ผลการค้นหา :

เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ประกาศผลผู้ชนะ “การแข่งขันหุ่นยนต์ ไร้การบังคับอัจฉริยะ RoboInnovator Challenge 2022” ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ณ ลานกิจกรรม ชั้น 2 ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (Software Park Thailand: SWP) และ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) ประกาศผลโครงการ “การแข่งขันหุ่นยนต์ ไร้การบังคับอัจฉริยะ RoboInnovator Challenge 2022 By Software Park Thailand ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา โดยมีพลโท สมเกียรติ สัมพันธ์ เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.ภัทราวดี พลอยกิตติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย เข้าร่วมงาน
ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การแข่งขันนี้เป็นครั้งที่ 2 หลังจากการแข่งขันครั้งแรกในปี 2563 ที่ได้รับการตอบรับและเป็นการปลุกกระแสการแข่งขันหุ่นยนต์อัจฉริยะไร้การบังคับให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่ก้าวข้ามกฎ กติกาเดิมๆ ให้มีความท้าทายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโปรแกรมทำให้หุ่นยนต์เดินทางด้วยตัวเอง โดยต้องนำทางอย่างถูกต้อง ปลอดภัย ไปยังจุดหมายที่ต้องการ ไม่ชนอุปสรรค หรือสิ่งกีดขวางใดๆ อีกทั้งยังต้องส่งพัสดุให้ถูกต้องตรงตามโจทย์ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในโจทย์อุตสาหกรรมได้จริงต่อไป และเป็นก้าวเริ่มต้นของการพัฒนากำลังคนโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาสร้างนวัตกรรมนำประเทศต่อไป ซึ่ง สวทช. ไม่เพียงแค่ให้ความสำคัญต่อการวิจัยและพัฒนาแต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบุคลากรวิจัย การสร้างแรงบันดาลใจ และการพัฒนาทักษะเพิ่มเติม หรืออัพสกิล-รีสกิล ทั้งในภาครัฐและเอกชน
โดยในปีนี้มีทีมที่ผ่านเข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายจำนวน 13 ทีม จากผู้เข้าแข่งขัน 63 ทีมทั่วประเทศ และทีมที่คว้ารางวัลชนะเลิศ และได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมถึงโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล 50,000 บาท จำนวน 1 รางวัล ได้แก่ ทีมล้านนา จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายกัญจน์ นาคเอี่ยม นายคมสัน ทองบุญ นายเสกข์ ขอดแก้ว และนายนฤมิต ศรีเยาว์เรือน
ในส่วนของรางวัลรองชนะเลิศอันดับ1 ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล 20,000 บาท ผู้ชนะได้แก่ ทีม SIGMA จาก THE NINE ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายเจตนิพิฐ จตุรงคโชค และนายสุที เกิดจันอัด
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ2 ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล 10,000 บาท ผู้ชนะได้แก่ ทีม EasyKids-Jigsaw จาก ศูนย์การเรียนรู้ Easykids Robotics ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายภัคพล ปรีชาวนา นายอารถนนท์ จักรวาล และนายนายปภังกร นิรวัชร์สุวรรณ
รางวัล Best Technique ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล 5,000 บาท จำนวน 3 รางวัล ผู้ชนะได้แก่ ทีม KMIDS ZAA จาก โรงเรียนสาธิตนานาชาติสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายปุณโชติ แก้วสุวรรณ และนายสิรดนัย ตันไล้ ทีม SIGMA จาก THE NINE ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายเจตนิพิฐ จตุรงคโชค และนายสุที เกิดจันอัด และทีม SKR-CS ROBOT จากโรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล ผู้พัฒนาประกอบด้วย นางสาวเสาวลักษณ์ สุวรรณรงค์ นายโชติวัฒน์ แต้ศิริเวชช์ นายสกลรัฐ แซ่เตีย และนายชุติวัต วิสามารถ
รางวัล Best Performance ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล 5,000 บาท จำนวน 2 รางวัล ผู้ชนะได้แก่ ทีม CPK Sc. จาก โรงเรียนไชยปราการ ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายอนุรักษ์ ปาทา นายสิทธิโชค สุริยะวงค์ นายเจษรินทร์ ใจมาตุ่น และนายธนาชัย ศรีใส และทีม EasyKids-Jigsaw จาก ศูนย์การเรียนรู้ Easykids Robotics ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายภัคพล ปรีชาวนา นายอารถนนท์ จักรวาล และนายปภังกร นิรวัชร์สุวรรณ
และรางวัลสุดท้าย รางวัล Best Design ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล 5,000 บาท จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ ทีม EasyKids-Janjam จาก ศูนย์การเรียนรู้ Easykids Robotics ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายกันต์ กาญจนพิพัฒน์กุล นายพรศักดิ์ ลี นายธีรวุฒิ อินถา และนายดนุพัฒน์ ปานประดิษฐ์ และ ทีม SKJ Robot 02 จาก โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (จิรประวัติ) นครสวรรค์ ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายพฤกษา สิทธิไพศาล นางสาววันดี ศรีสุข นางสาวณัฐวรรณ แช่มสะอาด และนายวัฒนทร รักชนะงาม
การแข่งขัน RoboInnovator Challenge 2022 ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เปิดพื้นที่ให้กับเยาวชนไทยและผู้สนใจได้แสดงศักยภาพ อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจและปลูกฝังความเป็นนวัตกรให้กับเยาวชนรุ่นต่อไป นับเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนากำลังคนโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาสร้างนวัตกรรม ที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
/////////////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ยกระดับความเข้าใจและอัปเดตความคืบหน้าของการบังคับใช้กฎหมาย PDPA ใน 1 เดือนแรก พร้อมเวทีเสวนาถึงผลกระทบที่ภาคธุรกิจและประชาชนที่ได้รับ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย และบริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ จำกัด ร่วมจัดงานสัมมนาหัวข้อ "PDPA พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชน" เพื่ออัปเดตความคืบหน้าของการบังคับใช้กฎหมายใน 1 เดือนแรก และแนวทางการสร้างความเข้าใจให้ภาคธุรกิจและภาคประชาชน รวมไปถึงแผนการดำเนินงานในอนาคต พร้อมจัดเวทีเสวนาเพื่อตอบคำถามและสร้างความเข้าใจให้กับภาคธุรกิจและประชาชน ณ เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา
จากงานสัมมนาดังกล่าว ได้รับความสนใจจากภาคธุรกิจ ภาคประชาชน และภาครัฐ โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 150 ท่าน และภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. เป็นประธานเปิดงาน และได้แนะนำบริการพื้นที่ใหม่ของเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย อย่าง ARI Co-InnoSpace ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้มาทดลองใช้บริการพื้นที่ อีกทั้งรับบริการการเชื่อมโยงเทคโนโลยีสู่พาร์ทเนอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งยัง ได้รับเกียรติจาก ดร.สุนทรีย์ ส่งเสริม นักวิชาการคอมพิวเตอร์ชำนาญการ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มาอัปเดตความคืบหน้าของการบังคับใช้กฎหมาย PDPA ใน 1 เดือนแรก และแนวทางการสร้างความเข้าใจให้ภาคธุรกิจและภาคประชาชน รวมไปถึงแผนการดำเนินงานในอนาคต
นอกจากนี้ในงานมีเวทีเสวนาระหว่างตัวแทนจากภาครัฐผู้บังคับใช้กฎหมาย โดย พล.ต.ต.ปภัชเดช เกตุพันธ์ ผบก. กองบังคับการสนับสนุนทางเทคโนโลยี สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ อ.ปริญญา หอมเอนก ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย PDPA บริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ จำกัด ที่มาให้ความกระจ่างในแนวทางปฏิบัติเรื่อง PDPA ว่าเรื่องไหนคือเรื่องจริงหรือไม่จริงเกี่ยวกับบทลงโทษทางกฎหมาย PDPA และข้อผ่อนปรน และฝั่งตัวแทนภาคธุรกิจเอกชน โดยคุณยศกร ฟอลเล็ต บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด และคุณนิวัฒน์ กัณวเศรษฐ์ บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด มาร่วมแบ่งปันแนวทางปฏิบัติ ปัญหา และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยมี ดร.จริญญา จันทร์ปาน บริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา
สำหรับท่านที่สนใจในบริการทางด้านการพัฒนาบุคลากร หรือพัฒนาผู้ประกอบการ บริการพื้นที่ หรือกิจกรรมต่างๆ ของทางเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติม และติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook Fanpage: Software Park Thailand เว็บไซต์ swpark.or.th หรือ โทร. 02-583-9992 02-564-7000
ข่าวประชาสัมพันธ์

นักเรียนพิการทำได้ ทีม “ร.ร.โสตศึกษาจังหวัดนครปฐม” คว้าแชมป์ KidBright for Allโครงการสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัว ด้วยบอร์ด KidBright
วันที่ 2 กรกฎาคม 2565 ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จัดกิจกรรมประกาศรางวัล KidBright for All : โครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวด้วยบอร์ด KidBright ของนักเรียนพิการ ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการด้วยบอร์ด KidBright หรือบอร์ดสมองกลฝังตัว ผลงานวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เนคเทค-สวทช. โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ นางสาววันทนีย์ พันธชาติ กรรมการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ผู้แทนกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ สพฐ. คณะกรรมการตัดสิน ครูและนักเรียนพิการรวมกว่า 250 คนเข้าร่วมงาน
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า กิจกรรมประกาศรางวัล KidBright for All : โครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวด้วยบอร์ด KidBright ของนักเรียนพิการ เป็นความร่วมมือระหว่าง สวทช. มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และกองทุนส่งเสริมและพัฒนการศึกษาสำหรับคนพิการ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยการจัดกิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของกลุ่มนักเรียนพิการโดยเฉพาะ เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้มีโอกาสแสดงความสามารถและศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ ตลอดจนให้ครูและนักเรียนที่เข้าร่วมนำเสนอผลงาน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการจัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวซึ่งกันและกันระหว่างโรงเรียน โดยมีครูและนักเรียนพิการเข้าร่วมจำนวน 26 โรงเรียน และทาง สวทช. โดย เนคเทค เป็นผู้สนับสนุนบอร์ด KidBright ให้แก่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการขยายผล จำนวน 50 บอร์ดต่อโรงเรียน ทั้งนี้ได้นำหลักสูตรและกิจกรรมที่ดำเนินงานกับโรงเรียนนำร่องของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ มาใช้ในการอบรมให้ความรู้แก่ครูและนักเรียนพิการตั้งแต่การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน การใช้เซนเซอร์ต่าง ๆ และบอร์ดขยายความสามารถร่วมกับบอร์ด KidBright ไปจนถึงการจัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัว ซึ่งคณะครูที่เข้าร่วมอบรมได้นำความรู้ไปขยายผลจัดกิจกรรมการสอนโค้ดดิ้งด้วยบอร์ด KidBright ให้แก่นักเรียนที่โรงเรียนเพิ่มเติมในวงกว้างร่วมด้วย
นางกุลประภา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สังกัด สพฐ. เห็นความสำคัญของการส่งเสริมการเรียนการสอนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการ จึงสนับสนุนงบประมาณให้ สวทช. ดำเนินงาน “โครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการด้วยบอร์ด KidBright” ในการจัดอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ในการใช้งานบอร์ด KidBright ให้แก่ครูและนักเรียนพิการจากโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน และโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว ในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 26 โรงเรียน ซึ่งการแข่งขันตลอด 2 วัน ปรากฏว่า ทีมที่ชนะเลิศได้แก่ โครงงานการแจ้งเตือนความปลอดภัยจากภัยน้ำท่วมอุโมงค์ทางลอดด้วยระบบควบคุมอัจฉริยะ จากโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครปฐม รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ โครงงานระบบช่วยเหลืออัจฉริยะสำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ จาโรงเรียนโสตศึกษาทุ่งมหาเมฆ และรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ โครงงานระบบเตือนภัยการขับขี่จักรยานสำหรับคนพิการทางด้านการได้ยิน จากโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตามการจัดกิจกรรมครั้งนี้เป็นเวทีการประกวดโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัว เพื่อพัฒนาศักยภาพของครูและนักเรียนพิการจากโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 26 โรงเรียนในการนำความรู้ที่ได้รับจากการอบรมโค้ดดิ้งด้วยบอร์ด KidBright ร่วมกับการใช้กระบวนความคิดทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม มาพัฒนาโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวตามจินตนาการของตนเองหรือทีม โดยมีการวางแผนการสร้างโครงงานอย่างมีระบบและขั้นตอนให้ทำงานตามเป้าหมายจนได้ข้อสรุปหรือผลสรุปที่เป็นคำตอบในเรื่องนั้นๆ ซึ่งจะช่วยทำให้นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินสามารถเรียนรู้ได้ง่าย เกิดความเข้าใจจากภาพที่เห็นและสามารถต่อยอดที่จะไปเขียนโค้ดด้วยคำสั่งอื่นต่อไปได้
ศาตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญในการพัฒนาทักษะของนักเรียนพิการให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพในศตวรรษที่ 21 สามารถสร้างความรู้ ความเข้าใจและส่งเสริมทักษะขั้นพื้นฐานในการนำข้อมูลสื่อและเทคโนโลยีดิจิทัลไปสร้างนวัตกรรมอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเห็นได้จากผลงานที่นักเรียนและครูจากโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการ สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการเข้าร่วมอบรมมาพัฒนาโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวด้วยบอร์ด KidBright ได้อย่างน่าสนใจ
ทั้งนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเห็นความสำคัญในการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนทุกกลุ่ม รวมทั้งนักเรียนพิการให้เข้าถึงความรู้และเท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ ดังนั้นโครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการจึงเป็นอีกโครงการฯ ที่มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ได้ริเริ่มขึ้นในโรงเรียนนำร่องที่จัดการเรียนการสอนนักเรียน ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหวจาก 10 โรงเรียนเมื่อปี 2561 จนสามารถขยายผลการดำเนินงานไปยัง 26 โรงเรียนทั่วประเทศในปัจจุบัน ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินงานของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ที่ต้องการให้หน่วยงานต้นสังกัดได้ดำเนินการต่อยอด ขยายผลการดำเนินงาน ให้นักเรียนพิการได้มีโอกาสเรียนรู้โค้ดดิ้งเช่นเดียวกับเด็กทั่วไป
ด้าน นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้รับผิดชอบการจัดการศึกษาของประเทศ ให้ความสำคัญกับการศึกษาพิเศษ และตระหนักถึงความสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายโค้ดดิ้ง (Coding) ด้วยการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดแบบมีตรรกะ และมีระบบในการแก้ปัญหา สามารถวางแผนการจัดการอย่างเป็นขั้นตอนในการดำเนินชีวิต การจัดการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ หรือ Coding เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายที่จะทำให้ผู้บริหารสถานศึกษา คุณครู นักเรียนและผู้ปกครอง เข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน จึงมีความจำเป็นที่ต้องเริ่มพัฒนาการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับบริบทของผู้เรียนพิการต่อไป อย่างไรก็ตามเชื่อว่า Coding คือ ทางรอดของทุกวิกฤต โดยใช้ภาคการศึกษานำและใช้กลไกของกระทรวงศึกษาธิการในการขับเคลื่อนนโยบายอย่างต่อเนื่อง โดยหวังว่าเมื่อมีการเรียน Coding ในระดับที่สูงขึ้น จะสามารถสร้าง Platform ของประเทศไทยได้เองเพื่อสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ในที่สุด
“เราจะสร้างองค์ความรู้และปลูกฝัง Coding ให้กับประชาชนทุกภาคส่วน ซึ่งนโยบาย Coding For All ได้ถูกขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง นับว่าประสบความสำเร็จและมีความคืบหน้าไปอย่างมาก มีคณะทำงานและคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนในหลายภาคส่วนอย่างเป็นระบบ แม้จะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แต่ก็สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้อย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายที่ต้องการเร่งกระจายการเรียนรู้ Coding ไม่เฉพาะแต่ครูและนักเรียนเท่านั้น แต่ต้องกระจายไปสู่ทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ ทุกช่วงวัยให้ได้มากที่สุด รวมถึงการปูพื้นฐานการปฏิรูปการศึกษาไปถึงเด็กทุกคนโดยไร้ขอบเขต สร้างโอกาสเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้เด็กมีทักษะชีวิตที่ดี สามารถพึ่งตนเองได้ รวมถึงการอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข มีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี”
อย่างไรก็ตามกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ ยินดีให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมการเรียน Coding สำหรับนักเรียนพิการด้วยบอร์ด KidBright ในการจัดอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ด้าน Coding ผ่านการใช้งานบอร์ด KidBright ซึ่งเป็นบอร์ดสมองกลฝังตัว ผลงานวิจัยของสวทช. โดย เนคเทค ให้แก่ครูและนักเรียนพิการจากโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียน ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว ในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จำนวน 26 โรงเรียนต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

ไอแทป สวทช. สนับสนุนนวัตกรรม ‘DRAG KOOLER’ แผ่นเช็ดตัวสมุนไพร ตัวช่วยลดไข้เด็ก
อาการไข้ในเด็กเล็ก นับเป็นปัญหากลุ้มใจของพ่อแม่ โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี หากมีไข้สูงถึง 39-40°C
อาจทำให้เกิดการชักได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ลดไข้ของเด็กเพื่อป้องกันการเกิดภาวะชัก พ่อแม่ส่วนใหญ่ใช้วิธีการเช็ดตัวเด็ก ใช้เจลลดไข้ รวมถึงใช้ยาลดไข้ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง แต่ไม่เหมาะในเด็กเล็ก เพราะการได้รับสารเคมีบ่อยๆ ตั้งแต่เด็ก อาจทำให้เกิดผลเสียต่ออวัยะต่างๆได้ การใช้เจลลดไข้แปะที่หน้าผาก ช่วยได้ แต่ครอบคลุมพื้นที่ผิวได้เฉพาะจุด ส่วนการเช็ดตัวเด็ก เป็นวิธีการที่ได้ผลช้า แต่ก็มีความปลอดภัยสูง และต้องเตรียมอุปกรณ์เยอะ เปียกเลอะเทอะทั้งห้อง อีกทั้งไม่สะดวกในระหว่างการเดินทาง
นายดำเกิง ทองซ้อนกลีบ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กองหนุน จำกัด กล่าวว่า ตนเองได้เห็นช่องว่างทางการตลาด และความต้องการของผู้เป็นพ่อแม่ ซึ่งประสบกับตัวเองด้วย จึงเกิดแนวคิดที่จะพัฒนาแผ่นเช็ดตัวช่วยระบายความร้อนสำหรับลดไข้ในเด็กเล็ก หนึ่งแผ่นสามารถเช็ดตัวเด็กได้ทั่วร่างกาย สะดวกต่อการใช้ แม้ในขณะเดินทาง ก็สามารถใช้ได้ สะอาดและปลอดภัย สิ่งสำคัญคือ มีส่วนผสมของสมุนไพรที่ช่วยลดความร้อน ขยายรูขุมขนได้ และเนื่องจากสารที่ใช้เป็นสารที่ได้จากธรรมชาติทั้งหมด จึงมีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีโอกาสแพ้ได้ง่าย การได้ร่วมโครงการกับโปรแกรม ITAP สวทช. และทีมวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้ ‘DRAGKOOLER’ สินค้าของบริษัท ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี ทำให้บริษัท กองหนุน จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก สามารถเข้าถึงงานวิจัยและพัฒนาสินค้านวัตกรรม โดยมีผลการวิจัยทดสอบ ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในประสิทธิภาพให้ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในเด็กเพื่อให้มั่นใจในเรื่องของการระคายเคือง จึงได้ส่งทดสอบการระคายเคือง
ที่สถาบัน Dermscan Asia และได้ผลการผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ระคายเคืองต่อผิวเด็กอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ “DRAGKOOLER” ได้รับรางวัล Gold Medal ในสาขา Health/Medicine/Fitness จากงาน The 15th International Invention and Innovation Show INTARG® 2022 เมือง Katowice ประเทศโปแลนด์ เป็นงานนวัตกรรมระดับโลก มีผลงานนวัตกรรมเข้าร่วมประกวดกว่า 200 ผลงานจากทั่วโลก
ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้พัฒนา ‘DRAGKOOLER’ ผ้าเปียกสมุนไพร เช็ดตัวลดไข้ กล่าวว่า หัวใจของโจทย์วิจัยเรื่องนี้ คือ การคัดเลือกสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือด ขยายรูขุมขน เพื่อช่วยระบายความร้อน จึงเลือกใช้สารสกัดจากมะนาว (มีงานวิจัยที่แสดงว่า มะนาวสามารถลดอุณหภูมิได้ดีกว่าน้ำสะอาดถึง 2 เท่า) ไพล (ช่วยลดการอักเสบ) ใบย่านาง (มีฤทธิ์ขยายรูขุมขน) และ peppermint oil (ช่วยให้หายใจสะดวก และบรรเทาอาการคัดจมูก) ซึ่งผลการประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยในอาสาสมัคร ที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 37.6°C พบว่าแผ่นเช็ดตัวผสมสมุนไพร สามารถลดอุณหภูมิของร่างกายได้ดีกว่าผ้าชุบน้ำทั่วไป ลดอุณหภูมิได้ถึง 1.2°C (ผ้าชุบน้ำ ลดอุณหภูมิ ได้เพียง 0.7°C) หลังจากอาสาสมัครใช้แผ่นเช็ดตัวผสมสมุนไพรได้ 30 นาที อุณหภูมิร่างกายจะใกล้เคียงอุณหภูมิปกติ
“ความท้าทายในการพัฒนาสินค้าใหม่ ไม่ใช่เพียงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ของผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ต้องสร้างความแตกต่างและโอกาสทางธุรกิจด้วย ‘การวิจัย’ จึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างนวัตกรรม และการมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน จึงจะทำให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ใช่ และมั่นใจถึงความปลอดภัยของสินค้านั้นได้” ดร.พรอนงค์ กล่าวทิ้งท้าย
ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ITAP ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวเสริมว่า ITAP เป็นกลไกอันหนึ่งของภาครัฐที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ที่ยังมีข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีและการเลือกผู้เชี่ยวชาญที่ตรงกับโจทย์ความต้องการของตนเอง ITAP จะช่วยเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับผู้เชี่ยวชาญ ให้เกิดการนำเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมมาใช้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจ ผลงานการสนับสนุนบริษัทให้สามารถพัฒนานวัตกรรมใหม่‘แผ่นเช็ดตัวสมุนไพร’ เป็นหนึ่งตัวอย่างของการทำงานวิจัยร่วมกัน ระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับ บริษัท กองหนุน จำกัด ผลงานนี้ นอกจากจะการันตีด้วยรางวัล Gold Medal ยังตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัวที่มีบุตรเล็ก ทำให้ผลิตภัณฑ์ได้รับความสนใจจากลูกค้าสูงอย่างมาก หากผู้ประกอบการรายใดต้องการวิจัยและพัฒนา สามารถติดต่อ ITAP เบอร์โทร 02 564-7000 ต่อ ITAP.
ภาพเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “DRAGKOOLER” ในงาน Thailand Baby & Kids Best Buy ครั้งที่ 41
//////////////////////////////////////////////////////////////////
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. จับมือ สรพ. พัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข (2P Safety Tech)
30 มิ.ย. 2565 ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ร่วมกับ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) (สรพ.) ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข (2P Safety Tech) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมความปลอดภัยจากอุบัติการณ์ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงในโรงพยาบาลมาผสมผสานแก้ไขด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของแต่ละโรงพยาบาลให้ใช้ประโยชน์ได้จริง
ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) (สรพ.) พร้อมด้วย ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมเป็นประธานและลงนาม และ ดร.บรรจง จำปา รองผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) (สรพ.) คุณศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. (BIC) เป็นพยานในครั้งนี้
ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สรพ.และสวทช. ได้มีโครงการที่ร่วมมือกันในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรในโรงพยาบาล หรือ โครงการ 2P Safety Tech โดยเป็นโครงการที่ ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 แล้ว ซึ่งผลการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่า สามารถพัฒนานวัตกรรมต้นแบบที่แก้ปัญหาในโรงพยาบาล สามารถแก้ปัญหาหลายปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ พบว่ามีนวัตกรรมจำนวนหนึ่งที่จะมีการเตรียมขยายผลไปสู่หน่วยบริการสาธารณสุขอื่น ๆ จากความร่วมมือในการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรม ได้มีโรงพยาบาลที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการกว่า 78 โรงพยาบาลจากทั่วประเทศ เกิดต้นแบบนวัตกรรม 40 ต้นแบบ ใช้จริง 22 นวัตกรรม มีการขยายผลไปยังโรงพยาบาลอื่นๆ แล้ว 2 นวัตกรรม คือ นวัตกรรมที่พัฒนาร่วมกับโรงพยาบาลระยอง และ โรงพยาบาลหาดใหญ่ โดยนวัตกรรม Rapid Response Alert ของ รพ.หาดใหญ่ถูกกระทรวงสาธารณสุข นำไปใช้ในโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จ ของโครงการ 2P Safety Tech ที่สามารถพัฒนา นวัตกรรม ให้สามารถใช้งานได้จริง เพื่อนำไปสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรสาธารณสุขเพื่อให้บริการผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อจะมีการนำนวัตกรรมขยายไปใช้กับโรงพยาบาลอื่น ๆ นั้น สวทช. และ สรพ. ในฐานะผู้ร่วมกันพัฒนาโครงการ ได้ตระหนักถึงความจำเป็นในหลายด้าน มีการหารือและเข้าใจตรงกันว่าการนำเทคโนโลยีใช้ขยายผลอาจจะพบกับความท้าทายหลายประเด็น อาทิ การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา แนวทางการถ่ายทอดเทคโนโลยี ปัญหาด้านโครงสร้างของแต่ละหน่วยงานที่แตกต่างกัน เป็นต้น จึงเป็นวัตถุประสงค์หลักของการลงนามความร่วมมือกันอย่างเป็นทางการในครั้งนี้เพื่อที่จะมีการศึกษารูปแบบการพัฒนานวัตกรรม ทั้งด้านมาตรฐานความปลอดภัยของเทคโนโลยี ที่จะมีผลกระทบเชิงสาธารณสุข เรื่องการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา และรูปแบบวิธีการนำเทคโนโลยีต้นแบบไปใช้ในวงกว้างมากขึ้น ภายใต้แนวคิด 2P Safety Scale up รวมถึงการนำงานวิจัยที่ สวทช.มีอยู่มาร่วมกันถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับโรงพยาบาลที่มีความพร้อมรับถ่ายทอดเทคโนโลยี
พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) (สรพ.) กล่าวว่าสถาบันฯ มีบทบาทภารกิจสําคัญในการประเมินรับรอง ระบบงาน และรับรองคุณภาพสถานพยาบาลของสถานพยาบาล รวมทั้งกำหนดมาตรฐานของสถานพยาบาล เพื่อใช้เป็นแนว ทางการประเมินการพัฒนา และการรับรองคุณภาพของ สถานพยาบาล รวมทั้งรวบรวมข้อมูล ศึกษา วิเคราะห์ จัดให้มีการ วิจัยและจัดทําข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริม สนับสนุนและ พัฒนาคุณภาพให้สถานพยาบาลทั้งภาครัฐและภาคเอกชนใน ประเทศไทยผ่านการรับรองตามมาตรฐาน HA เพื่อให้ สถานพยาบาลมีมาตรฐานด้านการบริการดูแลรักษาผู้ป่วยให้มี ความปลอดภัยให้กับผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข และส่งเสริมให้เกิดกลไกในการพัฒนาระบบการให้บริการที่ดีมีคุณภาพและ มาตรฐานความปลอดภัยของสถานพยาบาลอย่างเป็นระบบ มีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในประเทศ หรือ ต่างประเทศ และภาคเอกชนที่ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาและการรับรอง คุณภาพสถานพยาบาล
พญ.ปิยวรรณ กล่าวเพิ่มว่า จากการดำเนินงานตามภารกิจของสถาบันฯ เพื่อให้เกิดระบบบริการที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย สถาบันฯ ได้เข้าร่วมกับองค์การอนามัยโลกในการขับเคลื่อนด้านความปลอดภัย ของผู้ป่วย จึงได้นำแนวทางมาเข้ามาขับเคลื่อนในประเทศไทย กำหนดเป็นนโยบายและส่งเสริมการดำเนินสู่การปฏิบัติ โดย กำหนดเพิ่มเติมด้านความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุข เป็น Patient and Personnel Safety หรือ 2P Safety ตั้งแต่ปี 2560 มีการ review patient safety goals เป็น Patient and Personnel หรือ 2P Safety Goals 2018 : SIMPLE 2 ประกาศใช้เมื่อปี 2561 ด้วยกลไกการขับเคลื่อนสำคัญภายใต้ แนวคิด “Quality and Safety+ Coverage and Access จนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน 2P Safety ระดับประเทศ มีการประเมินสถานการณ์ patient Safety ในประเทศไทย มีการพัฒนาระบบ National Reporting and Learning system ซึ่งมีโรงพยาบาลเข้าร่วมเป็นสมาชิก กว่า 855 แห่ง ในการเข้าร่วมเรียนรู้และรายงานอุบัติการณ์ในระบบ จากการเรียนรู้มีการนำข้อมูลจากอุบัติการณ์ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงในโรงพยาบาลที่เป็นจุด pain point ของโรงพยาบาล ที่เป็นปัญหาต่อการปฏิบัติงานที่อยากจะพัฒนาเพื่อลด Human error ในการปฏิบัติงาน จึงเป็นที่มา “2P Safety Tech" ซึ่งเป็นหนึ่งในงานสำคัญของการขับเคลื่อนงานเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข หรือ 2P Safety Hospital ที่ สรพ. และ BIC ได้ร่วมมือกัน ตั้งแต่ปี 2562 - จนถึงปัจจุบัน
ตลอดระยะเวลา 3 ปี มีนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นไม่น้อยกว่า 132 ผลงาน จากแนวคิด Human Factor Engineering เพื่อป้องกัน ความเสี่ยงตามแนวทาง SIMPLE สรพ.ได้เปิดรับสมัครทีม โรงพยาบาลที่สนใจจากโครงการ 2P Safety Hospital และ คัดเลือกมาเข้าแคมป์อบรมพัฒนานวัตกรรมเพื่อความปลอดภัย ส่งเสริมให้เกิดเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านความปลอดภัยของผู้ป่วย และบุคลากรสาธารณสุข โดยการจับคู่โรงพยาบาลกับนวัตกร Start Up ของ สวทช. เพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรม โดยมี รูปแบบการเคลื่อนงาน ภายใต้ 4C คือ Care : ด้านการดูแลรักษา , Change : นวัตกรรมด้านการเปลี่ยนแปลง, Collaboration : สร้างการมีส่วนร่วม, Call for Action : การออกแบบนวัตกรรมที่ กระตุ้นความสนใจ มีผลงานโดดเด่นได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่น แบ่งตามรูปแบบการพัฒนานวัตกรรม ผอ.สรพ. กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์

เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. จัดงานเสวนาทางด้านการลงทุนระดับโลก “World Business Angel Investor Week 2022” สร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
For English-version news, please visit : Thailand stands among 132 countries celebrating World Business Angel Investors Week 2022
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย จัดงานเสวนาทางด้านการลงทุนระดับโลก “World Business Angel Investor Week 2022” ภายใต้หัวข้อ “Business Transformation for Post-Pandemic economies” โดยความร่วมมือจาก World Business Angels Investment Forum (WBAF) และพันธมิตรมากกว่า 132 ประเทศทั่วโลก ที่มาแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Angel investment, Startup economy, Financial inclusion, Gender quality, Entrepreneurship และ Innovation ในรูปแบบออนไลน์ผ่าน Zoom Webinar ที่จัดตั้งแต่วันที่ 20-26 มิถุนายน 2565 ซึ่งเวทีประเทศไทย จัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 โดยมี ดร. ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน
ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) กล่าวในฐานะ Country chair WBAW ว่า Angel Investor มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ และระบบนิเวศของผู้ประกอบการเพราะสามารถช่วยให้เข้าถึงและอยู่ในตลาดได้โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ Angel Investor เป็นทั้งแหล่งเงินทุน ผู้ให้คำปรึกษาและสามารถแบ่งปันประสบการณ์ได้จากเครือข่ายที่มี ในส่วนของศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยีหน่วยงานภายใต้ สวทช. ทำหน้าที่สนับสนุนและดำเนินการวิจัย พัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนการให้บริการเทคโนโลยีแก่ภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งเข้าร่วม WBAF ตั้งแต่ปี 2020 สวทช. เป็นที่ตั้งของ Thailand Country office มีเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยการช่วยให้เข้าถึงแหล่งทุน การบ่มเพาะธุรกิจ ให้คำปรึกษา ในการทำธุรกิจช่วงเริ่มต้น ซึ่งทำงานร่วมกับองค์กรพันธมิตร เช่น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) มาอย่างต่อเนื่อง เมื่อหลายปีที่ผ่านมาได้มีบทบาทในส่วนของภาครัฐที่ช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจสตาร์ทอัพ โดยมีเป้าหมายคือการสร้างอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง เชื่อมต่อกับหลายแหล่งทุนและเครือข่าย Angel เช่น การจัด Pitching& Matching ระหว่าง สวทช.และ TBAN มีการส่งเสริมกิจกรรมของสตาร์ทอัพ หรือ NSTDA Acceleration Program เพื่อหา 24 บริษัท deep tech startup ที่โดดเด่น ด้วยการ pitching 3 กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี ได้แก่ เทคโนโลยีอาหาร เทคโนโลยี IOT และ เครื่องมือทางด้านสุขภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี ศูนย์ลงทุน (NSTDA Investment Center: NIC) ที่ทำหน้าที่ด้านการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมสังคมเศรษฐกิจ โดยการนำเทคโนโลยีไปใช้ในเชิงพาณิชย์ สวทช. ไม่เพียงสนับสนุนเงินทุนแต่มีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยีอีกด้วย
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ได้กล่าวถึง BCG Economy model ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย B ที่มาจากคำว่า Bioeconomy หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ มุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าให้แก่ ทรัพยากรชีวภาพ หรือผลผลิตทางการเกษตร เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง C มาจากคำว่า Circular Economy หรือ เศรษฐกิจหมุนเวียน ที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าที่สุด เพื่อลดปริมาณของเสียให้น้อยลงหรือเท่ากับศูนย์ และ G มาจากคำว่า Green Economy หรือ เศรษฐกิจสีเขียว คือ การพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งมุ่งเน้นใน 4 เรื่อง ได้แก่ 1.เกษตรและอาหาร 2.สุขภาพและการแพทย์ 3.วัสดุและพลังงาน และ 4.การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งคาดหวังผลกระทบใน 4 ประเด็น 1.สร้างความยั่งยืนให้กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2.ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม 3.เพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ 4.การพึ่งพาตนเอง โดยที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีริเริ่มโครงการและดำเนินงานในหลายส่วน เช่น การออกนโยบายสนับสนุนที่เกี่ยวกับ BCG และการลงทุน การออกระเบียบข้อบังคับเรื่องการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรม การสนับสนุนทางการตลาด และการลงทุนในโครงสร้างพื้นทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการสร้าง เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi ที่เป็นศูนย์กลาง นวัตกรรมแห่งใหม่ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยในหัวข้อสตาร์ทอัพนำพาบริษัทให้อยู่รอดทั้งก่อน ระหว่าง และหลัง COVID-19 ได้อย่างไร จาก คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ CEO and Co-Founder บริษัท Techsauce Media จำกัด โดย ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ที่ได้แบ่งปันประสบการณ์ในการทำ Business Transformation ซึ่งมี 3 ส่วนที่จะต้องพิจารณา ได้แก่ 1.mindset หรือทัศนคติของทีมงานที่ต้องพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ 2.skill set ทักษะหรือที่สิ่งทีมงานยังขาดและต้องเพิ่มเติม 3.เครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยจัดการระบบหลังบ้าน เช่น ระบบบัญชี การเงิน ให้อยู่ในรูปแบบของดิจิทัล และส่วนสำคัญที่มองข้ามไม่ได้คือเรื่องของแผนสำรองทางการเงินที่ดี ซึ่งมีตัวช่วยที่สำคัญคือ พาร์ทเนอร์หรือ นักลงทุน โดยการเข้าใจมุมมองและความสนใจของนักลงทุนจะต้องให้ประสบความสำเร็จในเรื่องของการหาพาร์ทเนอร์ได้
โดยในช่วงท้ายของงานยังมีเวทีเสวนาเรื่องมุมมองของภาครัฐในทิศทางการลงทุนและสนับสนุนสตาร์ทอัพในหัวข้อเส้นทางสู่การสนับสนุนสตาร์ทอัพ BCG ในประเทศไทย โดย คุณปริวรรต วงษ์สำราญ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) คุณยุทธนา ศรีสวัสดิ์ กรรมการและเหรัญญิก สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (TSTA) คุณเปรมปรีดี กิตติรัตน์ตระการ ผู้อำนวยการ สมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (TVCA) คุณนฤชา ฤชุพันธุ์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ได้มองว่าธุรกิจ BCG นั้นควรให้การส่งเสริม เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีทรัพยากรที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่หลากหลายอยู่แล้ว โดยที่ผ่านมาได้มีการร่วมมือกับ 8 หน่วยงานในเมืองไทย จัดงาน BCG Startup Investment Day เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับบริษัทสตาร์ทอัพในกลุ่ม BCG ได้มีการ pitching และเกิดการ Matching กันระหว่างบริษัทและกลุ่มนักลงทุน รวมถึงได้รับการสนับสนุนจาก BOI ด้วยเช่นกัน
ปิดท้ายด้วยการเสวนาเพื่อสร้างความเข้าใจมุมมองของนักลงทุน โดยคุณสุเมธ ลักษิตานนท์ นายกสมาคม TBAN คุณณัฐศักดิ์ โรจนพิเชฐ นพ.พูนศักดิ์ อาจอำนวยวิภาส และคุณเมธา จารัตนากร กรรมการสมาคม TBAN ที่ได้ให้แนวโน้มที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตรวมถึงทำให้บริษัทสตาร์ทอัพมีโอกาสที่จะเติบโตได้ในระยะยาวซึ่งนักลงทุนให้ความสนใจใน 3 เรื่อง ได้แก่ สุขภาพการแพทย์ การเกษตร และการท่องเที่ยวซึ่งเป็น 3 เรื่องสำคัญที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีการสัมภาษณ์พิเศษบริษัท ALTO TECH จำกัด โดยนายกสมาคมทีบานในมุมมองเกี่ยวกับกลยุทธ์และแนวคิดของ BCG สตาร์ทอัพที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงวิกฤตด้วย
//////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์

สตาร์ตอัป ReLIFE พัฒนากระจกตาชีวภาพ ความหวังเปลี่ยนกระจกตาไม่ต้องรอรับบริจาค
อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 (ท้ายบทความ)
ปัจจุบันมีผู้พิการทางสายตาทั่วโลกกว่า 10 ล้านคน กำลังเผชิญกับความยากลำบาก อันเนื่องมาจากการสูญเสียการมองเห็นด้วยอาการบาดเจ็บของกระจกตา หนทางเดียวในการรักษาคือการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา โดยอาศัยกระจกตาบริจาคจากผู้เสียชีวิต ทว่าผู้โชคดีที่จะได้รับโอกาสในการกลับมามองเห็นมีเพียง 15% เท่านั้น
เพื่อคืนแสงสว่างจากความมืดมิดให้แก่ผู้พิการทางสายตาจากโรคกระจกตา ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ นักวิจัยทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ไบโอเทค สวทช. และ CEO บริษัทรีไลฟ์ จำกัด (ReLIFe Co., Ltd.) หนึ่งใน NSTDA Startup ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนา “กระจกตาชีวภาพจากจากสเต็มเซลล์ (Stem Cell)” เพื่อใช้ทดแทนกระจกตาบริจาค และลดความเสี่ยงจากการใช้กระจกตาจากผู้อื่นหรือวัสดุเทียม
กระจกตาชีวภาพจากสเต็มเซลล์
จุดเริ่มต้นในการวิจัยและพัฒนากระจกตาชีวภาพจากสเต็มเซลล์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ยุคที่นักวิจัยเริ่มพัฒนาอวัยวะเทียมกันอย่างแพร่หลาย แต่มีนักวิจัยน้อยคนที่จะสนใจวิจัยและพัฒนากระจกตาเทียม เพราะเชื่อว่าเป็นอวัยวะที่รอรับบริจาคได้
[caption id="attachment_34126" align="aligncenter" width="550"] ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ นักวิจัยทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ไบโอเทค สวทช. และ CEO บริษัทรีไลฟ์ จำกัด (ReLIFe Co., Ltd.)[/caption]
ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ อธิบายว่า ตั้งแต่เริ่มต้นทำวิจัยเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ‘กระจกตาเทียม’ ยังคงเป็นที่ต้องการของหลายประเทศทั่วโลก เพราะในหลักการแล้ว แม้กระจกตาจะเป็นอวัยวะที่สามารถรับบริจาคได้ มีผลข้างเคียงต่ำ แต่ในทางปฏิบัติ การรับบริจาคเป็นเรื่องยากสำหรับประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการแพทย์ไม่พร้อม เนื่องจากกระจกตามีอายุสั้น หากมีการจัดเก็บจากผู้เสียชีวิตล่าช้าหรือจัดเก็บด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสมจะทำให้กระจกตาเสื่อมสภาพทันที และด้วยสาเหตุนี้แม้ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศจะไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนกระจกตา แต่ก็ไม่สามารถบริจาคไปช่วยเหลือประเทศที่มีความต้องการได้
[caption id="attachment_34122" align="aligncenter" width="650"] กระจกตา[/caption]
การพัฒนา “กระจกตาชีวภาพ” ได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของทีมวิจัย ที่ไม่เพียงเป็นความหวังสร้างชีวิตใหม่ให้แก่ผู้เฝ้ารอรับบริจาคกระจกตา แต่ยังเป็นโอกาสในการบุกเบิกสร้างสรรค์นวัตกรรมกระจกตาชีวภาพรายแรกของโลก
ดร.ข้าว อธิบายว่า ตามธรรมชาติกระจกตาของมนุษย์จะมีลักษณะเป็นเจลลีที่เหนียว แข็งแรง ทนทาน เนื่องจากต้องรับแรงดึงจากการกระพริบหรือกรอกตาตลอดเวลา ความแข็งแรงนี้มาจากโครงสร้างภายในที่มีลักษณะเป็นเส้นใยสานกันแน่นเป็นตาข่าย 300-500 ชั้น ในการออกแบบกระบวนการผลิตกระจกตาชีวภาพ ทีมวิจัยจึงพยายามเลียนแบบลักษณะและโครงสร้างภายในกระจกตาเพื่อให้มีลักษณะใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด
[caption id="attachment_34123" align="aligncenter" width="650"] Fiber-reinforced hydrogel[/caption]
[caption id="attachment_34124" align="aligncenter" width="650"] Fiber-reinforced hydrogel[/caption]
“ทีมวิจัยได้พัฒนากระจกตาให้มีลักษณะเป็นเจลลีเสริมแรงเส้นใย ‘Fiber-reinforced hydrogel’ ผ่านกระบวนการปั่นเส้นใยด้วยไฟฟ้าแรงสูง (Electrospinning) เพื่อนำเจลลี่ที่มีลักษณะเหมือนกับกระจกตาของมนุษย์มาใช้เป็นโครงเลี้ยงสเต็มเซลล์ สำหรับนำไปผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้แก่คนไข้ หลังจากทั้งโครงเลี้ยงเซลล์และ สเต็มเซลล์ เข้าไปยึดติดบนดวงตาของคนไข้แล้ว Stem cell จะค่อยๆ กินโครงเลี้ยงเซลล์เป็นอาหารจนหมด และเติบโตขึ้นมาใหม่เป็นเซลล์กระจกตาตามธรรมชาติที่ลักษณะเหมือนกับโครงเลี้ยงเซลล์ทุกประการ ทำให้มีความปลอดภัยไม่เกิดการต่อต้านจากร่างกาย”
การเปลี่ยนกระจกตาโดยใช้กระจกตาชีวภาพทำให้ผู้ป่วยได้ใช้กระจกตาที่ใสเหมือนกระจกตาของเด็กแรกเกิด แตกต่างจากกระจกตาที่รับบริจาคซึ่งมีความขุ่นมัวตามอายุการใช้งานของผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ทีมวิจัยยังออกแบบการผลิตให้ผลิตได้ทั้งแบบใช้งานทั่วไปและแบบจำเพาะกับลักษณะลูกตาของคนไข้ได้ เหตุผลเหล่านี้ถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่แม้แต่คนไข้ในประเทศที่มีกระจกตาบริจาคเพียงพอก็ยังไม่อาจปฏิเสธความสนใจในการใช้งานผลิตภัณฑ์นี้ได้
ดร.ข้าว เสริมว่า การวิจัยและพัฒนากระจกตาชีวภาพนี้นอกจากจะได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทีมวิจัยและผู้บริหารของไบโอเทค สวทช. แล้ว ยังได้รับการสนับสนุนด้านการเก็บเซลล์กระจกตา การทดสอบในสัตว์ รวมถึงการทดสอบในมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากอาจารย์และบุคลากรคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ปัจจุบันการทดสอบอยู่ในขั้นตอนทดสอบในสัตว์ทดลองโดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการทดลองในสัตว์ทดลองครั้งนี้จะประสบความสำเร็จด้วยดี และสามารถทดสอบในมนุษย์ได้ภายในปีหน้า
Spin off สู่ Start-up บริษัท ReLIFE
จากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ฝันอยากเป็น CEO จากวิศวกรทางการแพทย์คนหนึ่งที่ฝันอยากสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้คนไข้ได้ใช้ประโยชน์จริง เพื่อทำให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เขาก้าวข้ามทุกอุปสรรคจนประสบความสำเร็จขึ้นแท่นสู่การเป็นสตาร์ตอัป ในฐานะ CEO ของบริษัทรีไลฟ์ จำกัด ในปัจจุบัน
ดร.ข้าว เล่าว่า เมื่อตัดสินใจ Spin off ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการ และ ดร.นตพร จันทร์วราสุทธิ์ รองผู้อำนวยการ ไบโอเทค สวทช. ต่างให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ท่านทั้งสองเป็นผู้นัดหมายการนำเสนองานต่อนักลงทุนให้ ซึ่งผลตอบรับก็เป็นที่น่ายินดียิ่ง เพราะ ‘ผลงานการวิจัย’ และ ‘ตัวตนของทีมวิจัย’ มีศักยภาพและแรงดึงดูดมากพอที่คุณรักชัย เร่งสมบูรณ์ ผู้ก่อตั้งและผู้นำทีมวิศวกรรมบริษัทฟรุตต้า ไบโอเมด จำกัด จะร่วมลงทุนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน โดยบริษัทรีไลฟ์ จำกัด ได้รับทุนจดทะเบียนเริ่มต้นที่ 100 ล้านบาท สำหรับใช้สร้างโรงงานผลิตกระจกตาเทียมชีวภาพ
“สิ่งที่ทำให้คุณรักชัยเชื่อว่าเรามีศักยภาพมากพอ คือ เราทำให้เขาเห็นว่าผลงานนี้มีโอกาสทางธุรกิจมากขนาดไหน เป็นผลงานที่เป็น Blue ocean อย่างแท้จริง อีกสิ่งที่เราได้นำเสนอควบคู่กันไปแบบทางอ้อม คือ ตัวตนของเรา เราแสดงให้เขาเห็นถึงทัศนคติ ความมุ่งมั่นตั้งใจ ทักษะความสามารถในการบริหารงาน การทำธุรกิจ และการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ก้าวต่อไปของบริษัทหลังจากการทดลองในมนุษย์ซึ่งคาดว่าจะเกิดในอนาคตอันใกล้นี้หากประสบความสำเร็จ ก็จะมีการระดมทุนครั้งต่อไปทันที”
ปัจจุบันบริษัทรีไลฟ์ จำกัด เดินหน้าทำการวิจัย พัฒนา และทดสอบ แบบเต็มกำลังแล้ว “ผลงานนี้จะเปลี่ยนโลก มอบชีวิตใหม่ให้แก่คนหลักสิบล้านคน จากที่คนไข้ไทยเคยต้องรอ 3 ปี 5 ปี ผมสัญญาว่าจะทำให้ต้องรอไม่เกิน 1 เดือน จากที่คุณใช้ชีวิตยากลำบาก คุณจะต้องกลับมามองเห็นได้และใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม และผมสัญญาว่าผมจะทำให้คนไทยได้ใช้กระจกตาเทียมชีวภาพในราคาที่ถูกที่สุดครับ” ดร.ข้าว นักวิจัยไบโอเทค และ CEO บริษัทรีไลฟ์ จำกัด ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าประทับใจ
ผลงานกระจกตาชีวภาพจากบริษัทรีไลฟ์ จำกัด เป็นส่วนหนึ่งของผลงานจาก 9 บริษัทสตาร์ตอัปที่เปิดตัวในงานแถลงข่าว “สวทช. ขยายงานวิจัยสู่โมเดลธุรกิจใหม่ 9 ดีปเทคสตาร์ตอัป” เมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา ติดตามผลงานจากบริษัทอื่นๆ ได้ที่ https://www.nstda.or.th/home/news_post/pr-nstda-startup-2022/
อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 : ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาอยู่ในขั้นตอนการทดสอบในสัตว์ทดลอง
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์, ไบโอเทค สวทช. และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

คูโบต้า ผนึก เนคเทค สวทช. ขยายผลนวัตกรรมระบบจัดการน้ำ (HandySense) สู่ ‘คูโบต้าฟาร์ม’ พื้นที่สาธิตเทคโนโลยีด้านเกษตรสมัยใหม่
For English-version news, please visit : Precision farming solution HandySense to be showcased at KUBOTA Farm
(29 มิ.ย. 2565) ที่คูโบต้า ฟาร์ม อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี : ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะผู้อำนวยการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) พร้อมด้วย ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) โครงการพัฒนาพื้นที่สาธิตเทคโนโลยีด้านเกษตรสมัยใหม่ : ระบบจัดการน้ำ (HandySense) กับบริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด โดย นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด และนายรัชกฤต สงวนชีวิน ผู้จัดการฝ่าย Business Value Creation ในการศึกษาวิจัยและพัฒนาพื้นที่สาธิตการเกษตรสมัยใหม่ ผ่านการใช้ระบบ HandySense ระบบเกษตรอัจฉริยะควบคุมการเพาะปลูก บริเวณโซนเกษตรทฤษฎีใหม่ คูโบต้าฟาร์ม เพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้และถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ให้ถึงมือเกษตรกรและชุมชนโดยรอบ ภายใต้ความร่วมมือในการสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation, EECi) ณ คูโบต้าฟาร์ม จ.ชลบุรี
ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) กล่าวว่า สวทช. ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในการเป็นผู้จัดการโครงสร้างพื้นฐานวิจัยขยายผลรองรับอุตสาหกรรมใหม่ในพื้นที่ EEC ภายใต้ชื่อ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 ซึ่งมีความก้าวหน้าในการพัฒนาเมืองนวัตกรรมในพื้นที่ พร้อมเปิดให้บริการในปลายปีนี้ อย่างไรก็ตาม สวทช. เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่สาธิตเทคโนโลยีในพื้นที่ 3 จังหวัดในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เพื่อร่วมสร้างต้นแบบการเกษตรสมัยใหม่ โดยบริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด มีหลักการพัฒนาเทคโนโลยีและคิดค้นนวัตกรรมการเกษตร เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเครื่องจักรกลการเกษตรควบคู่กับการพัฒนาโซลูชั่นครบวงจร เพื่อสนับสนุนภาคเกษตรให้เป็น Smart Farm อีกทั้งยังได้พัฒนา “คูโบต้าฟาร์ม” ให้เกิดพื้นที่สร้างประสบการณ์การทำเกษตรสมัยใหม่ให้เกษตรกรและคนทั่วไปได้เข้าถึงทุกนวัตกรรมซึ่งถือเป็น Open Innovation Agricultural Farm ที่ใช้ได้จริง
อย่างไรก็ตามการร่วมมือทางวิชาการ ในโครงการพัฒนาพื้นที่สาธิตเทคโนโลยีด้านการเกษตรสมัยใหม่ ในพื้นที่คูโบต้าฟาร์มแห่งนี้ สวทช. มีการดำเนินงานโครงการ Smart Farm ร่วมคูโบต้าฟาร์มมาก่อนหน้าแล้ว คือ ระบบ Aqua IOT สำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และระบบ HandySense สำหรับการเพาะปลูก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของนักวิจัยเนคเทค สวทช. นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือด้านระบบโรงเรือนอัจฉริยะ ของสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ สวทช. อีกด้วย
“ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และบริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด นี้เป็นการบูรณาการจุดแข็งของทั้งสองฝ่าย เสริมสร้างศักยภาพในการขยายผลงานวิจัย พัฒนา สู่ภาคสนามการใช้ประโยชน์ในพื้นที่สาธิตขนาดใหญ่ สู่การใช้ประโยชน์ในเครือข่ายลูกค้า เครือข่ายเกษตรกร ผู้ประกอบการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร เพื่อการปรับแปลงเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับบริบทการใช้งานของภาคการเกษตรไทย นำไปสู่การขยายผลในด้านการตลาด ด้านอุตสาหกรรมเกษตร และด้านการพัฒนากำลังคน เพื่อให้พื้นที่สาธิตเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ ตอบโจทย์เป้าหมายร่วมกันในการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร และเสริมความเข้มแข็งของภาคการเกษตรของไทย” ดร.เจนกฤษณ์ กล่าว
นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า คูโบต้า เล็งเห็นว่า สวทช. เป็นหน่วยงานพันธมิตรที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมการเกษตรให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม จึงได้ร่วมมือกันในการสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi กระทั่งเกิดเป็นโครงการพัฒนาพื้นที่สาธิตเทคโนโลยีด้านเกษตรสมัยใหม่ : ระบบจัดการน้ำ HandySense โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาพื้นที่สาธิตการเกษตรสมัยใหม่และศึกษาวิจัยแนวทางและรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการเกษตรในรูปแบบต่างๆ ที่มีการประยุกต์ใช้เครื่องมืออุปกรณ์ IoT ที่เหมาะสม และมีเทคโนโลยีต้นแบบในอนาคตให้กับผู้ที่สนใจการทำเกษตรแบบ Smart Farming โดยมีการติดตั้งระบบ HandySense ณ บริเวณโซนเกษตรทฤษฎีใหม่ คูโบต้าฟาร์ม และเตรียมการขยายผลสู่เกษตรกรที่สนใจทั่วประเทศ
อย่างไรก็ดีที่ผ่านมา เราได้พัฒนาความร่วมมือกับสวทช. ในจัดทำพื้นที่ต้นแบบสาธิตการใช้เทคโนโลยี Smart Farming ในพื้นที่ คูโบต้าฟาร์ม แห่งนี้ เพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้เกษตรครบวงจรและสัมผัสการใช้งานเทคโนโลยีสมัยใหม่ผ่านประสบการณ์ตรง อีกทั้งส่งเสริมการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร และพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนให้พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน และมีความมั่นใจว่าความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนจะเป็นแรงขับเคลื่อนสาคัญในการพัฒนา Smart Farming ในประเทศไทยให้สามารถเกิดขึ้นจริง จากการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อยกระดับภาคการเกษตรของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับระบบเกษตรแม่นยำฟาร์มอัจฉริยะ (HandySense) เพื่อการเพาะปลูก ประกอบด้วยอุปกรณ์ตรวจวัดและควบคุมสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยต่อการเจริญเติบโตของพืช ด้วยการนำเทคโนโลยีเซนเซอร์ (sensor) ผนวกอุปกรณ์ไอโอที (Internet of Things) มาพร้อมกับความโดดเด่นคือ อุปกรณ์ใช้งานง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ในราคาที่เกษตรกรเข้าถึงได้ โดย HandySense จะตรวจวัดค่าสภาพแวดล้อมที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชผลแบบเรียลไทม์ผ่านเซนเซอร์ (sensor) ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ ความชื้นในดิน ความชื้นสัมพัทธ์ แสง และส่งต่อข้อมูลจากเซนเซอร์ผ่านระบบคลาวด์แล้วนำมาเปรียบเทียบกับค่าที่เหมาะสมของการเพาะปลูกพืช (Crop Requirement) เพื่อแจ้งเตือนและสั่งการระบบต่างๆ ให้ทำงานต่อไป มีการติดตั้งใช้งานไปแล้วมากกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ และประกาศเป็นเทคโนโลยีแบบเปิด (Open Innovation) เพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้กับแปลงเกษตรและเชิงพาณิชย์ได้แล้ว โดยไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ (License Fee) และค่าตอบแทนการใช้สิทธิรายปี (Royalty Fee) มุ่งหวังให้เกษตรกรไทยยุคใหม่ ได้มีเครื่องมือที่ทันสมัยใช้งาน ในราคาที่จับต้องได้ และต้องการให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือทางด้านสมาร์ตฟาร์มโดยผู้ประกอบการไทย
////////////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ร่วมกับ ม.มหิดล จัดพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา“โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ”
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมจัดพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา “โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่าง มหาวิทยาลัยมหิดล กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ” ในรูปแบบออนไลน์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์โปรแกรม Cisco Webex นำโดย ศ. นพ.บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัย มหิดล พร้อมด้วย ศ. นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รักษาการรองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้บริหารทั้งสองหน่วยงาน เข้าร่วมงานและเป็นสักขีพยานในพิธี
ศ. นพ.บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหิดล และ สวทช. มีแนวคิดในการสร้างความร่วมมือวิจัยเพื่อความเป็นเลิศ ผ่านการจัดตั้งกลไกการร่วมทุนวิจัยรูปแบบทวิภาคี (Bilateral collaboration) เพื่อสนับสนุนนักวิจัยที่มีศักยภาพให้สร้างสรรค์ผลงานวิจัยที่มีคุณภาพสูง เป็นประโยชน์ต่อประเทศในหลากหลายมิติร่วมกัน สนับสนุนการสร้างเครือข่ายการวิจัย เพื่อให้สามารถแสวงหาทุนวิจัยเพิ่มเติมจากแหล่งภายนอกได้ ความร่วมมือในครั้งนี้จะนำไปสู่การผลิตผลงานวิจัยคุณภาพสูง รวมทั้ง การส่งเสริมและผลิตบุคลากรวิจัยที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ นำไปสู่การพัฒนาประเทศชาติต่อไป
ศ. นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รักษาการรองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันการวิจัยจะ อยู่ในรูปแบบที่ต้องบูรณาการจากหลากหลายศาสตร์ และมีหัวข้อการวิจัยที่กว้างขวาง จำเป็นต้องมีความร่วมมือ จากหลายฝ่าย สวทช. มีบุคลากรวิจัยในหลากหลายสาขาจากศูนย์แห่งชาติต่าง ๆ และมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับสร้างองค์ความรู้ รองรับการขยายผลไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ และ/หรือสาธารณประโยชน์ เช่น ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ โรงงานต้นแบบ รวมทั้ง การบริหารงานด้านธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญา ผนวกกับการวิจัยที่เป็นจุดเด่นและจุดแข็งของมหาวิทยาลัยมหิดล เช่น การแพทย์ สาธารณสุข สังคมศาสตร์ ความร่วมมือในวันนี้จะเป็นการเติมเต็มและส่งเสริมความสามารถของทั้งสองหน่วยงานต่อไปในอนาคต
สวทช. จึงได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล จัดตั้ง “โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ” เพื่อสร้างนวัตกรรม เทคโนโลยี และองค์ความรู้ใหม่ อีกทั้งเป็นการสนับสนุน ส่งเสริมกลุ่มนักวิจัยของสองหน่วยงาน ให้ร่วมทำงานวิจัยซึ่งเป็นการขยายฐานความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาของทั้งสองหน่วยงานต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

โครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี (Success 2022) ประจำปี 2565
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ขอเชิญผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี (SUCCESS) เป็นโครงการที่ช่วยสนับสนุนและช่วยเหลือในการจัดโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจเทคโนโลยี โดยจัดให้มีการฝึกอบรมและให้คำปรึกษาด้านเทคนิคธุรกิจ กฎหมาย การตลาด การบริหารจัดการองค์กรและบุคลากรแบบ1 ต่อ 1 ตลอดถึงการสนับสนุนการออกตลาด หรือหาพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศสำ หรับผู้ประกอบการที่มีความพร้อม โดยโครงการฯเหมาะสำหรับผู้ประกอบกิจการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และผู้ประกอบการนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ชัดเจนในหมวด
Modern Agriculture
Sustainable Food & Ingredients
Biodiversity
Medicine & Biopharma-ceuticals
Medical Devices, Digital Health & Assistive Technology
Energy Innovation
Biochemicals & Biobased Materials
Digital Services & Smart Electronics
และหรือไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีอื่นๆ โดยในปีนี้นี้มุ่งเน้นไปที่ BCG ที่ต้องการเตรียมตัวสร้างรากฐานให้องค์กรธุรกิจให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และต้องการพันธมิตรเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ ต่อยอดความสำเร็จ และเรียนลัดจากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ และผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจแล้ว ภายใต้แนวคิดหลัก คือ แข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืนแบ่งกันรวยช่วยกันโต และพร้อมกับการรับโอกาสดีๆในชีวิต
ผู้สนใจสามารถสมัครมาได้ที่ https://forms.gle/YAn21YXoLXTuC2T16
ข้อมูลเพิ่มเติมของโครงการฯ -> Click
[pdf-embedder url="https://www.nstda.or.th/home/wp-content/uploads/2022/06/โครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี-ปี-2565.pdf" title="โครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ปี 2565"]
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถส่งมาที่อีเมล success@nstda.or.th
ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2565
หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการฯ สวทช.
คุณสกุลพัชร์ ธรลภัสวราพงศ์ (กระต) โทร 09 5269 5397 หรือ 02 564 7000 ต่อ 5015
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. ร่วมกับ ม.วลัยลักษณ์ เชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมงานประชุมโต๊ะกลม “เครือข่ายพันธมิตร ภารกิจ Research Integrity” แบบออนไลน์ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การทำงานด้าน Research Integrity
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จัดงานประชุมโต๊ะกลม “เครือข่ายพันธมิตร ภารกิจ Research Integrity” เพื่อ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ การทำงานด้าน Research Integrity ในหน่วยงาน หรือผู้รับผิดชอบที่ทำหน้าที่ใกล้เคียงกันของแต่ละสถาบัน เพื่อวางกลไกการป้องกันการประพฤติมิชอบทางการวิจัยของประชาคมวิจัยให้กับประเทศ และทิศทางการดำเนินงานร่วมกันในอนาคต
วันเวลา : วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 เวลา 13.00-16.00 น. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์โปรแกรม Cisco Webex
โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิให้เกียรติเข้าร่วมเสวนา ดังนี้
ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นพ.กิตติศักดิ์ กุลวิชิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศ.ดร.โสรัจจ์ หงส์ลดารมภ์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศ.ดร.สุภา หารหนองบัว คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
รศ.พญ.วีระนุช นิสภาธร สำนักวิชาสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
รศ.ดร.เดวิด เจมส์ ฮาร์ดิง สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
ลงทะเบียนเข้าร่วมทาง online ได้ที่ : https://forms.gle/uwp4iEvnuG87ShXf9
สอบถามเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ ฝ่ายส่งเสริมจริยธรรมการวิจัย สวทช.
โทรศัพท์ 02 5647000 ต่อ 71844 (คุณณัฐพัชร์)
E-mail : ori@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

JAXA เลือก 2 ไอเดีย ของเยาวชนไทย เตรียมทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ
เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2565 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น ประกาศผลการจัดแข่งขันโครงการ “Asian Try Zero-G 2022” โดย JAXA เลือกข้อเสนอแนวคิดการทดลองของเยาวชนไทย จำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ การทดลองเรื่อง การศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมเมื่อถูกแรงกระทำในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Water sphere disturbance in zero gravity) เสนอโดย นางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ (พรีม) นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และการทดลองเรื่อง การศึกษาระดับน้ำที่สูงขึ้นจากแรงดึงของผิวภาชนะในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Study of the height of water which is risen up in microgravity) เสนอโดย นางสาวอินทิราภรณ์ เชาว์ดี (ปาย) บัณฑิตจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อนำไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ โดยนักบินอวกาศญี่ปุ่น นายโคอิจิ วะกาตะ ในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้
[caption id="attachment_32924" align="aligncenter" width="500"] กุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สวทช. ร่วมกับ JAXA ดำเนินโครงการ Asian Try Zero-G 2022 เชิญชวนเหล่าเยาวชนไทยส่งแนวคิดการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำร่วมกับเยาวชนจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชีย โดยเปิดรับสมัครแบ่งเป็น 2 รุ่น คือ รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี มีผู้ส่งใบสมัคร จำนวน 154 เรื่อง ประกอบด้วยเยาวชน 378 คน และรุ่นอายุไม่เกิน 27 ปี มีผู้ส่งใบสมัคร จำนวน 18 เรื่อง ผู้สมัคร 51 คน รวมจำนวนใบสมัครทั้งสิ้น 172 เรื่อง และมีเยาวชนไทยเข้าร่วมโครงการจำนวน 429 คน ซึ่งเป็นจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
“คณะกรรมการ สวทช. ได้คัดเลือกแนวคิดการทดลองของเยาวชนไทยจำนวน 6 เรื่อง แบ่งเป็นรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี จำนวน 3 เรื่อง และรุ่นอายุไม่เกิน 27 ปี จำนวน 3 เรื่อง เพื่อส่งเข้าแข่งขันกับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยทาง JAXA ได้เลือกข้อเสนอการทดลองจาก 5 ประเทศ จำนวน 6 เรื่อง ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นการทดลองของเยาวชนไทยถึง 2 เรื่อง เพื่อนำไปทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ โดยนายโคอิจิ วะกาตะ (Koichi Wakata) นักบินอวกาศญี่ปุ่น ในห้องทดลอง Kibo Module ของ JAXA สำหรับการทดลองอีก 4 เรื่องเป็นของญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไต้หวัน ประเทศละ 1 เรื่อง”
นางกุลประภา กล่าวว่า “สำหรับแนวคิดการทดลองทั้ง 2 เรื่อง ที่ได้รับการคัดเลือกประกอบด้วย ไอเดียการทดลองของ นางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ (พรีม) นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เรื่องการศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมเมื่อถูกแรงกระทำในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Water sphere disturbance in zero gravity) มีไอเดียการทดลองว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าน้ำถูกแรงจากภายนอกกระทำ ซึ่งการทดลองแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการศึกษาพฤติกรรมของน้ำเมื่อได้รับแรงดลจากการชนของลูกบอลที่มีมวลแตกต่างกัน คือบอลไม้และบอลเหล็ก โดยการออกแรงผลักลูกบอลให้เคลื่อนที่มาชนกัน และส่วนที่ 2 เป็นการศึกษาการหมุนของลูกข่างกระดกบนผิวน้ำ ซึ่งลูกข่างกระดกเป็นลูกข่างที่ออกแบบให้จุดศูนย์กลางทางเรขาคณิตอยู่คนละจุดกับจุดศูนย์กลางมวลทำให้เมื่อหมุนไปสักระยะลูกข่างจะสามารถพลิกกลับด้านได้ จึงอยากรู้ว่าในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงผลจะเป็นอย่างไร”
[caption id="attachment_34074" align="aligncenter" width="600"] นางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ (พรีม) นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์[/caption]
“ไอเดียการทดลองที่ 2 ของนางสาวอินทิราภรณ์ เชาว์ดี (ปาย) บัณฑิตจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่องการศึกษาระดับน้ำที่สูงขึ้นจากแรงดึงของผิวภาชนะในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Study of the height of water which is risen up in microgravity) เป็นการทดลองที่เกิดจากความสนใจเกี่ยวกับการขนส่งของเหลวผ่านท่อในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง โดยตั้งสมมติฐานว่าเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีแรงโน้มถ่วงต่ำ เช่น ในระดับความสูงของสถานีอวกาศนานาชาติ จะส่งผลให้ของเหลวที่อยู่ในท่อสามารถขึ้นไปในระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับระดับความสูงของของเหลวที่ทำการทดลองบนพื้นโลกอยู่ 1.11 เท่า นอกจากนี้ยังมีการทดลองเปรียบเทียบขนาดรัศมีของท่อที่แตกต่างกันด้วยว่าจะส่งผลให้ระดับความสูงของของเหลวขึ้นไปตามท่อได้แตกต่างกันหรือไม่”
[caption id="attachment_34077" align="aligncenter" width="450"] นางสาวอินทิราภรณ์ เชาว์ดี (ปาย) บัณฑิตจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[/caption]
ทั้งนี้เยาวชนเจ้าของการทดลองจะมีโอกาสสื่อสารกับนักบินอวกาศแบบเรียลไทม์และรับชมถ่ายทอดสดการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติจากศูนย์อวกาศสึกุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนธันวาคมนี้
สามารถติดตามการทดลองโครงการ Asian Try Zero-G 2022 ได้ที่เพจ NSTDA Space Education Facebook: https://www.facebook.com/NSTDASpaceEducation
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ