในตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงตำแหน่งการขนส่ง เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงทีหากเกิดข้อผิดพลาด
“เมื่อสินค้าไปถึงปลายทาง ผู้บริโภคสามารถสแกน QR code เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของทุเรียนที่ต้องการจะซื้อได้โดยไม่ต้องติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติม ดูรายละเอียดได้ทั้งสายพันธุ์ แหล่งเพาะปลูก สถานที่คัดบรรจุ มาตรฐานที่ได้รับรอง รวมถึงคุณภาพการขนส่ง”
[caption id="attachment_75163" align="aligncenter" width="750"] ระบบ Durian Trace แสดงข้อมูลสรุปเกี่ยวกับทุเรียนแต่ละผลและการขนส่ง[/caption]
[caption id="attachment_75162" align="aligncenter" width="550"] ข้อมูลเกี่ยวกับทุเรียนผลนั้น ๆ ที่ได้จากการสแกน QR Code (ภาษาจีน)[/caption]
[caption id="attachment_75161" align="aligncenter" width="550"] ข้อมูลเกี่ยวกับทุเรียนผลนั้น ๆ ที่ได้จากการสแกน QR Code (ภาษาอังกฤษ)[/caption]
ก้าวต่อไปของ Durian Trace
ดร.สุพร เล่าว่า ทีมวิจัยได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ทดสอบการใช้ระบบ Durian Trace ติดตามการส่งออกทุเรียนจำนวน 31 ตู้คอนเทนเนอร์เรียบร้อยแล้ว ผลการทดสอบพบว่าระบบช่วยลดภาระงานด้านการตรวจสอบคุณภาพสินค้าระหว่างการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคได้
อย่างไรก็ดีแม้ที่ผ่านมาจะเริ่มมีการนำระบบตรวจสอบย้อนกลับมาใช้กับผลผลิตทางการเกษตรบางประเภทแล้ว แต่สำหรับประเทศไทย Durian Trace ถือเป็นระบบแรกที่ติดตามการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนได้
[caption id="attachment_75166" align="aligncenter" width="700"] กิตติ พงศ์กิตติวัฒนา นักวิเคราะห์ งานบริหารโครงการยุทธศาสตร์ เนคเทค สวทช.[/caption]
กิตติ พงศ์กิตติวัฒนา นักวิเคราะห์ งานบริหารโครงการยุทธศาสตร์ เนคเทค สวทช. เล่าเสริมว่า จุดแข็งที่ทำให้ Durian Trace ติดตามข้อมูลแบบข้ามพรมแดนได้ มาจากการได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรและผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณการวิจัย ประกอบด้วยสำนักงบประมาณ, ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB), กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, GS1 Thailand, GS1 China และที่ขาดไม่ได้คือภาคเอกชนที่ร่วมทดสอบระบบนำร่อง
“อย่างไรก็ตามการจะขยายระบบให้ครอบคลุมการใช้งานทั้งประเทศยังต้องอาศัยนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งการส่งเสริมการใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับและการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงความสำคัญของระบบซึ่งจะมาช่วยสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับคุณภาพสินค้า และการทำให้ Durian Trace เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานได้สะดวก มีฟังก์ชันครอบคลุมความต้องการใช้งานยิ่งขึ้น”
Durian Trace เป็นเทคโนโลยีระบบตรวจสอบย้อนกลับที่ผ่านการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้ประยุกต์ใช้ได้กับการขนส่งผลผลิตทางการเกษตรที่หลากหลาย
[caption id="attachment_75167" align="aligncenter" width="450"] กรวัฒน์ พลเยี่ยม ทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ เนคเทค สวทช.[/caption]
กรวัฒน์ พลเยี่ยม ทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ เนคเทค สวทช. ยกตัวอย่างการนำระบบไปประยุกต์ใช้กับสินค้าที่ส่งออกไปไปยุโรป ภายใต้ระเบียบของสหภาพยุโรปว่าด้วยการป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Regulation) โดยสินค้าที่ประเทศไทยส่งออกและได้รับผลกระทบ เช่น ยางพารา ไม้ ปาล์มน้ำมัน โกโก้ กาแฟ ถั่วเหลือง เนื้อวัว
“การตรวจสอบย้อนกลับไปถึงถิ่นกำเนิดของสินค้าการเกษตรผ่านระบบระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์(geolocation) นอกจากช่วยระบุว่าตำแหน่งพื้นที่เพาะปลูกไม่ได้ทับซ้อนกับพื้นที่ป่า ยังใช้ประกอบการนำเสนอข้อมูลคุณค่าของสินค้าในมิติที่ลึกซึ้งขึ้นได้ด้วย เช่น สินค้าคุณภาพสูงที่ผลิตโดยการคำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สินค้าที่เกิดจากการสืบสานวัฒนธรรมของชุมชน ซึ่งล้วนช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าการเกษตรได้อย่างมีนัยสำคัญ”
จะเห็นได้ว่า Durian Trace ไม่ใช่เพียงแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์ทุเรียน แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ไทย และการสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสินค้าการเกษตรไทยในเวทีโลก
สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามเกี่ยวกับ Durian Trace และระบบตรวจสอบย้อนกลับ ติดต่อได้ที่ ดร.สุพร พงษ์นุ่มกุล อีเมล suporn.pongnumkul@nectec.or.th และคุณกิตติ พงศ์กิตติวัฒนา อีเมล kitti.pongkittiwattana@nectec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย เนคเทค สวทช. และภาพจาก Shutterstock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


