ผลการค้นหา :
สัมมนา “โครงการอบรมการป้องกันความปลอดภัยข้อมูลคอมพิวเตอร์ ครั้งที่ 24 (CDIC 2025)
💡Top 10 Cyber Trends 2026🚀
เปิดโลกภัยไซเบอร์ล้ำอนาคตกับอาจารย์ปริญญา หอมเอนก ที่เวที CDIC 2025
🤖ในวันที่เทคโนโลยีขยับไปเร็วกว่าแผนรับมือของหลายองค์กร
ในวันที่ AI เริ่มตัดสินใจแทนมนุษย์ และ Quantum Computing เริ่มก้าวสู่การใช้งานจริง
โลกไซเบอร์กำลังก้าวเข้าสู่ “สมรภูมิใหม่” ที่ไม่มีใครเคยเผชิญมาก่อน
คำถามคือ เรารับมือกับมันทันหรือเปล่า?
🚨ในงาน CDIC 2025 ที่จะจัดขึ้นเดือนพฤศจิกายนนี้
หนึ่งใน Highlight สำคัญที่ผู้บริหารระดับสูง, IT Manager และ CISO ทั่วประเทศเฝ้ารอ
คือเวทีของ อาจารย์ปริญญา หอมเอนก
ประธานกรรมการบริหารแห่ง ACIS ผู้คร่ำหวอดในแวดวงความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ไทยมายาวนาน
🌍“Cyber Frontiers 2026: 10 ภัยคุกคามและเทรนด์ที่องค์กรต้องรู้ก่อนจะสาย”
บนเวทีนี้ อาจารย์ปริญญาจะเผย “10 แนวโน้มสำคัญ” ที่จะกำหนดทิศทางของวงการ Cybersecurity ในอีก 1–2 ปีข้างหน้า ซึ่งมีทั้งภัยใหม่ที่หลายองค์กรยังไม่รู้จัก ไปจนถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมโจมตีที่อิงเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AGI (Artificial General Intelligence), Deepfake-as-a-Service, Cloud Takeover, Shadow AI และ Human Manipulation ผ่านข้อมูลปลอม
ในช่วงเวลา 45 นาทีนี้ คุณจะได้เห็นภาพใหญ่ก่อนใคร พร้อมตัวอย่างจริงจากทั้งในและต่างประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นองค์กรระดับประเทศ หรือบริษัทขนาดกลาง — บทเรียนเหล่านี้จะช่วยให้คุณ “ป้องกันล่วงหน้า” แทนที่จะต้อง “แก้ปัญหาภายหลัง”
🎯หัวข้อบรรยายนี้เหมาะกับใคร?
✅ ผู้บริหาร C-Level ที่ต้องวางทิศทางกลยุทธ์องค์กร
✅ IT Security Manager, GRC, Risk Analyst
✅ ผู้ดูแลระบบหรือผู้เชี่ยวชาญด้าน Cyber Defense
✅ ผู้กำหนดนโยบายด้านไอทีในหน่วยงานรัฐและเอกชน
✅ และทุกคนที่ต้องการมองข้ามช็อต พร้อมรับมือ “สิ่งที่จะมาแน่ ๆ แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้”
📚 ทำไมต้อง “ฟังจากเวทีจริง”?
เพราะเนื้อหาใน Session นี้ไม่ได้หาอ่านได้จาก Google หรือ YouTube
แต่มาจากประสบการณ์ตรง + การวิเคราะห์เจาะลึกจากภาคสนามจริง
พร้อมข้อมูลเชิงลับที่มีเพียงในงาน CDIC เท่านั้น
ถ้าคุณเคยคิดว่า “ยังไม่ถึงเวลาอัปเดตระบบ” หรือ “องค์กรเรายังไม่ใช่เป้าหมายใหญ่”
เวทีนี้จะทำให้คุณเปลี่ยนความคิด
📬รายละเอียดงาน CDIC 2025
📅 วันที่: 26 – 27 พฤศจิกายน 2568
📍สถานที่: ศูนย์ประชุม BITEC บางนา กรุงเทพฯ
👉เว็บไซต์ลงทะเบียน: www.cdicconference.com
Session นี้จะจัดในวันที่ 26 พ.ย. เวลา 09:45 – 10:30 น. บนเวทีใหญ่ (Main Stage)
📲หากคุณอยากรู้ว่าอะไรคือ “ภัยไซเบอร์ของปีหน้า”
และใครคือคนที่คุณควรฟังเมื่อพูดถึงความมั่นคงไซเบอร์ในระดับประเทศ
นี่คือ Session ที่คุณต้องไม่พลาด ใน CDIC 2025
ฟังคนที่ “ทำจริง” วิเคราะห์ “สิ่งที่กำลังจะเกิด” เพื่อปกป้ององค์กรของคุณ “ก่อนจะสายเกินไป”
📌ลงทะเบียนตอนนี้เพื่อรับสิทธิ์เข้าร่วมในราคาพิเศษ:
www.cdicconference.com
ปฏิทินกิจกรรม
ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC) จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “Advanced Electron Microscopy: From ESEM to vEM and CryoEM” เพื่อยกระดับองค์ความรู้ด้านกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
(วันที่ 21 ตุลาคม 2568) ณ ชั้น 4 ห้อง 405 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี:
ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC) ร่วมกับ บริษัท Thermo Fisher Scientific และ บริษัท LMS Instruments Co., Ltd. ได้จัดงาน สัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ในหัวข้อ
“Advanced Electron Microscopy: From ESEM to vEM and CryoEM (ESEM Workshop)”
ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านเทคนิคการใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนขั้นสูง
การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้เทคนิคการวิเคราะห์ด้วย Environmental Scanning Electron Microscope (ESEM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการถ่ายภาพระดับจุลภาคที่สามารถสังเกตสภาพของตัวอย่างได้ ภายใต้สภาวะที่มีความชื้นหรือแรงดันของก๊าซบางส่วน โดยไม่จำเป็นต้องเคลือบผิวตัวอย่างด้วยโลหะ และไม่ต้องอยู่ในสภาวะสุญญากาศเต็มรูปแบบ
เทคนิคดังกล่าวช่วยให้สามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงของตัวอย่างแบบ Real-time ภายใต้การควบคุมของอุณหภูมิและความชื้น ซึ่งเหมาะสำหรับการศึกษาวัสดุที่เปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมจริง เช่น
วัสดุชีวภาพ (Biological materials)
วัสดุที่มีความชื้นสูง (Moist materials)
พอลิเมอร์และยาง (Polymer, Rubber)
การสังเกตกระบวนการพลวัต (Dynamic process observation)
เทคนิค ESEM นับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของโครงสร้างจุลภาคภายใต้สภาวะจริง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมในสาขาวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
ในการเปิดงาน ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC) ได้กล่าวต้อนรับและขอบคุณผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่านที่ให้ความสนใจในเทคนิค ESEM ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคนิคการวิเคราะห์ที่ช่วยยกระดับการศึกษาตัวอย่างในสภาวะจริง
ดร.ณฏฐพล ได้กล่าวถึงบทบาทของศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC) ว่าเป็นหน่วยงานกลางที่ให้บริการวิเคราะห์ทดสอบด้วยมาตรฐานสากล สนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน พร้อมมุ่งมั่นเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเครือข่ายห้องปฏิบัติการทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ภายในงานสัมมนามีการจัดกิจกรรม Workshop ในรูปแบบฐานการเรียนรู้ (Station-based Workshop) เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ทดลองและสังเกตการทำงานของกล้องจุลทรรศน์ ESEM กับตัวอย่างจริง โดยมีรายละเอียดดังนี้
Station 1: Fungi ก่อโรคในพืช - โดยทำการตัดตัวอย่างจากแผ่น Agar วางบน Stage ของเครื่อง ESEM เพื่อสังเกตโครงสร้างเชื้อราที่ก่อโรคในพืช
Station 2: Fungi บนกระเทียม - สังเกตการยึดเกาะและการเจริญของเชื้อราบนพื้นผิวกระเทียม
Station 3: Bacteriophage Virus - วิเคราะห์ด้วยโหมด High Vacuum STEM และถ่ายภาพด้วยเทคนิค Bright Field (BF) และ High-Angle Annular Dark Field (HAADF) โดยตัวอย่างเตรียมด้วยวิธี Negative Stain เพื่อแสดงรายละเอียดของไวรัสอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมยังได้รับโอกาสเข้าเยี่ยมชม ห้องปฏิบัติการกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนของศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC) เพื่อเรียนรู้ระบบการบริหารจัดการเครื่องมือ การควบคุมคุณภาพ และมาตรการด้านความปลอดภัย โดยมีทีมเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของศูนย์ฯ ให้ข้อมูลและคำแนะนำอย่างใกล้ชิด
การจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “Advanced Electron Microscopy: From ESEM to vEM and CryoEM” ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC) ในการยกระดับศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ของประเทศ ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ การพัฒนาบุคลากร และการส่งเสริมการใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ขั้นสูง เพื่อสนับสนุนการวิจัยและอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานสากลอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
โค้งสุดท้าย! เปิดรับสมัครรอบสุดท้ายสำหรับค่าย Pharm Explorer Camp 2025
โค้งสุดท้าย! เปิดรับสมัครรอบสุดท้ายสำหรับค่าย Pharm Explorer Camp 2025
สำหรับน้อง ๆ ม.3–6 ที่มีความฝันอยากเป็น เภสัชกร นี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะได้เข้าร่วมกิจกรรมสุดพิเศษ! ที่นั่งมีจำนวนจำกัด สมัครก่อนมีสิทธิ์ก่อน
สิ่งที่จะได้เรียนรู้และลงมือทำ
Workshop ปฏิบัติการจริง: การปรุงยาสำหรับใช้ภายนอก, การเตรียมยาดมสมุนไพร, และการทดสอบสารเคมีตกค้างในผักผลไม้
เจาะลึกเส้นทางอาชีพ: พูดคุยทุกแง่มุมเกี่ยวกับบทบาท เภสัชกรยุคใหม่ และแนวทางการศึกษาต่อ
พบปะนักวิจัยตัวจริงจาก สวทช. เพื่อถาม–ตอบทุกข้อสงสัย
รับเกียรติบัตร สำหรับเก็บสะสมในแฟ้มผลงาน (Portfolio)
วันเวลาและสถานที่
วันจัดกิจกรรม: 30–31 ตุลาคม 2568
สถานที่: บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช. จ.ปทุมธานี
ค่าลงทะเบียนและยืนยันสิทธิ์
ค่าสมัคร 4,000 บาท (สมัครพร้อมชำระเงินเพื่อยืนยันสิทธิ์)
กำหนดการชำระเงินภายในวันที่ 24 ตุลาคม 2568
ที่นั่งมีจำนวนจำกัด ขอสงวนสิทธิ์ให้ผู้ที่ชำระเงินก่อน
วิธีสมัคร
คลิกเพื่อลงทะเบียนและชำระเงิน: 👉 https://forms.gle/tHrrLpFxMHY8Jc72A
หมายเหตุ: ระบบจะปิดรับสมัครทันทีเมื่อมีผู้สมัครครบตามจำนวน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
คุณปรมาภรณ์ จูฑะจันทร์ (พี่ปอ)
โทร. 0-2529-7100 ต่อ 77226
อีเมล: poramaporn@nstda.or.th
ข่าว
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. ชู ศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย (TBRC) ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) กลไกขับเคลื่อนการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ใช้ประโยชน์ พื้นที่ “ผาแดง” ในงาน IBD2025
(22 ตุลาคม 2568) ณ อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พร้อมด้วย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และพันธมิตร โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา และมูลนิธิสวนหลวง ร.9 เข้าร่วมจัดงานแถลงข่าวการจัดประชุมวิชาการนานาชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (International Conference on Biodiversity หรือ IBD2025) ภายใต้หัวข้อ“Biodiversity and Humanity in Global Crisis” หรือ “ความหลากหลายทางชีวภาพกับมนุษยชาติ ในยุควิกฤตโลก” ระหว่างวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา ในปี พ.ศ.2568 และเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างประชาคมนักวิจัยของไทยและต่างประเทศ ด้านความหลากหลายทางชีวภาพในมิติต่าง ๆ ทั้งงานวิจัยและวิชาการ การอนุรักษ์ การป้องกันการฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนเพื่อหาแนวทางความร่วมมือในระดับสากล โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จ ฯ เป็นประธานพิธีเปิดและบรรยายพิเศษ โอกาสนี้คณะผู้จัดงานได้จัดทำวีดิทัศน์เฉลิมพระเกียรติชุด “เจ้าฟ้านักความหลากหลายทางชีวภาพ” ถ่ายทอดพระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณในการ อนุรักษ์ ฟื้นฟู ตลอดจนองค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและให้แนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม
ศาสตราจารย์ ดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานคณะกรรมการจัดประชุม IBD 2025 กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นเวทีสำคัญในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่รวมผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย นิสิตนักศึกษา และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพและแนวทางการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน IBD2025 ยังสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างประเทศและพันธกิจของประเทศไทยในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศให้สมดุลกับความต้องการของมนุษยชาติ
“เราไม่เพียงแต่แลกเปลี่ยนงานวิจัย แต่ยังรวมถึงแนวทางปฏิบัติ การจัดทำฐานข้อมูล และเทคโนโลยีการติดตามความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่สามารถใช้ได้จริงในชุมชนและระดับนโยบาย”
ดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวเน้นการมีส่วนร่วมและความร่วมมือระหว่าง มก. กับ วช. และหน่วยงานเครือข่ายระดับชาติและนานาชาติ โดย มก. มุ่งนำองค์ความรู้ งานวิจัย และการเรียนการสอนด้านความหลากหลายทางชีวภาพมาผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในทุกมิติ ทั้งระดับชาติและนานาชาติ พร้อมกล่าวถึงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่ง มก.ร่วมกับ วช. จัดขึ้น ภายใต้แนวคิด“ มรรคาแห่งความสมดุล : วัฏจักรความหลากหลายทางชีวภาพกับการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน”
“คำว่า “มรรคา” หมายถึง หนทางแห่งความสมดุล ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ที่เกื้อกูลและพึ่งพาอาศัยกัน นิทรรศการถูกออกแบบให้เป็น “เส้นทางการเรียนรู้” ที่ผู้เข้าชมจะได้สัมผัสและทำความเข้าใจระบบนิเวศ ตั้งแต่ ท้องทะเล ป่าชายเลน ป่าไม้ การทำงานของนักวิจัยภาคสนามสู่ห้องปฏิบัติการ และจบที่พรรณไม้ในวังสระปทุม ซึ่งเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุกรรมพืชในเมืองที่ทรงคุณค่า แสดงถึงพระอัจฉริยภาพและพระวิสัยทัศน์ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ในการส่งเสริมองค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน”
ด้าน นางสาวเสาวนีย์ มุ่งสุจริตการ รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศไทย โดยสนับสนุนทุนวิจัยทั้งด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงระดับนโยบาย เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ ผลงานวิจัยที่นำมาจัดแสดง ได้แก่ ธนาคารเซลล์สัตว์ ปลิงทะเลสกุลใหม่ของโลก เห็ดเผาะสิรินธร ระบบนิเวศหญ้าทะเล และระบบนิเวศกองหินใต้น้ำ ซึ่งสะท้อนถึงการวิจัยที่ต่อเนื่องและสร้างผลกระทบเชิงปฏิบัติได้จริง
ทั้งนี้ ไบโอเทค สวทช. โดย ศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย หรือ TBRC ซึ่งเป็นคลังทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ และธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่สนับสนุนการอนุรักษ์และจัดเก็บตัวอย่างชีวภาพระยะยาว ร่วมนำผลงานวิจัยมาจัดแสดงตามแนวคิด BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่ผาแดง จังหวัดตาก ผ่านการเชื่อมโยงฐานข้อมูลมาตรฐานนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์ พร้อมทั้งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการเก็บรักษาเชื้อจุลินทรีย์ศักยภาพและจัดทำคลังอนุรักษ์ความหลากหลายของเชื้อรา (Fungarium) เพื่อเป็นมาตรฐานอ้างอิงอนุกรมวิธาน สำหรับการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพให้มีความถูกต้องและปลอดภัย โดยผลงานวิจัยที่นำมาจัดแสดงในงานแถลงข่าวเป็นผลงานที่สามารถนำไปต่อยอดใช้งานได้จริง ได้แก่
กาแฟหมักยีสต์ จากสายพันธุ์ท้องถิ่นเพิ่มมิติกลิ่นรสและอัตลักษณ์พื้นที่
น้ำส้มสายชูจากเปลือกเชอรี่กาแฟ อัปไซเคิลวัสดุเหลือทิ้งสู่ผลิตภัณฑ์ปลอดภัยตามมาตรฐาน
เม็ดปลูกพืช (Seed balls) ผสมจุลินทรีย์เพื่อเร่งการงอก เพื่อกระตุ้นการงอกและส่งเสริมการเจริญเติบโต พัฒนาโดยชุมชนเพื่อการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างยั่งยืน
มะเขือเทศเชอรี่แบบอินทรีย์ต้านทานโรคในโรงเรือนไผ่ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกร และยังมีผลงานวิจัยเชิงลึกควบคู่กับงานวิจัยพื้นที่ผาแดง เช่น การจัดทำคลังข้อมูลเห็ดป่าจำแนกได้ 59 ชนิด/47 สกุล (พบ Termitomyces ใหม่ ≥3 ชนิด; การเพาะเลี้ยง Schizophyllum commune และ Pleurotus pulmonarius สำเร็จ)
ราทำลายแมลง 30 ชนิด (รายงาน Ophiocordyceps muscae ชนิดใหม่) รวมถึงการต่อยอดสู่
อิฐชีวภาพ (Bio-bricks) จากกากกาแฟ/ชานอ้อย สำหรับโครงสร้างเบา
ชีวภัณฑ์กาแฟ (Trichoderma TBRC 4734) สามารถช่วยลดโรคและแมลงได้เด่นชัด
เทคโนโลยีเห็ดป่าคู่ไม้ยาง (หัวเชื้อ Astraeus/Amanita สร้างเอคโตไมคอร์ไรซา) พร้อมการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชนและพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง
สำหรับงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ หรือ IBD2025 ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากประกอบด้วย การประชุม สัมมนา (International Oral and Poster) การบรรยายจากวิทยากรทั้งในและต่างประเทศ Panel discussion: การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพกับการก้าวข้ามยุควิกฤตโลก การนำเสนอผลงานภาคบรรยายจำนวน 22 เรื่อง และภาคโปสเตอร์ จำนวน 190 เรื่อง รวมทั้งสิ้น 212 เรื่อง โดยนักวิจัยนักวิชาการ นิสิตนักศึกษา และนักเรียน จาก 14 ประเทศ ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เลบานอน นิวซีแลนด์ ศรีลังกา ไต้หวัน เวียดนาม ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอเมริกา
จึงขอเชิญชวนประชาชนและผู้สนใจร่วมการประชุม IBD 2025 ชมผลงานวิจัยแบบปากเปล่าและโปสเตอร์ และนิทรรศการด้านความหลากหลายทางชีวภาพจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนรวม 28 เรื่อง เพื่อร่วมสร้างความตระหนักรู้และความร่วมมือในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน ณ ห้องบอลลูม 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เปิดให้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 เวลา 13.30 – 17.00 น. วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 เวลา 9.00 - 17.00 น. และผู้สนใจสามารถทัศนศึกษา วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ณ สวนหลวง ร.9 และศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศป่าของ ปตท. เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้เรียนรู้และสัมผัสระบบนิเวศจริง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. และมูลนิธิ SOS เปิดรับ “อาสาสมัครรักษ์อาหาร” พื้นที่ชลบุรี เน้นบทบาทสำคัญ “ตัวกลาง” ส่งต่ออาหารสู่กลุ่มเปราะบาง เพื่อขับเคลื่อน Food Bank
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) ด้วยความร่วมมือจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชลบุรี (พมจ. ชลบุรี) เร่งขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน (Food Surplus) เพื่อลดปัญหาขยะอาหาร และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ เดินหน้าขับเคลื่อนสู่การจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) ซึ่งจังหวัดชลบุรีเป็นหนึ่งใน 20 จังหวัดเป้าหมายในการขยายผลโครงการในปี 2568-2569 สวทช. ในฐานะขุมพลังหลักทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ได้รับบทบาทสำคัญเป็นกลไกขับเคลื่อนหลักของโครงการ ด้วยการนำผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาบูรณาการกับนวัตกรรมการจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อสร้างความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงทางอาหารและลดขยะอาหารของประเทศ โดยได้มีการลงพื้นที่อำเภอศรีราชา เมื่อวันที่ 20-21 ตุลาคม 2568 เพื่อเยี่ยมชมและติดตามการดำเนินงานของเครือข่ายที่มีอยู่ และจัดประชุมระดมสมอง ณ โรงแรมเคป ราชา เพื่อขยายเครือข่าย “อาสาสมัครรักษ์อาหาร” ตัวกลางเชื่อมระหว่างผู้ให้อาหารและผู้รับอาหาร เพื่อให้การส่งต่ออาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมาย ช่วยกอบกู้อาหารส่วนเกินที่ยังมีคุณภาพดีจากแหล่งต่าง ๆ ส่งต่อให้แก่กลุ่มคนเปราะบาง หรือผู้ขาดแคลนในพื้นที่ โดยมี นางสาวจันจิรา ไทยบัณฑิตย์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชลบุรี ให้เกียรติกล่าวเปิดงาน และแสดงเจตนารมณ์ถึงความร่วมมือของภาครัฐในการขับเคลื่อนโครงการในพื้นที่ ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจจากเครือข่ายอาสาสมัครในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ หน่วยงาน One Home พม.ชลบุรี เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิและสถานสงเคราะห์ในพื้นที่ จ.ชลบุรี และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 13 (ชลบุรี) เข้าร่วมประชุมมากกว่า 50 คน
ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ นักวิจัยนโยบายอาวุโส และหัวหน้าโครงการ Food Bank สวทช. กล่าวว่า โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายผลและประยุกต์ใช้แนวทางบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเกิดขยะอาหาร และแก้ปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารของประชากรกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ซึ่งจะมีการขยายผลแนวทางการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อจัดตั้งธนาคารอาหารแห่งชาติของประเทศไทยให้ครบตาม 20 จังหวัดเป้าหมาย ซึ่งจังหวัดชลบุรีเป็นหนึ่งในนั้น โดยโครงการฯ มุ่งมั่นที่จะสร้างระบบตัวกลาง “อาสาสมัครรักษ์อาหาร” ที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ให้อาหารกับผู้รับอาหาร ซึ่งการมีเครือข่ายตัวกลางที่แข็งแกร่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงานในพื้นที่ เนื่องจากอาสาสมัครรักษ์อาหารจะเป็นกลไกหลักในการลงไปกอบกู้อาหารส่วนเกินที่ยังมีคุณภาพดีจากภาคธุรกิจในพื้นที่ ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร หรือผู้ผลิต และนำส่งต่อให้กับผู้ขาดแคลนในชุมชนได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด
ด้าน นายณัฐพล เกษมราษฎร์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิ SOS กล่าวว่า “อาสาสมัครรักษ์อาหาร” ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการในพื้นที่ชลบุรี ซึ่งกลุ่มอาสาสมัคร เครือข่ายจิตอาสา หน่วยงาน หรือประชาชนในพื้นที่ชลบุรีที่สนใจสามารถเข้าร่วมเป็น “ตัวกลาง” ในการกอบกู้อาหารส่วนเกินที่ยังมีคุณภาพดี และส่งต่ออาหารส่วนเกินให้กลุ่มคนเปราะบางในพื้นที่จังหวัดชลบุรีได้ โดยขั้นตอนการเข้าร่วมเป็น “อาสาสมัครรักษ์อาหาร” จะเริ่มตั้งแต่การรับสมัคร การฝึกอบรมทั้งในรูปแบบออนไลน์ จนถึงการปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ โดยยึดหลักการทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้มั่นใจว่าอาหารที่ได้รับบริจาคมีคุณภาพดีและปลอดภัย พร้อมส่งต่อไปถึงมือผู้ที่ต้องการอย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ ภายในการประชุมระดมสมอง ยังมีผู้แทนจากสมาคมส่งเสริมและพัฒนาคนพิการไทย และผู้แทนเครือข่ายอาสาสมัครบ้านบึง มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การเป็นอาสาสมัครรักษ์อาหาร และมุมมองในการดำเนินงานที่ผ่านมา ซึ่งการประชุมระดมสมองเพื่อขยายเครือข่าย “อาสาสมัครรักษ์อาหาร” ในพื้นที่ จังหวัดชลบุรี ในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศการจัดการอาหารในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายในการสร้างความเข้าใจและเชิญชวนเครือข่ายจิตอาสา รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่นให้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการส่งต่ออาหาร เพื่อให้การดำเนินการในจังหวัดชลบุรีเป็นไปตามเป้าหมายของโครงการและสร้างความยั่งยืนทางอาหารแก่ชุมชน ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สวทช. โทร. 02 5647000 อีเมล foodbank@nstda.or.th เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/foodbank/ และมูลนิธิ SOS โทร. 02 0751417, 062 6750004 และ Facebook: @sosfoundationthai
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ ในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน พุทธศักราช 2568
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เวลา 16.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
ในโอกาสนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ได้มอบหมายให้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้แทนร่วมเฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จ และเข้าร่วมในพระราชพิธีฯ พร้อมด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานราชการ ข้าราชการ และประชาชนผู้มีจิตศรัทธา ที่มาร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จโดยพร้อมเพรียงกัน ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
การเข้าร่วมในพระราชพิธีฯ ครั้งนี้ แสดงถึงความจงรักภักดีและร่วมสืบสานประเพณีอันสำคัญของชาติ อีกทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงความร่วมมือกันของหน่วยงานต่าง ๆ ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในสังคมไทย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับพันธมิตร แถลงข่าวจัดประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2025 สนองพระราชดำริฯ ขับเคลื่อน “ระบบนิเวศนวัตกรรมเพื่อสังคม” สู่เวทีโลก
(วันที่ 21 ตุลาคม 2568) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.): มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงานแถลงข่าวประกาศความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพ “การประชุมวิชาการนานาชาติด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 18” (The 18th International Convention on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology) หรือ i-CREATe 2025 ซึ่งเป็นการประชุมวิชาการนานาชาติและเวทีประกวดนวัตกรรมด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อส่งเสริมและสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทลแบงค็อก
การประชุม i-CREATe ถือเป็นเวทีสำคัญระดับภูมิภาคที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการและผู้สูงอายุมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 จนถึงปัจจุบัน มีการจัดงานมาอย่างต่อเนื่องกว่า 18 ปี โดยมีจุดเริ่มต้นจากพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้เกิด “การมีส่วนร่วมอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการและผู้สูงอายุ” ผ่านการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสมาชิกกลุ่มความร่วมมือฯ หมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงร่วมงานทุกปี ยกเว้นในปี พ.ศ.2563 และ 2565 (ปี พ.ศ.2565 มีพระราชทานพระราชดำรัสในพิธีเปิดงานประชุมฯ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์) เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019)
ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ และประธานคณะอำนวยการจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2025 กล่าวว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งที่พระองค์ท่าน ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในปีนี้ จากความร่วมมือระหว่างไทยและสิงคโปร์เมื่อปี พ.ศ. 2550 ปัจจุบัน i-CREATe ได้เติบโตสู่เครือข่ายความร่วมมือระดับเอเชียในนาม CREATe Asia และเป็นมากกว่า “งานประชุมทางวิชาการ” แต่คือ “ระบบนิเวศแห่งนวัตกรรมเพื่อสังคม” ที่ผสานการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ, การประกวดนวัตกรรมเยาวชนระดับโลก และนิทรรศการเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ พัฒนาศักยภาพคนรุ่นใหม่ และต่อยอดงานวิจัยให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คนอย่างแท้จริง
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ในฐานะขุมพลังหลักทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ได้มีบทบาทสำคัญในฐานะกลไกขับเคลื่อนหลักและเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดงานมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนองพระราชดำริฯ เรามุ่งมั่นผสานความร่วมมือจากพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดระบบนิเวศนวัตกรรมเพื่อสังคมที่ครบวงจร พร้อมใช้เวที i-CREATe เป็นศูนย์กลางสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และผลักดันผลงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริงทั้งในเชิงสังคมและเชิงพาณิชย์ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน “เรายังมุ่งสนับสนุนนักวิจัยและวิศวกรไทยอย่างเต็มที่ควบคู่ไปกับการผลักดันให้เยาวชนได้นำผลงานเข้าแข่งขันในเวทีระดับโลกอย่างการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ (Global Student Innovation Challenge: gSIC) ซึ่งในปีที่ผ่านมา ทีมเยาวชนไทยที่ สวทช. สนับสนุน 10 ทีม สามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศโดยคว้ารางวัลกลับมาได้ถึง 9 ทีม จากเวที i-CREATe 2024 ณ ประเทศจีน” ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ กล่าวเสริม
ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหิดลรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม i-CREATe 2025 ในครั้งนี้ ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของมหาวิทยาลัยในการเป็น “ปัญญาของแผ่นดิน” เราให้ความสำคัญกับการวิจัยและสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนพิการและผู้สูงอายุ ผ่านความร่วมมือข้ามศาสตร์ ทั้งด้านแพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และสหเวชศาสตร์ เพื่อผลักดันให้เกิดการนำงานวิจัยและเทคโนโลยีไปสู่การใช้งานจริงและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนตามพระราชดำริฯ อย่างเป็นรูปธรรม
ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร. จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ ผู้อำนวยการก่อตั้งศูนย์เครือข่ายวิจัยประยุกต์ทางเทคโนโลยีหุ่นยนต์และชีวการแพทย์ หรือ BART LAB คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และประธานการจัดประชุมวิชาการ i-CREATe 2025 กล่าวว่า การประชุม i-CREATe 2025 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้แนวคิด “Empowering Lives: Human-Centered Innovation in Health, Wellness, Aging, and Abilities” จะเป็นศูนย์รวมของบุคลากรทางการแพทย์ วิศวกร นักวิจัย ผู้ประกอบการ และนักศึกษาจากทั่วโลก โดยในปีนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด Professor O. Khatib ผู้บุกเบิกด้านหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถส่งผ่านความรู้สึกทางไกลได้ เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ และยังมีวิทยากรจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้แก่ โปรตุเกส ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ เป็นต้น เข้าร่วมบรรยายและเสวนาในกลุ่มแขกรับเชิญพิเศษอีกด้วย นอกจากนี้จะเป็นการนำเสนอผลงานทางวิชาการและการแลกเปลี่ยนความรู้ในหัวข้อที่กำลังเป็นที่สนใจ เช่น วิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพ เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ หุ่นยนต์ช่วยดูแล และนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ เพื่อเป็นเวทีส่งเสริมงานวิจัยและวิชาการเพื่อการพัฒนานวัตกรรมและต่อยอดสิ่งประดิษฐ์ไปสู่การใช้งานจริงในระดับนานาชาติ
ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร ประธานกลุ่มความร่วมมือ CREATe Asia กล่าวว่า บทบาทของ CREATe Asia จะทำงานผ่านการเชื่อมโยงกับสมาชิกที่ตอนนี้มีอยู่ 14 หน่วยงานจาก 11 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ประเทศไทย สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง ไชนิสไทเป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ อินเดีย และมาเลเซีย เพื่อช่วยผลักดันและสนับสนุนระบบนิเวศของงานด้านวิศวกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพ (Rehabilitation Engineering) และ เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (Assistive Technology) CREATe Asia ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ Global Alliance of Assistive Technology Organizations ที่จะช่วยขยายความเชื่อมโยงไปภูมิภาคอื่นของโลกด้วย
ภายในงานแถลงข่าวได้มีการจัดแสดงผลงานเด่นที่ได้รับรางวัลจากงาน i-CREATe 2024 ณ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อาทิ ผลงาน Happy CP Gloves: Smiling Solutions for children with cerebral ถุงมือนวัตกรรมสำหรับเด็กที่มีภาวะสมองพิการ (Cerebral Palsy) ช่วยลดอาการเกร็งของมือที่อาจทำให้เล็บจิกฝ่ามือจนเกิดบาดแผล และป้องกันกระดูกนิ้วและข้อมือบิดงอ โดย โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้รับรางวัลเหรียญทอง ชนะเลิศอันดับที่ 1 ประเภทการออกแบบ (Design) และผลงาน ALL Wheelchair: AI Motion Tracking System for Monitoring Health and Activity ระบบติดตามการเคลื่อนไหวด้วย AI พร้อมเกมที่ควบคุมด้วยการเคลื่อนไหวสำหรับผู้ใช้งานวีลแชร์ เพื่อส่งเสริมการทำกิจกรรมทางกายและติดตามสุขภาพ โดย คณะสหเวชศาสตร์ และ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รางวัลเหรียญเงิน ชนะเลิศอันดับที่ 2 ประเภทเทคโนโลยี (Technology)
ผลงาน Space walker อุปกรณ์ช่วยฝึกเดิน พร้อมระบบพยุงน้ำหนักบางส่วน นวัตกรรมเพื่อผู้ป่วยหลังกายภาพบำบัดและส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในสังคมสูงวัย ผลงานนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 จากงาน i-CREATe 2017 ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นผลงานที่มีการใช้งานจริงแล้ว นอกจากนี้ ยังมี ผลงาน BART LAB Intelligent Robotic Stair Climbing Wheelchair โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับรางวัล Honorable Mentioned Award จากงาน i-CREATe 2024 เข้าร่วมแสดงผลงานด้วย
สำหรับปีนี้ สวทช. ได้จัดการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับประเทศ (Thailand Student Innovation Challenge: SIC) โดยมีนักเรียนและนักศึกษาส่งผลงานเข้าประกวด 299 ทีม เพื่อคัดเลือก 10 ทีมเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าประกวด gSIC 2025 ต่อไป การเป็นเจ้าภาพจัดประชุม i-CREATe 2025 ภายใต้แนวคิด “Empowering Lives: Human-Centered Innovation in Health, Wellness, Aging, and Abilities” ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะได้แสดงศักยภาพในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยีการแพทย์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาวะของภูมิภาค เพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่เท่าเทียมและยั่งยืนผ่านพลังของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
SolaRE โซลาร์เซลล์ชนิดแยกส่วนประกอบได้ง่ายหลังปลดระวาง เพิ่มโอกาสรีไซเคิลวัสดุ
ในปี 2567 ประเทศไทยติดตั้งใช้แผงโซลาร์เซลล์ไปแล้วราว 30 ล้านแผง และภายใน 10 ปีข้างหน้า แผงจำนวนมหาศาลเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นซากขยะอิเล็กทรอนิกส์หลักแสนตัน ซึ่งหากไม่มีวิธีการจัดการที่เหมาะสม สารเคมีและโลหะหนักอาจปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอย่างคาดไม่ถึง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา SolaRE (โซลาร์รี) เทคโนโลยีการผลิตโซลาร์เซลล์ชนิดแยกส่วนประกอบได้ง่ายหลังปลดระวาง เพื่อช่วยลดต้นทุนการรีไซเคิล นำไปสู่การใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
SolaRE โซลาร์เซลล์ที่ออกแบบเพื่อการรีไซเคิล
[caption id="attachment_75990" align="aligncenter" width="450"] ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี นักวิจัย เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี นักวิจัย หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช. อธิบายว่า โดยทั่วไปในกระบวนการผลิตโซลาร์เซลล์จะมีการใช้วัสดุผสานหรือ encapsulant เพื่อยึดติดวัสดุแต่ละชั้นอย่างแน่นหนา ป้องกันกันความชื้นเข้า เพิ่มความทนทาน และยืดอายุการใช้งานของแผง
“การผนึกติดแน่นของชั้นวัสดุทำให้การถอดแยกส่วนประกอบภายในแผงหลังหมดอายุการใช้งานเป็นไปได้ยาก เพราะต้องใช้สารเคมี ความร้อน และเครื่องจักรเฉพาะทางในการแยกชั้นวัสดุ ปัจจุบันจึงนิยมรีไซเคิลเฉพาะส่วนกรอบอะลูมิเนียมและกล่องต่อสายไฟ ก่อนกำจัดส่วนแผงโดยการฝังในหลุมฝังกลบขยะอันตรายซึ่งอาจเกิดปัญหาการรั่วซึมของโลหะหนักปนเปื้อนในแหล่งดินและน้ำได้”
ด้วยเหตุนี้ทีมวิจัยเอ็นเทค สวทช. จึงได้พัฒนา SolaRE เทคโนโลยีการผลิตโซลาร์เซลล์ชนิดแยกส่วนประกอบได้ง่ายหลังปลดระวาง สำหรับใช้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ชนิดผลึกซิลิคอน (crystalline silicon)
[caption id="attachment_75992" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์ SolaRE[/caption]
[caption id="attachment_75991" align="aligncenter" width="450"] ต้นแบบแผ่นฟิล์มชนิดพิเศษที่ใช้ในการผลิต SolaRE[/caption]
ดร.อมรรัตน์ อธิบายว่า กลไกที่ทำให้ SolaRE ถอดแยกส่วนประกอบได้คือ การเพิ่มชั้นฟิล์มโปร่งแสงชนิดพิเศษเข้าไปในโครงสร้างแผง ตอนนำไปกำจัดจึงถอดแยกวัสดุแต่ละชั้นไปใช้ประโยชน์ต่อได้ง่าย ไม่ต้องใช้สารเคมี ความร้อน และเครื่องจักรเฉพาะทางในการแยกชิ้นส่วน
“จุดเด่นสำคัญคือ แผ่นฟิล์มโปร่งแสงชนิดพิเศษที่ใช้ในการผลิตแผง SolaRE ผลิตได้ในประเทศไทย และโรงงานประกอบแผงโซลาร์เซลล์สามารถใช้เครื่องจักรที่มีอยู่เดิมประกอบได้โดยไม่ต้องลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์”
SolaRE พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว
ดร.อมรรัตน์ สรุปข้อเปรียบเทียบระหว่างแผงที่ประกอบด้วยเทคโนโลยี SolaRE และแผงทั่วไปว่า แผงทั้ง 2 ชนิดมีสรรถนะการใช้งานเริ่มต้นระดับเดียวกัน อายุการใช้งานใกล้เคียงกัน แต่การใช้เทคโนโลยี SolaRE จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรีไซเคิลวัสดุได้มากขึ้นจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 85–95 หรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่า นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มช่วยลดปริมาณขยะฝังกลบจากร้อยละ 90 ให้เหลือเพียงร้อยละ 5–15 ด้วย
“ที่ผ่านมาทีมวิจัยได้ดำเนินการทดสอบใช้งานผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี SolaRE ในสภาวะจริงเป็นเวลา 2 ปี ผลการทดสอบพบว่ามีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมร้อนชื้นของประเทศไทย”
ปัจจุบันทีมวิจัยได้จดอนุสิทธิบัตรเทคโนโลยีการผลิตเรียบร้อยแล้ว โดยเทคโนโลยี SolaRE รองรับการผลิตได้ตั้งแต่ขนาดแผง 0.30–1 ตารางเมตร เหมาะแก่การประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์ไฟส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ (solar lighting) ซึ่งประเทศไทยมีความต้องการใช้งานสูงและยังต้องนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
ดร.อมรรัตน์ กล่าวทิ้งท้ายถึงสถานะของงานวิจัยว่า ทีมวิจัยพร้อมแล้วที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยี SolaRE ทั้งในส่วนของกระบวนการผลิตแผ่นฟิล์มและการประกอบแผง รวมทั้งมีแผนร่วมกับภาคเอกชนขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์สู่บัญชีนวัตกรรม เพื่อเพิ่มโอกาสในการจำหน่ายสินค้าให้แก่ภาครัฐด้วย
เทคโนโลยี SolaRE ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการออกแบบแผงโซลาร์เซลล์ที่คำนึงถึงการรีไซเคิลตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้เกิดการใช้งานทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และนำไปสู่การมีรากฐานด้านพลังงานสะอาดที่แข็งแรงและยั่งยืน สอดคล้องกับทิศทางการขับเคลื่อนของประเทศไทยและทั่วโลก
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเทคโนโลยี SolaRE และ Solar Sure ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 2711 หรืออีเมล amornrat.lim@entec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และฉัตรกมล พลสงคราม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ภาพประกอบโดย เอ็นเทค สวทช. และภาพจาก Adobe Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. ต่อยอด ‘Traffy Fondue’ ผนึก กปภ. พลิกโฉมบริการประปาทั่วประเทศ ให้ประชาชนแจ้งปัญหาผ่าน LINE แก้ไว ทันใจ จบในแอปเดียว
(วันที่ 20 ตุลาคม 2568): กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ และ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) โดย นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการ กปภ. ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการระบบรับเรื่องร้องเรียนและการให้บริการอื่น ๆ เพื่อยกระดับการให้บริการน้ำประปาแก่ประชาชน โดยความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อนำแพลตฟอร์ม “Traffy Fondue” (ทราฟฟี่ ฟองดูว์) ที่พัฒนาโดย สวทช. มาเสริมศักยภาพการให้บริการและแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใสยิ่งขึ้น ภายในงานมีคณะผู้บริหารของทั้ง 2 หน่วยงานร่วมเป็นสักขีพยาน นำโดย นายนิธิศ ทองสอาด รองผู้ว่าการทรัพยากรบุคคลและบริหารองค์กร กปภ. นายไพฑูรย์ ไผ่ล้อม ผู้ช่วยผู้ว่าการดิจิทัลและสารสนเทศ กปภ. ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้าน Core Business สวทช. และ ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านบริหารทั่วไป ณ สำนักงานใหญ่ กปภ. เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า น้ำ คือ ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการดำรงชีวิตของประชาชน และในยุคที่โลกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ทุกคนต่างคาดหวังความสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส สวทช. ในฐานะขุมพลังหลักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนจึงพร้อมนำความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ และแพลตฟอร์มดิจิทัล เข้ามาสนับสนุนภารกิจของ กปภ. อย่างเต็มกำลัง โดยการนำ Traffy Fondue เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญจะช่วยให้การสื่อสารระหว่างประชาชนและหน่วยงานรัฐรวดเร็ว ติดตามได้แบบเรียลไทม์
“ความร่วมมือในครั้งนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญของนักวิจัย สวทช. ที่จะได้ศึกษาข้อมูลจริงจากการแจ้งปัญหาของประชาชนผ่าน Traffy Fondue เพื่อวิจัยและพัฒนาระบบการจัดการการประปาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะตอบโจทย์การให้บริการของ กปภ. และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไปพร้อมกัน เราพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรทางนวัตกรรม เคียงข้าง กปภ. เพื่อขับเคลื่อนสู่ ‘การประปาดิจิทัล’ และร่วมกันสร้างมาตรฐานใหม่ของการให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ เพื่อร่วมสร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรม” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวเสริม
นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการ กปภ. กล่าวว่า กปภ. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ สวทช. ในโครงการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการระบบรับเรื่อง ร้องเรียนและการให้บริการอื่น ๆ เพื่อยกระดับการให้บริการน้ำประปาแก่ประชาชน โดยได้นำระบบบริหารจัดการปัญหาและข้อร้องเรียน ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือ แพลตฟอร์ม “Traffy Fondueซึ่งพัฒนา โดย สวทช. ที่จะช่วยคัดแยกและส่งต่อเรื่องไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยอัตโนมัติ ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งปัญหาได้ง่าย ผ่าน LINE และติดตามสถานะได้ตลอดเวลา เสริมความโปร่งใส ตรวจสอบได้และลดขั้นตอนการประสานงานภายในเข้ามาสนับสนุนการบริหารจัดการข้อร้องเรียนของ กปภ. ปัจจุบันพร้อมให้บริการแล้วในพื้นที่ 50 สาขา และตั้งเป้าขยายการใช้งานระบบ Traffy Fondue ครอบคลุมพื้นที่เขตให้บริการ 234 สาขาทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกปัญหาน้ำประปาได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้น้ำมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ประชาชนสามารถแจ้งปัญหาประปาผ่าน Traffy Fondue ได้ง่าย ๆ ใน 6 ขั้นตอน ได้แก่ (1) เพิ่มเพื่อนทาง Line OA พิมพ์ @TraffyFondue (2) เลือกเมนู "แจ้งเรื่องใหม่" (3) แชร์พิกัดตำแหน่ง พร้อมอธิบายรายละเอียดปัญหา (4) ถ่ายภาพประกอบเพื่อความชัดเจน 5) เลือก กปภ. สาขาที่ดูแลรับผิดชอบ ข้อมูลจะถูกส่งถึงสาขาที่รับผิดชอบทันที และ (6) สามารถติดตามสถานะการแก้ไขปัญหาได้แบบเรียลไทม์ ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการ สามารถติดต่อได้ที่ PWA Contact Center 1662 ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับ Traffy Fondue ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและได้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือสำคัญของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายแห่งทั่วประเทศในการรับแจ้งปัญหาจากประชาชนแบบเรียลไทม์ เช่น ปัญหาถนนชำรุด ขยะตกค้าง หรือปัญหาสาธารณูปโภคต่าง ๆ และล่าสุดความร่วมมือกับ กปภ. ในครั้งนี้จึงเป็นการต่อยอดความสำเร็จและขยายขอบเขตการใช้งานของแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ให้ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาด้านประปาโดยเฉพาะ เพื่อช่วยยกระดับการให้บริการประชาชนได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จับมือ “แมคเดอร์มิด” เปิดห้องปฏิบัติการใหม่ในประเทศไทย เสริมศักยภาพการวิเคราะห์ขั้นสูง ขับเคลื่อนนวัตกรรม และยกระดับมาตรฐานการผลิตสู่ระดับสากล
(17 ตุลาคม 2568) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัท แมคเดอร์มิด อัลฟา อีเลคโทรนิคส์ โซลูชั่นส์ ผู้นำระดับโลกด้านวัสดุสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโซลูชันวงจรไฟฟ้า และ บริษัท แมคเดอร์มิด เอ็นโธน อินดัสเตรียล โซลูชั่นส์ ผู้ผลิตชั้นนำด้านเคมีภัณฑ์สำหรับงานตกแต่งและปรับสภาพพื้นผิว จัดพิธีเปิด ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ขั้นสูง แห่งใหม่ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านการวิเคราะห์และทดสอบเชิงเทคนิค รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและรักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านอุทยานวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า...
“สวทช. และอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ขอแสดงความยินดีกับบริษัท แมคเดอร์มิด อัลฟา อีเลคโทรนิคส์ โซลูชั่นส์ และบริษัท แมคเดอร์มิด เอ็นโธน อินดัสเตรียล โซลูชั่นส์ สำหรับความร่วมมือในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการที่ทันสมัยแห่งนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญ ความมุ่งมั่น และศักยภาพของภาคเอกชนในการขับเคลื่อนนวัตกรรมของประเทศ ความร่วมมือนี้จะมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว ทั้งนี้ ห้องปฏิบัติการแห่งใหม่นี้จะช่วยเสริมศักยภาพการวิเคราะห์เชิงลึกระดับภูมิภาค สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม และยกระดับมาตรฐานการผลิตในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ของประเทศ พร้อมส่งเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อรองรับพลวัตของเศรษฐกิจโลกภายใต้โมเดล ‘China + 1’”
นายจิม วัตคอฟสกี รองประธานฝ่าย Circuitry Solutions บริษัท แมคเดอร์มิด อัลฟา อีเลคโทรนิคส์ โซลูชั่นส์ กล่าวว่า...
“การจัดตั้งห้องปฏิบัติการแห่งนี้เกิดจากความร่วมมืออันแน่นแฟ้นระหว่าง สวทช. และบริษัท แมคเดอร์มิด อัลฟา อีเลคโทรนิคส์ โซลูชั่นส์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์และทดสอบชิ้นงานเชิงลึกให้รวดเร็ว แม่นยำ และครอบคลุมยิ่งขึ้น พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่มีคุณภาพสูงและได้รับการยอมรับในระดับสากล บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญด้านเคมีภัณฑ์เฉพาะทางและวัสดุนวัตกรรม ซึ่งสามารถยกระดับประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่การสร้างวงจรไปจนถึงพื้นผิวอัจฉริยะ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในประเทศไทย"
นาย ฮุย ฮุย คิว รองประธาน ภูมิภาคเอเชีย กล่าวเสริมว่า...
“บริษัทฯ เป็นผู้นำระดับโลกด้านเคมีภัณฑ์สำหรับงานตกแต่งและปรับสภาพพื้นผิว มุ่งมั่นนำเสนอเทคโนโลยีและโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูง ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainable Solutions) โดยทีมวิศวกรและนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญของเรามีบทบาทสำคัญในการบูรณาการเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรมสู่ตลาดในภูมิภาค เพื่อยกระดับขีดความสามารถด้านการผลิตของประเทศไทยสู่มาตรฐานระดับโลก พร้อมมุ่งสร้างความสำเร็จร่วมกับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว”
การเปิดห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ขั้นสูงแห่งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและยกระดับศักยภาพทางเทคนิคของภาคอุตสาหกรรมไทย โดยห้องปฏิบัติการได้รับการติดตั้งเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบเชิงลึก แก้ไขปัญหาทางเทคนิคได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการเร่งกระบวนการรับรองผลิตภัณฑ์ (Product Qualification) และยกระดับคุณภาพของกระบวนการเคลือบผิวในมิติสำคัญ ตลอดจนการวิเคราะห์ด้านความสามารถในการบัดกรี (Solderability) และความน่าเชื่อถือของวงจรไฟฟ้า (Circuit Reliability) เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการผลิตทั้งหมดเป็นไปตามมาตรฐานสากลและมีคุณภาพสูงสุด
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สารเสริมอาหารไก่เพื่อการผลิต ‘ไข่โอเมกา-3 สูง’
ปัจจุบันผู้คนหันมาบริโภคไข่ไก่กันมากขึ้น เนื่องจากมีงานวิจัยยืนยันแล้วว่าการบริโภคไข่ไก่ในปริมาณที่เหมาะสมไม่ใช่สาเหตุหลักของการเพิ่มปริมาณไขมันเลว (LDL) ในร่างกาย อีกทั้งไข่ไก่ยังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพที่มีราคาย่อมเยา ย่อยง่าย และมีสารอาหารที่เหมาะกับทุกช่วงวัย
ในไข่ไก่มีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายคือกรดไขมันโอเมกา-3 โดยเฉพาะสารดีเอชเอ (Docosahexaenoic Acid: DHA) ที่มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของสมอง หัวใจ ระบบประสาท และการมองเห็น ดังนั้นการเลือกบริโภคไข่ไก่ที่มีการเสริมปริมาณดีเอชเอให้สูงขึ้นจากประมาณ 30 มิลลิกรัมต่อฟอง เป็นมากกว่า 120 มิลลิกรัมต่อฟอง จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารชนิดนี้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน (250-500 มิลลิกรัม/วัน) ยิ่งขึ้น เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตสารดีเอชเอได้ด้วยตัวเอง
[caption id="attachment_76007" align="aligncenter" width="750"] ไข่ไก่เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพและสารอาหารสำคัญที่เหมาะกับทุกช่วงวัย[/caption]
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการผลิตสารเสริมอาหารไก่จากน้ำมันปลาที่ได้จากอุตสาหกรรมเนื้อปลาแปรรูป เพื่อใช้ในการผลิตไข่ไก่โอเมกา-3 สูง ในชื่อ NANO-FortiEgg (นาโน-ฟอร์ติเอ็กก์) โดยโครงการวิจัยนี้เป็นการดำเนินงานภายใต้แพลตฟอร์ม FoodSERP ของ สวทช. ที่ดำเนินงานวิจัยร่วมกับคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่บริษัทพี.ซี. ทูน่า จำกัด เรียบร้อยแล้ว
[caption id="attachment_76004" align="aligncenter" width="750"] ดร.ชุติมา อภิบาลธรรมกิจ นักวิจัยนาโนเทค สวทช. ผู้พัฒนาเทคโนโลยีสารเสริมอาหารไก่เพื่อผลิตไข่โอเมกา-3 สูง[/caption]
ดร.ชุติมา อภิบาลธรรมกิจ นักวิจัยทีมวิจัยการนำส่งเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารสัตว์ฟังก์ชัน กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการห่อหุ้มระดับนาโนและระบบนำส่งทางชีวภาพ นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า จุดเริ่มต้นในการวิจัยมาจากการร่วมกับบริษัทพี.ซี. ทูน่า จำกัด วิจัยกระบวนการเพิ่มการกระจายตัวและการดูดซึมของน้ำมันปลาในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ ซึ่งหลังจากได้ผลลัพธ์การวิจัยอันน่าพึงพอใจ ทางบริษัทจึงได้ร่วมกับทีมวิจัยขยายขอบเขตการวิจัยสู่ผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์
[caption id="attachment_76017" align="aligncenter" width="750"] น้ำมันปลาทะเลน้ำลึกเป็นแหล่งโอเมกา-3 สำคัญ ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสารเสริมอาหารไก่ได้[/caption]
“โจทย์ในครั้งนี้ คือ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่น้ำมันปลาจากทะเลน้ำลึก ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตเนื้อปลาแปรรูป เช่น เนื้อปลาแซลมอน ทูน่า ซาดีน เพราะน้ำมันเหล่านี้มีกรดไขมันโอเมกา-3 ชนิดดีเอชเอเป็นส่วนประกอบสูง
“จากโจทย์ดังกล่าวทีมวิจัยนำโดย ดร.กิตติวุฒิ เกษมวงศ์ นักวิจัยอาวุโส กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการห่อหุ้มระดับนาโนและระบบนำส่งทางชีวภาพ นาโนเทค สวทช. จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในรูปของเหลว (liquid feed supplement) เพื่อใช้เป็นสารเสริมอาหารให้แม่ไก่ โดยมุ่งหวังให้แม่ไก่ผลิตไข่ที่มีปริมาณดีเอชเอสูงขึ้น เหมาะสำหรับเป็นแหล่งอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับทุกเพศทุกวัย รวมถึงผู้ที่เลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ ซึ่งอาจได้รับปริมาณสารดีเอชเอไม่เพียงพอ”
ในการทำวิจัยทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ได้นำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีนาโนอิมัลชัน (nanoemulsion technology) มาพัฒนากระบวนการแปรรูปน้ำมันปลาที่เป็นสารประกอบไม่ชอบน้ำ (hydrophobic compound) ให้อยู่ในรูปของสารที่กระจายตัวในน้ำได้ดี โดยใช้เทคโนโลยี Nanostructured Lipid Carrier (NLC)
[caption id="attachment_76006" align="aligncenter" width="450"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์สารเสริมอาหารไก่ที่พัฒนาจากน้ำมันปลาโดยนาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.ชุติมา อธิบายว่า สารเสริมอาหารที่ได้มีกลิ่นคาวต่ำ เหมาะแก่การผสมน้ำดื่มให้แม่ไก่บริโภคเพื่อผลิต NANO-FortiEgg ซึ่งเป็นไข่ที่มีปริมาณสารดีเอชเอสูง จากการทดสอบเป็นระยะเวลากว่า 1 ปี ได้ข้อสรุปแล้วว่า สารเสริมอาหารไก่ที่พัฒนาขึ้นนี้ช่วยเพิ่มปริมาณสารดีเอชเอในไข่ไก่ได้ถึงกว่า 3 เท่า หรือมากกว่า 120 มิลลิกรัมต่อฟอง เมื่อเทียบกับไข่ไก่ที่ผลิตโดยแม่ไก่ที่ไม่ได้บริโภคอาหารเสริม โดยไข่ไก่ที่มีปริมาณสารดีเอชเอสูงนั้นมีราคาจำหน่ายสูงกว่าไข่ไก่ทั่วไปร้อยละ 20-30 หรือมีราคา 7-10 บาทต่อฟอง จึงช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้แก่เกษตรกรได้เป็นอย่างดี
“เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา นาโนเทค สวทช. และบริษัทพี.ซี. ทูน่า จำกัด ได้ลงนามความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเพื่อขยายผลสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ และนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้สร้างการเติบโตให้แก่อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยขั้นตอนการผลิตสารเสริมอาหารชนิดนี้ผ่านการออกแบบและพัฒนาให้ผลิตได้ง่าย สามารถผลิตได้ด้วยเครื่องจักรที่มีการใช้งานทั่วไปในประเทศไทย ปัจจุบันทางบริษัทกำลังขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับกรมปศุสัตว์ ก่อนผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ต่อไป”
[caption id="attachment_76005" align="aligncenter" width="450"] โรงเรือนทดลองสำหรับศึกษาผลของสารเสริมอาหารไก่ต่อคุณภาพไข่และปริมาณโอเมกา-3[/caption]
ทั้งนี้ Future Market Insights ระบุว่าในปี 2566 ตลาดไข่เสริมสารอาหาร (fortified eggs) ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึงกว่า 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 12,000 ล้านบาท นอกจากนี้ด้วยเทรนด์การบริโภคเพื่อสุขภาพที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลให้อัตราการจำหน่ายไข่เสริมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 8.5 ต่อปีในช่วงปี 2566-2576 และคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 820 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2576
ผลงานการวิจัยและพัฒนานี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการนำความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ของประเทศไทย ช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในการสร้างแหล่งอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้คนไทยได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตสารเสริมอาหารไก่เพื่อใช้ในการผลิต NANO-FortiEgg ได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริการโครงสร้างพื้นฐาน (BDIS) นาโนเทค สวทช. bdis-bdv@nanotec.or.th และ kittiwut@nanotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และนาโนเทค สวทช. และภาพจาก Adobe Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
เทศกาลกินเจปีนี้ ต้องลอง ‘Ve-Chick’ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืชโดย สวทช.
เริ่มแล้วกับเทศกาลกินเจ ช่วงเวลาที่ผู้คนตั้งใจละเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์เพื่อประโยชน์ทั้งใจและกาย ปีนี้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เชิญชวนทุกคนมาอิ่มอร่อย อิ่มบุญ และอิ่มใจกับนวัตกรรม “Ve-Chick (วี-ชิค) เนื้อไก่จากโปรตีนพืช” ที่มีเนื้อสัมผัสและกลิ่นสมจริง ที่สำคัญมีไฟเบอร์สูงกว่าเนื้อไก่ อีกทั้งยังปราศจากคอเลสเตอรอล ปัจจุบันถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ภาคเอกชนและมีผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายแล้ว
Ve-Chick ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืช
[caption id="attachment_76031" align="aligncenter" width="750"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า Ve-Chick เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนถั่วเหลือง ที่ทีมวิจัยพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีครั้งแรกตั้งแต่ปี 2564 และยังคงเดินหน้าวิจัยต่อยอดผลงานมาจนถึงปัจจุบัน
“ขณะนี้ผลิตภัณฑ์ Ve-Chick มีทั้งหมด 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แบบ premix (พรีมิกซ์) เป็นเนื้อไก่ผงสำหรับนำไปขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อไก่รูปแบบต่าง ๆ ก่อนนำไปปรุงอาหาร ผลิตภัณฑ์แบบ precook (พรีคุก) เป็นชิ้นเนื้อไก่สำเร็จรูปพร้อมใช้ประกอบอาหาร (Ready to Cook) รวมทั้งใช้เป็นวัตถุดิบผลิตอาหารพร้อมรับประทานในรูปแบบแช่แข็งได้อีกด้วย
[caption id="attachment_76034" align="aligncenter" width="450"] Ve-Chick ต้นแบบผัดกะเพราไก่ทอดจากโปรตีนพืช[/caption]
[caption id="attachment_76036" align="aligncenter" width="450"] Ve-Chick ต้นแบบแกงกะหรี่ไก่ทอดจากโปรตีนพืช[/caption]
[caption id="attachment_76035" align="aligncenter" width="450"] Ve-Chick ต้นแบบเนื้อไก่จากโปรตีนพืช[/caption]
“ส่วนผลิตภัณฑ์กลุ่มสุดท้ายซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2567 คือกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน (Ready to Eat) เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืชที่เก็บในบรรจุภัณฑ์โดยไม่ต้องแช่เย็นได้นานถึง 1 ปี โดยทีมวิจัยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบไว้แล้ว 2 ผลิตภัณฑ์ คือ กะเพราไก่สับจากโปรตีนพืช และแกงเขียวหวานไก่จากโปรตีนพืช”
นอกจากการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ทีมวิจัยยังให้ความสำคัญต่อกระบวนการผลิตที่ดำเนินการได้เองภายในประเทศและไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรราคาสูง ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยของไทยเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตอาหารแห่งอนาคต และแข่งขันได้ในตลาดโลก
[caption id="attachment_76029" align="aligncenter" width="450"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์ Ve-Chick ผัดกะเพราไก่สับจากโปรตีนพืช[/caption]
[caption id="attachment_76028" align="aligncenter" width="450"] ต้นแบบผลิตภัฑณ์Ve-Chick แกงเขียวหวานไก่จากโปรตีนพืช[/caption]
ดร.กมลวรรณ เล่าว่า เอ็มเทค สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Chick ในกลุ่ม premix และ precook ให้แก่บริษัทเอกชนแล้ว โดยมีบริษัทที่พร้อมจำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้ว 2 บริษัท ประกอบด้วย บริษัทกรีน สพูนส์ จำกัด ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ในชื่อแบรนด์ Green Spoons และ Sun n Moon และบริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ในชื่อแบรนด์ Gin Zhai และ FoodFill
Ve-Chick บุกตลาด B2B แล้ว
[caption id="attachment_76033" align="aligncenter" width="750"] ดร.อารดา วินัยแพทย์ ผู้ก่อตั้งบริษัท กรีน สพูนส์[/caption]
ดร.อารดา วินัยแพทย์ ผู้ก่อตั้งบริษัทกรีน สพูนส์ จำกัด เล่าว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแพลนต์เบสต์ (plant-based food) มาจากการเป็นนักวิจัยด้านโปรตีโอมิกส์ (proteomics) ที่สาธารณรัฐสิงคโปร์มาก่อน โดยประเด็นที่ศึกษาในตอนนั้นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับหน้าที่ของโปรตีนในร่างกายที่เกี่ยวกับการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคไต โรคหัวใจ ซึ่งผลการศึกษาทำให้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพในปริมาณที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนกระบวนการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกที่มีรสชาติดี เพื่อให้ผู้บริโภคทุกช่วงวัยเข้าถึงอาหารคุณภาพดีได้ง่ายยิ่งขึ้น
ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพของคนไทย ประกอบกับการได้เห็นข่าวความก้าวหน้าของนวัตกรรม “Ve-Chick” ที่สะท้อนถึงศักยภาพการผลิตโปรตีนพืชของนักวิจัยไทย ได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ ดร.อารดา ตัดสินใจคว้าโอกาสเข้ารับการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ดร.อารดา เล่าว่า ส่วนตัวมีความเชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญของนักวิจัย สวทช. ทั้งเรื่องคุณภาพผลงานวิจัยและความสามารถในการขยายการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม ทำให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีเป็นไปด้วยความรวดเร็ว จนปัจจุบันบริษัทได้ต่อยอดเทคโนโลยี Ve-Chick สู่ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานในรูปแบบอาหารแช่แข็งแล้ว 2 ชนิด คือ ผัดกะเพราไก่และคั่วกลิ้งไก่ มีกลุ่มลูกค้าหลักคือร้านอาหารและสถานพยาบาล เป็นการค้าในรูปแบบธุรกิจกับธุรกิจ (B2B)
“การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารของบริษัทมุ่งเน้นให้ผู้บริโภคได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่ ปรุงแต่งน้อย ไม่ใส่ผงชูรส และสารกันบูด เน้นการชูกลิ่นรสอาหารด้วยเครื่องเทศของไทยซึ่งมีสรรพคุณดีต่อสุขภาพ ทั้งนี้สูตรอาหารสามารถปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละบริษัทที่สั่งซื้อสินค้าได้ เช่น ผลิตเป็นอาหารมังสวิรัติ อาหารเจ ซึ่งจากการจัดจำหน่ายมาแล้วกว่า 2 ปี ผลิตภัณฑ์ได้รับกระแสตอบรับจากผู้บริโภคในระดับดีมากทั้งด้านเนื้อสัมผัสและรสชาติที่ใกล้เคียงเนื้อไก่จริง อีกทั้งยังคงเอกลักษณ์ความอร่อยครบรสตามตำหรับไทย”
[caption id="attachment_76032" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์ Sun n Moon อาหารพร้อมรับประทานจากโปรตีนพืช[/caption]
นอกจากการจัดจำหน่ายให้แก่สถานประกอบการในประเทศไทยแล้ว ในปีที่ผ่านมาทางบริษัทยังได้รับโอกาสให้ส่งสินค้าไปทดลองจำหน่ายในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย โดยผลลัพธ์จากการทดลองตลาดครั้งนี้ อาจนำไปสู่ลู่ทางการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารแพลนต์เบสต์สัญชาติไทยสู่ตลาดโลก
ดร.อารดา เล่าต่อว่า ด้วยความเชี่ยวชาญและชื่อเสียงด้านการวิจัยของ สวทช. ทำให้เมื่อมีการนำสินค้าของบริษัทไปจัดแสดงยังงานมหกรรมอาหารต่าง ๆ และให้ข้อมูลว่าเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาโดย สวทช. จะทำให้ผู้แทนบริษัทรวมถึงผู้บริโภคที่เข้าชมงานสนใจลิ้มลองรสชาติของผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น ถือได้ว่ามีส่วนช่วยในการขยายฐานการตลาดเป็นอย่างดี
“ดังนั้นหากมีผู้ประกอบการท่านใดที่กำลังมองหาเทคโนโลยีการผลิตอาหารหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาตำหรับอาหารสูตรเฉพาะ ก็อยากขอแนะนำให้ทดลองเข้ารับคำปรึกษาที่ สวทช. เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมารู้สึกประทับใจการทำงานร่วมกับทีมวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. เป็นอย่างมาก ทั้งในด้านความเชี่ยวชาญและความพร้อมเรื่องการให้บริการพัฒนานวัตกรรมอาหารแบบครบวงจร”
สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์อาหารแพลนต์เบสต์ของบริษัทกรีน สพูนส์ จำกัด ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Ve-Chick ในช่วงเทศกาลกินเจปีนี้ สามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ‘กะเพราไก่เจ’ และ ‘คั่วกลิ้งไก่เจ’ ได้ที่ร้าน Bellinee's จำนวน 75 สาขาทั่วประเทศไทย และที่ Café Kadsan ใน 7-Eleven ตั้งแต่วันที่ 21-29 ตุลาคมนี้ ส่วนผู้ประกอบการที่สนใจรับสินค้าของบริษัทไปจำหน่าย ติดต่อสอบถามได้ทางอีเมล greenspoonsonly@gmail.com
วิจัยแบบครบวงจรได้ที่ FoodSERP สวทช.
นอกจากการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอาหาร เช่น “Ve-Chick” แล้ว ผู้ประกอบการที่สนใจการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต (future food) รวมถึงบริการทดสอบคุณภาพ ยังสามารถใช้บริการ แพลตฟอร์ม FoodSERP (ฟูดเซิร์ป) หรือ ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบ one-stop service’
[caption id="attachment_76030" align="aligncenter" width="768"] FoodSERP แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบ One-stop service[/caption]
ดร.กมลวรรณ เล่าว่า สวทช. ได้จัดตั้งแพลตฟอร์ม FoodSERP ขึ้นเพื่อให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายกำลังการผลิต รวมถึงการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร โดยผสานความเชี่ยวชาญของนักวิจัยจากศูนย์แห่งชาติต่าง ๆ ภายใต้ สวทช. โดยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารทั้งในกลุ่มเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช อาหารปรับเนื้อสัมผัสสำหรับผู้บริโภคที่มีความต้องการเฉพาะ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีภาวะกลืนลำบาก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการจากผู้ประกอบการ
“เอ็มเทค สวทช. พร้อมให้บริการวิเคราะห์ทดสอบด้านเนื้อสัมผัสของอาหาร เช่น ความแข็ง ความหนืด และพร้อมให้บริการร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ในเรื่องการทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหารด้วยเครื่องจำลองสภาวะการย่อยอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กผ่านระบบ tiny-TIMagc และสภาวะการทำงานของลำไส้ใหญ่ผ่านระบบ TIM-2 รวมถึงบริการวิเคราะห์ทดสอบประสิทธิภาพของสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่
“ทั้งนี้ก็เพื่อให้นวัตกรรมอาหารที่ทีมวิจัยร่วมกับผู้ประกอบการพัฒนา ไม่เพียงมีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่สมจริง แต่ยังเป็นอาหารที่มีคุณภาพสูง” ดร.กมลวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Chick ติดต่อได้ที่คุณชนิต วานิกานุกูล (ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ) เบอร์โทร 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th และผู้ที่สนใจใช้บริการแพลตฟอร์ม FoodSERP สอบถามและติดต่อขอรับบริการได้ทางอีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และบริษัทกรีน สพูนส์ จำกัด และภาพจาก Adobe Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


