ผลการค้นหา :

นาโนเทค สวทช. ใช้ AI พัฒนาเครื่องตรวจชนิดไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ
ไมโครพลาสติกกำลังเป็นภัยเงียบที่คุกคามต่อสุขภาวะของสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างไม่รู้ตัว เพราะพลาสติกชิ้นเล็กจิ๋วที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตรเหล่านี้ สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านทางการบริโภคอาหารและน้ำดื่ม รวมถึงการสูดดมอนุภาคในอากาศ ก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่ข้อมูลว่า มนุษย์อาจบริโภคไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายในปริมาณ 5 กรัมต่อสัปดาห์ หรือเทียบเท่ากับบัตรเครดิต 1 ใบ อีกทั้งล่าสุดผลวิจัยหลายชิ้นตรวจพบ “ไมโครพลาสติกในร่างกายมนุษย์” ปริมาณมาก ทั้งในอุจจาระ เลือด เนื้อเยื่อสมอง หรือแม้แต่รกเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ในระยะยาว
ด้วยเหตุนี้ ทั่วโลกต่างพยายามเร่งศึกษาวิจัยไมโครพลาสติกอย่างจริงจัง เช่น การจำแนกชนิดไมโครพลาสติกเพื่อหาทางลดปริมาณการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ ซึ่งมีขนาดเล็ก พกพาได้ และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ในการประมวลผล เพื่อให้ได้ผลตรวจที่ถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว
[caption id="attachment_66889" align="aligncenter" width="700"] ดร.อัศวพงษ์ ทรัพย์พัฒน์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและกระบวนการนาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.อัศวพงษ์ ทรัพย์พัฒน์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและกระบวนการนาโน นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า “ไมโครพลาสติก” เกิดจากเม็ดพลาสติกตั้งต้น (primary microplastics) เช่น เม็ดบีดส์ที่ใช้ในการผลิตและสังเคราะห์ผลิตภัณฑ์พลาสติกประเภทพอลิเอทิลีน (polyethylene: PE), พอลิโพรพิลีน (polypropylene: PP), พอลิสไตรีน (polystyrene: PS) หรือเกิดจากการย่อยสลายของขยะพลาสติกที่ถูกทับถมเป็นเวลานาน และมีการปนเปื้อนสะสมอยู่ในแม่น้ำ ทะเล และมหาสมุทร ทำให้สัตว์น้ำกินเข้าไปและเกิดการส่งต่อในห่วงโซ่อาหาร ปัจจุบันการศึกษาเรื่องไมโครพลาสติกยังไม่แพร่หลายมากนัก เนื่องจากวิธีวิเคราะห์ชนิดไมโครพลาสติกต้องใช้เครื่องมือขนาดใหญ่ เช่น Fourier Transform Infrared Spectroscopy (FTIR) ที่ต้องติดตั้งในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ที่สำคัญต้องนำเข้าจากต่างประเทศ มีราคาแพงหลายล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์สูงถึง 1,000 บาทต่อตัวอย่าง
“ทีมวิจัยนาโนเทคนำทีมโดย ดร.จันทร์เพ็ญ ครุวรรณ์ หัวหน้าโครงการ ได้พัฒนาเครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ มีขนาดเล็ก พกพาง่าย วิธีการใช้งานเพียงนำตัวอย่างไมโครพลาสติกมาย้อมสีด้วย “สีย้อมฟลูออเรสเซนต์-กราฟีนแบบใหม่” ซึ่งสามารถย้อมไมโครพลาสติกและช่วยให้ติดสีมากขึ้นถึง 4 เท่า จากนั้นนำเข้าเครื่องวัดฯ แสงยูวีจะกระตุ้นไมโครพลาสติกให้เกิดการเรืองแสงเป็นเฉดสีตามชนิดพลาสติก เนื่องจากพลาสติกแต่ละชนิดมีความเป็นขั้วต่างกัน (polarity) ทำให้เห็นสีย้อมต่างกันจึงใช้สีระบุชนิดไมโครพลาสติกได้”
[caption id="attachment_66886" align="aligncenter" width="700"] ไมโครพลาสติกชนิด PE, PET, PS และ PVC[/caption]
[caption id="attachment_66885" align="aligncenter" width="700"] ไมโครพลาสติกชนิด PE, PET, PS และ PVC ที่ผ่านการย้อมสีแล้ว[/caption]
สำหรับขั้นตอนการวิเคราะห์ผล ทีมวิจัยนำเทคโนโลยีแมชีนเลิร์นนิง (Machine Learning) มาสร้างการเรียนรู้ในการจำแนกภาพ (image classification) อัตโนมัติ ทำให้เครื่องวัดฯ ระบุชนิดและปริมาณของไมโครพลาสติกได้อย่างแม่นยำ เช่น พลาสติกชนิด PE, PP, PET, PS และ PVC และที่สำคัญใช้เวลาประมวลผลเพียง 1 นาที
[caption id="attachment_66884" align="aligncenter" width="700"] เครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ[/caption]
[caption id="attachment_66883" align="aligncenter" width="700"] เครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ[/caption]
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. กล่าวว่า จุดเด่นของเครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ คือ มีขนาดเล็ก เหมาะต่อการตรวจวัดเชิงรุกในพื้นที่ ทำให้ทราบถึงแหล่งขยะพลาสติกที่เป็นต้นตอของไมโครพลาสติกได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญคือเป็นเทคโนโลยีที่ประดิษฐ์ได้เองในประเทศ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งแหล่งน้ำจืด น้ำทะเล และน้ำกร่อย
“เครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำที่พกพาได้สะดวก ตรวจง่าย และมีต้นทุนต่ำ จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตรวจตัวอย่างได้เพิ่มขึ้นและรวดเร็ว ทำให้ทราบว่าไมโครพลาสติกที่พบในแต่ละพื้นที่มีต้นตอมาจากพลาสติกชนิดไหน เช่น ขวดน้ำที่ทำจากพลาสติก PET แก้วน้ำที่ทำจากพลาสติก PP หรือ PS ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนลดปริมาณขยะพลาสติกที่เป็นสาเหตุของการเกิดไมโครพลาสติกได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มการเฝ้าระวังเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพน้ำ รวมถึงลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตได้อย่างยั่งยืน”
ปัจจุบันนวัตกรรมเครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำได้ยื่นจดสิทธิบัตร และนำไปสาธิตใช้งานที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัดภูเก็ต รวมทั้งเปิดให้ผู้สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีและนำไปใช้ประโยชน์ในการตรวจวัดคุณภาพน้ำ หรือใช้ในกระบวนการควบคุมปริมาณไมโครพลาสติกในพื้นที่ต่าง ๆ
[caption id="attachment_66888" align="aligncenter" width="700"] ภาพบรรยากาศการลงพื้นที่[/caption]
[caption id="attachment_66887" align="aligncenter" width="700"] ไมโครพลาสติกจากตัวอย่างน้ำทะเล จ.ภูเก็ต[/caption]
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามนวัตกรรม เครื่องตรวจวัดและระบุไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ ได้ในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 20 (NAC2025) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 มีนาคม 2568 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ภายในงานยังมีงานสัมมนาวิชาการที่น่าสนใจถึง 40 หัวข้อ และมีนิทรรศการที่จัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรกว่า 100 บูท ดูรายละเอียดและลงทะเบียนร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่ www.nstda.or.th/nac/ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2564 8000
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
อินโฟกราฟิกโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
นานาสาระน่ารู้
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

Next-Gen Thai Automotive & Parts เจาะลึกการปรับตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยุคใหม่
🚗⚡ NEXT-GEN THAI AUTOMOTIVE & PARTS ⚡🚗
งานสัมมนาใหญ่แห่งปี! เจาะลึกการปรับตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยุคใหม่
📅 วันที่: 2 เมษายน 2025
🕘 เวลา: 09:00-15:30 น.
📍 สถานที่: ห้อง SAPPHIRE 203 ชั้น 2 IMPACT FORUM
🎟 ลงทะเบียนฟรี! (รับเพียง 150 ท่านเท่านั้น)
🔹 พบกับ Highlight Sessions เชื่อมโยงอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกับเทคโนโลยีใหม่
🔹 แนวทางสนับสนุนผู้ประกอบการ ผ่านโครงการ ITAP, NIA, UPP
🔹 How to Catch the Train: ไทยจะก้าวทันยานยนต์สมัยใหม่ได้อย่างไร?
📌 ลงทะเบียนได้ที่: https://forms.office.com/r/u5CpiCYh8y?origin=QRCode&qrcodeorigin=presentation
📞 สอบถามเพิ่มเติม: EV_TECE@nstda.or.th หรือโทร 02-564-7000 ต่อ 7167
#EVThailand #AutomotiveInnovation #MotorShow2025 #NextGenAutomotive
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. โดยนาโนเทค – สอวช. จับมือเดินหน้าแผนที่นำทางนาโนเทคโนโลยี ขับเคลื่อน วทน.ไทย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ภายใต้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ลงนามความร่วมมือโครงการจัดทำ “แผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย พ.ศ. 2569 – 2573” ส่งเสริมการขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ของประเทศ และสร้างเครือข่ายด้านนาโนเทคโนโลยี นำร่อง 4 ประเด็นมุ่งเน้น คือ การแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง, พลังงานสีเขียวและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, เกษตรอาหารเพื่อความยั่งยืน และความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี (Nanosafety) ตั้งเป้ายกระดับผลงานวิจัยสู่การใช้งานจริงในทุกภาคส่วน
ศาสตราจารย์ ดร. นพ. สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) กล่าวว่า นาโนเทคโนโลยี เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการในโครงการจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศไทย ระหว่าง สวทช. โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และสอวช. ในวันนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดี ในการทบทวนแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศให้สอดรับกับเป้าหมายและบริบทของระบบ ววน. ในปัจจุบัน ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศ
“สำหรับประเทศไทย นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ ระบบ ววน. และใช้เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ในปี 2569 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กว่า 160,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ ได้รวมการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรมระดับขั้นแนวหน้าที่ก้าวหน้าล้ำยุค เชื่อมั่นว่า แผนที่นำทางฉบับนี้ จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างแท้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมให้ก้าวหน้าเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม” ศาสตราจารย์ ดร. นพ. สิริฤกษ์กล่าว
ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ประเทศไทยได้มีการจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยี รวมทั้งสิ้น 3 ฉบับ โดยแผนฯ ฉบับที่ 3 ได้สิ้นสุดลงใน ปี พ.ศ. 2564 ซึ่งดำเนินการจัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) หรือ สอวช. ในปัจจุบัน ร่วมกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. และเครือข่ายพันธมิตร ดังนั้น เพื่อให้การวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมด้านนาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย สอดรับกับนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ระดับชาติ ตลอดจนพันธกิจของภาคอุดมศึกษา และสถาบันวิจัย รวมทั้งตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม จึงมีความจำเป็นในการทบทวนทิศทางการวิจัยพัฒนาด้านนาโนเทคโนโลยีให้ชัดเจนและทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
“โครงการจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย พ.ศ. 2569 – 2573” มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ ได้แก่ จัดทำแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย (Thailand Nanotechnology Roadmap) ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2569 – พ.ศ.2573) เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และเพื่อสร้างเครือข่ายการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมด้านนาโนเทคโนโลยีของประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วยหน่วยงานด้านการวิจัย สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และภาครัฐ ที่จะช่วยต่อยอดและยกระดับผลงานวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยีสู่การใช้ประโยชน์ได้จริงในทุกภาคส่วน
“นาโนเทคโนโลยีเป็นเทคโนโลยีแห่งการผลิตในอนาคต และมีศักยภาพในมิติของการเติบโตทางการตลาด แผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย พ.ศ. 2569 – 2573 ที่จะเกิดขึ้นนี้ คาดหวังว่า จะมีบทบาทสำคัญ สามารถประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะใน 3 อุตสาหกรรมนำร่อง คือ การแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง, พลังงานสีเขียวและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเกษตรอาหารเพื่อความยั่งยืน พร้อมยกระดับผลงานวิจัยสู่การใช้งานจริงในทุกภาคส่วน” ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทค สวทช. เผย
ดร. สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า สอวช. มีวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างสมดุล พร้อมรับพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยนโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ทันสมัยและเป็นรูปธรรม ด้วยบทบาทในการศึกษาวิจัยและจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนา ด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อส่งต่อให้หน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรมนำไปปฏิบัติ โดยนาโนเทคโนโลยีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศในหลายมิติ
“นาโนเทคโนโลยีมีศักยภาพที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นด้าน Future Food, Semiconductor หรือยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการวิจัยและพัฒนาที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Green-House-Gas Emissions ซึ่ง สอวช. ยินดีอย่างยิ่งที่จะร่วมมือกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ในการจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการบูรณาการและใช้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนา ในภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมร่วมกันขับเคลื่อนและผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระดับโลก และช่วยให้ประเทศไทยก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้อย่างยั่งยืน” ดร. สุรชัยชี้
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ถอดรหัสชีวิต: พลิกโฉมอนาคตสุขภาพด้วย AI และจีโนม
มนุษย์อายุยืนยาวได้ด้วย AI จริงหรือ ? ชวนสัมผัสพลังของ AI และข้อมูลจีโนม
ที่จะมาพลิกโฉมวงการสุขภาพและการแพทย์ที่งาน NAC2025
.
ขอเชิญร่วมสัมมนา "ถอดรหัสชีวิต: พลิกโฉมอนาคตสุขภาพด้วย AI และจีโนม" ที่จะเปิดประตูสู่แนวคิด สุขภาพเฉพาะบุคคล (Precision Health) ร่วมค้นพบว่าข้อมูลจีโนม (Genomic Data) จะเป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนสุขภาพได้อย่างไร พบกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI และจีโนมิกส์ ร่วมกับความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อสร้างแผนการดูแลสุขภาพที่แม่นยำ, มีประสิทธิภาพ, และเหมาะสมกับคุณ ร่วมเจาะลึกเทรนด์การใช้ AI ในการดูแลสุขภาพและการแพทย์แม่นยำ การบริหารจัดการข้อมูล Big Data และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึง เสวนาธุรกิจบริการการแพทย์จีโนมิกส์และการบูรณาการเทคโนโลยี AI โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและเอกชน
.
Key Highlights
AI in Clinical and Genomic Diagnostics: AI เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำ
AI and Cancer: นวัตกรรม AI กับมะเร็ง
AI and Pharmacogenomics (PGx): AI กับการเลือกใช้ยา
ธุรกิจบริการการแพทย์จีโนมิกส์และการบูรณาการเทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับการให้บริการ
.
พบกัน 28 มี.ค. 68 | 09:00-12:00 น.
ห้อง CC –309 Auditorium อาคาร 14 (CC)
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
.
ลงทะเบียน https://www.nstda.or.th/nac/2025/seminar/nac-21/
.
NAC2025 ยังมีหัวข้อสัมมนา นิทรรศการ Open House ที่เจาะลึกเรื่องราว AI ในหลากหลายมิติรอคุณอยู่ เข้าไปดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้เลยที่ https://www.nstda.or.th/nac/
.
อย่าพลาดโอกาส... ที่จะได้เจาะลึกเรื่องราวการพัฒนาเทคโนโลยีและ AI ที่ใกล้ตัวคุณกว่าที่คิด ในงาน NAC2025 วันที่ 26 - 28 มีนาคม นี้
.
#NAC2025 #AIforSustainableFuture #ขับเคลื่อนไทยด้วยAI #SustainableThailand #NSTDA #สวทช
ปฏิทินกิจกรรม

เกษตรกรยโสธรปลูก ‘ถั่วเขียว KUML’ พลิกนาทิ้งว่าง สร้าง ‘รายได้หลักหมื่น’
‘จังหวัดยโสธร’ คือหนึ่งใน 5 จังหวัด ที่มีพื้นที่อยู่ใน ‘ทุ่งกุลาร้องไห้’ ดินแดนที่เลื่องชื่อเรื่องร้อนแล้ง แต่กลับเป็นแหล่งผลิต ‘ข้าวหอมมะลิ’ ที่ดีที่สุดของประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่จึงมีอาชีพหลักคือ ‘การทำนา’ โดยเฉพาะ ‘นาอินทรีย์’ ซึ่งเดิมทีหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวแล้ว หากไม่ปล่อยที่นาว่างไว้ เกษตรกรมักจะปลูกพืชตระกูลถั่ว ได้แก่ ถั่วพร้า และปอเทือง เพื่อเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน แต่ในระยะหลังการปลูกพืชตระกูลถั่วเริ่มลดลง เพราะขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดีและผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ต่ำ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมส่งเสริมการเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และภาคเอกชน โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก สำนักวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนิน “โครงการขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต” เพื่อสนับสนุนเกษตรกรปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา ผ่านการทำงานเชื่อมกับสำนักงานเกษตรจังหวัด ทั้งสิ้น 32 จังหวัด ที่กรมส่งเสริมการเกษตรมีนโยบายส่งเสริมเรื่องการปลูกพืชตระกูลถั่วเป็นพืชหลังนา โดยโครงการปักธงนำร่องที่ ‘จังหวัดยโสธร’ ซึ่งสอดคล้องนโยบายขับเคลื่อน “ยโสธรเมืองเกษตรอินทรีย์ เมืองแห่งวิถีอีสาน” อีกทั้งยังมีการบรรจุถั่วเขียวเป็น 1 ใน 10 ชนิดสินค้าสำคัญของจังหวัด
‘ถั่วเขียว KUML’ พืชหลังนาอินทรีย์ตามมาตรฐาน EU
ปัจจุบันการรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ของสหภาพยุโรป (EU) ได้เพิ่มข้อกำหนดใหม่ที่ใช้ในปี 2567 ได้ระบุไว้ว่า “การปลูกพืชล้มลุกต้องมีการปลูกพืชหมุนเวียนที่เป็นพืชตระกูลถั่วในแต่ละปี ส่วนพืชยืนต้นและการปลูกพืชในโรงเรือน ต้องปลูกพืชสดระยะสั้นและพืชตระกูลถั่ว รวมทั้งเพิ่มความหลากหลายของพืช (For annual crop, multiannual crop rotation is required with leguminous crops. For perennial crop and greenhouses, shot-term green manure crop and legume as well as the use of plant diversity is required)” โดยให้กลุ่มผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ต้องปลูกพืชตระกูลถั่วหลังการเก็บเกี่ยวข้าวในสัดส่วน 5% ของพื้นที่เพาะปลูก
‘ถั่วเขียว KUML’ จึงถูกจับตาในฐานะ ‘พืชหลังนาที่มีความสำคัญ’ สำหรับใช้บำรุงดินและสร้างรายได้เพิ่ม ทำให้เกษตรกรมีความสนใจที่จะรับความรู้และเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวแบบครบวงจรให้ได้คุณภาพ รวมถึงผลิตและจัดเก็บเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวไว้ใช้เอง เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด และยังสามารถบำรุงดิน ได้รายได้เสริมจากการจำหน่ายผลผลิต และลดต้นทุนการซื้อเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวสายพันธุ์ดี ที่ตลาดมีความต้องการสูง เกิดความยั่งยืนในการผลิตทั้งระบบ
[caption id="attachment_66845" align="aligncenter" width="700"] กฤษณ์ เสาประธาน ประธานสหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทา จำกัด จังหวัดยโสธร[/caption]
กฤษณ์ เสาประธาน ประธานสหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทา จำกัด ตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เล่าว่า สหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทาฯ มีสมาชิกมากกว่า 170 ครอบครัว สมาชิกส่วนใหญ่ปลูกข้าวอินทรีย์ และมีพื้นที่ทำนามากถึง 2,000 ไร่ ผลผลิตข้าวของกลุ่มได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระดับสากล 2 มาตรฐาน คือ IFOAM และ EU
“ตามมาตรฐานของ EU หลังทำนาเสร็จ เกษตรกรต้องไถกลบตอซัง ห้ามเผา และต้องปลูกพืชตระกูลถั่ว 5% ของพื้นที่การทำนา ที่ผ่านมาเกษตรกรจะปลูกพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเขียว โดยซื้อเมล็ดพันธุ์จากพ่อค้าในท้องถิ่น แต่มักมีปัญหาถั่วหินปน ได้ผลผลิตน้อย เมล็ดเล็ก เวลาขายก็ได้ราคาต่ำ พอ สวทช. เข้ามาส่งเสริมการปลูกถั่วเขียว KUML ซึ่งเป็นถั่วเขียวสายพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตสูงและต้านทานโรค สหกรณ์ฯ จึงสนใจ เพราะนอกจากตอบโจทย์มาตรฐาน EU แล้ว ยังช่วยให้เกษตรมีรายได้เสริมหลังการทำนา ดีกว่าปล่อยที่นาว่างไว้เฉย ๆ”
สวทช. ไม่เพียงสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML แต่ยังลงพื้นที่ร่วมกับ ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน และสำนักงานเกษตรจังหวัด เพื่อจัดทำสื่อที่เข้าใจง่าย เกษตรกรสามารถเข้าถึงได้ง่าย และอบรมการปลูกถั่วเขียว KUML แบบครบวงจรให้แก่เกษตรกร
“แต่ก่อน เราไม่มีความรู้เรื่องการปลูกถั่วเขียว ก็หว่าน แล้วก็ปล่อยไว้ตามธรรมชาติ รอเก็บเกี่ยว แต่ครั้งนี้ทีมเจ้าหน้าที่ได้เข้ามาอบรมให้ความรู้ว่าการปลูกถั่วเขียวต้องทำอย่างไร อาจารย์ประกิจ สมท่า จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ผู้พัฒนาพันธุ์ถั่วเขียว KUML ช่วยแนะนำวิธีการตั้งแต่การเตรียมดิน ดูว่าดินมีความชุ่มชื้นเพียงพอไหม ก่อนปลูกก็ให้นำเมล็ดถั่วไปคลุกไรโซเบียมก่อน ซึ่งจะช่วยให้ถั่วเขียวต้านทานโรค รากจะมีปม หาอาหารได้เก่งขึ้น ต้นถั่วเขียวแข็งแรงขึ้น ระหว่างปลูกก็ต้องเดินสำรวจโรคแมลงและดึงวัชพืชทิ้ง ที่สำคัญยังสอนการคัดเมล็ดพันธุ์สำหรับเก็บไว้ใช้ปลูกต่อในปีถัดไป”
ถั่วเขียว KUML ฝักใหญ่ น้ำหนักดี มีตลาดรองรับ
การขาดแคลน ‘เมล็ดพันธุ์ดี’ ที่ให้ผลผลิตคุ้มค่าแก่การลงทุนลงแรง คือ สาเหตุหลักที่ทำให้เกษตรกรปลูกพืชตระกูลถั่วลดลง แต่เมื่อพวกเขาได้ทดลองปลูกถั่วเขียว KUML แล้ว เกษตรกรส่วนใหญ่ต่างยกนิ้วการันตีว่าผลผลิตคุณภาพดีและอยากปลูกเพิ่ม
[caption id="attachment_66847" align="aligncenter" width="700"] มณี แสงแก้ว เกษตรกร สมาชิกสหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทา จำกัด[/caption]
ลุงมณี แสงแก้ว เกษตรกร สมาชิกสหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทา จำกัด เล่าว่า เริ่มปลูกถั่วเขียว KUML มาได้ 2 ปีแล้ว ข้อดีคือเมล็ดใหญ่กว่าพันธุ์พื้นบ้าน ฝักยาว ได้ผลผลิตเยอะ พอถั่วเขียวเมล็ดใหญ่ขึ้น ทำให้น้ำหนักดี ถึงปลูกน้อยแต่ก็ขายได้น้ำหนักเยอะ ที่สำคัญคือเติบโตสม่ำเสมอ เก็บเกี่ยวง่ายขึ้น เพราะสุกไล่เลี่ยกัน
ปลูกแล้วจะขายใคร ? คือโจทย์ใหญ่ของเกษตร แต่สำหรับถั่วเขียว KUML เกษตรกรแทบไม่ต้องกังวล เพราะ สวทช. ใช้กลยุทธ์ “ตลาดนำการผลิต” เชื่อมตลาดรับซื้อ พร้อมกำหนดมาตรฐานและราคาถั่วเขียว KUML จูงใจไว้ตั้งแต่ต้นทาง
กฤษณ์ เล่าว่า สหกรณ์เกษตรอินทรีย์เลิงนกทา จำกัด เปิดรับซื้อถั่วเขียว KUML ในราคากิโลกรัมละ 40 บาท ทั้งนี้มีข้อกำหนดว่าต้องเป็นถั่วเขียวพันธุ์ KUML ที่ปลูกในแปลงที่ได้รับรองมาตรฐาน EU หรือ I-FOAM ถึงจะได้ราคานี้ แต่หากเป็นแปลงนาที่ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อื่น ๆ เช่น PGS จะรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 35 บาท สาเหตุที่รับซื้อถั่วเขียวได้ราคาดี เพราะเรามีลูกค้าที่รอซื้ออยู่แล้ว โดยผลผลิตถั่วเขียวที่รับซื้อมาจะนำมาตากแดดและนำเข้าเครื่องร่อนเพื่อคัดแยกเมล็ดที่มีคุณภาพ ก่อนบรรจุถุงสุญญากาศเพื่อส่งขายให้กลุ่มลูกค้าที่กินเจและอาหารสุขภาพในกรุงเทพฯ ซึ่งตลาดยังมีความต้องการผลผลิตอีกมาก
“ปีที่แล้วมีสมาชิกเริ่มปลูกแล้วนำมาขาย ทำให้มีรายได้เพิ่ม บางคนขายได้เงิน 20,000 บาท หรือ 30,000 บาท จากปกติไม่ได้มีรายได้หลังการทำนาเลย พอเกษตรกรท่านอื่นเห็นว่าปลูกแล้วมีรายได้จริง ก็เริ่มปลูกกันมากขึ้น ซึ่งในปี 2568 นี้ มีจำนวนสมาชิกสหกรณ์ฯ หันมาปลูกถั่วเขียวรวม 80% เกษตรกรที่เหลือบางคนแม้จะอยากปลูก แต่ด้วยสภาพดินที่ไม่พร้อม บางแปลงเป็นดินเหนียว ทำให้ปลูกไม่ได้”
“ปลูกถั่วเขียว KUML ดีตรงที่มั่นใจว่าขายได้” ลุงมณีกล่าวเสริมและเล่าว่า แต่ก่อนนี้ปลูกแล้วก็ต้องรอว่าจะขายใคร ไม่ที่ขาย กินเองบ้าง ขายคนในชุมชนบ้าง แต่ตอนนี้เก็บผลผลิตเสร็จส่งขายสหกรณ์ฯ ได้เลย
“ถ้าอยากมีรายได้เพิ่มหลังการทำนาก็ต้องมาปลูกถั่วเขียว KUML เพราะมีแหล่งรับซื้อรออยู่แล้ว ขายง่าย และได้เงินง่ายด้วย” ลุงมณีกล่าวย้ำด้วยความมั่นใจพร้อมรอยยิ้ม
ถั่วเขียว KUML พืชมหัศจรรย์ปรุงดินดี มีรายได้ยั่งยืน
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตปุ๋ยอินทรีย์และข้าวอินทรีย์บ้านคำครตา ตำบลดงมะไฟ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เป็นหนึ่งในพื้นที่การส่งเสริมการปลูกถั่วเขียว KUML
[caption id="attachment_66846" align="aligncenter" width="700"] ลัดดา พันธ์ศรี ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตปุ๋ยอินทรีย์และข้าวอินทรีย์บ้านคำครตา จ.ยโสธร[/caption]
ลัดดา พันธ์ศรี ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตปุ๋ยอินทรีย์และข้าวอินทรีย์บ้านคำครตา จ.ยโสธร เล่าว่า กลุ่มของเรามีสมาชิกทั้งหมด 138 ราย ผลิตข้าวอินทรีย์ได้รับรองมาตรฐานของสหภาพยุโรป (EU) และ มาตรฐานระบบอินทรีย์แคนาดา (COR) ซึ่งสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดของการทำข้าวอินทรีย์ คือ ‘การบำรุงดินหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว’
“แต่ก่อนนี้หลังทำนา เราปลูกถั่วพร้าและปอเทืองเพื่อเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน ไม่ได้เสริมสร้างรายได้ กระทั่ง ปี 2567 ได้รู้จักกับ สวทช. ผ่านการแนะนำของบ้านต้นข้าวออร์แกนิก กลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง จังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งเป็นเครือข่ายกัน ทำให้ได้เริ่มปลูกถั่วเขียว KUML ข้อดีของถั่วเขียว KUML คือ สุกพร้อมกัน แล้วก็ฝักใหญ่ เมล็ดใหญ่ เวลาเก็บน้ำหนักจะเยอะ ที่สำคัญคือถั่วเขียวเป็นพืชตระกูลถั่วที่ช่วยบำรุงดินให้กับต้นข้าวในฤดูกาลทำนา ดินจะร่วนซุยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ได้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น เมล็ดข้าวที่ได้จะโต หุงแล้วหอม นิ่ม อร่อย เพราะเราไม่ใช้สารเคมีในการผลิตข้าวเลย”
การปลูกถั่วเขียว KUML 1 ไร่ จะใช้เมล็ดพันธุ์ 5 กิโลกรัม ซึ่งหลังจากหว่านและปั่นกลบแล้ว ระหว่างปลูกหากเจอโรคและแมลงศัตรูพืช หรือแปลงถั่วเขียวมีปัญหา เจ้าหน้าที่ทั้งจาก สวทช. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเกษตรจังหวัดยังคอยเป็น ‘พี่เลี้ยง’ ให้คำแนะนำและแก้ปัญหา
“พอถั่วเขียวเริ่มงอก เราก็ต้องหมั่นดูในแปลงว่ามีโรคและแมลงหรือไม่ เช่น ถ้าเจอเพลี้ยอ่อน ก็จะแจ้งเข้าไปในไลน์กลุ่ม ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดจะคอยดูว่าแปลงถั่วเขียวของสมาชิกท่านใดมีปัญหาบ้าง จากนั้นจะเข้ามาช่วยดูและให้คำแนะนำ เช่น การใช้ชีวภัณฑ์ หรือน้ำหมักชีวภาพ แต่ที่ปลูกมาสมาชิกยังไม่พบปัญหารุนแรงถึงขั้นที่สร้างความเสียหายจนไม่ได้ผลผลิต”
ทุกวันนี้ถั่วเขียว KUML นอกจากเป็นพืชบำรุงดินชั้นดี ยังเป็นถั่วมหัศจรรย์ที่สร้างรายได้เสริมให้แก่เกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตปุ๋ยอินทรีย์และข้าวอินทรีย์บ้านคำครตาอย่างมาก
ลัดดา กล่าวว่า ปีที่แล้วปลูกถั่วเขียว KUML จำนวน 5 ไร่ ได้ผลผลิตถั่วเขียวประมาณ 700 กิโลกรัม เก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ 60 กิโลกรัม ที่เหลือขายให้บ้านต้นข้าวออร์แกนิกทั้งหมดในราคากิโลกรัมละ 35 บาท ทำให้มีรายได้เพิ่มประมาณ 20,000 บาท ซึ่งทางต้นข้าวออร์แกนิกจะส่งให้บริษัทข้าวดินดี ที่ทาง สวทช. ได้เชื่อมเป็นตลาดรับซื้อผลผลิตถั่วเขียว KUML ไว้ตั้งแต่แรก แต่หากเราสามารถทำความสะอาดและคัดเมล็ดถั่วเขียวคุณภาพส่งขายบริษัทโดยตรงจะขายได้ในราคากิโลกรัมละ 40 บาท
“ปลูกถั่วเขียว KUML มีที่ขายแน่นอน เพราะตลาดยุโรป อเมริกา ยังต้องการผลผลิตอีกมาก ที่สำคัญจังหวัดยโสธรก็มีตลาดรองรับถั่วเขียวเพิ่มขึ้นมาก เรียกว่าเป็นพืชที่จะสร้างรายได้อย่างเป็นมรรคเป็นผลเลย”
ถั่วเขียว KUML ที่กำลังออกฝักเต็มผืนนาไม่เพียงเป็นพืชฟื้นฟูดินที่ช่วยขับเคลื่อน ‘ยโสธรสู่เมืองเกษตรอินทรีย์’ แต่ยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่ช่วยยกระดับรายได้ให้ ‘เกษตรกรทุ่งกุลาม่วนซื่น อยู่ดี มีแฮง’
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

Workshop: The Essentials for Food Entrepreneurs: Brand, Business Strategy, and Financial Basic
📢 หากคุณเป็นผู้ประกอบการหรือกำลังเริ่มต้นธุรกิจอาหาร ห้ามพลาด! กับ The Essentials for Food Entrepreneurs: Brand, Business Strategy, and Financial Basic 💡
🚨กิจกรรม workshop ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจอาหาร โดยท่านจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทรนด์แห่งอนาคตที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม การวางกลยุทธ์เพื่อการสร้างแบรนด์ในระดับสากล พร้อมได้ความรู้เบื้องต้นทางด้านการเงินและการลงทุนในธุรกิจอาหาร โดยเรียนรู้ผ่าน Board game ที่สนุกสนาน เพื่อช่วยให้ท่านเข้าใจภาพรวมของธุรกิจได้ง่ายขึ้น ข้อมูลที่ท่านจะได้เรียนรู้ในครั้งนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญที่ผู้ประกอบการอาหารจำเป็นต้องรู้ในการบริหารธุรกิจให้เติบโตและยั่งยืนต่อไป
🎯 Key Highlights
✅Food Innovation Overview นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต
✅Future Food Business Trends
✅ Attitude Trend ค้นหากลุ่มเป้าหมายธุรกิจ
✅ Brand & Business Strategy Preparing for Global Brand
✅กลยุทธ์การงานแผนงบประมาณและงบการเงิน เพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจอย่างยั่งยืน
📅 วันที่ 6 - 9 พฤษภาคม 2568
📍ณ โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น จตุจักร
👉สมัครได้ที่ https://www.nstda.or.th/r/FKZgk
💥ค่าลงทะเบียน
🎉EARLY BIRD (วันนี้ – 28 มีนาคม) 7,000 บาท
✨REGULAR 8,000 บาท
🚩 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
🌏 Facebook : FoodInnopolis
📲 โทรศัพท์ : คุณโชติกา 0619592498 และ คุณกวิสรา 0988426289
แล้วพบกันที่เวิร์กชอปเพื่ออนาคตธุรกิจอาหารของคุณ! 🚀
#Food #Foodtrend #Strategy #คอร์สพัฒนาผู้ประกอบการ
รายละเอียด Agenda สำหรับการ Workshop
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. โดย เอ็มเทค จับมือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยคณะแพทยศาสตร์ ผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมวัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับอุตสาหกรรมการแพทย์ในประเทศไทย
(วันที่ 7 มีนาคม 2568) ณ ห้องประชุมหนองแวง สำนักงานคณบดี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พร้อมด้วย มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) โดยคณะแพทยศาสตร์ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงทางวิชาการด้านการวิจัยและพัฒนา “โครงการผลักดันและพัฒนาผลิตภัณฑ์วัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปสู่เชิงพาณิชย์” โดยมี รองศาสตราจารย์เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการ เอ็มเทค และ รองศาสตราจารย์ นพ.ภัทรพงษ์ มกรเวส คณบดี คณะแพทยศาสตร์ มข. ร่วมลงนามความร่วมมือ พร้อมกันนี้ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ นพ.ภพ โกศลารักษ์ ผู้อำนวยการสถานบริหารจัดการงานวิจัยคลินิก (Advanced Clinical Research Organization: ACRO) ดร.นฤภร มนต์มธุรพจน์ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เอ็มเทค รองศาสตราจารย์ พญ.ศิริรัตน์ อนุตระกูลชัย รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม มข. คณะผู้บริหารและนักวิจัยทั้งสองหน่วยงาน เข้าร่วมงาน โดยวัตถุประสงค์ความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อผลักดันและพัฒนาผลิตภัณฑ์วัสดุทดแทนกระดูกกลุ่มแคลเซียมฟอสเฟต สำหรับงานทางด้านการแพทย์ให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์
รศ.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ กล่าวว่า “พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงในวันนี้ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงานอย่างเป็นรูปธรรม สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันในการส่งเสริมความก้าวหน้าทางการวิจัย การพัฒนาวัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผ่านการทดสอบทางคลินิกตามมาตรฐานสากล ภายใต้ความร่วมมือนี้จะเป็นกลไกหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้เกิดโครงการความร่วมมือในด้านอื่นๆ ในอนาคต อันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมและเพิ่มคุณค่าทางวิชาการของทั้งสองหน่วยงานในอีกหลายปีต่อจากนี้ ตลอดจนการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมเทคโนโลยีวัสดุทางด้านการแพทย์ในประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก”
รศ. นพ.ภัทรพงษ์ มกรเวส กล่าวว่า “พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงในวันนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองหน่วยงานในการสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย โดยมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาวัสดุและอุปกรณ์การแพทย์ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าและสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลก จากการทำงานร่วมกันที่ผ่านมา เอ็มเทค ได้แสดงบทบาทสำคัญในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีวัสดุและอุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้เกิดการผลิตเครื่องมือแพทย์ที่มีประสิทธิภาพสูงภายในประเทศ ลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถของนักวิจัยไทยให้ก้าวสู่ระดับนานาชาติ ในขณะเดียวกัน เอ็มเทค ยังได้ส่งต่อองค์ความรู้และต้นแบบจากห้องปฏิบัติการให้กับ ACRO ซึ่งมีบทบาทสำคัญในฐานะแกนกลางของการวิจัยทางคลินิก เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและผลิตเครื่องมือแพทย์ให้ได้ตามมาตรฐานสากล
ความร่วมมือในครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการการแพทย์ไทย ที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุข และปูทางให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมชีววัสดุและอุปกรณ์การแพทย์ในระดับสากลอย่างแท้จริง”
ในโอกาสนี้ ศ. นพ.ภพ โกศลารักษ์ ผู้อำนวยการ ACRO ได้นำคณะฯ เยี่ยมชมหน่วยงาน โดยมีเจ้าหน้าที่ของACRO ให้การต้อนรับและแลกเปลี่ยนข้อมูลการดำเนินงาน ตลอดจนการดำเนินงานต่างๆ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะการวิจัยทางด้านคลินิกตามมาตรฐานสากล เพื่อนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมทางการแพทย์ของไทยสู่สากล
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เปิดประสบการณ์เยาวชนไทย สู่ห้องปฏิบัติการวิจัย สวทช. กับโครงการฝึกทักษะวิจัยภาคฤดูร้อน ปี 2568
(วันที่ 10 มีนาคม 2568) ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพสูง ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดกิจกรรม “ปฐมนิเทศ: ยินดีต้อนรับสู่ สวทช.” โครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ครูวิทยาศาสตร์ฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. ภาคฤดูร้อน ปี 2568 ให้แก่นักเรียนและครูในโครงการฯ จำนวน 115 คน จากโรงเรียนทั่วประเทศกว่า 50 โรงเรียน เพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้าใจก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายไปฝึกทักษะการทำวิจัยในแต่ละห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. โดยมีนักวิจัย สวทช. เป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดความรู้และให้คำแนะนำเป็นระยะเวลา 2 เดือนระหว่างวันที่ 11 มีนาคม – 8 พฤษภาคม 2568
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงได้จัดกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการบรรยาย การฝึกอบรม กิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ และการประกวดแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เยาวชนได้ฝึกฝน เรียนรู้ และทำวิจัยภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดจากวิทยากรซึ่งเป็นนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของไทย เป็นการบ่มเพาะเยาวชนสู่เส้นทางการเป็นนักวิทยาศาสตร์ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ยังมีบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรซึ่งเป็นทั้งที่พักและพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมพัฒนาเยาวชน ที่มีความพร้อมและปลอดภัย รวมทั้งมีทีมงานที่มีความสามารถและประสบการณ์ด้านการพัฒนากำลังคนเข้าสู่อาชีพนักวิจัย
สวทช. ได้ริเริ่มโครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และครูวิทยาศาสตร์ ฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. ภาคฤดูร้อน เป็นปีแรกในปี 2561 จนถึงปัจจุบันนับเป็นปีที่ 8 การที่นักเรียนและครูมีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะวิจัยนักวิจัย สวทช. ได้มาเห็นบรรยากาศของการทำงานในห้องปฏิบัติการวิจัยของนักวิจัยแบบมืออาชีพ ได้ร่วมลงปฏิบัติงานจริง ได้ใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ในห้องปฏิบัติการวิจัย จะเป็นการช่วยเพิ่มพูนทักษะ ความรู้ต่างๆ เกิดความเข้าใจความสำคัญของการทำวิจัย อีกทั้งจุดประกายให้เห็นเส้นทางอาชีพนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ในอนาคตด้วย
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สวทช. ยินดีกับนักเรียนและครูทุกคนที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมฝึกทักษะวิจัยในครั้งนี้ ซึ่งทุกท่าน ถือเป็นผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านการคัดเลือกโดยนักวิจัย สวทช. ให้มาฝึกปฏิบัติการวิจัย ถือเป็นโอกาสหนึ่งที่สำคัญของนักเรียนสายวิทยาศาสตร์ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะได้รับความรู้จากกิจกรรมทั้งด้านการทำวิจัย และกิจกรรมเสริมประสบการณ์ต่าง ๆ ขอให้ใช้เวลาในช่วงปิดภาคเรียนนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขอให้เปิดใจและตั้งใจที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากนักวิจัยรวมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนต่างโรงเรียน
นอกจากนักเรียนและครูจะได้เรียนรู้ฝึกฝนทักษะทางด้านการทำวิจัยแล้ว โครงการยังได้จัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมโครงการ ดังเช่นกิจกรรมวันปฐมนิเทศ ได้จัดให้มีการบรรยายเกี่ยวกับงานวิจัยที่น่าสนใจโดยนักวิจัย สวทช. และกิจกรรมเกี่ยวกับกระบวนการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ การถ่ายทอดประสบการณ์และส่งต่อแรงบันดาลใจจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง และยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจในวันอื่น ๆ เช่น การอบรมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ “เร่งสปีดภาษาอังกฤษ: พูดให้เป๊ะ พรีเซนต์ให้ปัง” พร้อมด้วยกิจกรรมในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. NAC 2025 ในหัวข้อ “นักวิจัยแห่งอนาคต: AI สำหรับ STEM” เป็นต้น นอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านวิชาการแล้ว ยังช่วยสร้างบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักเรียนและครู ดร.พัชร์ลิตา กล่าวทิ้งท้าย
ข่าว

สวทช. ปฐมนิเทศนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์ฯ ประจำปี 2567 เสริมความรู้ เตรียมความพร้อมศึกษาต่อ
วันที่ 13-14 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น นาดา ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ฝ่ายพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษและอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งานทุนรัฐบาล กระทรวง อว. จัดงานสัมมนาและปฐมนิเทศนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ประเภททุนพัฒนาบุคลากรภาครัฐ) ประจำปี 2567 เพื่อเตรียมความพร้อมแก่นักเรียนทุนก่อนเดินทางไปศึกษาต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยมุ่งหวังที่จะสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพสูงเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรม โดยในปีนี้มีผู้ได้รับทุนฯ แบ่งเป็นทุนศึกษาในประเทศ จำนวน 15 คน และทุนศึกษาต่างประเทศ จำนวน 51 คน โดยมี ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับทุน
“ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2567 (ทุนพัฒนาบุคลากรภาครัฐ) การได้รับทุนพัฒนาบุคลากรภาครัฐไม่เพียงเป็นโอกาสในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น แต่ยังถือเป็นภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ผ่านความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม การจัดปฐมนิเทศในวันนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนทุนทุกคนได้รับทราบแนวทางการศึกษา ข้อกำหนด กฎระเบียบ ตลอดจนการเตรียมตัวใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสอันดี ในการสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักเรียนทุนด้วยกัน ตลอดจนพบปะ พูดคุย ทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ก.พ. และพี่เลี้ยงจาก สวทช. ซึ่งพร้อมให้การดูแลและสนับสนุนตลอดเส้นทางการศึกษา”
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ เทคโนโลยีชีวภาพที่ช่วยยกระดับระบบสาธารณสุข ไปจนถึงพลังงานสะอาดที่กำลังก้าวสู่ การเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลก ประเทศที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะมีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และประเทศไทยจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมเหล่านี้ไปข้างหน้า จึงอยากขอให้ทุกท่านใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากการเรียนรู้ทางวิชาการแล้ว ยังต้องพัฒนาทักษะการทำงาน การแก้ปัญหา และความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ขอให้ทุกท่านตระหนักถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับโอกาสนี้ ประเทศไทยกำลังรอการกลับมาของทุกท่าน ในฐานะผู้มีความรู้ ความสามารถ และพร้อมอุทิศตน เพื่อพัฒนาประเทศชาติขอให้มุ่งมั่น ตั้งใจ และทำให้ดีที่สุด เพื่ออนาคตของตนเองและประเทศ” ดร.พัชร์ลิตา กล่าว
การสัมมนาและปฐมนิเทศครั้งนี้ ครอบคลุมเนื้อหาสำคัญหลากหลายมิติ อาทิ การแนะนำระเบียบ กฎเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติของนักเรียนทุนรัฐบาล ก่อนเดินทางไปศึกษา และระหว่างศึกษา โดยสำนักงาน ก.พ. การเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจของนักเรียนทุนก่อนเดินทางไปศึกษา โดย ผศ.ดร.ศุภาพิชญ์ มณีสาคร โฟน โบร์แมนน์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ สำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา มาบรรยายในหัวข้อ “ชีวิตสดใส ปรับตัวอย่างไรเมื่ออยู่ต่างแดน” เพื่อให้นักเรียนทุนสามารถปรับตัว รับมือกับความเปลี่ยนแปลง และความท้าทายในการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมใหม่ได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ยังมีเวทีเสวนาเพื่อให้คำแนะนำและเล่าประสบการณ์การเรียนและการใช้ชีวิตต่างแดนตลอดจนแบ่งปันเคล็ดลับ และแนวทางการปรับตัวที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยนักเรียนทุนรุ่นพี่ที่สำเร็จการศึกษาจากประเทศต่าง ๆ ได้แก่พ.ท.ดร.นพ. อนุพงศ์ สิริรุ่งเรือง (สหรัฐอเมริกา) ดร.พรพล ธรรมรงค์รัตน์ (สหราชอาณาจักร) รศ. ดร.สาโรช พูลเทพ (สาธารณรัฐฝรั่งเศส) ผศ. ดร.เจนณรงค์ ตั้งตรงไพโรจน์ (สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี) และ ดร.วรัญญา อุสมา (ประเทศญี่ปุ่น) โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.อนรรฆ ขันธะชวนะ นักเรียนทุนรุ่นพี่ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ดำเนินการเสวนา”
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 โครงการทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์ฯ ได้จัดสรรทุนให้กับบุคลากร ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปแล้วกว่า 5,500 คน โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาแล้วกว่า 4,000 คน และกลับมาปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยของประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญ ของโครงการฯ ในการผลิตบุคลากรที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยในระดับสากล
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จับมือพันธมิตรร่วมจัดตั้งเครือข่าย TCCA หนุนเทคโนโลยี CCUS ขับเคลื่อนไทยสู่ความยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และหน่วยงานพันธมิตร ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือโครงการจัดตั้งภาคีเครือข่ายพันธมิตรด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance, TCCA) เพื่อขับเคลื่อนเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในประเทศ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี CCUS ของไทยในเวทีโลก สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนอย่างยั่งยืน ณ โรงแรมโนโวเทล ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ห้องนครรังสิต 1-3
ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายสำคัญของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ อุตสาหกรรม และวงการวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญของประเทศ สวทช. ในฐานะหน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งครอบคลุมไปถึงการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศที่เหมาะสมกับการพัฒนาเทคโนโลยีสู่การนำไปใช้จริงในอุตสาหกรรม การจัดตั้ง Thailand CCUS Alliance (TCCA) จะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในประเทศไทยอย่างก้าวกระโดด
โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและสถาบันอุดมศึกษา การวิจัย และการสร้างนวัตกรรม (บพค.) โดย สวทช. มอบหมายให้ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินการขับเคลื่อนร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และเครือข่ายพันธมิตร การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ตามกลยุทธ์ “การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand)” ของ สวทช. ด้วยเชื่อว่า CCUS จะไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ยังจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันระดับสากล นำมาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า โครงการภาคีเครือข่ายพันธมิตร ด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance; TCCA) มีเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี CCUS สู่การใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย โดย TCCA มุ่งเน้นการสร้างศูนย์กลางสำหรับการบูรณาการองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม เพื่อผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายที่เอื้อต่อการใช้เทคโนโลยี CCUS ในการลดการปล่อยคาร์บอนให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศ การรวมตัวเป็นเครือข่ายระดับประเทศ เช่น TCCA จะช่วยให้ทุกภาคส่วนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนการลงทุน ลดระยะเวลาดำเนินงาน ลดความซ้ำซ้อนของงานวิจัย และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงทุนสนับสนุนขนาดใหญ่จากระดับนานาชาติ ทำให้สามารถยกระดับความพร้อมของเทคโนโลยีสู่การใช้งานจริง และสร้างประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ
ดร. ขจรศักดิ์ เฟื่องนวกิจ หัวหน้าโครงการ TCCA กล่าวว่า โครงการ TCCA ภายใต้การสนับสนุนของ บพค. ตามแผนงานมีระยะเวลา 3 ปี (2567-2569) ปัจจุบันอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของโครงการปีที่ 1 ซึ่งเราสามารถผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่มภาคีเครือข่ายขึ้นมาแล้วอย่างเป็นทางการตามจุดประสงค์ของโครงการ และนำมาซึ่งการลงนาม MOU ร่วมกันในวันนี้ สำหรับปีที่ 2 จะเป็นการสร้างกลไกการทำงาน กำหนดบทบาทหน้าที่ และตั้งเป้าหมายที่เข้มแข็งเชิงปฏิบัติที่วัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ โดยดำเนินงานผ่านคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาวิจัย เราจะใช้เวที TCCA เป็นสื่อกลางในการหารือและผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ในทุกมิติ ทั้งในแง่ของการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเราเอง การผลักดันกฎระเบียบและนโยบายเพื่อปลดล็อกการพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างแรงจูงใจที่จะนำไปสู่การลงทุน และการสร้างและยกระดับทักษะของกำลังคนให้พร้อมกับอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะเป็น New S-curve ของประเทศไทยในอนาคต ในปีที่ 3 ของโครงการ มีเป้าหมายในการพัฒนาโครงการระดับชาติร่วมกันระหว่างสมาชิก เพื่อหางบลงทุนที่จะนำไปสู่การพัฒนาโครงการนำร่อง (Demonstration project) ของเทคโนโลยี CCUS ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย
ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) กล่าวว่า ประเทศไทยมีแผนจะส่งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ (NDC 3.0) ในปี 2568 ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบของแต่ละประเทศในการรับมือกับวิกฤตสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งภายในปี พ.ศ. 2573 โลกต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส และบรรลุการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ในช่วงกลางศตวรรษ โดยเป้าหมายใหม่ของ NDC 3.0 ที่จะต้องเข้มข้นขึ้นจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าโลกสามารถลดการปล่อยก๊าซได้ทันหรือไม่ สำหรับยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ หรือ LT-LEDS ในสาขาพลังงาน ได้กำหนดให้ต้องมีการนำ CCUS / BECCS เข้ามามีบทบาท ภายในปี ค.ศ. 2040 และ NDC Action plan ได้บรรจุมาตรการและค่าเป้าหมายการลด GHGs รายปี ในสาขาพลังงาน ของกลุ่มที่ 3 โครงการนำร่อง CCS ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ โดยมีค่าเป้าหมายในปี ค.ศ. 2027 – 2030 อยู่ที่ 0.25, 1.0, 1.0, 1.0 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี (MtCO2/y) ตามลำดับ นอกจากนี้ ผลการศึกษา CCUS Roadmap ของ สกสว. ระบุความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยี CCUS ที่มีบทบาทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี ค.ศ. 2050 อยู่ที่ 50-150 ล้านตันต่อปี (Mtpa) ซึ่งจะทำให้ CCUS เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่สามารถนำพาประเทศไทยเข้าใกล้ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้เร็วยิ่งขึ้น
“การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการพัฒนากลไกสนับสนุนที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการภาษีและการสนับสนุนด้านการเงินผ่านกองทุนต่างๆ รวมทั้งเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ อย่างไรก็ตามกรณีเงินสนับสนุนนั้นมีแนวโน้มที่จะสามารถบรรจุอยู่ในกรณีการขอรับการสนับสนุนจากต่างประเทศ หรือ Conditional เพื่อให้เจ้าของแหล่งเงินทุนในต่างประเทศ เล็งเห็นความสำคัญและความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนเพราะผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นส่งผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชาชน อีกทั้งการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความท้าทาย ทุกภาคส่วนจึงต้องร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวทางที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง” ดร. พิรุณชี้
คุณนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า CCUS มีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม โดยจะช่วยลดต้นทุนภาษีคาร์บอนและค่าปรับ เนื่องจากเทคโนโลยี CCUS ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้บริษัทสามารถหลีกเลี่ยงภาษีคาร์บอนและค่าปรับจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกำหนด รวมทั้งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยอุตสาหกรรมที่ใช้ CCUS จะได้รับการยอมรับในตลาดโลก โดยเฉพาะจากประเทศที่มีมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เช่น สหภาพยุโรป รวมถึงสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30-40% ภายในปี 2030 และ CCUS เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ โดยการนำ CCUS มาใช้สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติและสร้างโอกาสในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
รศ.ดร. สุพฤทธิ์ ตั้งพฤทธิ์กุล หัวหน้าศูนย์วิจัยการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน TCCA ใน 2 ด้านหลัก คือ งานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศและการพัฒนาบุคลากรทักษะสูง ในด้านการวิจัย มช. เป็นสถาบันวิจัยหลักที่ขับเคลื่อนงานวิจัยด้านการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีความเชี่ยวชาญให้มีความโดดเด่นมากขึ้น เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการสำรวจและกักเก็บคาร์บอนของไทยให้เกิดขึ้นได้ พร้อมกับการยอมรับจากสังคม และมีส่วนสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายของประเทศด้วยเทคโนโลยี CCUS นอกจากนี้ มช. ยังร่วมกับสถาบันวิจัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่น โดยเฉพาะด้านกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และกลไกทางการเงิน ผ่านการให้ความเห็นทางวิชาการเกี่ยวกับเทคโนโลยี CCUS ในด้านการพัฒนาบุคลากรทักษะสูง ในฐานะสถาบันอุดมศึกษา มช. มีพันธกิจสำคัญในการสร้างบุคลากรทักษะสูงให้กับประเทศ โดยควรมีบทบาทนำในการเป็นศูนย์กลางความรู้เทคโนโลยี CCUS มีกระบวนวิชาและหลักสูตรรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐ โดยเฉพาะการ Re-skill และ Up-skill รวมถึงการจัดการเรียนการสอนแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต
“ความร่วมมือนี้จะเป็นรากฐานสำคัญของการเชื่อมโยงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ภาควิชาการวิจัย เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเชื่อมต่อเครือข่ายระดับนานาชาติ เกิดเป็นภาพใหญ่ระดับประเทศ คือ กลุ่มพันธมิตรระดับประเทศจะมีศักยภาพในการเข้าถึงทุนขนาดใหญ่ระดับนานาชาติมากขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับความพร้อมทางเทคโนโลยีไปสู่ภาคปฏิบัติ (Implementation) เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero) ของประเทศ สุดท้ายปลายทาง เราจะสามารถมุ่งเป้าสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการส่งออก แทนที่จะมุ่งเป้าเพียงการลดการนำเข้าเทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้” ผู้อำนวยการ สวทช. ทิ้งท้าย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

นาโนเทค จับมือ Institute of Industrial Nanomaterials Kumamoto University เสริมสร้างความร่วมมือด้านวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยี
วันที่ 12 มีนาคม 2568 – ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) กับ Institute of Industrial Nanomaterials Kumamoto University ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านนาโนเทคโนโลยี พัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม และแลกเปลี่ยนบุคลากร โดย ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และ Prof. Shintaro Ida ผู้อำนวยการ Institute of Industrial Nanomaterials Kumamoto University เป็นผู้ลงนาม พร้อมทั้ง ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ Prof.Seiji Okada และ Prof.Tetsuya Kida ร่วมเป็นพยานจากทั้งสองฝ่าย ความร่วมมือนี้เปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนนักวิจัย นักศึกษา ร่วมพัฒนาโครงการวิจัย จัดกิจกรรมทางวิชาการ และเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร ร่วมกัน
นอกจากนี้ในงาน ได้จัดสัมมนา Nanotalk เรื่อง “Medicine and its Application" ซึ่งเป็นการนำเสนอแลกเปลี่ยน ความก้าวหน้า ผลงานวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยี และยังเป็นการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ของทั้งสองหน่วยงาน ความร่วมมือนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันเทคโนโลยีนาโนสู่ระดับสากล พร้อมสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อวงการวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เจาะลึก Security Assessment: กลยุทธ์ลดความเสี่ยงการโจมตีด้านไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ
🔑🔓 เผยทุกกลยุทธ์ลดความเสี่ยงไซเบอร์... ที่ IT Leader ต้องรู้ ! ในงาน NAC2025 🚀
.
🚨สัมมนา "เจาะลึก Security Assessment: กลยุทธ์ลดความเสี่ยงการโจมตีด้านไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ" ในงาน NAC2025 ชวน IT Leader มา "เปลี่ยน" ระบบ IT ขององค์กรให้แข็งแกร่ง ปลอดภัย ไร้ช่องโหว่ พบกับผู้เชี่ยวชาญด้าน Cybersecurity ที่จะมาแนะนำกลยุทธ์การประเมินความเสี่ยง, เครื่องมือที่ใช้ในการค้นหาจุดอ่อน และแนวทางปฏิบัติที่จะช่วยให้คุณป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแชร์ประสบการณ์จริง! กับเครื่องมือ Security Assessment
.
📅พบกัน 28 มี.ค. 68 | ⏰10.00 - 11.40 น.
📍ห้อง CC-308 อาคาร 14 (CC)
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
.
👉ลงทะเบียน https://www.nstda.or.th/nac/2025/seminar/nac-34/
.
🎯NAC2025 ยังมีหัวข้อสัมมนา นิทรรศการ Open House ที่เจาะลึกเรื่องราว AI ในหลากหลายมิติรอคุณอยู่ เข้าไปดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้เลยที่ https://www.nstda.or.th/nac/✨
.
📌 อย่าพลาดโอกาส... ที่จะได้เจาะลึกเรื่องราวการพัฒนาเทคโนโลยีและ AI ที่ใกล้ตัวคุณกว่าที่คิด ในงาน NAC2025 วันที่ 26 - 28 มีนาคม นี้
.
#NAC2025 #AIforSustainableFuture #ขับเคลื่อนไทยด้วยAI #SustainableThailand #NSTDA #สวทช
ปฏิทินกิจกรรม