ผลการค้นหา :
แมงกานีสเซ็นส์ (Mn Sense) ชุดตรวจไอออนแมงกานีสปนเปื้อนในแหล่งน้ำ นวัตกรรมนาโนเทคตอบโจทย์อุตสาหกรรมชุดตรวจ ทดแทนชุดตรวจนำเข้า ในราคาที่ถูกกว่า
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/mn-sense-manganese-ion-detection-test.html
แม้ไอออนแมงกานีส (Mn2+) เป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อร่างกายเมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสม แต่หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อการทำงานของไต และอาจทำให้เกิดโรคทางสมองในเด็กเล็ก รวมถึงส่งผลต่อสีและรสชาติของน้ำ นักวิจัยนาโนเทคจับมือเนคเทค สวทช. พัฒนา “แมงกานีสเซ็นส์ (Mn Sense)”ชุดตรวจไอออนแมงกานีสปนเปื้อนในแหล่งน้ำอย่างง่าย และรวดเร็ว สามารถตรวจได้แม้ความเข้มข้นต่ำ ทดสอบการภาคสนามพบประสิทธิภาพเทียบเคียงของนำเข้าในราคาถูกกว่า 3 เท่า สามารถบอกผลการวัดได้ทั้งการดูสีด้วยตาเปล่าและใช้ร่วมกับเครื่องอ่านสี ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในระดับภาคสนาม ผลักดันนวัตกรรมไทยทำใช้เองในประเทศ ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG
ดร.กันตพัฒน์ จันทร์แสนภักดิ์ หัวหน้าทีมพัฒนาสูตรน้ำยาตรวจวัดไอออนแมงกานีสจากทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “ผลงานวิจัยเรื่อง แมงกานีสเซ็นส์: ชุดตรวจแมงกานีสและเครื่องอ่านดูโออาย เป็นการทำงานร่วมกันของนาโนเทคและศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)โดยนาโนเทคได้พัฒนาน้ำยาตรวจวัดสูตรเฉพาะที่สามารถตรวจวัดไอออนแมงกานีสได้อย่างแม่นยำและจำเพาะ ในขณะที่เนคเทคช่วยพัฒนาเครื่องอ่านสีอัจฉริยะดูโออาย (DuoEye Reader) ที่สามารถระบุตำแหน่ง ส่ง วิเคราะห์ ประมวลผล และแสดงผลข้อมูลแบบออนไลน์ได้ซึ่งผลงานนี้ได้รับรางวัลเหรียญเงิน จากการประกวดในเวทีระดับนานาชาติ The International Trade Fair – Ideas, Inventions and New Products” (iENA2022) ณ เมืองนูเรมเบิร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี”
งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของ“โครงการวิจัยขนาดใหญ่ด้านการประเมินความปลอดภัยเคมีในน้ำประปา” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยมีการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ให้ความอนุเคราะห์สถานที่ในการทดสอบประสิทธิภาพในระดับภาคสนาม ด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญในการตรวจติดตามปริมาณแมงกานีส ซึ่งจะส่วนช่วยยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการและควบคุมคุณภาพการผลิตน้ำประปาของประเทศได้ โดยปริมาณของไอออนแมงกานีสตามมาตรฐานคุณภาพน้ำประปา การประปาส่วนภูมิภาค ต้องมีไม่เกิน 0.3 มิลลิกรัมต่อลิตร
“ปัจจุบันหน่วยงานรัฐบาล เช่น กปภ. มีการใช้งานชุดตรวจไอออนแมงกานีสเพื่อควบคุมคุณภาพน้ำประปาบริการประชาชน ทำให้ต้องมีการใช้งานชุดตรวจจำนวนมาก กปภ. เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงต้องการมีส่วนร่วมในการผลักดันให้ชุดตรวจไอออนแมงกานีสที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้น ถูกนำมาใช้งานภายในประเทศเพื่อลดการนำเข้า โดยจับมือกับนาโนเทค-เนคเทค สวทช. ร่วมสนับสนุนการพัฒนาต่อยอดผลงาน แมงกานีสเซ็นส์ (Mn Sense): ชุดตรวจแมงกานีสและเครื่องอ่านดูโออาย” ดร.กันตพัฒน์กล่าว
ชุดตรวจไอออนแมงกานีส หรือแมงกานีสเซ็นต์ อาศัยหลักการพัฒนาเซ็นเซอร์ระดับโมเลกุล ให้มีความเหมาะสมและจำเพาะเจาะจงในการจับกับไอออนแมงกานีสในน้ำ โดยเมื่อโมเลกุลดังกล่าวจับกับไอออนแมงกานีส จะเกิดการเปลี่ยนสีจากสารละลายใสไม่มีสี เป็นสารละลายสีส้มน้ำตาล ซึ่งแปรผันตรงกับปริมาณของไอออนแมงกานีสปนเปื้อนในน้ำ อย่างไรก็ตาม การสังเกตสีที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยตาเปล่าอาจทำได้ยาก ในแง่ของความแม่นยำและบอกผลเป็นตัวเลข จึงต้องใช้ร่วมกับเครื่องอ่านสีขนาดพกพา (DuoEye reader) ซึ่งพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยเนคเทค ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา เหมาะกับการพกพา และสามารถส่งข้อมูลการตรวจวัดเข้าระบบจัดเก็บข้อมูล (Cloud) ผ่านสัญญาณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wi-Fi) สามารถนำไปใช้ในระดับภาคสนามได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบัน ชุดตรวจแมงกานีสเซ็นต์ถูกนำไปทดสอบประสิทธิภาพในระดับภาคสนาม ณ สถานีผลิตน้ำศรีราชา (หนองค้อ) การประปาส่วนภูมิภาค สาขาศรีราชา จังหวัดชลบุรี รวมถึง สถานีผลิตน้ำการประปาส่วนภูมิภาคสาขาหาดใหญ่ (ชั้นพิเศษ) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และยังมีแผนที่จะนำไปทดสอบระดับภาคสนาม ณ สถานีผลิตน้ำ สาขาอื่น ของการประปาส่วนภูมิภาคต่อไป
“แมงกานีสเซ็นต์มีจุดเด่นที่เหมาะสำหรับการใช้งานแบบภาคสนาม ด้วยใช้งานง่ายภายใน 4 ขั้นตอน และตรวจวัดอย่างรวดเร็วภายใน 1 นาที รวมถึงสามารถตรวจวัดได้ทั้งในเชิงกึ่งคุณภาพ (Semi-qualitative analysis) ผ่านการสังเกตการเปลี่ยนสีของสารละลายหรืออ่านความเข้มข้นผ่านแถบสีมาตรฐาน และตรวจวัดในเชิงปริมาณ (Quantitative analysis) ผ่านเครื่องอ่านสีดูโออายที่สำคัญ ยังมีต้นทุนที่ถูกกว่าของนำเข้าถึง 3 เท่า” ดร.กันตพัฒน์กล่าว
จุดเด่นทั้งเรื่องประสิทธิภาพและต้นทุนนวัตกรรมของแมงกานีสเซ็นต์ สร้างโอกาสในการนำไปใช้ประโยชน์ทดแทนของนำเข้าจากต่างประเทศได้ โดยนอกเหนือจากกปภ. ซึ่งเป็นผู้ใช้งานแล้ว ผู้ผลิตน้ำอุโภคบริโภคในระดับอื่น ๆ เช่น ชุมชน หมู่บ้าน หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ยังสามารถนำไปใช้ได้รวมถึงตอบโจทย์ทางด้านสุขภาพและการแพทย์ของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่จะลดการนำเข้า และให้ความสำคัญกับนโยบายป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพด้านการแพทย์ (Preventive Medicine) อีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จับมือ EA เล็งจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา BCG Industry เสริมแกร่งระบบนิเวศวิจัยด้านพลังงาน
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-and-energy-absolute-to-establish-r-d-center-for-bcg-industry.html
(วันที่ 23 มกราคม 2566) : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาเพื่อนวัตกรรมเชิงอุตสาหกรรมเพื่อ Bio-Circular-Green Economy model
โดยมีศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงความยินดี พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ณ โถงชั้น 1 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (อาคารโยธี)
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า รู้สึกยินดีอย่างมากที่ได้ที่เป็นสักขีพยานในวันนี้ เพราะความร่วมมือของภาคเอกชนและ สวทช. ทำมาได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญถือเป็นการเปลี่ยนโมเดลของการทำวิจัยในประเทศไทยไปแบบก้าวกระโดด แม้ว่าที่ผ่านมาระบบวิจัยเราทำด้าน Supply ไปสู่ Demand ซึ่งส่วนใหญ่เราทำวิจัยระดับความพร้อมเทคโนโลยี (Technology Readiness Level : TRL) ตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นไปถึงการพัฒนาขั้นสุดท้ายของการสาธิตในสภาวะการทำงานเท่านั้น แต่ในระดับเทคโนโลยีส่งมอบผ่านการทดสอบสาธิตในสภาพการใช้งานจริงไปสู่อุตสาหกรรมนั้น ยังมีไม่มากเท่าที่ควร ดังนั้น EA ถือเป็นตัวอย่างในการร่วมวิจัย ที่เกิดจาก Demand ของบริษัทเอกชน และต้องการเข้ามาร่วมวิจัยสู่การใช้งานจริงในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ มากกว่าการทำวิชาการด้านเดียว และที่ดีใจเป็นพิเศษ คือ เกิดความร่วมมือของภาคเอกชนและภาครัฐอย่าง สวทช. ในการขับเคลื่อนภายใต้นโยบาย BCG Economy Model ซึ่งเป็นวาระประเทศและวาระของ APEC ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพที่ผ่านมาด้วย
อย่างไรก็ตาม กระทรวง อว. เป็นกระทรวงที่ทำงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและเทคโนโลยี ดังนั้นต้องนำส่วนที่ก้าวหน้าที่สุดด้านธุรกิจ มาเป็นภาคีในการทำงานร่วมกับองค์ความรู้ที่ กระทรวง อว.มีผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมแบบอุตสาหกรรมเป็นศูนย์กลาง (Industrial Centric) ให้กับบุคลากรทางด้านวิจัย และบุคลากรด้านอุตสาหกรรม สร้างนวัตกรรมที่มีความแตกต่างและเกิดเป็น National Product Champion ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดจากฐานเทคโนโลยีแนวหน้าของอุตสาหกรรม ให้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและทำให้ประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์ที่มาจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเสริมจุดแข็งให้ภาคอุตสาหกรรม ผลักดันให้ประเทศไทยขึ้นเป็นแนวหน้าในอาเซียนต่อไป
“การดำเนินงานวิจัยและพัฒนานั้น จะเกิดผลสำเร็จก็ต่อเมื่อผลผลิตจากห้องปฏิบัติการมีการนำไปใช้แล้วเกิดประโยชน์ เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อภาคเอกชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งการทำงานของ สวทช. เป็นการคิดค้นเทคโนโลยีนวัตกรรม เพื่อแก้ข้อจำกัด และเสริมจุดแข็งให้กับภาคเอกชนให้เกิดความแตกต่างและความได้เปรียบในการแข่งขันด้านธุรกิจ ตลอดจนช่วยให้อุตสาหกรรมก้าวผ่านข้อจำกัดได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ถือได้ว่าเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อดำเนินธุรกิจด้านพลังงาน และเป็นผู้เตรียมพร้อมด้านเทคโนโลยีพลังงานเพื่อรองรับบริบทของพลังงานที่เปลี่ยนไป เห็นได้ชัดก็คือการเปลี่ยนรูปแบบพลังงานมาเป็นพลังงานไฟฟ้า (Electrification) ที่มาจากพลังงานสะอาด สร้างอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และทางบริษัทฯ ยังได้เตรียมพร้อมโดยมีการตั้งโรงงานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เพื่อพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับใช้งานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันถือได้ว่าทางบริษัทฯ มีระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์ครบวงจร ตั้งแต่ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่เป็นแหล่งพลังงาน รวมถึงสถานีชาร์จประจุ ทำให้เกิด Economy of scale ขึ้น สามารถเป็นต้นแบบของการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมให้มีความแตกต่าง เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ประเทศไทยนั้นมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดี และมีแรงงานที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญเป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียน โดยเฉพาะการคมนาคมและขนส่ง โดยถือได้ว่าประเทศไทยมีห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ตั้งแต่ผลิตและส่งออกยานยนต์ไปตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ แต่ด้วยในปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมจึงต้องมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยมลพิษควบคู่กันไป
ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศไทยยังรักษาความแข็งแรงในระบบโครงสร้างพื้นฐานให้ดีต่อไป จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศไทย ให้มีผลผลิตจากการวิจัยและพัฒนาเป็น Nation’s Product Champion โดยไม่ใช่เพียงแค่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในด้านแบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวิจัยและพัฒนาด้าน Biochemical และผลิตภัณฑ์ด้านการแพทย์และสุขภาพต่อไป
“ความร่วมมือกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ที่จะเกิดขึ้นไปนับจากนี้ จะทำให้นักวิจัย สวทช. ได้ใช้ความเชี่ยวชาญที่มีดำเนินการวิจัยแก้ปัญหา และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับภาคอุตสาหกรรมได้เป็นเอกภาพมากขึ้น เกิดการแลกเปลี่ยนและเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลเชิงวิชาการและเชิงอุตสาหกรรมระหว่างกัน เพื่อนำไปสู่ Nation’s Product Champion ที่ออกสู่ตลาดได้และช่วยยกระดับการวิจัยพัฒนาแบบมุ่งเน้นผลลัพธ์ต่ออุตสาหกรรมไทยต่อไป”
นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า EA รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาเพื่อนวัตกรรมเชิงอุตสาหกรรมเพื่อ Bio-Circular-Green Economy model กับ สวทช. ทั้งนี้ EA มุ่งดำเนินธุรกิจ “Green Product” โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาด้านพลังงานสะอาด ที่จะช่วยสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้กับประเทศบนพื้นฐานความยั่งยืนให้เดินหน้าอย่างสมดุล ตามนโยบายภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Economy) ดังนั้นถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของ EA และ สวทช. ในการเตรียมความพร้อมจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา BCG Industry มุ่งเน้นผลลัพธ์เชิงอุตสาหกรรมในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG Model ได้แก่ 1. แบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า รถ-ราง-เรือ และโครงสร้างพื้นฐาน 2. ผลิตภัณฑ์ด้าน Biochemicals และ 3. ผลิตภัณฑ์ด้านการแพทย์และสุขภาพ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการร่วมกันวิจัยพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสร้างการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมด้านพลังงานอย่างครบวงจร
ข่าวประชาสัมพันธ์
แผ่นรองซับจากฟางข้าวและเหง้ามันสำปะหลังย่อยสลายได้ นวัตกรรมดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง
Tech: สุดเจ๋ง! กับนวัตกรรมฝีมือคนไทย “แผ่นรองซับผู้ป่วยติดเตียงจากฟางข้าวและเหง้ามันสำปะหลัง” ช่วยซึมซับของเหลวได้ดี ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง แถมย่อยสลายได้ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ทั้งยังช่วยเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยติดเตียง ผลงานนวัตกรรมร่วมจัดแสดงในงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ซึ่งจัดโดย สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรกว่า 40 หน่วยงาน
BIZ: #นวัตกรรมพร้อมต่อยอดธุรกิจ พัฒนาโดย 3 BECOME 1 กลุ่มผู้ประกอบการที่มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย บริษัทต้อม คาซาวา จำกัด บริษัทฟางไทย แฟคทอรี่ จำกัด และ PETSMILE ซึ่งผ่านการเข้าร่วมโครงการ GEF UNIDO Cleantech Programme for SMEs in Thailand โครงการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology) ให้แก่ผู้ประกอบการไทย ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ยังไม่มีจำหน่ายเชิงพาณิชย์ แต่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจใช้นวัตกรรมต่อยอดธุรกิจ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใช้ได้จริงที่ตอบโจทย์สังคมผู้สูงวัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อม ติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์มือถือ : 08-1762-8242 อีเมล์ : tom_casava@hotmail.com และเฟซบุ๊ก : TOM CASAVA
[caption id="attachment_39552" align="aligncenter" width="700"] พลอยฉัตรชนก วิริยาทรพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ต้อม คาซาวา จำกัด[/caption]
พลอยฉัตรชนก วิริยาทรพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ต้อม คาซาวา จำกัด เล่าว่า ประเทศไทยปลูกข้าวและมันสำปะหลังเป็นจำนวนมาก ทำให้มีเศษวัสดุอย่างฟางข้าวและเหง้ามันสำปะหลังเหลือทิ้งในปริมาณมาก จึงคิดหาวิธีเพิ่มมูลค่าให้เศษวัสดุทางการเกษตรเหล่านี้ เพื่อลดการเผาทำลายซึ่งก่อให้เกิดมลพิษและเป็นสาเหตุของฝุ่น PM2.5 สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อม และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงการดูแลผู้ป่วยติดเตียงมีความต้องการใช้แผ่นรองซับเป็นจำนวนมาก กลุ่ม 3 BECOME 1 จึงได้ทดลองนำฟางข้าวและเหง้ามันสำปะหลังมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์แผ่นรองซับสำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงที่ย่อยสลายได้ อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาขยะจากแผ่นรองซับทั่วไปในท้องตลาดที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ร่วมกับสภากาชาดไทยนำไปทดลองใช้กับผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงพบว่าได้ผลตอบรับดีมาก
จุดเด่นของแผ่นรองซับจากฟางข้าวและเหง้ามันสำปะหลัง คือทำจากเยื่อฟางข้าวบริสุทธิ์ซึ่งเป็นนวัตกรรมของบริษัทฟางไทย แฟคทอรี่ จำกัด และถ่านชาร์โคล (activated charcoal) คุณภาพสูงจากเหง้ามันสำปะหลังที่ผลิตด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาดที่คิดค้นพัฒนาโดยบริษัทต้อม คาซาวา จำกัด แผ่นรองซับที่ผลิตได้มีคุณสมบัติอุ้มน้ำและซึมซับของเหลวได้ดี ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง สามารถดูดซับกลิ่น สารพิษ รวมถึงเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดการอับชื้นและลดการเกิดแผลกดทับได้ดี ช่วยให้ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และที่สำคัญคือผลิตภัณฑ์สามารถย่อยสลายได้ทั้งหมดจึงไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่สามารถช่วยสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้แก่วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างตรงจุด ขณะเดียวกันทำให้คนไทยมีผลิตภัณฑ์ทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมในปัจจุบันทั้งด้านสาธารณสุขและด้านสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความยั่งยืนในสังคม
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
UCD ร่วมกับ สวทช. เปิดรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อรับทุนการศึกษาระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน (University College Dublin : UCD) สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ประจำปีการศึกษา 2566 (ค.ศ. 2023) *** โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน ***
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน (University College Dublin : UCD) สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ระดับปริญญาโท ปีการศึกษา 2566
(ค.ศ. 2023) หลักสูตรภาษาอังกฤษ จำนวน 2 ทุน ใน 2 สาขาวิชาคือ (1) College of Engineering and Architecture และ (2) College of Science โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ –14 เมษายน 2566 ศึกษาข้อมูลและวิธีสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/th/scholarship/ucd/
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทรศัพท์ 089 452 4244
(คุณเยาวลักษณ์) email : yaowalak@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เปิดรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อรับทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบแห่งสิงคโปร์ (Singapore University of Technology and Design : SUTD) สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประจำปีการศึกษา 2566 (ค.ศ. 2023) *** โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน ***
มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบแห่งสิงคโปร์ (Singapore University of Technology and Design : SUTD) สาธารณรัฐสิงคโปร์
ที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ระดับปริญญาเอก ปีการศึกษา 2566 (ค.ศ. 2023) หลักสูตรภาษาอังกฤษ จำนวน 3 ทุน ใน 4 สาขาวิชาคือ
(1) Engineering Product Development (EPD) (2) Engineering Systems and Design (ESD) (3) Information Systems Technology and Design (ISTD) และ (4) Science, Mathematics and Technology (SMT) โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 17 กุมภาพันธ์ 2566 ศึกษาข้อมูลและวิธีสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/th/scholarship/sutd/ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทรศัพท์ 089 452 4244 (คุณเยาวลักษณ์) email : yaowalak@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
XJTU ร่วมกับ สวทช. เปิดรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อรับทุนการศึกษาระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยซีอานเจียวทง (Xi’an Jiaotong University : XJTU) สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำปีการศึกษา 2566 (ค.ศ. 2023) *** โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน ***
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยซีอานเจียวทง (Xi'an Jiaotong University : XJTU) สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ระดับปริญญาโท ปีการศึกษา 2566
(ค.ศ. 2023) หลักสูตรภาษาอังกฤษ จำนวน 2 ทุน ใน 9 สาขาวิชาคือ (1) Mechanical Engineering (2) Power Engineering and Engineering Thermophysics (3) Electronic Science and Technology (4) Information and Communication Engineering (5) Control Science and Engineering (6) Computer Science and Technology (7) Materials Science and Engineering (8) Electrical Engineering และ (9) Management Science and Engineering โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 27 มกราคม 2566 ศึกษาข้อมูลและวิธีสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/th/scholarship/xjtu/ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทรศัพท์ 089 452 4244 (คุณเยาวลักษณ์) email : yaowalak@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. ชวนคนไทยเลือกใช้ ‘วัสดุและวิธีก่อสร้าง’ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำความเข้าใจได้ง่ายผ่าน ‘แบบจำลองอาคารสามมิติ’
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/3d-simulation-model-for-sustainable-construction.html
ทุกวันนี้ในท้องตลาดมีวัสดุก่อสร้างให้เลือกซื้อหลายรูปแบบ ทั้งวัสดุที่ผลิตจากทรัพยากรธรรมชาติ และวัสดุที่นำของเหลือหรือขยะจากภาคส่วนต่างๆ มาเป็นส่วนผสมในการผลิต แล้วเราในฐานะผู้บริโภคจะตัดสินใจเลือกใช้วัสดุอย่างไรให้เหมาะสมและคุ้มค่าทั้ง ‘อายุการใช้งาน’ และ ‘ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’
สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิจัยและพัฒนาการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและตัวเลขการหมุนเวียนของวัสดุก่อสร้าง ตามแนวคิดโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี โดยนำเสนอข้อมูลผ่านแบบจำลองสามมิติ (3D Simulation) ที่สะดวกและเข้าใจง่าย ภายใต้ทุนสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
[caption id="attachment_39527" align="aligncenter" width="700"] ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ นักวิจัย TIIS สวทช.[/caption]
ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ นักวิจัย TIIS สวทช. เล่าว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและสังคม เพราะเป็นรากฐานของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเติบโตของทุกอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงคือ อุตสาหกรรมนี้สามารถสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมสูงหากขาดการจัดการที่เหมาะสมจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง ผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมาก่อสร้าง รวมถึงผู้จัดการสิ่งรื้อถอน
“TIIS จึงร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมดังกล่าววิจัยและพัฒนา ‘ชุดข้อมูลการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและตัวเลขการหมุนเวียนของวัสดุก่อสร้าง’ โดยนำเกณฑ์ Material Circularity Indicator (MCI) ที่มีการคิดค้นและนำเสนอไว้โดย Ellen MacArthur Founder ซึ่งเหมาะแก่การใช้วิเคราะห์วัสดุก่อสร้างมาเป็นดัชนีในการประเมิน ตัวชี้วัดของดัชนีนี้มี 4 ด้าน คือ ปริมาณวัตถุดิบนำเข้าใหม่ วัตถุดิบเหลือทิ้ง วัตถุดิบรีไซเคิล รวมถึงการใช้งานและอายุการใช้งานของวัสดุ ทั้งนี้ค่า MCI จากการคำนวณจะแสดงเป็นตัวเลข 0-1 โดย 1 คือคะแนนเต็มหรือเป็นวัสดุที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสูง”
การทำวิจัยครั้งนี้ TIIS ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากผู้ผลิตรายใหญ่ของประเทศไทย ในการให้ข้อมูลกระบวนการการผลิตวัสดุก่อสร้างที่มีการใช้งานมากในปัจจุบัน โดย TIIS ได้ทำวิจัยวัสดุรวมทั้งสิ้น 13 ชนิด และเปิดเผยข้อมูลให้ทุกภาคส่วนใช้ประโยชน์แล้ว 5 ชนิด
ดร.นงนุช เล่าว่า การทำวิจัยในเฟสแรกเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ค่า MCI ของวัสดุหลักที่ใช้ในการก่อสร้าง 5 ชนิด คือ เหล็กเส้น คอนกรีตผสมเสร็จ ปูนซีเมนต์สำเร็จรูป ฉนวนกันความร้อน และแผ่นไม้อัด โดยได้จัดทำชุดข้อมูลเปรียบเทียบค่า MCI ของวัสดุที่ผลิตด้วยวัตถุดิบที่แตกต่างกัน เช่น เหล็กเส้นที่ใช้วัตถุดิบธรรมชาติกับเหล็กเส้นที่ใช้เศษเหล็กเป็นวัตถุดิบหลัก ก่อนนำข้อมูลมานำเสนอผ่านแบบจำลองอาคารสามมิติ (ไม่รองรับการใช้งานผ่านสมาร์ตโฟน) เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่างๆ เห็นภาพการใช้งานวัสดุก่อสร้างชนิดนั้นๆ ว่ามีการใช้งานที่ส่วนใดของอาคารและมีค่า MCI เท่าไหร่ ซึ่งจะช่วยให้การตัดสินใจเลือกใช้วัสดุทำได้ง่ายและคุ้มค่ายิ่งขึ้น (ค่า MCI จะนำเสนอเป็นค่ากลาง ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเฉพาะของแต่ละแบรนด์) ซึ่งปัจจุบันประชาชนสามารถเข้าชมข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ www.nstda-tiis.or.th/3d-mci-bm (ไม่รองรับการใช้งานผ่านสมาร์ตโฟน)
“ขณะนี้ทีมวิจัยกำลังเร่งดำเนินงานในเฟสที่ 2 และเตรียมนำเสนอข้อมูลการวิเคราะห์ค่า MCI ของวัสดุเพิ่มอีก 8 ชนิด ประกอบด้วยอิฐ กระเบื้องปูพื้น วัสดุปิดผนัง ฝ้าเพดาน ประตูและหน้าต่าง ท่อประปา สุขภัณฑ์ และหลังคา ซึ่งในอนาคตการวิจัยค่า MCI ของวัสดุก่อสร้างจะยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดย TIIS และผู้ประกอบการจะร่วมกันปรับปรุงข้อมูล MCI ของวัสดุทุกชนิดให้เป็นปัจจุบันตลอดทุกปี (เปิดรับข้อมูลจากทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรม) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แสดงถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงค่าความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของวัสดุก่อสร้างที่มีการใช้งานในประเทศไทย”
นอกจากการพัฒนาค่า MCI ของวัสดุก่อสร้างแล้ว TIIS ยังได้ร่วมกับสถาบันการศึกษา อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี รวมถึงภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง วิจัยและพัฒนาการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ดร.นงนุช เล่าว่า TIIS และหน่วยงานพันธมิตรได้ร่วมกันวิจัย ‘ดัชนีชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อม’ เพื่อดูว่าการก่อสร้างในแต่ละรูปแบบของทั้ง ‘อาคารที่ก่อสร้างแบบดั้งเดิม (Conventional construction) ซึ่งเป็นระบบเปียก (Wet process) หรือการก่อสร้างทุกขั้นตอนที่สถานที่ตั้งอาคาร และ ‘อาคารที่ก่อสร้างแบบสำเร็จรูป (Modular construction)’ หรือการก่อสร้างโดยนำชิ้นส่วนสำเร็จรูปมาประกอบ มี ‘ดัชนีชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อม’ ที่ประกอบด้วย ค่าการหมุนเวียนของอาคาร (Building circular indicator: BCI) ต้นทุนวัฏจักรชีวิตหรือต้นทุนที่เกิดขึ้นตั้งแต่การก่อสร้างจนถึงสิ้นสุดอายุการใช้งาน (LCC) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกของการก่อสร้างอาคาร (GHG) และปริมาณขยะก่อสร้างและรื้อถอน (CDW) เท่าไหร่บ้าง โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกวิธีการก่อสร้างและวัสดุต่างๆ เพื่อให้ระบบคำนวณค่า BCI, LCC, GHG และ CDW โดยอัตโนมัติได้
“ทั้งนี้ค่า BCI จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการตัดสินใจออกแบบก่อสร้าง เพราะแม้การเลือกใช้วัสดุที่ผลิตจากวัตถุดิบรีไซเคิลหรือการก่อสร้างแบบสำเร็จรูปอาจมีราคาค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า เป็นผลมาจากการผลิตและก่อสร้างต้องอาศัยเทคโนโลยีเฉพาะทางในการดำเนินงาน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตลอดอายุการใช้งาน รวมถึงค่าความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว จะเห็นได้ถึงความคุ้มค่าในระยะยาวและความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมที่มากกว่า ซึ่งการวางแผนก่อสร้างอย่างรอบคอบจะช่วยลดปัญหาเรื่องขยะก่อสร้างและรื้อถอนที่ปัจจุบันไทยยังขาดแนวทางการจัดการให้สามารถหมุนเวียนวัสดุกลับมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้คาดว่าจะเผยแพร่แบบจำลองอาคารสามมิติเพื่อแสดงค่า BCI รวมถึงค่า MCI ของวัสดุก่อสร้างทั้ง 13 ชนิดได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้”
การจัดทำข้อมูลทั้งค่า MCI ของวัสดุก่อสร้าง และค่า BCI นับเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ทั้งผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมาก่อสร้าง และผู้ว่าจ้างในการก่อสร้าง ในการร่วมกันลดการสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี นอกจากนี้ TIIS ยังเปิดให้บริการการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน โดยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อได้ที่ www.nstda-tiis.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย TIIS สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 8 ฉบับที่ 9 ประจำเดือนธันวาคม 2565
ข่าว
นาโนเทค สวทช. คว้า 2 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง พร้อมกวาด 3 รางวัลพิเศษจากเวที iENA 2022
สวทช. รับโล่เกียรติคุณหน่วยงานผู้สนับสนุนประชาสัมพันธ์การจัดงาน InfoComm Southeast Asia 2022 (IFSEA 2022)
ไบโอเทค สวทช. ยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียว ด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง (BCG-Naga Belt Road)
สวทช.ประกาศรางวัล TechBiz Starter Funds มอบทุน 10 ผลงาน ด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมจากผู้ประกอบการหน้าใหม่
LANTA ติดอันดับที่ 70 ของโลก และเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียนของการจัดลำดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงสุดของโลก
สวทช.-APSA และหน่วยงานพันธมิตร จัดงานประชุมเมล็ดพันธุ์พืชแห่งเอเชีย ประจำปี 2022
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดกลุ่มอาคารสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สวทช. นำ EECi ผนึก อบจ.ระยอง เสริมแกร่งชุมชนด้วยวิทย์และนวัตกรรม
สวทช. จัดงานเสวนา “นวัตกรรมแบตเตอรี่ยุคใหม่เพื่ออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next generation battery technologies powering the future industries)”
สวทช. เปิดบ้านต้อนรับคณะสมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชีย
กพร. จับมือ เอ็มเทค สวทช. โชว์ผลสำเร็จการต่อยอดธุรกิจ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (CE Design Solution in Practice) เพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการไทย สร้างสังคมคาร์บอนต่ำที่ยั่งยืน
คณะผู้บริหาร สวทช. ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
กทม. ผนึก สวทช. ดึงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตคนกรุงฯ
สวทช. ร่วม ธ.ก.ส. ปั้น New Gen Smart Farmer และ Young Smart Farmer เสริมแกร่งเกษตรกรไทย สู่โอกาสเติบโตทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
สวทช. คว้า รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance)
บทความ
‘ปิกนิก เทเบิล’ เฟอร์นิเจอร์ไม้สักสุดคูล คิด-ออกแบบ ตามแนวคิด Circular Economy
Download เอกสารฉบับเต็ม (20.7MB)
จดหมายข่าว สวทช.
NSTDA Meets the Press ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ปักธง ‘สวทช. ยุค 6.0’ นำพลังวิจัย รับใช้สังคม
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-president-unveils-nstda-6-0-policy.html
(วันที่ 18 มกราคม 2566) ณ โถงชั้น 1 สวทช. อาคารโยธี ถ.พระรามที่ 6 กรุงเทพฯ: ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงข่าวเปิดนโยบายทิศทางการบริหาร “สวทช. ยุค 6.0” โดยตั้งเป้าขับเคลื่อน สวทช. เป็นดั่ง “ขุมพลังหลักด้านการวิจัย” ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พร้อมผนึกกำลังหน่วยงานพันธมิตรพัฒนา “ระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม” ให้เข้มแข็ง เพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยสู่การใช้งานจริง ตอบโจทย์สำคัญของชาติ สร้างผลกระทบต่อประชาชนและสังคมหมู่มาก นำพาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศที่ก่อตั้งมากว่า 30 ปี ตั้งอยู่ในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย นิคมวิจัยที่มีความสำคัญและขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีบุคลากรที่เป็นนักวิจัยระดับปริญญาเอกมากกว่า 700 คน ถือว่ามากที่สุดในประเทศ และมีความเชี่ยวชาญครอบคลุม 5 สาขาวิจัยหลัก ที่เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศ ได้แก่ 1) วิทยาศาสตร์ชีวภาพและเทคโนโลยี 2) เทคโนโลยีวัสดุศาสตร์และวิศวกรรม 3) เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศ 4) นาโนศาสตร์และนาโนเทคโนโลยี และ 5) เทคโนโลยีพลังงาน
“นอกจากในด้านกำลังคน สวทช. ยังมีเครื่องมือ และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีระดับสูงทั้งในด้านการวิจัยและคุณภาพ รวมถึงเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ที่พร้อมรองรับการขยายผลงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์และสาธารณประโยชน์ เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางนิเวศนวัตกรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร และพร้อมเป็นฐานสู่การสร้างงานวิจัยขั้นแนวหน้า (Frontier Research) ที่มีคุณภาพเทียบเท่าระดับนานาชาติ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ”
ปรับกระบวนทัพสร้าง ‘ขุมพลังหลักด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศ’
สำหรับทิศทางการบริหาร สวทช. ยุค 6.0 ผู้อำนวยการ สวทช. เผยว่า ได้ปรับวิสัยทัศน์องค์กรครั้งใหม่ โดยมุ่งเป้าขับเคลื่อน สวทช. เป็น “ขุมพลังหลักของประเทศ” ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของรัฐและเอกชน ชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานวิจัยระดับประเทศ ดังนั้นเป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร คือ การจัดกระบวนทัพนำความรู้ เครื่องมือ และความเชี่ยวชาญที่บ่มเพาะมานานกว่า 30 ปี มาสร้างกระบวนการวิจัยและกลไกที่จะนำไปสู่การใช้ประโยชน์จริง เพื่อแก้ปัญหาที่เป็นโจทย์สำคัญเร่งด่วนของประเทศ ปัญหาของภาคอุตสาหกรรม และที่สำคัญคือประชาชนและชุมชนต้องเข้าถึงงานวิจัยที่ใช้ได้จริง ซึ่งหากทำได้สำเร็จอย่างต่อเนื่องจะทำให้ประเทศไทยมีระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมที่เข้มแข็ง ช่วยให้ทุกภาคส่วนได้ใช้ประโยชน์และเห็นความสำคัญของการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจชาติให้ก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง
“สวทช. มุ่งมั่นสร้างผลงานด้าน วทน. ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริงจนก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย” คือ 1. เกษตรและอาหาร 2. สุขภาพและการแพทย์ 3. พลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ และ 4. เศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐานในการพัฒนา เน้นดำเนินงานการพัฒนาภายใต้ โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Model) และแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Strategy)”
สร้างกลยุทธ์ NSTDA Core Business นำพลังวิจัย รับใช้สังคม
ด้วยปัญหาคอขวดที่งานวิจัยของประเทศไทยจำนวนมากยังไม่สามารถผลักดันไปสู่การใช้จริงในภาคส่วนต่างๆ ได้ สวทช. ยุค 6.0 ภายใต้การบริหารของ ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ในวาระแรกนี้ ได้กำหนดนโยบายที่เรียกว่า “NSTDA Core Business” โดยในเฟสแรกได้คัดเลือกงานวิจัยที่เป็นความเชี่ยวชาญและตอบโจทย์ความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมี 4 เรื่องหลัก คือ Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง Digital Healthcare Platform แพลตฟอร์มแก้ปัญหาการบริการด้านสาธารณสุขของประเทศ FoodSERP แพลตฟอร์มให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์กลุ่มสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ (Functional ingredient) ในรูปแบบ One stop service และ Thailand i4.0 Platform แพลตฟอร์มให้บริการ Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตแบบครบวงจร
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวว่า NSTDA Core Business คือการระดมความเชี่ยวชาญของบุคลากรจำนวนมากจากหลายส่วนงานมาขับเคลื่อนและผลักดันสมรรถนะหลักขององค์กร ให้นํามาสู่การใช้ประโยชน์จริงผ่านเครือข่ายพันธมิตร และสร้างผลกระทบกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ยกตัวอย่าง เทคโนโลยีในด้านดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปมากแต่ประเทศไทยยังไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานในภาคส่วนต่างๆ ได้มากเท่าที่ควร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ สวทช. เล็งเห็นความสำคัญ โดยตั้งเป้าหมายเพื่อให้เทคโนโลยีดิจิทัลถูกนำมาใช้งานในสังคมได้มากขึ้น
“Traffy Fondue คือแพลตฟอร์มรับแจ้งและบริหารจัดการปัญหาเมืองในระดับจังหวัด ซึ่งปัจจุบันรับแจ้งปัญหาแล้วมากกว่า 260,000 เรื่อง ช่วยลดเวลารับแจ้งปัญหาถึง 15 ล้านนาที มีการขยายผลการใช้งานไป 8,544 หน่วยงาน ใน 50 จังหวัด โดยมี 8 จังหวัด ที่ใช้งานทุกส่วนราชการ (นครราชสีมา อุบลราชธานี ขอนแก่น พะเยา ลำพูน ปราจีนบุรี ภูเก็ต และเพชรบูรณ์) ขณะเดียวกันยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่สนับสนุนการบริการสาธารณสุข ด้วยแพลตฟอร์ม A-MED Telehealth แพลตฟอร์มหลังบ้าน เพื่อช่วยให้บุคลากรทางแพทย์สามารถทำงานบนข้อมูลเดียวกัน ในการตรวจ รักษา และติดตามผู้ป่วย ในระบบ Home Isolation ในสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 รวมทั้งยังสามารถเชื่อมต่อการเบิกจ่ายผ่านระบบสาธารณสุขหลักของประเทศ ปัจจุบันมีผู้ป่วยใช้งานสะสมมากกว่า 1,360,000 คน สถานพยาบาล 1,400 แห่ง รวมถึงแพทย์ พยาบาลและสหวิชาชีพมากกว่า 16,000 คน นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับ สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กรมการแพทย์ และสํานักสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ ขยายผลสู่ระบบ A-MED Home Ward ระบบบริการดูแลผู้ป่วยใน ที่บ้าน และร่วมมือกับสภาเภสัชกรรม ขยายผลสู่ระบบ A-MED Care ระบบการดูแลโรคทั่วไปหรือการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการ (Common Illness) แก่ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง สามารถรับยาฟรีที่ร้านยาคุณภาพใกล้บ้าน”
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวด้วยว่า ด้วยประสบการณ์การศึกษาและทำวิจัยทั้งสถาบันวิจัยของรัฐและเอกชนในต่างประเทศ รวมถึงความสามารถในการบริหารหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในองค์กรสำคัญระดับประเทศ พร้อมนำความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ที่มีมารับใช้ประเทศ โดยจะร่วมกับนักวิจัย สวทช.ขับเคลื่อนองค์กรอย่างเต็มกำลังความสามารถ และเชื่อมโยงทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม เพื่อเป็นพลังสำคัญใช้งานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ทุกภาคส่วน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการนำพาประเทศให้ฟื้นตัวหลังจากภาวะวิกฤติโควิด-19 ให้เร็วที่สุด
“สวทช. พร้อมส่งมอบผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสร้างผลกระทบให้กับประเทศ โดยนำความรู้ เครื่องมือ และความเชี่ยวชาญของ สวทช. ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อแก้ปัญหาที่สำคัญของประเทศ และเกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม โดยจะส่งเสริม ผลักดัน และประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน หน่วยวิจัย และภาคประชาสังคมเพื่อร่วมกันยกระดับและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือแก้ปัญหาสาธารณะที่สำคัญ ด้วยการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรม
ในระยะแรกจะมุ่งเน้นภาคเอกชนที่มีความพร้อมจะพัฒนาด้วยการวิจัย และหน่วยงานในพื้นที่ เช่นกรุงเทพมหานคร ตลอดจนขับเคลื่อนให้ภาคเอกชนมาใช้งานอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยใช้เครื่องมือ โครงสร้างพื้นฐาน และความเชี่ยวชาญของ สวทช. ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งพร้อมสนับสนุนและร่วมมือให้ภาคเอกชนที่มีความพร้อม สร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ ให้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรใน EECi และสร้างผลงานวิจัยออกสู่ตลาดร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม” ผอ. สวทช. กล่าวทิ้งท้าย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
คึกคัก! งานถนนสายวิทยาศาสตร์ รับวันเด็กแห่งชาติ 2566
งาน "ถนนสายวิทยาศาสตร์ รับวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566" วันที่ 13-14 มกราคม 2566 ที่ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา จัดโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักสนุกสนาน ตลอดทั้งวันมีน้อง ๆ หนู ๆ มาร่วมสนุกกับกิจกรรมต่าง ๆ มากมายที่หลายหน่วยงานมาจัดกันภายในงาน
โดยในบูทกิจกรรมของ สวทช. ที่ชวนน้อง ๆ มาสร้างสรรค์จินตนาการ แต่งแต้มสีสันผ่านการระบายสีกระเป๋ารักษ์โลกด้วย “แป้งพิมพ์สีธรรมชาติ” ผลงานวิจัยของเอ็มเทคที่พัฒนาวิธีการสกัดสีธรรมชาติให้อยู่ในรูปแบบสารละลายเข้มข้นหรือแบบผงจากวัตถุดิบธรรมชาติ น้อง ๆ ที่ร่วมกิจกรรมจะได้ทั้งความสนุก ความรู้ และได้ของที่ระลึกติดมือกลับบ้านทุกคน.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. ร่วมกับ สรพ.จัดเวิร์คช็อป 2P Safety Tech Hackathon Camp หวัง รพ. ที่เข้าร่วมสามารถสร้างนวัตกรรมมต้นแบบ MVP ได้
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/2p-safety-tech-kicks-off-with-hackathon-camp.html
ณ โรงแรมอมารีดอนเมือง : (11 ม.ค. 2566) สำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล(องค์การมหาชน) หรือ สรพ. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “2P Safety Tech Hackathon Camp ประจำปีงบประมาณ 2566 ระหว่างวันที่ 11-13 มกราคม 2566 โดยมีทีมโรงพยาบาลที่สมัครเข้าร่วมโครงการ 3P Safety Hospital รวมทั้งโรงพยาบาลที่เป็น สมาชิก 2P Safety Tech ตั้งแต่เป็นสมาชิกปี 2561 ถึงปัจจุบัน
ตลอดจนทีมโรงพยาบาลที่มีแนวคิดในการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่สอดคล้องกับ (SIMPLE)2 ที่มีความพร้อมในการนำนวัตกรรมไป ใช้งานจริง จากการคัดเลือกมีผลงานผ่านการ คัดเลือกจํานวน 16 ผลงาน จาก 18 สถานพยาบาล และคัดเลือกผลงานที่ดีที่สุดเพื่อไปนำเสนอในงาน World Patient Safety Day วันที่ 17 ก.ย. 2566 อีกครั้ง และหากผลงานใดที่ใช้งานได้ดี จะนำไปต่อยอดขยายผลในเชิงงานวิจัยและทรัพย์สินทางปัญญาต่อไป
ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า โครงการ 2P Safety Tech ปีนี้จัดเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้ว ในระยะเวลาที่ผ่านมามีโรงพยาบาลเข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 79 โรงพยาบาล ครอบคลุมทุกภาคของประเทศไทย สามารถพัฒนาต่อยอดเกิดนวัตกรรมต้นแบบแล้ว 56 โครงการ และมี 33 โครงการที่ได้นำไปใช้แก้ปัญหาได้จริงแล้ว มี 1 โครงการที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศ และมีอีก 1 โครงการที่ขยายไปยังเครือข่ายโรงพยาบาลอีก 8 โรงพยาบาล ถ้าเทียบสัดส่วนการพัฒนานวัตกรรมแล้ว ถือว่าโครงการนี้มีผลสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง ในเรื่องของการช่วยกันพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาภายใต้แนวคิด Open Innovation เป็นความร่วมมือทั้งรัฐ หน่วยงานวิจัยและเอกชน รวมทั้งมีส่วนกระตุ้นให้บุคลากรสาธารณสุขเกิดความตื่นตัวและมีแนวคิดการสร้างนวัตกรรมในองค์กรมากขึ้น”
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการดำเนินงานในปี 2566 นี้ ได้รับความร่วมมือจากนวัตกรที่มาจากภาคเอกชน และที่สำคัญมีนักวิจัยของ สวทช. อาทิเช่น NECTEC ได้ส่งนักวิจัยที่เชี่ยวชาญด้าน AI และ ระบบค้นหาตำแหน่งอุปกรณ์ในอาคาร (UNAI) ทีม AMED Tele Health และ หน่วยวิจัยที่เกี่ยวข้องมาร่วมสนับสนุนให้งานสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยหลังจากการเวิร์คช็อปแล้ว จะมีการติดตามให้คำปรึกษาแนะนำ สนับสนุนการทำงานของทุกโครงการตลอดระยะเวลากว่า 6 เดือน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าปีนี้จะสามารถช่วยกันผลักดันให้เกิดนวัตกรรมที่ใช้งานจริงได้ และสามารถนำไปขยายผลต่อในวงกว้างได้มากขึ้น
ด้าน พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าวว่า โครงการ 2P Safety Tech เกิดจากการทำโครงการ 2P Safety Hospital ซึ่งเมื่อมีอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น มีการทำ root cause analysis จนพบปัญหาแล้ว โรงพยาบาลต้องการนำเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาแต่ไม่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี
ดังนั้น สรพ. จึงจัดโครงการนี้ขึ้น โดยร่วมมือกับศูนย์พัฒนาผู้ประกอบธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดหานวัตกรมาช่วยสนับสนุนโรงพยาบาล ในการพัฒนานวัตกรรมมาแก้ปัญหาความปลอดภัย ภายใต้แนวคิด Human Factor Engineering หรือนำเทคโนโลยีมาช่วยลดข้อผิดพลาดของมนุษย์ ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงตาม (SIMPLE) 2 สำหรับการจัดงานเวิร์คช็อปในปีนี้ มีโรงพยาบาลต่าง ๆ จำนวนมากที่เขียนถึงแนวคิดความต้องการในการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ แต่ที่ สรพ. คัดเลือกให้เข้าร่วมทำเวิร์คช็อปจะเน้นไปที่แนวคิดการพัฒนานวัตกรรมที่มีความเป็นไปได้และเกี่ยวข้องกับความปลอดภัย โดยมีทีมนวัตกรจาก สวทช. เป็นพี่เลี้ยง
ข่าวประชาสัมพันธ์
รมว.อว. นำคณะผู้บริหาร ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๓ รอบ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พุทธศักราช ๒๕๖๖
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (รมว.อว.) พร้อมด้วย ศ. ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และคณะผู้บริหารภายใต้สังกัด อว. ร่วมลงนามนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๓ รอบ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พุทธศักราช ๒๕๖๖ ณ ศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวัง
โอกาสนี้ ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ได้ร่วมลงนามถวายพระพรในครั้งนี้ด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


