ผลการค้นหา :
คึกคัก! บรรยากาศบูทกิจกรรม สวทช. ในงาน “วันนักประดิษฐ์ 2566”
บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก! สำหรับบูทกิจกรรมของ สวทช. ในงาน #วันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 (Thailand Inventors’ Day 2023) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-6 ก.พ.นี้ ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค อีเว้นท์ ฮอลล์ 100-102
.
โดย สวทช. มี 2 กิจกรรมสนุกๆ สำหรับเยาวชนภายใต้หัวข้อ #นักประดิษฐ์วิจิตรศิลป์ ประกอบด้วย กิจกรรม #รถแข่งแรงg ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้มาประดิษฐ์รถแข่งแบบ DIY ตามจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อนำไปแข่งขันประลองความเร็วในรางแข่งตามแรงโน้มถ่วง และกิจกรรมเพ้นท์กระเป๋าด้วย #แป้งพิมพ์สีธรรมชาติ ผลงานของนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ที่สกัดสีต่างๆ มาจากวัตถุดิบธรรมชาติ เด็กๆ สามารถแต่งแต้มระบายสีได้อย่างเพลิดเพลินและปลอดภัย นอกจากจะได้รับความสนุกและความรู้แล้ว น้องๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ของที่ระลึกติดมือกลับบ้านไปทุกคนด้วย
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
เปิดรับสมัคร JSTP รุ่นที่ 26 ประจำปี 2566
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
เปิดรับสมัครนักเรียนที่มีความสนใจทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้าร่วม
โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน
(Junior Science Talent Project - JSTP)
รุ่นที่ 26 ประจำปี 2566
โอกาสที่จะได้รับ
เปิดโลกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ กิจกรรมฝึกทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กิจกรรมการทดลองด้านวิทยาศาสตร์ การบรรยายพิเศษและกิจกรรมทัศนศึกษานอกสถานที่
สร้างสรรค์ผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์และสิ่งประดิษฐ์ รับทุนทำโครงงานวิทยาศาสตร์ จำนวน 10,000 บาท/โครงงาน
มีนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงและนักเทคโนโลยีพี่เลี้ยงชั้นนำของประเทศ (Mentor) คอยให้คำปรึกษาการทำงานทางวิทยาศาสตร์อย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการ
มีโอกาสได้รับคัดเลือกเพื่อรับทุนการศึกษาและทุนวิจัยจนจบปริญญาเอก โดยไม่ผูกพันการรับทุน
ผู้มีสิทธิ์สมัคร
นักเรียนที่กำลังศึกษา ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 – 5 ในปีการศึกษา 2565 และกำลังจะเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 ในปีการศึกษา 2566
กรอบเวลาและแผนการดำเนินงาน
เปิดรับสมัคร (ออนไลน์) >> กุมภาพันธ์ – 15 มีนาคม 2566
พิจารณาใบสมัครและประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สัมภาษณ์ >>เมษายน 2566
สัมภาษณ์และประกาศผลการคัดเลือก >> พฤษภาคม 2566
กิจกรรมพัฒนาศักยภาพ >> มิถุนายน 2566
กิจกรรมเสริมประสบการณ์ >> ตุลาคม 2566
ติดตามความก้าวหน้า >> ธันวาคม 2566 – เมษายน 2567
นำเสนอผลการดำเนินงานโครงงานวิทยาศาสตร์ >> พฤษภาคม 2567
ประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกเข้ารับทุนระยะยาว >> มิถุนายน 2567
Link คำแนะนำในการกรอกใบสมัครโครงการ JSTP
https://shorturl.asia/JPWf8
Link แบบฟอร์มใบสมัครนักเรียนเข้าร่วมโครงการ JSTP
https://forms.gle/8vH9HjCyZqTcLvbF8
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 1436, 1434
โทรสาร 0 2564 7141
e-mail: yst@nstda.or.th
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ร่วมจัดกิจกรรมในงาน“วันนักประดิษฐ์
(เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์) ณ อีเว้นท์ ฮอลล์ 100-102 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (บางนา) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรด้านการวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้นนานาชาติ ร่วมมือกันสร้างสรรค์ผลงานสิ่งประดิษฐ์คิดค้นเพื่อสนับสนุนผลงานสู่การสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับนักประดิษฐ์ นักวิจัยไทยพร้อมก้าวสู่เวทีในระดับโลก การจัดงาน “วันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566” (Thailand Inventors’ Day 2023) ภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมด้วยสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 24 เพื่อน้อมรำลึกถึงวันประวัติศาสตร์ การทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ “กังหันน้ำชัยพัฒนา” แด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” และยังเป็นเวทีสำคัญระดับชาติและนานาชาติ ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนไทย ในด้านการประดิษฐ์คิดค้นต่อการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพออกสู่สายตาคนไทยและประชาคมโลก
นำโดย ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ชาติไทยมีนวัตกรรมหรือไม่” โดยมี ศ. ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงาน ผู้บริหาร อว. และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงาน ซึ่งงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-6 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.00-17.00 น.
ทั้งนี้ สวทช. ได้ร่วมกิจกรรมในงานวันนักประดิษฐ์ 2566 ภายในงานชวนน้อง ๆ ร่วมเสริมสร้างจิตนาการและความคิดสร้างสรรค์กับกิจกรรมที่คัดมาพิเศษ “นักประดิษฐ์วิจิตรศิลป์” ที่จะให้น้อง ๆ ได้ลองประดิษฐ์รถแข่งแบบ DIY และท้าทายความเจ๋งว่ารถของใครจะเร็วที่สุดกับกิจกรรม "รถแข่งแรง g" และมาปลุกความเป็นศิลปินสร้างสรรค์จินตนาการด้านศิลปะผ่านการเพ้นท์กระเป๋าจาก “แป้งพิมพ์สีธรรมชาติ” ซึ่งทั้ง 2 กิจกรรมได้รับการตอบรับจากอาจารย์และเด็กนักเรียนเป็นอย่างมาก
ข่าวประชาสัมพันธ์
น้ำยาเคลือบโซลาร์เซลล์ลดการเกาะของน้ำและฝุ่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nano-coating-protects-solar-panels-from-dirt-deposition,-improving-electricity-generation-efficiency.html
วันที่อัปเดตรายละเอียดเพิ่มเติม (ท้ายบทความ) : 17 เมษายน 2567
โซลาร์เซลล์จะผลิตไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพเมื่อกระจกหน้าแผงสะอาดและได้รับพลังงานแสงอย่างเต็มที่ แต่ในช่วงฤดูแล้งที่มีแสงแดดจ้าเหมาะต่อการผลิตไฟฟ้าได้มาก ผู้ใช้งานกลับต้องเผชิญปัญหา ‘ฝุ่น’ ปริมาณมหาศาลที่ลดประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าลงถึงร้อยละ 10
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิจัยและพัฒนา ‘น้ำยาเคลือบพื้นผิวโซลาร์เซลล์สำหรับใช้ลดการเกาะของน้ำและฝุ่น’ ปัจจุบันพร้อมขยายผลสู่เชิงพาณิชย์ เปิดตัวในฐานะผลิตภัณฑ์แรกของบริษัทนาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด หนึ่งในบริษัทสตาร์ตอัปที่เกิดขึ้นภายใต้กลไกการส่งเสริมและผลักดันผลงานวิจัยไปสู่การสร้างธุรกิจของ สวทช.
[caption id="attachment_40149" align="aligncenter" width="750"] ดร.ธันยกร เมืองนาโพธิ์ นักวิจัยนาโนเทค สวทช. และนรินทร์ โฉมเจริญ ผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัทนาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด[/caption]
ดร.ธันยกร เมืองนาโพธิ์ นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมเคลือบนาโน (INC) นาโนเทค สวทช. และ MD บริษัทนาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด เล่าว่า ปัญหาของผู้ใช้โซลาร์เซลล์เพื่อการผลิตไฟฟ้าในระดับโรงงานอุตสาหกรรมหรือการทำโซลาร์ฟาร์มที่ต้องติดตั้งแผงจำนวนมาก คือ ในช่วงฤดูแล้งหรือช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายนที่โซลาร์เซลล์ควรผลิตไฟฟ้าได้อย่างเต็มกำลังเพื่อคืนทุนค่าแผง กลับเป็นช่วงที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับฝุ่นปริมาณมหาศาล ส่งผลให้แผงผลิตไฟฟ้าได้ลดลงร้อยละ 6-8 ภายในระยะเวลา 2 เดือน (หากขาดการทำความสะอาดแผงให้สะอาดอยู่เสมอ) และจะยิ่งสูงขึ้นเป็นร้อยละ 9-10 ในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่มีเขม่าควันหรือละอองน้ำมันจับที่หน้าแผง ถึงกระนั้นการล้างแผงโซลาร์เซลล์เป็นประจำเพื่อรักษาประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าอยู่เสมอก็ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะกรณีของการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้บนที่สูงหรือหลังคา ซึ่งต้องว่าจ้างผู้ที่มีใบประกอบวิชาชีพด้านการทำงานบนที่สูงมาปฏิบัติงาน อีกทั้งหากผู้ล้างขาดความชำนาญก็อาจทำให้แผงเกิดรอยขีดข่วนหรือความชำรุดที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าได้
จากปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการ ‘ผลิตสารเคลือบนาโน’ มาพัฒนานวัตกรรมสารเคลือบนาโนสูตรพิเศษสำหรับการเคลือบแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อลดการเกาะตัวของฝุ่น ลดภาระการบำรุงรักษา และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า
ดร.ธันยกร อธิบายถึงผลิตภัณฑ์ ‘น้ำยาเคลือบพื้นผิวโซลาร์เซลล์’ ว่า เป็นผลิตภัณฑ์น้ำยาเคลือบสำหรับปรับค่ามุมสัมผัสของน้ำบนวัสดุ (Water contact angle) เพื่อเพิ่มคุณสมบัติการลดการเกาะของฝุ่นให้แก่พื้นผิว รวมถึงทำให้น้ำ น้ำมัน หรือของเหลวที่ตกกระทบผิววัสดุมีลักษณะเป็นก้อนกลมกลิ้งไหลออกจากแผ่น ลดการยึดเกาะและชำระล้างฝุ่นรวมถึงสิ่งสกปรกต่างๆ ออกจากแผงโดยไม่ทิ้งคราบน้ำ ทำให้แผงผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 5 ในช่วงหน้าแล้งอีกด้วย
[caption id="attachment_40147" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกันฝุ่น โดยพื้นที่ตรงกลางคือพื้นที่ที่ไม่ได้เคลือบน้ำยา[/caption]
[caption id="attachment_40151" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบประสิทธิภาพในการลดการเกาะของน้ำบนแผงโซลาร์เซลล์ที่ผ่านการเคลือบน้ำยา น้ำที่ไหลผ่านจะมีลักษณะเป็นก้อนกลมเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว[/caption]
[caption id="attachment_40152" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบประสิทธิภาพในการลดการเกาะของน้ำบนแผงโซลาร์เซลล์ที่ไม่ได้ผ่านการเคลือบน้ำยา น้ำที่ไหลผ่านจะมีลักษณะแผ่กระจายตัวบนแผง[/caption]
นอกจากความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการจับเกาะของฝุ่นบนแผงได้ดีแล้ว ทีมวิจัยออกแบบและพัฒนาสูตรน้ำยาเคลือบให้ใช้งานง่ายและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพพื้นผิววัสดุ โดยสารเคลือบสามารถชำระล้างออกตามธรรมชาติได้ภายใน 1-2 ปี ไม่ส่งผลต่อการรับประกันแผง อีกทั้งผลิตภัณฑ์ยังผ่านการทดสอบแล้วว่าปลอดภัยต่อสุขภาพผู้ใช้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ดร.ธันยกร เสริมว่า ปัจจุบันบริษัทฯ พร้อมให้บริการน้ำยาเคลือบแผงแก่ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมและโซลาร์ฟาร์มแล้ว ทั้งในรูปแบบการสั่งซื้อเฉพาะผลิตภัณฑ์ (มีเจ้าหน้าที่สอนวิธีการเคลือบ) และการให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่การประเมินสภาพแวดล้อม ณ สถานที่ติดตั้งแผง ไปจนถึงการดำเนินการเคลือบจนเสร็จงาน ซึ่งจากการให้บริการเคลือบพื้นผิวแผงโซลาร์เซลล์แก่โรงงานอุตสาหกรรมประเภทอาหาร วัสดุก่อสร้าง และปิโตรเลียม ที่ผ่านมา พบว่าช่วยลดความถี่ในการทำความสะอาดแผงได้เป็นอย่างดี (ความถี่ในการทำความสะอาดขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของที่ตั้งแผง) สำหรับการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อย ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการวางแผนธุรกิจและการขยายกำลังการผลิต คาดว่าจะพร้อมให้บริการได้ในช่วง 1-2 ปีหน้า
นอกจาก “น้ำยาเคลือบพื้นผิวโซลาร์เซลล์สำหรับใช้ลดการเกาะของน้ำและฝุ่น” ผลิตภัณฑ์เรือธงที่บริษัทนาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด เปิดให้บริการแก่บริษัทชั้นนำของประเทศและบริษัทในเครือหลายแห่งแล้ว ปัจจุบันบริษัทฯ ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำยาเคลือบนาโนสำหรับใช้ปกป้องพื้นผิววัสดุสำหรับใช้งานในอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย
ดร.ธันยกร เล่าว่า ผลิตภัณฑ์ต่อไปที่บริษัทฯ วางแผนจะจำหน่ายและให้บริการในอนาคตอันใกล้ คือ ‘น้ำยาเคลือบพื้นผิววัสดุสิ่งก่อสร้าง’ ประเภทคอนกรีต ไม้ และกระจก เพื่อลดการเกิดคราบน้ำ ตะไคร่ และการเกาะตัวของฝุ่น สำหรับปกป้องพื้นผิววัสดุก่อสร้าง ลดความถี่ในการทำความสะอาด และเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้งาน โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างและผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังมีบริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำยาเคลือบพื้นผิววัสดุตามโจทย์ที่ลูกค้าต้องการด้วย
[caption id="attachment_40148" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบประสิทธิภาพน้ำยาเคลือบพื้นผิววัสดุก่อสร้าง[/caption]
โซลาร์เซลล์เป็นพลังงานทางเลือกแห่งอนาคตที่หลายประเทศทั่วโลกมีนโยบายส่งเสริมให้ใช้งาน สำหรับประเทศไทยมีการคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนการใช้งานโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นจาก 6,000-7,000 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน เป็น 12,725 เมกะวัตต์ภายในปี 2580 ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าและยืดอายุการใช้งานแผงโซลาร์เซลล์จึงมีแนวโน้มสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกที่มุ่งเน้นให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นที่น่าจับตาในตลาดโลกด้วย
หากสนใจในผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทติดต่อได้ที่ บริษัทนาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด อีเมล nanocoatingtech.thailand@gmail.com
อัปเดตรายละเอียดเพิ่มเติม (17 เมษายน 2567)
ปัจจุบันบริษัทนาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด (NSTDA Start-up) จำหน่ายผลิตภัณฑ์และให้บริการแก่ลูกค้า 2 กลุ่มหลัก คือ
1) สำหรับผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมหรือโซลาร์ฟาร์ม บริษัทมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำยาเคลือบโซลาร์เซลล์เพื่อการใช้งานในปริมาณมากแล้ว และมีการให้บริการประเมินสภาพแวดล้อมสถานที่ติดตั้งแผง เพื่อวางแผนการเคลือบพื้นผิวโซลาร์เซลล์ รวมถึงบริการเคลือบพื้นผิวโซลาร์เซลล์โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้วย
2) สำหรับลูกค้ารายย่อย ปัจจุบันบริษัทอยู่ในช่วงทดลองตลาดผลิตภัณฑ์ 'สเปรย์เคลือบเซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุก่อสร้างแบบ 2 อิน 1 เพื่อกันฝุ่นและตะไคร่น้ำ'
ติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการได้ที่ www.nanocoatingtech.co.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ชวนฟัง ‘การจัดการข้อมูลจากงานวิจัยประสานักเคมี’ vs ‘การรู้จำรูปแบบและการเรียนรู้ของเครื่อง’ 2 คำสำคัญสำหรับคนพันธุ์เอไอ
NSTDA Shop ขอเชิญผู้สนใจร่วมฟังเสวนา เรื่อง เคมีกับเอไอ
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 13.30-15.30 น.
ณ ห้อง MR 223 ชั้น 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
ในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 (Thailand Inventors’ Day 2023)
วิทยากร
- รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีธรรม ลิมปานุภาพ
อาจารย์ประจำสาขาเคมี วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล
นักเคมีศึกษาดีเด่น ประจำปี 2565 และ นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ประจำปี 2563
- ดร.สรรพฤทธิ์ มฤคทัต
หัวหน้าทีมวิจัยการประมวลผลและเข้าใจภาพ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. และประธานฝ่ายวิชาการ สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย
ดำเนินรายการโดยคุณสติยา ลังการ์พินธุ์
ผู้อำนวยการโครงการภูมิภาค องค์การเอ็ดดูเคชัน ดีเวลล็อปเมนต์ เซ็นเตอร์
ผู้สนใจร่วมงานแบบ Onsite ลงทะเบียนล่วงหน้า เพื่อเข้าฟังเสวนา ได้ที่
https://inventorsdayregis.com/Home
รับของที่ระลึกจาก สวทช. หน้างาน ฟรี จำนวนจำกัด
หรือสามารถชมผ่าน Facebook Live : NSTDA Shop
(https://www.facebook.com/NSTDAShop)
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. จับมือ มรภ. ลำปาง ลงนามความร่วมมือสู่ชุมชน มุ่งเน้นเกษตร บริหารจัดการน้ำ กำลังคน
(วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา การบริการวิชาการการจัดการความรู้ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน มุ่งเน้น 3 ด้านคือ การเกษตร การบริหารจัดการน้ำ และการพัฒนากำลังคน นำร่องด้วยฐานข้อมูลด้านคุณภาพน้ำประปาที่มีการปนเปื้อนฟลูออไรด์ โลหะหนัก และสารเคมีตกค้างด้วยนาโนเทคโนโลยี ในโรงเรียนพื้นที่ลำปางกว่า 100 แห่ง เพื่อสร้างนวัตกรคุณภาพน้ำ 100 คน รวมถึงนวัตกรรมตรวจวัดและพัฒนาคุณภาพน้ำในพื้นที่จังหวัดลำปางกว่า 270 ครัวเรือน ด้วยเป้าหมาย 2 ลด 3 เพิ่ม คือ ลดโรค ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มการเข้าถึงน้ำสะอาด เพิ่มคุณภาพน้ำและคุณภาพชีวิต
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ “ขับเคลื่อนไทยด้วยนโยบาย BCG เพื่อสร้างความเข้มแข็งสำหรับเศรษฐกิจฐานราก” ว่า นับเป็นวันที่เฝ้ารอคือ การทำข้อตกลงระหว่าง สวทช. ที่เป็นองค์กรวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใหญ่และมีผลกระทบในระดับสูงของประเทศ เทียบเคียงต่างชาติได้อย่างดี กับมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางที่ก่อนหน้านี้ เราได้ปฏิรูปมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ให้มีความโดดเด่นในแง่ของการมุ่งเน้นการพัฒนาเชิงพื้นที่ โดยสาระสำคัญในวันนี้มี 2 เรื่องคือ การบริหารจัดการน้ำ โดยเฉพาะการบำบัดน้ำเสียด้วยองค์ความรู้ทางเคมี และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่สร้างองค์ความรู้ด้านการวิจัยขั้นสูงและหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเชิงพื้นที่
โดยเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ โดยเพาะการบำบัดน้ำเสียด้วยองค์ความรู้ทางเคมีนั้น เราจะเห็นว่า ปกติการบำบัดน้ำเสียจะใช้ระบบกรองต่างๆ ซึ่งบางครั้ง ก็จำเป็นต้องใช้ไส้กรองพิเศษ อาทิ เซรามิก ซึ่งเป็นเคมีขั้นสูงมาช่วยแก้ปัญหาสารปนเปื้อนต่างๆ ที่ระบบกรองธรรมดาอาจจะไม่เพียงพอ ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะปัญหาสำคัญของไทยคือ คุณภาพน้ำ ที่แม้เราจะมีน้ำมากจนบางครั้งเกิดน้ำท่วม หรือเกิดภาวะน้ำแล้งสลับกัน ก็จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค
“ความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงานในครั้งนี้ เชื่อได้ว่าจะเป็นการนำ "ความรู้สู่การปฏิบัติ" ที่เห็นภาพชัดเจน ที่ผ่านมาไทยเรามีการนำความรู้สู่การปฏิบัติไม่มากนัก แต่ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับวิชาเคมีที่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ คน และไม่รู้ว่าจะนำไปใช้ได้อย่างไร การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการนำองค์ความรู้ด้านเคมีทั้งอินทรีย์และอนินทรีย์มาต่อยอดใช้ประโยชน์ในแง่การบริหารจัดการน้ำที่สำคัญอย่างมาก และอยากให้ต่อยอดเรื่องของน้ำเพื่อการบริโภค โดยเฉพาะเรื่องของการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำในแต่ละพื้นที่เพื่อดูความเสี่ยงต่อสุขภาพ ที่จะสามารถนำผลการวิเคราะห์ไปขยายผลเพื่อดูความเสี่ยงเชิงสุขภาพ ร่วมกับหน่วยงานทางการแพทย์ต่อไป” ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนกกล่าว
สาระสำคัญอีกหนึ่งเรื่อง ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง สวทช. หน่วยงานที่สร้างองค์ความรู้ด้านการวิจัยขั้นสูง หรือเรียกว่า เป็น Scientific Partner และ มรภ.ลำปาง ในฐานะหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเชิงพื้นที่ ทำงานเป็น Local Partner ร่วมกันนำองค์ความรู้ด้านเคมีสู่การปฏิบัติใช้จริงในพื้นที่ เกิดการพัฒนา ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ภายในท้องถิ่น เชื่อว่า จากความร่วมมือนี้จะประสบความสำเร็จอย่างมาก และอยากให้มีโอกาสแบบนี้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏอื่นๆ อีก โดยอยากให้ได้มาเยี่ยมชม สวทช. เพื่อนำสู่ความร่วมมือที่จะนำความรู้สู่การปฏิบัติในมิติอื่นๆ ต่อไป
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. พร้อมเป็นขุมพลังหลักของประเทศในการใช้ประโยชน์จาก วทน. ของรัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด โดยอาศัยความสามารถของบุคลากรวิจัย ความพร้อมทางด้านเครื่องมือของ สวทช. ไปเสริมสร้างระบบวิจัยของประเทศให้เข้มแข็งโดยทำงานร่วมกับภาคเอกชน หน่วยวิจัย มหาวิทยาลัย รวมทั้งมหาวิทยาลัยในเชิงพื้นที่อย่างมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง
“ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา การบริการวิชาการการจัดการความรู้ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชนในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมวิจัยและพัฒนาเพิ่มความเข้มแข็งทางวิชาการ การพัฒนากำลังคนและจัดการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่นำไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน จะเป็นการตอกย้ำความร่วมมือของหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. ที่ สวทช. จะร่วมกันดำเนินการขับเคลื่อนจังหวัดการพัฒนาด้านการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) กรอบความร่วมมือดำเนินงานวิจัยและพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ ร่วมกันจัดหาและสนับสนุนทรัพยากร ร่วมแลกเปลี่ยนและเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลทางวิชาการ และร่วมกันพัฒนาบุคลากร พัฒนาหลักสูตรทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือที่กล่าวไปข้างต้นนั้น โครงการนำร่องที่จะเกิดขึ้นมี 3 ด้านคือ ด้านการพัฒนากำลังคน ที่นักวิจัยนาโนเทค ร่วมพัฒนาหลักสูตรและอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร ประจำหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาเคมี ในรูปแบบ Cooperative and Work Integrated Education (CWIE) ในปี 2565 ที่ผ่านมา, ด้านการเกษตร โดยทำโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาบุคลากรการเกษตรโดยการใช้ชุดทดสอบสารตกค้าง GT-Pesticide Residual test kit เพื่อตรวจสอบคุณภาพผลผลิตเกษตรปลอดภัย และเทคนิคการขยายสารชีวภัณฑ์คุณภาพ และการพัฒนาจุดเรียนรู้ด้านเกษตรปลอดภัยและเกษตรอัจฉริยะ ที่บ้านสัก ต.บ้านเอื้อม
ส่วนด้านบริหารจัดการน้ำนั้น จะเป็นการร่วมดำเนินการโครงการการตรวจวัดและพัฒนาคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคด้วยวิทยาศาสตร์ (โครงการบูรณาการน้ำ ปี 2566) ได้แก่ โครงการพัฒนาฐานข้อมูลด้านคุณภาพน้ำประปาที่มีการปนเปื้อนฟลูออไรด์ โลหะหนัก และสารเคมีตกค้างด้วยนาโนเทคโนโลยีสำหรับโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดลำปาง และโครงการนวัตกรรมตรวจวัดและพัฒนาคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคที่มีการปนเปื้อนฟลูออไรด์ โลหะหนัก และสารเคมีตกค้างด้วยนาโนเทคโนโลยี
“เป้าหมายคือ ฐานข้อมูลคุณภาพน้ำในพื้นที่โรงเรียนของจังหวัดลำปางมากกว่า 100 โรงเรียน สร้างนวัตกรพัฒนาคุณภาพน้ำ 100 คน รวมถึงนวัตกรรมตรวจวัดและพัฒนาคุณภาพน้ำในพื้นที่จังหวัดลำปางกว่า 270 ครัวเรือน ที่นำสู่คุณภาพน้ำที่มีมาตรฐาน น้ำประปาหมู่บ้านสำหรับชุมชน พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมในการขยายผลการพัฒนาฐานข้อมูลและคุณภาพน้ำโดยอาศัยองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการพัฒนากำลังคน ตามเป้าหมาย 2 ลด 3 เพิ่ม คือ ลดโรค ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มการเข้าถึงน้ำสะอาด เพิ่มคุณภาพน้ำและคุณภาพชีวิต” ศาสตราจารย์ดร.ชูกิจ ย้ำ
รองศาสตราจารย์ ดร.กิตติศักดิ์ สมุทธารักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง (มรภ.ลำปาง) กล่าวว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางเป็นมหาวิทยาลัยที่มีพันธกิจ ตามยุทธศาสตร์ราชภัฏ โดยเน้น การพัฒนาท้องถิ่น การผลิตบัณฑิตและการยกระดับการศึกษา ซึ่งยุทธศาสตร์การพัฒนาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ได้ดำเนินการมาอย่างยาวนานในจังหวัดลำปางและจังหวัดลำพูน รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียง โดยเน้นการยกระดับรายได้และคุณภพชีวิต การพัฒนาคุณภาพชีวิต การจัดการฐานข้อมูล และการบูรณาการฐานภูมิปัญญาจนเกิดองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาชุมชนควบคู่กับการพัฒนาบัณฑิต มีความรู้โดดเด่นเชิงพื้นที่ กระบวนการการทำงานเชิงพื้นที่เป็นการยอมรับในระดับจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและครูระดับโรงเรียน
จากที่มรภ.ลำปาง มีความสนใจในความร่วมมือกับสวทช. ที่รู้กันดีว่า เป็นหน่วยงานที่นำความสามารถอันเหนือชั้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยให้ภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมสามารถดำเนินงานได้ดี มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งได้ดำเนินงานผ่านการทำงานร่วมกันของศูนย์ทั้ง 5 ศูนย์แห่งชาติ ได้แก่ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) มุ่งพัฒนางานด้านนาโนเทคโนโลยี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) มุ่งพัฒนางานด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) มุ่งพัฒนางานด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับวัสดุต่างๆ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) มุ่งพัฒนางานด้านอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) มุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานของประเทศ
จุดเริ่มต้นความร่วมมือของสองหน่วยงานความร่วมมือปี 2555-2564 การถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตรสู่ชุมชน กลุ่มเกษตรกร 5 กลุ่ม ในพื้นที่จังหวัดลำปาง และในงบประมาณ พ.ศ. 2565 โครงการพัฒนาการผลิตน้ำสะอาดในชุมชน โดยเทคโนโลยีเครื่องกรองน้ำ: ชุมชนบ้านป่าสัก ตำบลบ้านเอื้อม อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง จากงบประมาณวิจัย วช.งบประมาณ พ.ศ. 2566 มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยได้มีโครงการร่วมมือ แผนบูรณาการน้ำ ปี 2566
สำหรับความคาดหวังที่มีต่อความร่วมมือ รองศาสตราจารย์ ดร.กิตติศักดิ์ เผยว่า มี 3 เรื่องคือ ความร่วมมือ จะนำไปสู่การพัฒนาด้านการวิจัยร่วมกัน เช่น การพัฒนาโจทย์วิจัยเพื่อขอทุน,การพัฒนาบุคลากรร่วมกัน เป็นการร่วมกันพัฒนาหลักสูตร การเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตร อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยร่วมกัน และการแลกเปลี่ยนและเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์และข้อมูลทางวิชาการ เป็นการส่งเสริมนักศึกษา และบุคลากรไปแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยงาน
“มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เป็นหน่วยงานในการอำนวยการเชิงพื้นที่ ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชี้เป้าประเด็นปัญหา รวมถึงรับการถ่ายทอดองค์ความรู้ชุมชน โดย บุคลากรมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง จะรับการถ่ายทอดองค์ความรู้จาก สวทช. ดังเช่นที่ คณะวิทยาศาสตร์รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเคลือบเซรามิกแบบซิลเวอร์นาโนสำหรับฆ่าเชื้อในระบบกรองน้ำชุมชนจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. การพัฒนาหลักสูตรร่วมกัน เช่น หลักสูตรวิทยาศาสตร์ เคมี ที่มีการแต่งตั้งอาจารย์ประจำหลักสูตร อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยร่วม การจัดการและสนับสนุนทรัพยากร เช่น การใช้ทรัพยากรทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกัน” อธิการบดี มรภ.ลำปาง กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
A-MED Home ward ระบบบริการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยในที่บ้าน นำร่องใช้ จ.ปราจีนบุรี
นักวิจัยศูนย์ A-MED สวทช. พัฒนาแพลตฟอร์มบริการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยในที่บ้าน A-MED Home ward เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการแพทย์ทางไกล สำหรับดูแลรักษาผู้ป่วยที่บ้านในรูปแบบของผู้ป่วยใน
โดยเมื่อวันที่ 26 ม.ค.2566 สวทช. ร่วมกับ อบจ. ปราจีนบุรี และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการเทคโนโลยีดิจิทัลในการใช้งานระบบบริการสุขภาพทางไกล” นำร่องในการนำแพลตฟอร์ม A-MED Home ward ไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนใน จ.ปราจีนบุรี
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สำรวจ “นก” ใน “พื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล” พัฒนาสู่แหล่งเรียนรู้-แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปีถูกกำหนดให้เป็น "วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก" (World Wetlands Day) เพื่อตระหนักถึงคุณค่าและร่วมกันอนุรักษ์ระบบนิเวศที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายของทรัพยากรมากที่สุด โดยพื้นที่ชุ่มน้ำมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์พืชและสัตว์นานาชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งของผู้ผลิตที่สำคัญในห่วงโซ่อาหาร มีทรัพยากรมากมายให้มนุษย์เข้าไปเก็บเกี่ยวใช้ประโยชน์ ทั้งยังเป็นปราการสำคัญที่ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำเค็มรุกล้ำเข้าสู่แผ่นดินและช่วยบรรเทาภัยธรรมชาติต่าง ๆ ทว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำหลายแห่งทั่วโลกถูกคุกคาม การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำจะช่วยให้เรามีองค์ความรู้ที่สามารถนำไปใช้วางแผนบริหารจัดการและอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ดังเช่น “พื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล” จังหวัดสุราษฎร์ธานี
[caption id="attachment_40050" align="aligncenter" width="527"] อาจารย์กนกอร ทองใหญ่ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี[/caption]
อาจารย์กนกอร ทองใหญ่ สาขาวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า บึงขุนทะเลเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่อยู่ใกล้ชิดชุมชนเมือง ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 1,000 ไร่ มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีทรัพยากรสัตว์ป่าเด่น เช่น นกน้ำ นกสวน โดยพื้นที่นี้พบเป็นทั้งแหล่งอาศัยของนกประจำถิ่นหลากชนิด และเป็นแหล่งพักพิงชั่วคราวของนกอพยพในช่วงฤดูอพยพ
ต่อมาบริเวณรอบบึงพัฒนาเป็นสวนสาธารณะและพื้นที่สำหรับออกกำลังกาย ทำให้พื้นที่บึงขุนทะเลบางส่วนถูกปรับเปลี่ยนและมีสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลต่อระบบนิเวศและแหล่งที่อยู่อาศัยของประชากรนก ทีมวิจัยจึงได้ริเริ่มจัดทำโครงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้นิเวศวิทยาของนกในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล เพื่อสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพของนกในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล และผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนกระบวนการเรียนรู้และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยทีมวิจัยทำงานร่วมกับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี กลุ่มประมงพื้นบ้านและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กลุ่มรักษ์บึงขุนทะเล มูลนิธินิเวศวิถี และศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าเขาท่าเพชร สุราษฎร์ธานี
“จากการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพของนกในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล พบว่ามีชนิดพันธุ์นกทั้งหมด 142 ชนิด ทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพ เป็นนกที่อยู่ในบัญชีแดงของ IUCN 3 ชนิด หนึ่งในนั้นอยู่ในสถานภาพมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (VU) คือ นกเงือกกรามช้างปากเรียบ (Rhyticeros subruficollis) ส่วนอีก 2 ชนิดมีสถานภาพใกล้ถูกคุกคาม (NT) ได้แก่ นกกาบบัว (Mycteria leucocephala) และนกอ้ายงั่ว (Anhinga melanogaster) นอกจากนี้ พื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเลยังมีชนิดนกน้ำเด่น เช่น นกอีโก้ง นกอีแจว นกพริก นกอีล้ำ นกอัญชันคิ้วขาว นกกาน้ำเล็ก เป็ดแดง เป็ดคับแค นกเป็ดผีเล็ก นกกระสาแดง ฯลฯ ในการสำรวจพบนกอีโก้ง นกพริก และเป็ดแดง ในวัยอ่อน บ่งชี้ได้ว่าพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเลมีความสำคัญในด้านการใช้เป็นแหล่งผสมพันธุ์ ทำรัง วางไข่ และเลี้ยงดูลูกอ่อน โดยองค์ความรู้ที่ได้นี้จะนำไปจัดทำหนังสือนกในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล และป้ายสื่อความหมายในแนวเส้นทางจักรยานของบึงขุนทะเลส่งมอบให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานีและเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี เพื่อใช้ในการบริหารจัดการพื้นที่สำหรับเป็นท่องเที่ยวเชิงนิเวศของจังหวัด”
[caption id="attachment_40058" align="aligncenter" width="600"] นกเงือกกรามช้างปากเรียบ สถานภาพมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (VU) - ภาพโดย อภิชาติ มากมูล[/caption]
[caption id="attachment_40057" align="aligncenter" width="611"] นกกาบบัว สถานภาพใกล้ถูกคุกคาม (NT) - ภาพโดย อัศวิน โนนเมืองนอก[/caption]
[caption id="attachment_40063" align="aligncenter" width="463"] นกอ้ายงั่ว สถานภาพใกล้ถูกคุกคาม (NT) – ภาพโดย ปรีดามน คำวชิรพิทักษ์[/caption]
[caption id="attachment_40062" align="aligncenter" width="600"] นกอ้ายงั่ว สถานภาพใกล้ถูกคุกคาม (NT) – ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้สำรวจเพื่อจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวชมนกในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล 3 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางหาดเลนบริเวณรอบเกาะกลางบึง (ตรงข้ามศาลพ่อตาขุนทะเล), เส้นทางสวนสาธารณะ และเส้นทางบริเวณแนวต้นไทร โดยร่วมกับผู้นำชุมชนกลุ่มประมงพื้นบ้านและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ที่จะจัดทำโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในรูปแบบวันเดย์ทริป (one day trip) สำหรับผู้ที่สนใจ เพื่อส่งเสริมให้พื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเลเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติและระบบนิเวศที่สำคัญของจังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมถึงกระตุ้นให้เกิดความตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ ลดการบุกรุกทำลายหรือการทำกิจกรรมที่จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในพื้นที่ดังกล่าว
[caption id="attachment_40068" align="aligncenter" width="600"] พื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกนานาพันธุ์ ในภาพประกอบด้วย นกยางเปีย นกตีนเทียน นกอีโก้ง นกเอี้ยงหงอน และนกกระแตแต้แว้ด และพบนกอีโก้งฟอร์มสีขาวในพื้นที่ - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
“เมื่อเรามีองค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ นิเวศวิทยา และชีววิทยาของนกในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล ทำให้เราสามารถวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น เพื่อสงวนรักษาพื้นที่ผสมพันธุ์ ทำรัง วางไข่ตามธรรมชาติของนก หรือใช้เป็นแผนแม่บทหรือข้อบัญญัติของท้องถิ่นในการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่า อนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำให้เป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์และเกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน”
สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก แหล่งเรียนรู้นิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล
[caption id="attachment_40066" align="aligncenter" width="600"] นกอีแจว ราชินีนกน้ำเมืองไทย พบได้ที่บึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40054" align="aligncenter" width="600"] นกแซงแซวหางปลา พบได้ตลอดทั้งปีที่บึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40073" align="aligncenter" width="600"] นกอัญชันคิ้วขาว นกประจำถิ่นในบึงขุนทะเล แต่พบได้ไม่บ่อยนัก - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40074" align="aligncenter" width="600"] นกกระแตหัวเทา นกอพยพที่พบได้ทุกปีช่วงฤดูอพยพในพื้นที่บึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40055" align="aligncenter" width="600"] นกกระจิบคอดำ ตัวเล็ก นิสัยปราดเปรียว พบได้บ่อยในบึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40051" align="aligncenter" width="600"] กาฝากท้องสีส้ม นกน้อยในบึงขุนทะเล พบได้บ่อยในพื้นที่สวนผลไม้ - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40065" align="aligncenter" width="600"] นกอีโก้ง ฉายาอัญมณีแห่งขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40061" align="aligncenter" width="600"] นกนางแอ่นแปซิฟิก - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40075" align="aligncenter" width="600"] นกคัคคูสีทองแดง นกประจำถิ่นและนกหายากในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40060" align="aligncenter" width="600"] นกตีนเทียน พบได้บ่อยในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเลช่วงฤดูอพยพ - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40064" align="aligncenter" width="600"] นกอินทรีทะเลท้องขาว นกนักล่าในพื้นที่บึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40069" align="aligncenter" width="600"] เหยี่ยวขาว นกนักล่าในพื้นที่บึงขุนทะเล - ภาพโดย รพีพัฒน์ อรรคพันธ์[/caption]
[caption id="attachment_40076" align="aligncenter" width="600"] เป็ดแดง นกน้ำอีกชนิดหนึ่งที่เป็นดาวเด่นแห่งพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40059" align="aligncenter" width="600"] นกเด้าดิน หนึ่งในนกอพยพที่มาอาศัยบึงขุนทะเลเป็นแหล่งพักพิงในช่วงฤดูอพยพของทุกปี - ภาพโดย ปรีดามน คำวชิรพิทักษ์[/caption]
[caption id="attachment_40052" align="aligncenter" width="600"] เยาวชนร่วมกิจกรรมสำรวจธรรมชาติ ณ แหล่งเรียนรู้นิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล - ภาพจากเฟซบุ๊ก สาขาวิชาชีววิทยา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี[/caption]
[caption id="attachment_40067" align="aligncenter" width="1366"] บัญชีรายการชนิดพันธุ์นกที่พบได้บ่อย ในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล จัดทำโดย อาจารย์กนกอร ทองใหญ่ และทีมวิจัย[/caption]
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
10 นักวิทยาศาสตร์ไทยรุ่นเยาว์ร่วมงานประชุมสุดยอดนักวิทยาศาสตร์เยาวชนโลก (GYSS) 2023
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นางฤทัย จงสฤษดิ์ กรรมการและเลขานุการโครงการการคัดเลือกผู้แทนเข้าร่วมประชุม GYSS2023 ได้นำคณะนักวิทยาศาสตร์ไทยทั้ง 10 คนเข้าพบท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐสิงคโปร์ (นายชุตินทร คงศักดิ์) พร้อมด้วย ม.ล. ปิยวรรณ คงศักดิ์ ภริยา ในวันที่ 16 มกราคม 2566 ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตฯ และเข้าร่วมกิจกรรมงานประชุมสุดยอดนักวิทยาศาสตร์เยาวชนโลก 2023 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบสิงคโปร์ สาธารณรัฐสิงคโปร์
นางฤทัย เปิดเผยว่า สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชประสงค์ให้นักวิทยาศาสตร์ของไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมสุดยอดนักวิทยาศาสตร์เยาวชนโลก หรือ Global Young Scientists Summit: GYSS ที่ประเทศสิงคโปร์จัดขึ้นทุกปี เพื่อเรียนรู้จากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่ประสบความสำเร็จ และจากเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันจากทั่วโลก เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือในอนาคต ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมกับมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อคัดเลือกนิสิต นักศึกษา และนักวิจัยหลังปริญญาเอก ที่สนใจเข้าร่วมการประชุม เพื่อกลั่นกรองผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมในเบื้องต้น จากนั้นจะทรงพระราชวินิจฉัยคัดเลือกผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมงาน GYSS ในแต่ละปี โดยการประชุมในปีนี้ (GYSS2023) มีนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก 21 คน และนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์จำนวนกว่า 800 คน จาก 38 ประเทศเข้าร่วมกิจกรรม ในจำนวนนี้ เป็นผู้แทนจากประเทศไทย จำนวน 10 คน และนอกจากนี้ยังมีอีก 11 คน ที่ได้รับการตอบรับให้เข้าร่วมชมแบบออนไลน์
ทั้งนี้ ผู้แทนนักวิทยาศาสตร์ทุกคนรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงพระราชทานโอกาสและประสบการณ์ล้ำค่าจากการเข้าร่วมงาน ตัวแทนทั้ง 10 คนได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับกิจกรรมที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-20 มกราคม 2566
นายปรมตถ์ บุณยะเวศ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “ด้วยผมเป็นนิสิตปริญญาตรีรู้สึกดีใจมาก ๆ เลยครับที่ได้รับโอกาสล้ำค่าเช่นนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่ได้เจอกับนักวิทยาศาสตร์ระดับรางวัลโนเบล และนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกหลายท่าน การได้พบปะและพูดคุยโดยตรงกับพวกเขาถือเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้ยาก ผมยังได้ทำความรู้จักกับเพื่อนและรุ่นพี่นักวิทยาศาสตร์จากหลากหลายสาขาทั่วโลกซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเช่นกันที่ได้พูดคุยและทำความรู้จักกับชาวต่างชาติมากขนาดนี้เพราะผมไม่เคยไปศึกษาและทำงานที่ต่างประเทศมาก่อน”
นางสาววรรณิดา แซ่ตั้ง จาก Wageningen University and Research กล่าวว่า “งานนี้มีการรวมตัวของนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกถึง 21 ท่าน ทำให้เห็นถึงแนวทางในการทำงานทางด้านวิทยาศาสตร์เชิงลึกจนได้มาซึ่งองค์ความรู้ที่เป็นมีความสำคัญต่อโลก รวมไปถึงการเสวนาด้านวิทยาศาสตร์ผ่านมุมมองต่าง ๆ เช่น ธุรกิจจากงานวิจัย การสื่อสารวิทยาศาสตร์ และการเมือง นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสพูดคุยกับวิทยากรอย่างเป็นกันเองในกิจกรรมแบ่งกลุ่มย่อย ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานสายวิทยาศาสตร์ของพวกเราได้เป็นอย่างดี”
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/GYSSTH และรับชมวิดิโอเนื้อหาการประชุมทั้งหมดได้ที่ https://www.youtube.com/@nrfmediasg)
นับตั้งแต่เริ่มการประชุม GYSS ครั้งแรกในปี 2556 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้ส่งนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ไปเข้าร่วมงานรวมจำนวนทั้งสิ้น 85 คน ซึ่งคนเหล่านี้ ปัจจุบันทำงานในสายงานที่เกี่ยวกับการสอนและงานวิจัย ประมาณ 52 คน (61%) และกำลังศึกษาในระดับปริญญาโท/ปริญญาเอก ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ / วิศวกรรมศาสตร์ ประมาณ 33 คน (39%) จึงถือได้ว่าเป็นอีกโครงการหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จับมือ อบจ.- สสจ.ปราจีนบุรี เปิด AMED Homeward ระบบบริการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยในที่บ้าน นำร่อง 7 กลุ่มโรคใช้จริงแห่งแรกใน รพ.สต. ปราจีนบุรี
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/a-med-home-ward-to-support-home-based-healthcare-in-prachinburi.html
(26 มกราคม 2566) ณ ห้องประชุมเอนกสัมพันธ์ โรงเรียนปราจิณราษฎรอำรุง จ.ปราจีนบุรี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการเทคโนโลยีดิจิทัลในการใช้งานระบบบริการสุขภาพทางไกล” เพื่อสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสุขภาพทางไกลในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี ในพื้นที่นำร่อง ได้แก่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) พื้นที่ อ.บ้านสร้าง อ.ศรีมโหสถ อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี โดยมี นายสุนทร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี นายยุทธชัย แสวงสุทธิ์ ผู้อำนวยการรพ.สต.ลาดตะเคียน รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข อบจ.ปราจีนบุรี และดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. เข้าร่วมพิธี
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. กล่าวว่า สวทช. เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีสุขภาพทางไกล เพื่อประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วย เพื่อลดการเดินทางมายังสถานบริการสุขภาพของผู้ป่วยแต่ยังคงดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้สามารถผลักดันเทคโนโลยีสุขภาพทางไกล ในการสนับสนุนการพัฒนาระบบสาธารณสุข และส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สวทช. พร้อมที่ให้การสนับสนุนบุคลากร และทรัพยากร เพื่อให้เกิดการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีสุขภาพทางไกลที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาและการใช้งานอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยได้รับความไว้วางใจจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมนี้ เข้าไปมีส่วนร่วมขับเคลื่อนการให้บริการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล พื้นที่ อ.บ้านสร้าง อ.ศรีมโหสถ อ.ศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ให้มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัย ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน และพร้อมเป็นแบบอย่างของหน่วยงานภาครัฐที่เล็งเห็นความสำคัญทางด้านสุขภาพด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเทคโนโลยีสุขภาพทางไกลเข้ามาประยุกต์ใช้ประโยชน์
สำหรับระบบบริการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยในที่บ้าน (AMED Homeward) เป็นแพลตฟอร์มสำหรับให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยในที่บ้าน ที่ใช้บ้านเป็นหอผู้ป่วย โดยได้รับความร่วมมือจาก สำนักการแพทย์ดิจิทัลกรมการแพทย์ สำนักสนับสนุนระบบปฐมภูมิ (สสป.) และ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อนำร่องการให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยในที่บ้าน ซึ่งออกแบบและพัฒนาต่อยอดจากต้นแบบงานวิจัย AMED Telehealth ของ สวทช. โดยเป็นการให้บริการแก่ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเป็นการให้บริการแบบผู้ป่วยในที่ได้รับการวินิจฉัยโรคตามกลุ่มโรค หรือกลุ่มอาการ ตามข้อบ่งชี้แนวทางและมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยในที่บ้านของกระทรวงสาธารณสุขกำหนด ใน 7 กลุ่มโรคที่ไม่มีความซับซ้อน ได้แก่ 1.โรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง 2.โรคความดันโลหิตสูง 3.โรคแผลกดทับและพื้นที่กดทับ 4.โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ 5.โรคปอดอักเสบ 6 โรคไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ภายหลังได้รับการผ่าตัด และ 7.โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ สามารถวิดีโอแชทเพื่อติดตามอาการ ดูสถานะของผู้ป่วยทั้งหมด รวมถึงเภสัชกร และพยาบาล สามารถตรวจสอบและรับงานตามแพทย์สั่ง รวมถึงบันทึกหัตถการพร้อมแนบไฟล์ภาพผ่านหน้า Dashboard เพื่อลดข้อผิดพลาดในการทำงานร่วมกันระหว่างแพทย์และทีม อีกทั้งสามารถเบิกจ่ายกับ สปสช. ผ่านโปรแกรม e-Claim ซึ่งช่วยลดภาระงานให้เจ้าหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
นายสุนทร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า บทบาทขององค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี ในการส่งเสริมและยกระดับการให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนอย่างทั่วถึงนั้น ตามที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรีได้รับการ ถ่ายโอนภารกิจสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในเขตพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี จำนวน 94 แห่ง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมาอยู่ภายใต้การ บริหารขององค์การบริหารส่วนจังหวัด นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี มีนโยบายในการ ส่งเสริมและยกระดับการให้บริการด้านสาธารณสุข ของสถานีอนามัย เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินีและโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตำบลในเขตพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง และเล็งเห็นความสำคัญในการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสม มาใช้ในการให้บริการประชาชน เพื่อเสริมศักยภาพให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ และร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทางด้านวิชาการเช่น สวทช. ในการใช้โปรแกรม A-MED ในการรักษา และติดตามดูแลผู้ป่วยแบบทางไกลผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้ ผู้ป่วยไม่ต้องมารับบริการที่โรงพยาบาล และได้รับการดูแลต่อเนื่องจากเจ้าหน้าที่ รพ.สต.ใกล้บ้าน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมารับการรักษาที่โรงพยาบาล ยังช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลได้ รวมถึง ได้รับความรวมมือจากโรงพยาบาลแม่ข่ายทั้ง 7 อำเภอที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี และ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี ยังได้จัดตั้งงบประมาณในการดำเนินการพัฒนาระบบการบันทึกข้อมูลสุขภาพ คือ ระบบ PCC ON CLOUD โดยร่วมมือกับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี ในการพัฒนาระบบให้กับ รพ.สต.ในเขตพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อให้บริการพี่น้องประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรี ด้วยคุณภาพการบริการและมีมาตรฐาน โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ยกระดับการบริการด้านสาธารณสุข เพื่อชาวปราจีนบุรี มีสุขภาพที่ดี
นายยุทธชัย แสวงสุทธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล สต.ลาดตะเคียน รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข อบจ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ถ่ายโอนสถานีอนามัยและโรงพยาบาลส่วนตำบล หรือ รพ.สต. ให้เข้าอยู่ในการบริหารขององค์การบริหารปกครองส่วนท้องถิ่น โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรีได้รับการโอน รพ.สต.จำนวน 94 แห่ง หรือ รพ.สต. ทั้งหมดเข้าอยู่ในการบริหารของอบจ. ปราจีนบุรี จึงนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ และเป็นก้าวสำคัญของการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ ทำให้หน่วยงานในท้องถิ่นสามารถตอบสนองปัญหาและความต้องการของประชาชนได้ตรงจุดและเป็นจุดร่วมให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของหน่วยงานท้องถิ่นในการดูแลสุขภาพประชาชน อบจ.จึงมีหน้าที่ในการบริหาร รพ.สต. ให้สามารถบริการด้านสุขภาพแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงแสวงหาเครื่องมือและเทคโนโลยีที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ และลดภาระงานให้เจ้าหน้าที่ รพ.สต. และด้วยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ ทำให้รู้จักแพลตฟอร์มการให้บริการสุขภาพทางไกล หรือ AMED Telehealth ที่พัฒนาโดย สวทช.
ทั้งนี้หน่วยงานที่สนใจเกี่ยวกับระบบการให้บริการสุขภาพทางไกล สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ทีมวิจัยนวัตกรรมและข้อมูลเพื่อสุขภาพ (HII) ศูนย์วิจัยเครื่องมือแพทย์และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (A-MED) สวทช. ได้ที่ e-mail: a-med-hii@nstda.or.th หรือ โทร.02 564 6900 ต่อ 2513
+++++++++++++++++++++
ข่าวประชาสัมพันธ์
“BCG-NAGA Belt Road” ชู “แหนแดง” ตัวช่วยลดต้นทุน – ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก – ยกระดับการผลิตข้าวเหนียวลุ่มน้ำโขง
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/bcg-naga-belt-road-project-promotes-the-use-of-azolla-in-glutinous-rice-cultivation.html
“ข้าวเหนียว” ถือเป็นสินทรัพย์ทางชีวภาพของและทางวัฒนธรรมของชุมชนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ทว่าเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวกลับมีรายได้ต่ำ เนื่องจากการสูญเสียผลผลิตจากเหตุปัจจัยหลายด้านและความไม่แน่นอนของตลาด การส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวให้ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมอย่างเช่นการใช้ “แหนแดง” จึงเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยเกษตรกรลดต้นทุน เพิ่มรายได้ ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตข้าว ยกระดับการผลิต และเกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ตามแนวทางการพัฒนาด้วยโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี
[caption id="attachment_39616" align="aligncenter" width="700"] ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา[/caption]
ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และผู้ประสานงานโครงการ BCG-NAGA Belt Road กล่าวว่า โครงการยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง หรือ BCG-NAGA Belt Road เป็นโครงการที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินการร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน มีเป้าหมายเพื่อยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวในพื้นที่นำร่อง 4 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง เชียงราย อุดรธานี และนครพนม โดยได้เข้าไปส่งเสริมเกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน ตลอดจนบูรณาการองค์ความรู้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแบบครบวงจร
“หนึ่งในปัญหาสำคัญของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวคือปัญหาปุ๋ยมีราคาแพง ดังนั้นเราจึงต้องหาวัสดุที่จะใช้ทดแทนปุ๋ยหรือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการให้ผลผลิตได้ ซึ่งแหนแดงมีคุณสมบัติดังกล่าว คือเป็นพืชที่ให้ไนโตรเจนสูง จึงใช้แหนแดงเป็นปุ๋ยพืชสดเพื่อเป็นแหล่งไนโตรเจนในนาข้าวทดแทนการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนได้ นอกจากนี้แหนแดงยังช่วยลดการเจริญเติบโตของวัชพืชในนาข้าวได้เป็นอย่างดี รวมถึงเป็นแหล่งโปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุอาหารต่างๆ สามารถนำไปใช้เลี้ยงสัตว์ได้”
[caption id="attachment_39619" align="aligncenter" width="700"] แหนแดง (Azolla)[/caption]
ทั้งนี้ แหนแดง (Azolla) เป็นเฟิร์นน้ำชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตลอยอยู่บนผิวน้ำในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ดำรงชีวิตแบบพึ่งพาอาศัยกันกับสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินกลุ่มไซยาโนแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในโพรงใบของแหนแดง ซึ่งสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินนี้เองที่ทำหน้าที่ตรึงไนโตรเจนจากอากาศ ทำให้แหนแดงมีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าพืชทั่วไปที่มีไนโตรเจนอยู่เพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์ จึงมีการนำแหนแดงมาใช้เป็นปุ๋ยพืชสดเพื่อเป็นแหล่งไนโตรเจนเช่นเดียวกับพืชตระกูลถั่ว
[caption id="attachment_39617" align="aligncenter" width="700"] ดร.สุรพล ใจวงศ์ษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาและคณะทำงานโครงการ BCG-NAGA Belt Road[/caption]
ดร.สุรพล ใจวงศ์ษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาและคณะทำงานโครงการ BCG-NAGA Belt Road ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แหนแดงช่วยสะท้อนคลื่นความร้อนออกจากผิวน้ำ ทำให้ลดการดูดซับความร้อนไว้ในน้ำได้ และจากการศึกษาเปรียบเทียบพบว่าอุณหภูมิของน้ำในแปลงนาข้าวที่มีแหนแดงต่ำกว่าอุณหภูมิของน้ำในแปลงนาที่ไม่มีแหนแดงถึง 3 องศาเซลเซียส แหนแดงจึงช่วยลดความเครียดของต้นข้าวจากสภาพอากาศที่ร้อนได้ อีกทั้งแหนแดงยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในนาข้าวได้เช่นกัน
ปัจจุบันมีเกษตรกรในพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่องของโครงการ BCG-NAGA Belt Road เลี้ยงแหนแดงในนาข้าวแล้วมากกว่า 24,000 ไร่ ผลิตแหนแดงสดได้มากกว่า 24 ล้านกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ากว่า 845 ล้านบาท (คิดจากราคาจำหน่ายแหนแดงสดในท้องตลาดเท่ากับ 35 บาท/กิโลกรัม) และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 400 ตันคาร์บอน คิดเป็นราคาคาร์บอนเครดิตประมาณ 4 แสนบาท (คิดจากราคาคาร์บอนเครดิตเท่ากับ 948.5 บาท/ตันคาร์บอน)
“จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าการใช้แหนแดงในนาข้าวช่วยลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ยังให้ผลผลิตในปริมาณคงเดิมหรือมากกว่า ช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนค่าปุ๋ยลงได้ ทั้งยังตอบโจทย์การทำเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์อีกด้วย ที่สำคัญเกษตรกรยังจำหน่ายแหนแดงสดเพื่อเพิ่มรายได้ได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้นแหนแดงจึงเป็นกลไกชีวภาพที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ช่วยยกระดับรายได้ของเกษตรกร ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก และช่วยรักษาสภาพแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน”
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
นักบินอวกาศญี่ปุ่นทดลอง 2 ไอเดียเยาวชนไทยบนสถานีอวกาศนานาชาติ
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/thai-students-participate-in-space-experiment-asian-try-zero-g-2022.html
เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) นำเยาวชนไทยบินลัดฟ้าเข้าร่วมโครงการ Asian Try Zero-G 2022 เพื่อรับชมการถ่ายทอดสดนักบินอวกาศญี่ปุ่นนำแนวคิดการทดลองจำนวน 2 เรื่อง ของเยาวชนไทยที่ได้รับการคัดเลือกขึ้นไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ ผ่านห้องบังคับการที่ศูนย์อวกาศสึคุบะ ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับเยาวชนจากประเทศญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)
[caption id="attachment_39874" align="aligncenter" width="700"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ร่วมกับแจ็กซา จัดโครงการ “Asian Try Zero-G 2022” เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยส่งแนวคิดการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำเข้าร่วมแข่งขันกับเยาวชนจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้แจ็กซาได้เลือกข้อเสนอการทดลองจาก 5 ประเทศ จำนวน 6 เรื่อง ขึ้นไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ ในห้องทดลองคิโบะ โมดูล (Kibo Module) ของแจ็กซา โดย นายโคอิจิ วะกาตะ นักบินอวกาศญี่ปุ่น ซึ่งในจำนวนการทดลองที่ได้รับคัดเลือกเป็นการทดลองของเยาวชนไทยถึง 2 เรื่อง ได้แก่ การทดลองเรื่อง การศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมเมื่อถูกแรงกระทำในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ของนางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และการทดลองเรื่อง การศึกษาระดับน้ำที่สูงขึ้นจากแรงดึงของผิวภาชนะในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ของนางสาวอินทิราภรณ์ เชาว์ดี บัณฑิตจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“ในครั้งนี้เยาวชนไทยทั้ง 2 คน ได้เดินทางไปร่วมติดตามรับชมการถ่ายทอดสดการทดลองจากสถานีอวกาศนานาชาติแบบเรียลไทม์ ณ ห้องบังคับการที่ศูนย์อวกาศสึคุบะ ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณการเดินทางจากบริษัทดิจิทัลบลาสต์ (DigitalBlast) อีกทั้งยังได้เยี่ยมชมเมืองวิทยาศาสตร์ Tsukuba Science City ถือเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญที่เยาวชนไทยได้สัมผัสการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันการได้มีโอกาสสื่อสารพูดคุยกับนักบินอวกาศโดยตรง ยังช่วยสานฝันและสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยสนใจพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีอวกาศในอนาคต”
[caption id="attachment_39606" align="aligncenter" width="600"] นางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ (พรีม)[/caption]
นางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ (พรีม) เล่าว่า การทดลองที่เสนอไปต้องการศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าน้ำถูกแรงจากภายนอกกระทำ ซึ่งการทดลองแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยการทดลองที่ 1 ต้องการศึกษาว่าเมื่อเกิดการชน (collision) ระหว่างลูกบอลกับก้อนน้ำทรงกลมแล้ว ก้อนน้ำจะมีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งลูกบอลมี 3 แบบ ได้แก่ ลูกบอลเหล็กกล้า ลูกบอลไม้ และลูกบอลไม้ที่เคลือบกันน้ำ ส่วนการทดลองที่ 2 คือการศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมที่สัมผัสกับแรงเฉือนจาก “ลูกข่างกระดก” ซึ่งลูกข่างมีความน่าสนใจตรงที่พลิกกลับด้านเมื่อหมุนได้
[caption id="attachment_39603" align="aligncenter" width="700"] เครดิตภาพ : JAXA/NASA[/caption]
“เมื่อนักบินอวกาศเริ่มทดลองการทดลองที่ 1 เรื่องการชนกันระหว่างลูกบอลกับก้อนน้ำทรงกลม พบปัญหาว่าก้อนน้ำทรงกลมไม่เกาะกับห่วงลวดโลหะเพื่อจะปล่อยให้ชนกับลูกบอลอย่างที่คิดไว้ จึงปรับวิธีการทดลองเป็นการปาลูกบอลอย่างเบาๆ เข้าใส่ก้อนน้ำที่ลอยในอากาศแทน ผลการทดลองพบว่า ลูกบอลเหล็กกล้าและไม้เมื่อชนกับก้อนน้ำทรงกลม ลูกบอลจะเข้าไปอยู่ที่ผิวของก้อนน้ำทั้งคู่ แต่จะต่างกันตรงความลึกของลูกบอลที่จมเข้าไปในก้อนน้ำ ทั้งนี้เกิดจากขนาดแรงยึดติด (adhesive force) ระหว่างน้ำกับวัสดุที่มาชนแตกต่างกัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการศึกษาการชนแบบไม่ยืดหยุ่นของวัตถุต่างสถานะกัน และการศึกษาเปรียบเทียบผลของชนิดวัสดุต่อพฤติกรรมการรวมตัวกับน้ำ ส่วนการทดลองที่ 2 คือการศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมที่สัมผัสกับแรงเฉือนจากลูกข่างกระดกนั้น น่าเสียดายที่เวลาไม่พอจึงไม่ได้ทำการทดลอง อย่างไรก็ดีการได้มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้นับเป็นประสบการณ์ดี ๆ ที่หาได้ยากมาก อีกทั้งยังได้มีโอกาสเข้าชมห้องทำงานของ JAXA ที่รู้สึกว่าเท่มาก นอกจากนี้ยังได้เข้าชมอาคารจัดแสดงหุ่นยนต์และเครื่องมือต่าง ๆ ที่อยู่บนคิโบะ โมดูล ที่สำคัญคือการได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ ต่างชาติที่มาจากหลากหลายสาขาวิชา เช่น ฟิสิกส์ วิศวกรรม และยังมีความสนใจทางด้านอวกาศเช่นเดียวกัน ทำให้เราได้รับแรงบันดาลใจและมีแรงผลักดันในการศึกษาด้านเทคโนโลยีอวกาศมากขึ้น”
[caption id="attachment_39607" align="aligncenter" width="700"] นางสาวอินทิราภรณ์ เชาว์ดี (ปาย)[/caption]
ด้าน นางสาวอินทิราภรณ์ เชาว์ดี (ปาย) เล่าว่า หัวข้อการทดลองที่ส่งให้นักบินอวกาศ คือการศึกษาระดับน้ำที่สูงขึ้นจากแรงดึงของผิวภาชนะในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ เป็นการทดลองที่เกิดจากความสนใจเกี่ยวกับการขนส่งของเหลวผ่านท่อในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ โดยตั้งสมมติฐานว่าเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีแรงโน้มถ่วงต่ำ เช่น ในระดับความสูงของสถานีอวกาศนานาชาติ จะส่งผลให้ของเหลวที่อยู่ในท่อสามารถขึ้นไปในระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับระดับความสูงของของเหลวที่ทำการทดลองบนพื้นโลก นอกจากนี้ยังมีการทดลองเปรียบเทียบขนาดรัศมีของท่อที่แตกต่างกันด้วยว่าจะส่งผลให้ระดับความสูงของของเหลวขึ้นไปตามท่อได้แตกต่างกันหรือไม่
[caption id="attachment_39602" align="aligncenter" width="700"] เครดิตภาพ : JAXA/NASA[/caption]
“ผลการทดลองพบว่าในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ของเหลวไม่เคลื่อนที่ตามแรงดึงของผิวภาชนะ แม้ใช้รัศมีของท่อที่ลดขนาดลงมา ซึ่งแตกต่างจากการทดลองบนพื้นโลกที่มีการเคลื่อนที่ของของเหลวขึ้นไปตามแรงดึงของภาชนะ ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากพฤติกรรมของของเหลวที่แตกต่างจากบนโลก อาจกล่าวได้ว่าพื้นผิวภาชนะที่ใช้ในการทำให้เกิดแรงดึงควรเข้ากับของเหลว เช่น น้ำ ได้ดี เพื่อให้พื้นผิวภาชนะมีความสามารถมากพอในการดึงของเหลว ดังนั้นการจัดทำอุปกรณ์ที่อาศัยหลักการแรงดึงของผิวภาชนะควรต้องพิจารณาชนิดของวัสดุด้วย การได้มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ทำให้ได้รับประสบการณ์ที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต เนื่องจากได้มีโอกาสอยู่ท่ามกลางผู้คนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน ได้แลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ยังเป็นความประทับใจที่การทดลองของเด็กคนหนึ่งได้ขึ้นไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งทั้งนักบินอวกาศและทีมงานต่างก็จริงจังในการหาคำตอบของการทดลองเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นความสงสัยเล็ก ๆ ของเด็กเท่านั้น”
สามารถติดตามการทดลองโครงการ Asian Try Zero-G 2022 ได้ที่เพจ NSTDA Space Education Facebook: www.facebook.com/NSTDASpaceEducation
เรียบเรียงโดย ปริทัศน์ เทียนทอง และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรกมล พลสงคราม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ


