ผลการค้นหา :

ทีมเยาวชนประเทศไทยเจ๋ง คว้าสุดยอดรางวัล Intel AI Global Impact Festival ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
For English-version news, please visit : Thai student team wins Intel AI Global Impact Festival Grand Prize
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแสดงความยินดีกับทีมเยาวชนประเทศไทย โดย นายธนภัทร จรัญวรพรรณ นายนพวิชญ์ ฉุนรัมย์ และ นายแมท แทนไทย คอช นักเรียนโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ ผู้พัฒนาผลงาน “เครื่องมือการตรวจสอบหัวใจด้วยตนเองจากเสียงเสต็ตโทสโคปด้วยอัลกอริธึมเครือข่ายเซลล์ประสาทเทียม” (CS-M Tool)
โดยมี อาจารย์รุ่งกานต์ วังบุญ อาจารย์กฤติพงศ์ วชิรางกุล และ อาจารย์สาธิตา วรรณรัตน์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา และมีที่ปรึกษาเชี่ยวชาญทางโรคหัวใจและนวัตกรรม จากคณะแพทยศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้แก่ นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ พญ.แรกขวัญ สิทธิวางค์กูล ผศ.ดร.นพ.นราวุฒิ ประเสริฐวิทยากิจ รศ.ดร.พญ.ศิริอนงค์ นามวงศ์พรหม อ.นพ.ชโนดม เพียรกุล และ ผศ.ดร. ยศธนา คุณาทร ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับโลกในฐานะที่สร้างสรรค์ผลงานปัญญาประดิษฐ์ที่มีผลกระทบสูง (Global Award winners for AI Impact Creator) ในระดับเยาวชนอายุ 13-17 ปี จากเวที Intel AI Global Impact Festival 2022 จัดโดย บริษัท อินเทล ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะเดินทางไปร่วมนำเสนอผลงานและเข้ารับรางวัลจาก CEO ของบริษัท อินเทล Mr. Patrick P. Gelsinger ในงาน Intel Innovation 2022 Conference ระหว่างวันที่ 27-28 กันยายน 2565 ใน Silicon Valley ณ เมืองซานโฮเซ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวแสดงความยินดีกับทีมเยาวชนไทยและทีมอาจารย์ที่ปรึกษาที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอีกครั้ง จากความคิดสร้างสรรค์สู่สิ่งประดิษฐ์เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ กับผลงาน “เครื่องมือการตรวจสอบหัวใจด้วยตนเองจากเสียงเสต็ตโทสโคปด้วยอัลกอริธึมเครือข่ายเซลล์ประสาทเทียม” (CS-M Tool) โดยผลงานนี้ได้ผ่านเวทีการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 24 (National Software Contest: NSC 2022) ซึ่งจัดโดย สวทช. เป็นประจำทุกปี โดยได้รับรางวัลชนะเลิศในประเภทโปรแกรมเพื่อช่วยคนพิการและผู้สูงอายุ ระดับนักเรียน และเข้ารับพระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในงานประชุมวิชาการประจำปีของ สวทช. (NSTDA Annual Conference: NAC) เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา และล่าสุดในการประกวด Intel AI Global Impact Festival 2022 จัดโดย บริษัท อินเทล ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวทีสำหรับนักวิจัย นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ผู้บริหารและนักวิชาการ เข้าร่วมเพื่อหารือและใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการแก้ไขปัญหาที่ท้าทายโลกในปัจจุบัน มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมกว่า 1,000 ผลงานจาก 25 ประเทศทั่วโลก และจะมีการมอบรางวัลชนะเลิศให้กลุ่มเยาวชน 6 รางวัลและครูอาจารย์อีก 3 รางวัล ซึ่งนอกเหนือจากทีมเยาวชนไทยแล้ว ยังมีผลงานของเยาวชนจากจีน อินเดีย และสหรัฐอเมริกาที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ จึงนับเป็นความสำเร็จของประเทศไทยที่มีบุคลากรในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทัดเทียมประเทศระดับแนวหน้าของโลก
ผลงาน CS-M Tool ของเยาวชนไทยจากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ร่วมกับหูฟังของแพทย์ เพื่อเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนทั่วไปสามารถตรวจคัดกรองหัวใจในเบื้องต้นเองได้ เพื่อจะได้ช่วยป้องกันและลดการสูญเสียบุคลากรจากโรคหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับ 1 ของไทยและทั่วโลก มีศักยภาพในการเป็นเครื่องมือช่วยเหลือแพทย์สำหรับโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลประจำตำบล และตอบโจทย์นโยบาย BCG Economy Model ของรัฐบาล
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช.-พันธมิตร จัดใหญ่ Thai-BISPA DAY 2022 ฉลอง 13 ปี สมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย
ณ Swissotel Le Concorde Hotel Ratchada กรุงเทพฯ: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยพร้อมด้วย นางสาวชมพูนุช อนุศาสน์สิทธิกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและคลัสเตอร์นวัตกรรม อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และนางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) สวทช. เข้าร่วมพิธีเปิดงานฉลองครบรอบ 13 ปี สมาคม Thai-BISPA หรือ สมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทยในฐานะหน่วยงานร่วมก่อตั้งสมาคมและหน่วยงานพันธมิตร รวมถึงร่วมแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการดีเด่นที่ได้รับรางวัล THE BEST INCUBATEE AWARD ที่มีทักษะความสามารถและความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ และการพัฒนาสินค้า บริการที่แตกต่าง โดดเด่น สามารถตอบโจทย์ทั้งในและต่างประเทศ และมีผลประกอบการรวมถึงผลกระทบธุรกิจทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ดี
รองศาสตราจารย์ ดร.กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย นายกสมาคม Thai-BISPA กล่าวว่า สมาคมฯ จัดตั้งขึ้นในปี 2552 เพื่อเป็นศูนย์กลางเครือข่ายของกิจกรรมบ่มเพาะธุรกิจ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยในการที่จะพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจใหม่ให้เกิดขึ้นในประเทศ ในระดับสากล ปัจจุบันมีสมาชิกองค์กรในประเทศรวมทั้งสิ้น 40 รายเป็นหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์กระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงหน่วยงานสนับสนุนอื่นๆที่มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมทั้งจากภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือในระดับนานาชาติและองค์กรหรือสมาคมต่างๆ มากกว่า 40 แห่งทั่วโลก ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ หน่วยบ่มเพาะธุรกิจจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสมัยใหม่ ให้ประเทศไทยก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศที่มีรายได้มากขึ้น หรือ ประเทศที่มีรายได้สูง ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมาสมาคม Thai-BISPA ได้ดำเนินการภายใต้กิจกรรมสนับสนุนความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ เช่น การพัฒนากำลังคน ด้านบริหารจัดการนวัตกรรมของประเทศ ซึ่งสมาคมได้ให้ความสำคัญในการจัดอบรม ถ่ายทอดองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ประชุมวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศมากกว่า 60 กิจกรรม มีผู้ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมตลอดปี 2564 มากกว่า 1,500 คน การพัฒนามาตรฐานเครื่องมือในการบริหารจัดการหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้ร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มต่างๆ ในการประเมินศักยภาพความพร้อมของเทคโนโลยี และการเชื่อมโยงความรู้ ข้อมูลข่าวสารเครือข่ายและความร่วมมือด้านบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ภายในงานได้มีการประกาศผลรางวัลผู้ประกอบการดีเด่น THE BEST INCUBATEE AWARD ให้กับผู้ประกอบการที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจนวัตกรรม ซึ่งมีผู้ได้รับรางวัล 2 ราย โดยรายแรกเป็นผู้ประกอบการภายใต้การดูแลของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ได้แก่ บริษัท เทสเต็ด เบ็ตเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็น ผู้พัฒนาและจัดจำหน่ายแป้งและขนมปังไร้กลูเตน ไม่มีน้ำตาล และผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ อาทิ อาหารผู้ป่วยเบาหวาน รายที่สอง ได้แก่ บริษัท คิว คิว (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาแอปพลิเคชันให้บริการระบบคิวออนไลน์ที่ใช้งานทั้งในร้านอาหาร ธนาคาร ห้างสรรพสินค้า และศูนย์บริการต่างๆ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการภายใต้การดูแลของศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. (BIC)
นอกจากนี้ยังมีรางวัลในสาขาอื่นๆ ได้แก่ สาขา Potential technology transfer หรือผู้ประกอบการที่มีศักยภาพจากการนำเทคโนโลยีที่ได้จากการวิจัยและพัฒนาที่ได้รับการถ่ายทอดมาต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศได้แก่ บริษัท อินโน กรีน เทค จำกัด ผู้พัฒนาระบบบำบัดวงจรไฟฟ้าชีวภาพ และรางวัลรองชนะเลิศได้แก่ บริษัท พาริช สกิน จำกัด ผู้พัฒนา ผลิตและจำหน่ายเวชสำอางบำรุงผิวหน้านวัตกรรมโพรไบโอติก
สาขา Promising entrepreneurs หรือผู้ประกอบการที่พร้อมด้วยทัศนคติ ทักษะ ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์ของการเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดย รางวัลชนะเลิศได้แก่ บริษัท ฟางไทย แฟคทอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายภาชนะบรรจุภัณฑ์เยื่อฟางข้าว ส่วน รางวัลรองชนะเลิศในสาขานี้ ได้แก่ บริษัท รีฟัน จำกัด ตู้รับซื้อขยะรีไซเคิลอัตโนมัติ เปลี่ยนขยะรีไซเคิล เป็นเงินในรูปแบบต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการของผู้ประกอบการที่อยู่ภายใต้การดูแลของอุทยานวิทยาศาสตร์และหน่วยบ่มเพาะธุรกิจที่น่าสนใจ เช่น บริษัท อินน็อกซ์เซลลา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสารออกฤทธิ์ในอาหารเสริม รวมถึงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและเวชสำอาง ซึ่งช่วยลดการนำเข้าสารออกฤทธิ์จากต่างประเทศและสามารถลดต้นทุนได้ และ บริษัท พีชแอนด์ โค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่สนใจสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์ด้านความงาม ซึ่งทางบริษัทสามารถดูแลได้ครอบคลุมทั้งกระบวนการตั้งแต่การให้คำปรึกษา การพัฒนาสูตร การออกแบบผลิตภัณฑ์ การทำวิจัยและพัฒนา การ Matching โรงงานผลิต รวมถึงการให้คำปรึกษาในการขอรับรองระบบมาตรฐานต่างๆ ของผลิตภัณฑ์อีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์

ยกระดับเกษตรกร “ทุ่งกุลา” ผลิตพืชสมุนไพรด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ลงนามความร่วมมือโครงการ “การยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม: ด้านพืช สมุนไพร” เป็นความร่วมมือเพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ คือ จ.ศรีสะเกษ, จ.ร้อยเอ็ด และ จ.มหาสารคาม ปลูกพืชสมุนไพร โดยใช้องค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปเพิ่มมูลค่าผลผลิตให้มีคุณภาพมาตรฐาน ตรงตามความต้องการของตลาด เป็นการเพิ่มรายได้ที่ยั่งยืนให้กับอาชีพเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งหวังยกระดับอาชีพและรายได้ของเกษตรกร สร้างเศรษฐกิจฐานรากไปพร้อมกับการสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนของทรัพยากรทางชีวภาพของไทย.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สวทช. ผนึกพันธมิตร 40 หน่วยงาน จัดยิ่งใหญ่ งาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) โชว์กว่า 200 ผลงาน ‘นวัตกรรมพร้อมต่อยอดธุรกิจ’
21 กันยายน 2565 ที่โถงชั้น 1 สวทช. อาคารโยธี ถ.พระรามที่ 6 กรุงเทพฯ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จับมือพันธมิตรองค์กรภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งในและต่างประเทศกว่า 40 หน่วยงาน แถลงข่าว “การจัดงานประชุมและนิทรรศการ APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz” (Thailand Tech Show 2022) ภายใต้แนวคิด ผสานพลัง วทน. เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืน (Synergizing STI to Sustainable Business)
จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 ตุลาคม 2565 ณ เซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ และวันที่ 12 ตุลาคม 2565 นำผู้ประกอบการลงพื้นที่ (site visit) ชมโครงการที่ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้เพื่อเป็นกิจกรรมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC 2022 Thailand) และเปิดงาน Thailand Tech Show 2022 เวทีแสดงผลงานทางวิชาการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมวิจัยที่พร้อมต่อยอดธุรกิจ พร้อมทั้งเป็นการส่งเสริมโอกาสความร่วมมือด้านธุรกิจ วิชาการระหว่างสมาชิกเอเปคให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ในปี 2565 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่ประเทศไทยได้แสดงวิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์ชาติเรื่อง โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) หรือ โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับความสามารถในการแข่งขันในการพัฒนาประเทศ บนพื้นฐานของการใช้ทรัพยากรที่หลากหลายซึ่งถือเป็นจุดแข็งและต้นทุนสำคัญของประเทศไทย เพื่อนำไปพัฒนาอุตสาหกรรมที่เพิ่มมูลค่าและเกิดความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ดังนั้น สวทช. และพันธมิตรกว่า 40 หน่วยงานจึงจัดงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ภายใต้แนวคิด “ผสานพลัง วทน. เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืน” (Synergizing STI to Sustainable Business) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 ตุลาคม 2565 ณ เซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
ซึ่งภายในงานทั้ง 2 วันมีทั้งการประชุม สัมมนา นิทรรศการ เพื่อสร้างโอกาสความร่วมมือทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ นักลงทุนไทยที่สนใจนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเสริมความเข้มแข็งของธุรกิจด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเป็นการสร้างขุมพลังของระบบนิเวศ วิจัยและนวัตกรรม นำไปช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เข้มแข็งและเกิดความมั่งคั่งยั่งยืน และวันที่ 12 ตุลาคม 2565 จะเป็นกิจกรรม site visit พาผู้ประกอบการที่สนใจไปชมโครงการและผลงานที่ประสบความสำเร็จจากการประยุกต์ใช้ BCG Model อาทิ ราชบุรีโมเดล EECi และ Solar Cell Recycle
“หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายประเทศ ได้หาวิธีฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว (Disruption) สะท้อนให้เห็นถึงผลเสียจากการพัฒนาที่ไม่ทั่วถึงและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกปล่อยละเลย ด้วยเหตุนี้นโยบายเศรษฐกิจ BCG จึงได้ถูกนำเสนอมาขับเคลื่อนเอเปค 2565 เพื่อตอบโจทย์การฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ครอบคลุม และสมดุล โดยเน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาต่างๆ ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจ ซึ่งสิ่งที่ประเทศไทยมุ่งผลักดันเป็นหลักคือการ “สร้างความสมดุลในทุกด้าน” หรือ Balance โดยนำแผนงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเอเปค มาบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของภูมิภาคในระยะยาว”
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวว่า สำหรับสิ่งที่ต้องห้ามพลาดในการจัดงานครั้งนี้ คือ ในวันที่ 11 ตุลาคม 2565 จะมีการบรรยายพิเศษ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10 Technologies to watch) ซึ่งเป็นการคาดการณ์เทคโนโลยีที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและธุรกิจในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้า ที่ผู้ประกอบการในปัจจุบันต้องติดตามอย่างใกล้ชิด พร้อมรับมือและปรับตัวให้เท่าทันกับเทรนด์เทคโนโลยีของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (Disruption) ซึ่งอาจพลิกธุรกิจของทุกภาคส่วนได้เสมอ ภายในงานยังมีการนำเสนองานวิจัยพร้อมต่อยอดธุรกิจ กับเวที Investment Pitching เวทีแห่งการนำเสนอผลงานต่อนักลงทุนและนักอุตสาหกรรม สำหรับ 10 ผลงานที่มีความพร้อมถ่ายทอดผลงานให้กับผู้ประกอบการที่มองหาโอกาสและช่องทางในการทำธุรกิจเทคโนโลยี
นอกจากนี้ยังมีการปาฐกถาพิเศษ การบรรยาย และการเสวนา การขับเคลื่อน BCG Economy Model สู่การปฏิบัติ ในเขตเศรษฐกิจเอเปค ครอบคลุมวิทยากรจาก 8 เขตเศรษฐกิจ ในสาขา BCG ทั้งพลังงานและสิ่งแวดล้อม อาหารและเกษตรท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ รวมทั้งการพัฒนาชุมชน รวม 7 หัวข้อ อาทิ เทคโนโลยีพลังเพื่อสังคมปลอดคาร์บอน ,วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงทางอาหาร ,เศรษฐกิจ BCG เพื่อชุมชนเข้มแข็ง เป็นต้น
อีกทั้งนิทรรศการ APEC Economy Pavilion และ โซน IP Marketplace แหล่งรวมงานวิจัยจากพันธมิตรหน่วยงานวิจัยทั่วประเทศทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา ผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีกว่า 200 ผลงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมนั้น ตอบโจทย์ BCG ช่วยโดยไปช่วยเสริมขีดความสามารถการแข่งขันให้กับธุรกิจแบบครบวงจรและยั่งยืน
คุณวริทธิ์ นามวงษ์ กรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและรองประธานสายงานส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรม กล่าวว่า ส.อ.ท. ยินดีในการเป็นหนึ่งพันธมิตรของ สวทช. และกระทรวง อว. ในการร่วมจัดงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ซึ่งถือเป็นงานที่เพิ่มโอกาสให้กับทั้งนักลงทุนและผู้ประกอบการ ที่กำลังมองหาเทคโนโลยีในการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการในยุค New Normal มีแนวคิดในการทำธุรกิจแบบใหม่ คือ การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพื่อการรับมือกับสถานการณ์ ซึ่งการปรับตัวเชิงรุกจำเป็นต้องมีการพัฒนานวัตกรรม โดยการจัดงานครั้งนี้ จะเป็นเวทีเชื่อมโยงผู้ประกอบการได้พบกับนักวิจัย นักนวัตกร เพื่อแลกเปลี่ยนและเลือกงานวิจัยที่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมจนสามารถพัฒนาเป็นธุรกิจได้
“ทั้ง ส.อ.ท. และ สวทช. เป็นพันธมิตรที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ ใช้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปสู่การพัฒนาธุรกิจของตนเองอย่างเข้มแข็ง เพื่อสร้างขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งตัวอย่าง การดำเนินงาน อาทิ การร่วมทุน กับกระทรวง อว. ตั้ง “Matching Fund” ช่วย SMEs ต่อยอดธุรกิจ เพื่อช่วยเหลือสตาร์ทอัปและเอสเอ็มอี BCG Idea การสร้างมาตรฐานองค์กรเศรษฐกิจหมุนเวียน กระทรวงอุตสาหกรรม (Prime Minister Awards) การพัฒนาทักษะ และความเชี่ยวชาญ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ Funding for Upskill 400,000 บาท/องค์กร เป็นต้น”
อย่างไรก็ดี ส.อ.ท. ได้ดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อน BCG Economy ซึ่งครอบคลุมธุรกิจที่กว้างขวาง ด้วยการต่อยอดเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ของประเทศ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ผ่านความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย โดยส่งเสริมความเชื่อมโยงงานวิจัย เพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ ซึ่งได้ดำเนินการร่วมกับ สวทช. ในการสนับสนุนให้เกิดการปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่ม Productivity เช่น โครงการ Cost effective technology การช่วยเหลือด้านทรัพยากร ทั้งแหล่งเงินทุน และองค์ความรู้ และคำนึงถึงความยั่งยืนควบคู่กันไป
ภายในงานแถลงข่าวมีการนำไฮไลท์ผลงานวิจัยที่พร้อมต่อยอดธุรกิจ มาแสดงในงานรวม 5 ผลงาน ได้แก่ 1. FOODe’ care ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างและฆ่าเชื้อที่ใช้สำหรับอาหาร (ENTEC) 2. FleXARs ฟิล์มป้องกันการเกาะของสิ่งมีชีวิต (NECTEC) 3. Prolifera แผ่นแปะกระตุ้นการฟื้นฟูสภาพผิว (NANOTEC) 4. ChelaPlant-Nano ปุ๋ยคีเลตธาตุอาหารรอง-เสริม เพื่อเร่งการเจริญของพืช (NANOTEC) 5. ยาสอดเต้าจากสมุนไพรฝางและว่านหางจระเข้ เพื่อรักษาโรคเต้านมอักเสบในโคนม (มหาวิทยาลัยแม่โจ้)
ทั้งนี้ สวทช. และพันธมิตรทุกองค์กรผู้ร่วมจัดงาน ขอเชิญชวน นักลงทุน นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ Startup ผู้ที่มองหานวัตกรรมและพร้อมลงทุน เข้าร่วมงานดังกล่าว ระหว่างวันที่ 10 - 12 ตุลาคม 2565 นี้ฟรีตลอดงาน ซึ่งเป็นอีกงานใหญ่ที่จะแสดงให้เห็นศักยภาพของงานวิจัยไทย ที่พิสูจน์ได้ว่างานวิจัยไม่ได้อยู่บนหิ้งเสมอไป งานดีๆแบบนี้ มีแต่งานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ดี และเป็นนวัตกรรมที่พร้อมต่อยอดทางธุรกิจได้ ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนร่วมงานได้ฟรีที่ www.nstda.or.th/apecbcg-tts2022 หรือสอบถาม โทร. 0-2564-7000
ข่าวประชาสัมพันธ์

การเปิดรับข้อเสนอโครงการร่วมวิจัย ภายใต้ความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช. ประจำปี 2566
ขอเรียนเชิญเข้าร่วม งานประชาสัมพันธ์การเปิดรับข้อเสนอโครงการร่วมวิจัย ภายใต้ความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช. ประจำปี 2566
วันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2565 เวลา 10.30 – 12.00 น. ในรูปแบบออนไลน์ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยโปรแกรม Cisco Webex
โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ ระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล และ สวทช. เป็นการร่วมทุน เพื่อสนับสนุนโครงการร่วมวิจัยระหว่างสองหน่วยงาน โดยมหาวิทยาลัยมหิดล และ สวทช. สนับสนุนฝ่ายละ 1 ล้านบาทต่อปี ต่อโครงการ รวม 2 ล้านบาทต่อโครงการ ต่อปี งบประมาณรวมไม่เกิน 6 ล้านบาทต่อโครงการ และระยะเวลาดำเนินงานไม่เกิน 3 ปีต่อโครงการ สนับสนุนไม่เกิน 3 โครงการต่อปี (เปิดรับข้อเสนอโครงการวิจัย ปีเว้นปี)
ขอบเขตการสนับสนุน ประจำปี 2566: 1. Health Sciences 2. Agricultural and Biological Sciences 3. Engineering 4. Energy and Environmental Sciences และ 5. Advanced Material Sciences and Nanotechnology รวมทั้ง เทคโนโลยีที่สามารถขยายผลและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายสาขา เช่น AI
หมายเหตุ สนับสนุนทุนนักศึกษาปริญญาเอก 1 ทุนต่อโครงการ (นักศึกษาใหม่) ผ่านทางโครงการทุนพัฒนาบัณฑิตวิจัยคุณภาพสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่
https://meeting-nstda.webex.com/meeting-nstda/j.php?RGID=ra6aa315ba4ae69d751b4cb2a93bf8863
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. ผนึกพันธมิตรยกระดับคุณภาพ-มาตรฐานการปลูกพืชสมุนไพร ใช้กลไกตลาดนำการผลิต สร้างรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลา
For English-version news, please visit : NSTDA and partners to boost medicinal plant production in Thung Kula Ronghai
(วันที่ 17 กันยายน 2565) ณ ห้องประชุมศรีพฤทเธศวร ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ:สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ “การยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม: ด้านพืช สมุนไพร”ร่วมกับ 3 จังหวัดในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม รวมทั้งสถาบันการศึกษาในพื้นที่ นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับการปลูกพืชสมุนไพร นำร่องขิง ไพล ฟ้าทะลายโจร พร้อมเชื่อมโยงบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) และบริษัท กุยลิ้มฮึ้ง จำกัด รับซื้อผลผลิตคุณภาพตอบโจทย์ความต้องการตลาด เปิดช่องทางการตลาดใหม่ สร้างเศรษฐกิจชุมชนและฐานรากให้ยั่งยืนโดยใช้ฐานทรัพยากรในพื้นที่
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยมีสมุนไพรกว่า 10,000 ชนิด โดยร้อยละ 15.5ของชนิดสมุนไพร นำมาใช้ประโยชน์ได้ในหลายอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยก่อนสถานการณ์โควิดมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรของประเทศไทยขยายตัวถึง 5.2 หมื่นล้านบาท สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยและพัฒนาได้ดำเนินงานด้านสมุนไพรตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายพันธมิตร ทั้งการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ การพัฒนาวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและระบบไบโอรีแอคเตอร์ (Bioreactor) สำหรับผลิตต้นพันธุ์สมุนไพรปลอดโรค การใช้สารชีวภัณฑ์เพื่อจัดการโรคและแมลงศัตรูพืช การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนาโนอิมัลชั่นแปรรูปสมุนไพร การจัดทำฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ ตลอดจนการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย
“นอกจากความเชี่ยวชาญของนักวิจัยและความพร้อมของเครื่องมือแล้ว สวทช. ยังให้ความสำคัญต่อการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่ชุมชนโดยใช้กลไกตลาดนำการผลิต ซึ่งเป็นการทำงานที่บูรณาการความร่วมมือแบบจตุภาคีจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการและภาคประชาสังคม เพื่อสร้างการเรียนรู้และการเข้าถึงเทคโนโลยีของเกษตรกร ซึ่งภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ สวทช. จะร่วมส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยพัฒนา ทดสอบ สาธิต และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานระดับจังหวัด มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เพื่อเพิ่มศักยภาพให้เกษตรกรสามารถผลิตพืชสมุนไพรให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งการดำเนินงานครั้งนี้จะนำร่องกับพืชสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ ขิง ไพล และฟ้าทะลายโจร โดยเบื้องต้นมีเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ มหาสารคามและร้อยเอ็ด ให้ความสนใจนำร่องผลิตพืชสมุนไพรจำนวน 497 ราย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเกษตรกรที่อยู่ในเขตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ประกอบกับรัฐบาลได้กำหนดให้นโยบาย BCG Economy เป็นวาระแห่งชาติ จึงเป็นโอกาสดีที่จะร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวให้เกิดโมเดลเศรษฐกิจฐานชีวภาพที่มีการใช้ประโยชน์จากการหมุนเวียนทรัพยากรไปพร้อม ๆ กัน เพื่อสร้างงานและรายได้ให้กับเกษตรกร โดยไม่ทอดทิ้งปัญหาสิ่งแวดล้อมไว้ข้างหลัง” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
นายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า จังหวัดศรีสะเกษให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความยากจนโดยเฉพาะมิติทางด้านเศรษฐกิจและรายได้ของเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยกำหนดกรอบแนวทางการดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น สร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งบนเส้นทางการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยกำหนดวาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร มีกลไกขับเคลื่อนระดับจังหวัด เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐาน GAP
“สมุนไพรเป็นอีกหนึ่งพืชที่เกษตรกรสามารถปลูกเป็นพืชหลักหรือเป็นพืชแซม ซึ่งจังหวัดศรีสะเกษมีพื้นที่ปลูกสมุนไพร 317ไร่ มีเกษตรกรที่ปลูกสมุนไพร 256คน โดยปลูกสมุนไพรหลากชนิด อาทิ ขิง ไพล ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน กระชายขาว ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมาผลผลิตนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรและยาแผนโบราณที่โรงพยาบาลห้วยทับทัน นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลขุนหาญและโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติฯ ที่มีโรงงานแปรรูปอบแห้ง ทำลูกประคบและผลิตเวชสำอาง ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้จะดำเนินงานในพื้นที่นำร่องที่เชื่อมโยงตลาดรับซื้อสมุนไพรในพื้นที่อำเภอราษีไศลและอำเภอห้วยทับทัน ซึ่งเกษตรกรจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ตรงตามความต้องการของบริษัทผู้รับซื้อ เมื่อเกษตรกรมีความรู้และผลิตได้คุณภาพมีตลาดรองรับ ย่อมสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรที่จะมีทั้งรายได้และอาชีพที่มั่นคงได้” ผู้ว่าฯ จังหวัดศรีสะเกษ กล่าว
ดร.วิวรรธน์ กฤษฎาสิมะ Chief Supply Chain and Digitization Officer บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โอสถสภาดำเนินธุรกิจคู่สังคมไทยมากว่า 131 ปี โดยยังคงรักษา สืบทอด และพัฒนาการใช้สมุนไพรอย่างต่อเนื่อง สมุนไพรที่มีคุณภาพสูงเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตสินค้าทั้ง 3 กลุ่มของโอสถสภา ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ซึ่งครอบคลุมถึงเครื่องดื่มบำรุงกำลังและเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ โอสถสภาจึงร่วมส่งเสริมการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มายกระดับการปลูกพืชสมุนไพร เพื่อสร้างความมั่นคงในการจัดหาสมุนไพรไทยที่มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
“ด้วยวิสัยทัศน์การเป็นพลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต โอสถสภาจึงดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านความยั่งยืน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมและแบ่งปันโอกาสทางเศรษฐกิจ โอสถสภากำหนดให้การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคู่ค้ารายย่อย ซึ่งรวมถึงผู้จัดหาวัตถุดิบสมุนไพร และการใช้ส่วนผสมสมุนไพรที่มาจากการจัดหาอย่างยั่งยืน จากเป้าหมายดังกล่าว โอสถสภาได้ทำงานร่วมกับ สวทช. มหาวิทยาลัย และหน่วยงานด้านเกษตร ตลอดจนเกษตรกรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับการผลิต การแปรรูป การพัฒนาต่อยอดสมุนไพร วัตถุดิบทางการเกษตรและทรัพยากรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้เป็นแหล่งการผลิตวัตถุดิบสมุนไพรที่มีคุณภาพ มาตรฐานและมูลค่าสูงอย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยยกระดับรายได้ เพิ่มคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ชุมชน สังคม ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน” ดร.วิวรรธน์ กล่าว
อนึ่ง โครงการ “การยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม: ด้านพืชสมุนไพร” เป็นความร่วมมือระหว่าง สวทช. จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) และบริษัท กุ้ยลิ้มฮึ้ง จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการใช้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่เกษตรกร สร้างศักยภาพการผลิตพืช สมุนไพรให้ได้มาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาด ส่งเสริมการแปรรูปพืช สมุนไพรเพิ่มมูลค่าโดยกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน เชื่อมโยงตลาดรับซื้อสมุนไพร และเพิ่มช่องทางการตลาดในการรับซื้อสมุนไพร ตลอดจนบูรณาการความร่วมมือในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการผลิตพืช สมุนไพร และมีช่องทางการตลาดรับซื้อที่แน่นอน โดยมีพื้นที่ดำเนินงานในจังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ด มีพืชสมุนไพรนำร่อง ได้แก่ ขิง ไพลและฟ้าทะลายโจร
# # #
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐ-สถาบันการศึกษา ผนึกกำลังนำ วทน. ส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการ/บุคลากรสายวิชาการ
(16 กันยายน 2565) ณ ห้องแถลงข่าวชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) : ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานกรรมการบริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ ร่วมแสดงความยินดี ในโอกาสที่หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อประสานงานความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาครบทุกขั้นตอน โดยการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรร่วมกัน ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) รวมถึงการพัฒนาบุคลากรสายวิชาการของทั้ง 18 หน่วยงาน เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวแสดงเจตนารมณ์ในการลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการด้วย วทน. รวมทั้งพัฒนาบุคลากรสายวิชาการ
ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และคณะผู้บริหารหน่วยงานทั้ง 17 หน่วยงาน เข้าร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจฯ
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า กระทรวงการ อว. มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ผนวกรวมกับศิลปศาสตร์ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ปัจจุบันรัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า บีซีจีโมเดล หรือ BCG Economy Model ซึ่งต้องอาศัยกลไกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง อีกทั้งบีซีจีโมเดล ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดด กระจายโอกาส กระจายรายได้ และนำความมั่งคั่งไปสู่ชุมชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง นำพาประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้สูง และมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน กระทรวง อว. ถือเป็นกระทรวงแห่งปัญญา กระทรวงแห่งโอกาส เนื่องจากเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่เพียบพร้อมด้วยหน่วยงานด้านวิจัยพัฒนา สถาบันการศึกษา ซึ่งล้วนประกอบด้วย บุคลากรที่มีองค์ความรู้และทักษะที่เข้มแข็งอยู่ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
“ที่ผ่านมาผมได้มอบนโยบายสำคัญประการหนึ่ง คือ การเร่งผลักดันและระดมสรรพกำลังจากทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาค ทำหน้าที่เป็น “อว. ส่วนหน้า” ในการประสานความร่วมมือ ทำงานในพื้นที่ร่วมกับทุกจังหวัด นำ “บีซีจี โมเดล” มาขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่เชิงพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งผลงานสำคัญที่เห็นเด่นชัดอย่างเป็นรูปธรรม คือ โครงการ U2T มหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชน โดยมีมหาวิทยาลัยเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งความร่วมมือของทุกหน่วยงานในวันนี้จะเป็นการสานต่อผลสำเร็จจากโครงการ U2T เพื่อให้เกิดการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปใช้ในชุมชน ช่วยสร้างอาชีพให้กับประชาชน ช่วยเหลือชุมชนต่างๆ ให้มีการเติบโตและรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างยั่งยืน” ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวต่อว่า เป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่งของ กระทรวง อว. คือ สนับสนุนการปฏิรูปการศึกษาในระดับอาชีวะ โดยใช้ทรัพยากรจากมหาวิทยาลัย ทั้งทรัพยากรบุคคล หรือองค์ความรู้ร่วมกัน เพื่อพัฒนาให้อาชีวะศึกษาเป็นแนวทางสำคัญในการกำหนดแนวทางการทำงานวิจัยเพื่อประโยชน์ของประชาชน นอกจากนี้ กระทรวง อว. พร้อมที่จะส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต อาทิ การทำงานพร้อมกับการเรียน และได้รับวุฒิการศึกษาระดับปริญญา โดยมีการเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย ตลอดจนการส่งเสริมความรู้ด้วยแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและยุทธศาสตร์บีซีจี เพื่อร่วมสนองแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด การเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ด้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้กับประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
“ในนามของกระทรวง อว. ผมขอร่วมแสดงความยินดีกับทุกๆหน่วยงานในวันนี้ ที่ได้มีการร่วมประสานพลังเพื่อทำงานภายใต้บันทึกความเข้าใจและความร่วมมือที่เน้นการบูรณาการทำงานร่วมกัน ในการที่จะผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมุ่งไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดความมั่นคงยั่งยืนในระยะยาว เชื่อมั่นว่าความร่วมมือกันในครั้งนี้ จะเป็นการนำศักยภาพของบุคลากรและองค์ความรู้ตลอดจนทักษะความเชี่ยวชาญต่างๆ ขององค์กรวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ผนวกเข้ากับการสนับสนุนจากหน่วยงานสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง อันจะทำให้เกิดความแข็งแกร่ง และสามารถผลักดันให้เกิดการพัฒนาและการขับเคลื่อนประเทศไทย อีกทั้งตอบสนองความต้องการของประชาชนทั้งในประเทศ ตลอดจนยังเป็นการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของทุกฝ่าย เพื่อประโยชน์ในการพัฒนางานใหม่ๆ ในอนาคต หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวในครั้งนี้ จะประสบความสำเร็จด้วยดี และขอขอบคุณ ท่านผู้บริหาร ท่านอาจารย์ นักวิจัย และผู้สนับสนุนทุกภาคส่วนที่ร่วมมือร่วมใจผนึกกำลังในการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ขับเคลื่อนให้ประสบผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน” ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กล่าวในช่วงท้าย
ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวแสดงเจตนารมณ์ในการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าเป็นการผนึกกำลังที่จะผลักดันให้เกิดการพัฒนา เพื่อประสานงานความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี งานบริการต่างๆ ของทั้ง 18 หน่วยงาน ได้แก่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ วิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการให้มีการประสานความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด สนับสนุนการหาแนวทางการใช้ทรัพยากรของหน่วยงานร่วมกัน เช่น เครื่องมือ อุปกรณ์ การแลกเปลี่ยนข้อมูล ขยายผลและต่อยอดผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อนของหน่วยงานด้วยวิธีบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมมือส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ร่วมพัฒนาบุคลากรของทั้ง 18 หน่วยงาน รวมถึงการสร้างศักยภาพบุคลากรบัณฑิตของประเทศ โดยการแลกเปลี่ยนหรือถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิชาการอย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช.-พันธมิตร อัพสกิลผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม้สัก จ.แพร่
(เมื่อเร็วๆ นี้) ณ จังหวัดแพร่ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยทีมพัฒนาอุตสาหกรรมฐานชีวภาพ ฝ่ายยุทธศาสตร์และประเมินผล สายงานอุตสาหกรรมและชุมชน ร่วมกับคณะทำงานโครงการนำร่อง : “บูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมไม้สักครบวงจรในพื้นที่เฉพาะ (Teak Valley Sand Box) จัดฝึกอบรมหลักสูตร “อุตสาหกรรมไม้สัก : ก้าวต่อไปด้วย Business Model Canvas & Modern Marketing Online” ให้กับผู้ประกอบการไม้สัก จ.แพร่ โดยการจัดอบรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งหวังให้ผู้ประกอบการไม้สัก มีพื้นฐานการวิเคราะห์ธุรกิจ และภาพรวมอุตสาหกรรมไม้สักที่จะทำให้ธุรกิจโตก้าวแบบกระโดดได้ และสร้างขีดความสามารถในแข่งขันด้านการตลาดที่สูงกว่าคู่แข่งนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้แบบยั่งยืน
สำหรับการอบรมแบ่งเป็น 2 ช่วง คือภาคทฤษฎี (เมื่อวันที่ 23-24 สิงหาคมที่ผ่านมา) และ ภาคปฏิบัติจริง (เมื่อวันที่ 6-7 กันยายนที่ผ่านมา) โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ได้แก่ อาจารย์พลเทพ มาศรังสรรค์ ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนธุรกิจ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวด์ อะ บ๊อกซ์ จำกัด อบรมในหัวข้อ องค์ประกอบของ Business Model Canvas เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทำความเข้าใจและมีทักษะและความรู้ที่เท่าทันต่อสถานการณ์การแข่งขันทางการตลาดของอุตสาหกรรมไม้สัก และ อาจารย์พันธกานต์ วิสิฐรณชัย ที่ปรึกษาด้านการตลาด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะรูทมาร์เก็ตติ้ง จำกัด อบรมการฝึกปฏิบัติจริงเชิงลึก ในหัวข้อ รูปแบบและเทคนิคในการทำเนื้อหาทางการตลาด (Content Marketing) และการอัปเดตเครื่องมือที่ใช้งานได้ดีของแต่ละแพลตฟอร์มในปี 2022 เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือในแต่ละแพลตฟอร์มในโลกออนไลน์ ซึ่งถือเป็นช่องทางสำคัญทางการตลาดของหลากหลายอุตสาหกรรมในปัจจุบัน
สำหรับการการจัดอบรมครั้งนี้ถือเป็นกิจกรรมสำคัญภายใต้ชุดโครงการ “บูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมไม้สักครบวงจรในพื้นที่เฉพาะ (Teak Valley Sand Box) ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ด้วยการสร้างอนาคตไม้สักไทยตามยุทธศาสตร์การผลิตสักคุณภาพสูง เพิ่มมูลค่าไม้สัก ผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่ม และกระจายรายได้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยเริ่มดำเนินการนำร่องในจังหวัดแพร่ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีอุตสาหกรรมไม้สักเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดและมีผู้ปลูกไม้สักเป็นจำนวนมาก โดย สวทช. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ -แพร่ เฉลิมพระเกียรติ ,วิทยาลัยชุมชนแพร่ และ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.)
อย่างไรก็ตามคณะทำงานโครงการฯ เล็งเห็นถึงสิ่งที่ต้องดำเนินการเป็นอันดับแรกของอุตสาหกรรมไม้สัก คือ เรื่องการตลาดเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแข่งขันทางการตลาดของอุตสาหกรรมไม้สักค่อนข้างสูง จึงต้องวิเคราะห์ธุรกิจที่จะทำให้ธุรกิจได้ทบทวนแนวทางในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระยะยาว จึงได้เริ่มต้นโครงการโดยการจัดฝึกอบรมให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมไม้สัก จ.แพร่ ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการในพื้นที่เป็นจำนวนมาก
##############
ข่าวประชาสัมพันธ์

Ai9 ผู้พัฒนา ‘แพลตฟอร์ม AI’ ถอดเสียง-วิเคราะห์ข้อความ ครบจบในขั้นตอนเดียว
For English-version news, please visit : AI9: NSTDA startup in Thai speech and language understanding
หนึ่งในความสามารถของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ที่เข้ามาช่วยลดภาระให้แก่มนุษย์ได้อย่างมากในปัจจุบัน คือ งานถอดเสียงพูดเป็นข้อความและการวิเคราะห์ข้อความอัตโนมัติ และยิ่งหากงานนั้นเป็นการทำงานกับข้อมูลที่มีลักษณะซ้ำๆ และมีปริมาณมาก เช่น การตรวจสอบไฟล์บันทึกเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ หรือการวิเคราะห์ข้อมูลสัมภาษณ์ลูกค้าหรือพนักงาน ยกหน้าที่นี้ให้เป็นของ AI ได้เลย
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัวบริษัท Ai9 จำกัด บริษัทสตาร์ตอัปผู้ให้บริการเทคโนโลยี AI ด้านการแปลงเสียงพูดเป็นข้อความ (Speech to text: STT) และเทคโนโลยีประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) หนึ่งในบริษัท NSTDA Startup ที่เกิดขึ้นภายใต้กลไกการส่งเสริมและผลักดันผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ของ สวทช. โดยมีนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ตรงในงานด้านนี้กว่า 15 ปี เป็น CEO ของบริษัท และมีผู้ร่วมก่อตั้งหลัก คือ บริษัทเทอราบิท จำกัด และบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
[caption id="attachment_35839" align="aligncenter" width="750"] ดร.ชูชาติ หฤไชยะศักดิ์ CEO บริษัท Ai9 จำกัด (กลาง)[/caption]
ดร.ชูชาติ หฤไชยะศักดิ์ CEO บริษัท Ai9 จำกัด เล่าว่า ปัจจุบัน Ai9 มีแพลตฟอร์มที่พร้อมให้บริการ 4 ระบบ ได้แก่ ‘MANNA’ แพลตฟอร์มบริการถอดเสียงสำหรับระบบคอลเซนเตอร์ (Call Center) เพื่อให้บริการตรวจสอบไฟล์บันทึกเสียงสนทนาพร้อมการวิเคราะห์ข้อความ ‘VATAYA’ แพลตฟอร์มบริการแปลงเสียงพูดเป็นข้อความ (Speech-to-Text) และแปลงข้อความเป็นเสียงพูด (Text-to-Speech) ‘CUICUI’ แพลตฟอร์มสร้างแชทบอท (Chatbot) และวอยซ์บอท (Voicebot) สำหรับสนทนาโต้ตอบอัตโนมัติ ‘TASANA’ แพลตฟอร์มบริการสร้างคำบรรยายภาษาไทย (Subtitle) สำหรับวิดีโอคลิปแบบอัตโนมัติเพื่อการใช้งานบน YouTube และ Facebook โดยทุกแพลตฟอร์มบริษัทพร้อมให้บริการทั้งแบบสำเร็จรูป แบบปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะ
ล่าสุด Ai9 เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีแก่ภาครัฐและภาคเอกชนแล้ว ตัวอย่างผลงานเด่น 3 ระบบ ได้แก่ ระบบถอดเสียงการประชุมสำหรับรัฐสภา ระบบถอดเสียงและวิเคราะห์การสนทนาผ่านคอลเซนเตอร์สำหรับธุรกิจประกัน และระบบวิเคราะห์ความคิดเห็นของพนักงานในองค์กร
ดร.ชูชาติ เล่าว่า งานใหญ่ที่กำลังดำเนินงานอยู่กับภาครัฐคือการพัฒนาระบบถอดเสียงการประชุมของรัฐสภา ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานของเจ้าพนักงานชวเลขที่ทำหน้าที่จดบันทึกการประชุมในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี ระบบถอดเสียงการประชุมมีประสิทธิภาพในการทำงานรวดเร็ว และทำงานได้ถูกต้องมากกว่าร้อยละ 90
“ส่วนระบบถอดเสียงและวิเคราะห์การสนทนาผ่านคอลเซนเตอร์สำหรับธุรกิจประกัน ที่ Ai9 พัฒนาขึ้น เป็นระบบตรวจสอบไฟล์เสียงที่บันทึกการสนทนาระหว่างพนักงานขายกับลูกค้า โดยสามารถตรวจสอบความถูกต้องของการขายประกัน เช่น การแจ้งเลขที่ใบอนุญาต การแจ้งข้อมูลกรมธรรม์ให้ครบถ้วน ช่วยตรวจทานการทำงานให้กับองค์กรได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างสุดท้ายคือระบบวิเคราะห์ความพึงพอใจพนักงานในองค์กร ที่เจ้าหน้าที่ทรัพยากรบุคคลจะต้องประเมินเชิงคุณภาพเป็นประจำ สิ่งที่เราพัฒนาให้กับลูกค้าเป็นเทคโนโลยีวิเคราะห์ความคิดเห็นของพนักงาน โดยสามารถวิเคราะห์ทิศทางความพึงพอใจว่าเป็นไปในทางบวกหรือลบได้หลากหลายหัวข้อ อาทิ การบริหารงาน และระบบสวัสดิการ ทำให้องค์กรสามารถนำผลการวิเคราะห์ไปใช้ปรับปรุงการดำเนินงานขององค์กรได้อย่างทันท่วงที และช่วยลดภาระงานให้กับเจ้าหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้มีความแม่นยำมากกว่าร้อยละ 90 แล้ว ทั้งนี้เทคโนโลยี AI จะทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อผ่านการใช้งานจริงเต็มรูปแบบ”
นอกจากอุตสาหกรรมการบริการแล้ว บริษัท Ai9 ยังเริ่มเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับอุตสาหกรรมการผลิตควบคู่กันไป ในอนาคตอันใกล้เราอาจได้เห็นเทคโนโลยีประเภทสั่งการด้วยเสียงจาก Ai9 เพื่ออำนวยความสะดวกในสายการผลิตและโกดังสินค้าของโรงงานอุตสาหกรรม และสามารถโต้ตอบกับหุ่นยนต์ที่เดินเสิร์ฟอาหารในภัตตาคารชั้นนำแทนการโต้ตอบกับพนักงานเสิร์ฟ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยีเหล่านี้กำลังจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราในอนาคต
ดร.ชูชาติ เสริมว่า Global Voice Assistant Market มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมาก ปัจจุบันมีมูลค่าทางตลาดสูงกว่า 1.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในช่วงสิบปีข้างหน้าจะมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอีกประมาณร้อยละ 30 หากวันนี้บริษัทของคุณไม่อยากตกเทรนด์ เริ่มต้นใช้ AI Solution ได้ง่าย ๆ เพียงติดต่อบริษัท Ai9 รายละเอียดเพิ่มเติม www.ai9.co.th
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ และเนคเทค สวทช.
ข่าว
บทความ
ผลงาน
ผลงานวิจัยเด่น

ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงฯ สวทช. นำร่องติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานฯ “สถานีชาร์จเรือไฟฟ้า” นำเที่ยวชุมชนวิสาหกิจนครเนื่องเขต จ.ฉะเชิงเทรา
(12 กันยายน 2565) ที่คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยตัวแทนจากทีมวิจัยศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) ร่วมแสดงผลงานนวัตกรรมแบตเตอรี่ทางเลือกที่มีความปลอดภัยสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายในงานแถลงข่าวการเปิดศูนย์ EEC Incubation Center ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC โดยมี ดร.อภิชาติ ทองอยู่ ที่ปรึกษาพิเศษ ด้านการพัฒนาการศึกษาและบุคลากร สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเป็นประธานในพิธี ดร.ธัชพล กาญจนกูล รองเลขาธิการสายงานพื้นที่และชุมชน EEC และ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี ร่วมงาน
ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (กลาง)
ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี กล่าวว่า สวทช. โดยศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงฯ ได้จับมือร่วมกับวิสาหกิจชุมชนนครเนื่องเขต จัดทำโครงการขยายผลและนำร่องการใช้งานแบตเตอรี่ทางเลือกที่มีความปลอดภัยสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวของวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ EEC โดยทางศูนย์ NSD ได้รับการสนับสนุนงบประมาณการต่อยอดขยายผลงานวิจัยสู่ชุมชนภายใต้กรอบงบประมาณของ แผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จาก EEC โดยติดตั้งสถานีอัดประจุ (Charging Station) พลังงานแบตเตอรี่ จำนวน 2 สถานี ติดตั้งที่วิสาหกิจชุมชนนครเนื่องเขต ณ บริเวณบ้านเรือนไทย (เรือนปู่เรียน) สำหรับเป็น “สถานีชาร์จเรือไฟฟ้า” ใช้เพื่อการท่องเที่ยวทางน้ำของวิสาหกิจชุมชนนครเนื่องเขต และการถ่ายทอดองค์ความรู้และสร้างเครือข่ายภาคอุตสาหกรรมให้กับประชาชน สวทช. ยังได้สนับสนุนความร่วมมือดังกล่าวผ่านเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (Business Innovation Center – BIC) และ ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) เพื่อสนับสนุนกิจกรรมในครั้งนี้
ทั้งนี้ทีมวิจัยคาดหวังว่าการขยายผลจากโครงข่าย EEC จะก่อให้เกิดโครงการขยายผลนำร่องการใช้งานแบตเตอรี่ทางเลือกที่มีความปลอดภัยสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในวิสาหกิจชุมชนนครเนื่องเขต ซึ่งปัจจุบันจะได้ออกแบบ ติดตั้ง และถ่ายทอดองค์ความรู้ สร้างกิจกรรมต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการและประชาชนในวิสาหกิจชุมชนนครเนื่องเขตและพื้นที่ใกล้เคียง ได้สร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของชุมชนนครเนื่องเขต จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC โดยคลองที่เรือไฟฟ้าที่จะสัญจรรับส่งนักท่องเที่ยวเป็นการศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวแปดริ้วที่ยังคงเอกลักษณ์และมนต์เสน่ห์ที่น่าหลงไหลทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่ยังคงอนุรักษ์ให้คงอยู่ในสภาพที่คล้ายคลึงชีวิตความเป็นอยู่ของวิถีชีวิตชาวแปดริ้วในอดีตให้ได้มากที่สุด โดยจุดท่องเที่ยวไฮไลต์ของชุมชนนครเนื่องเขตที่สำคัญ อาทิ เรือนปู่เรียน ตลาดน้ำนครเนื่องเขต (วัดดงตาล) และประตูน้ำท่าไข่ เป็นต้น
/////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์

เดือนนี้คุณมีเลขเด็ดหรือยัง? Thungsong Hometown มี ‘สามตัวตรง’ จะให้
https://www.youtube.com/watch?v=yRNQpN2CsSo “เจ้าพระคุณ ขอ 3 ตัวเด็ดๆ ที่จะเปลี่ยนชีวิตลูกสักทีเถิด!!” ไอซ์กล่าวขอพรพร้อมใช้มือถูไปที่ต้นไม้ ทันใดนั้นภาพตัวอักษร 3 ตัว คือ B-C-G ปรากฏขึ้น “หะ มันคืออะไร?” เทพารักษ์ : “B คือ Bioeconomy, C คือ Circular Economy และ G คือ Green Economy เรียกสั้นๆ ว่า BCG 3 ตัวตรง มั่งคั่ง ยั่งยืน เราเป็นเทพารักษ์จะมาให้หวย มันไม่เมกเซนส์ ยูต้องเชนจ์ยัวมายด์เซต ต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งตัวเอง ใช้สิ่งที่มีใกล้ตัวให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญต้องดีต่อโลกด้วย”บทสนทนาระหว่างไอซ์หญิงสาวผู้มาขอเลขเด็ดกับเทพารักษ์ ส่วนหนึ่งของวิดีโอคลิปเรื่อง ‘สามตัวตรง’ ผลงานการสร้างสรรค์โดยทีม Thungsong Hometown ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศจากการแข่งขัน “โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ” ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และหน่วยงานพันธมิตร โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิญชวนนักเรียน นิสิต นักศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาถึงปริญญาตรีหรือเทียบเท่ามาร่วมกันผลิตวิดีโอคลิปความยาว 30-60 วินาที เพื่อสื่อสารประเด็นเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ สำหรับสื่อสารกับประชาชนทั่วไป วันนี้ทีม Thungsong Hometown จะมาบอกเล่าถึงความเป็นมาของการรวมกลุ่มและเบื้องหลังแนวคิดการผลิตวิดีโอคลิปที่นำมาสู่ความสำเร็จ
รู้จักกับ Thungsong Hometown
คำจำกัดความที่บอกความเป็น Thungsong Hometown ได้ดีที่สุด คือ ทีมโปรดักชันระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนทุ่งสง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่รวมตัวกันมาได้ไม่นาน แต่ผ่านประสบการณ์มาแล้วอย่างโชกโชน
ธนชาต ใจหล่อ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนทุ่งสง หัวหน้าทีม Thungsong Hometown เล่าว่า ทีม Thungsong Hometown เป็นทีมโปรดักชันที่รวมตัวกันภายในโรงเรียน สมาชิกแต่ละคนต่างมีความชอบเรื่องการผลิตสื่อและการแสดง ที่ผ่านมาทีมมีประสบการณ์การแข่งขันในเวทีใหญ่มาแล้ว 5 ครั้ง มีผลงานเด่น เช่น เรื่อง ‘เรียนซ้ำ’ ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดหัวข้อความปลอดภัยในสถานศึกษา ที่จัดโดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช และเรื่อง ‘หอมเคย’ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จากการแข่งขันในหัวข้อเยาวชนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์วัฒนธรรม ที่จัดโดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตามการแข่งขันครั้งนี้เป็นโจทย์ยากสุดเท่าที่เคยเจอมา เพราะเราต้องสื่อสารเรื่องโมเดลเศรษฐกิจใหม่ให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายภายในเวลาไม่เกิน 1 นาที แต่ก็เป็นความท้าทายให้อยากลองเอาชนะดู“พอตัดสินใจลงแข่ง พวกเราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นข้อมูล คือ เรื่องนี้ต้องยากแน่ๆ เพราะเนื้อหาที่เผยแพร่ส่วนใหญ่มีรายละเอียดเยอะมาก แต่พอได้ลองศึกษา ทำความเข้าใจ และสรุปใจความสำคัญกันจริงๆ เรากลับพบว่าเรื่องนี้ไม่ได้ยากหรือไกลตัวอย่างที่คิด ทีมเราจึงคิดว่า น่าจะนำใจความสำคัญของโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาสื่อสารให้สั้น กระชับ และดึงดูดคนดูแบบหนังโฆษณาได้ ถ้าทำแบบนั้นผู้ชมน่าจะสนใจ ดูได้จนจบคลิปโดยไม่ปิดไปเสียก่อน”จุดเด่นของวิดีโอคลิปโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดย Thungsong Hometown พวกเขาไม่เพียงสังเคราะห์ข้อมูลที่อัดแน่นมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวที่เข้าใจง่ายได้ในเวลา 1 นาที แต่ยังสามารถร้อยรวมเนื้อหาเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตและความเชื่อของคนไทยได้อย่างแนบเนียน แถมยังดึงแก่นสำคัญของเรื่องมาปรับแต่งให้เป็นวลีเด็ดที่โดนใจและติดหูผู้ชมได้ทันทีธนชาต เล่าถึงการพัฒนางานต่อว่า ตอนนั้นทีมคิดว่าการที่จะทำให้คนดูหันมาสนใจเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจซึ่งดูไกลตัวน่าจะต้องหาสิ่งที่คนทั่วไปสนใจมาดึงดูด โชคดีตอนนนั้นเผอิญมีข่าวขูดต้นไม้ขอหวย เลยปิ๊งไอเดียกันว่าถ้าเปลี่ยนจากเทพารักษ์ให้หวยมาเป็นให้สามตัวตรงของโมเดลเศรษฐกิจ BCG แทน ก็น่าจะแปลกและหักมุมดี เราจึงให้เทพารักษ์เป็นผู้ชวนชาวบ้านเปลี่ยนความคิดจากการสรรหาวิธีรวยทางลัด มาเป็นการสร้างรายได้แบบยั่งยืนแทน (หัวเราะ)“นอกจากพล็อตเปิดเรื่องที่ทีมตั้งใจออกแบบไว้ดึงดูดคนดูแล้ว เรายังไปสืบค้นตัวอย่างการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG ไปใช้งานจริงจากสื่อต่างๆ และหากรณีศึกษาเพิ่มเติมจากในพื้นที่ เพื่อนำมาใช้สื่อสารให้คนดูเข้าใจเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น โดย 2 ตัวอย่างที่ได้นำเสนอจริงในคลิป คือ การนำวัตถุดิบทางการเกษตรที่มีมากในภาคใต้อย่างยางพารามาแปรรูปเป็นของเล่นเด็กเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (นวัตกรรม Para Plearn โดยเอ็มเทค สวทช.) และการแปรรูปขยะให้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและครัวเรือน เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการทำลายสิ่งแวดล้อม (กรณีศึกษาจากเทศบาลเมืองทุ่งสง) ในตอนนั้นเราพยายามคิดวิธีนำเสนอที่จะทำให้ผู้ชมรับรู้และจดจำคีย์เวิร์ดได้มากที่สุด เมื่อพร้อมแล้วจึงมาเริ่มเขียนคอนเซปต์เปเปอร์และสตอรีบอร์ด สำหรับจัดส่งให้กับโครงการเพื่อสมัครเข้าแข่งขันในรอบแรก”
พรี โพร โพสต์ โหดสุดที่ขูดหวย
วันที่ 6 กรกฎาคม สองทุ่มครึ่ง ติ๊ง! เสียงอีเมลเด้งเข้าอินบ็อกซ์…หลังจากทีมงานคว้ามือถือมาเช็กอีเมลก็ได้แต่นั่งยิ้มกริ่มคุยกันว่า ‘เดือนนี้ได้ 3 ตัวตรงแล้วนะ’ (ชื่อผลงานของทีม) Thungsong Hometown เป็นทีมที่ 6 ที่ส่งผลงานเข้าแข่งขัน และต้องฝ่าฟันกับอีก 118 ทีมเพื่อเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ แต่แล้วพวกเขาก็ทำได้สำเร็จ หัวหน้าทีมจากภาคใต้บอกกับทีมงานว่า ‘แม้จะไม่มั่นใจก็ต้องลุยให้สุดแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง’ธนชาต เล่าว่า ตอนที่รู้ว่าผ่านเข้ารอบดีใจมาก การติดต่อเข้ามาของทีมงานเป็นสัญญาณให้ทีมลุยงานต่อ ทั้งการออกแบบ วางแผนการถ่ายทำ และสำรวจสถานที่ ตอนนั้นเราเริ่มจากการตามหาต้นไม้ที่นางเอกจะไปขูดหวยขอพร จนได้พบกับต้นไม้ที่ทำให้รู้สึกได้ทันทีว่า ‘ใหญ่และหลอนดีนะ’ (หัวเราะ) ที่สวนสาธารณะในอำเภอทุ่งสง ส่วนอีกสถานที่ที่เราถูกใจในวิวธรรมชาติและเลือกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากปิด คือบ้านคีรีวงซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนไปประมาณ 60 กิโลเมตร แม้ที่นั่นจะไกลแต่วิวก็สวยคุ้มค่ากับการเดินทางมาก
“การถ่ายทำฉากขูดหวย เราเลือกใช้เวลาหลังเลิกเรียนช่วง 4-6 โมงเย็น เพราะเป็นช่วงโพล้เพล้เข้ากับบรรยากาศของซีน แต่เอาเข้าจริงเวลา 2 ชั่วโมงถือว่าตึงเอาเรื่อง เพราะนอกจากจะต้องใช้เวลาเดินทางจากโรงเรียนไปยังสถานที่ถ่ายทำ เซตพร็อปปักเทียนเพิ่มบรรยากาศความหลอน แต่งองค์ทรงเครื่องให้นักแสดง และติดตั้งอุปกรณ์ถ่ายทำให้เสร็จอย่างรวดเร็วแล้ว วันนั้นยังมีฝนตกลงมาพรำๆ ซ้ำเติมให้การทำงานยากขึ้นไปอีกด้วย อย่างไรก็ตามในวันนั้นทีมถ่ายได้สำเร็จตามแผน คัตทีก็ขำกลิ้งที นักแสดงหลักทั้ง 2 คน แสดงเก่งมาก ศึกษาบทกันมาดี ตีบทแตก และยังขยันช่วยกันคิดมุกและการแสดงสดเพื่อเสริมให้บทสนุกขึ้นอีกด้วย ในส่วนการถ่ายทำที่คีรีวงเป็นการถ่ายทำในวันหยุด ฉากนี้ถ่ายง่ายกว่ามาก เพราะบทไม่เยอะ การแสดงไม่มาก ยากแค่ต้องเดินทางไกล (หัวเราะ)”
ถ่ายทำจบ งานไม่จบ ยังเหลือส่วนโพสต์โปรดักชันที่ปิดจ็อบได้ไม่ง่าย เพราะเป้าหมายของทีม Thungsong Hometown คือ หนังโฆษณา ดังนั้นการตัดต่อต้องใส่ใจในรายละเอียดทั้งจังหวะจะโคน การเลือกโทนสีของภาพ การใช้เพลงประกอบ รวมถึงการขึ้นข้อความที่สวยงามลงตัวธนชาต เล่าว่า หลังถ่ายทำจบความยากมาตกอยู่กับทีมโพสต์ (หัวเราะ) ตอนนั้นทีมดูงานเพื่อหาไอเดียมาใช้ในการตัดต่อเพิ่มเติมกันเยอะมาก ภาพในคลิปที่ผู้ชมได้เห็นผ่านการย้อมสีเพื่อเสริมบรรยากาศมาเรียบร้อยแล้ว เพลงประกอบทั้งหมดผ่านการปรับแต่งขึ้นมาใหม่ การตัดต่อก็ผ่านการออกแบบจังหวะจะโคนเพื่อเสริมอารมณ์ให้ผู้ชมเข้าถึงอรรถรสมากยิ่งขึ้น นอกจากสมาชิกในทีมและครูที่ปรึกษาที่ได้เห็นผลงานของเราก่อนคณะกรรมการแล้ว ยังมีเพื่อนๆ มานั่งดูผลของเราตั้งแต่ยังตัดต่อไม่เสร็จดีด้วย พอเพื่อนๆ ดูแล้วสนุก เข้าใจในสิ่งที่ทีมตั้งใจสื่อสาร เราก็มีความมั่นใจในการส่งผลงานเข้ารอบชิงชนะเลิศมากยิ่งขึ้น
ประสบการณ์ครั้งนี้ เล่าซ้ำได้อีกหลายรอบ
‘BCG โมเดลเศรษฐกิจใหม่ ดีต่อใจ ดีต่อไทย ดีต่อโลก’ คือ วลีติดหูบทสรุปสุดท้ายของโฆษณาเรื่อง ‘สามตัวตรง’ ที่หลอน ตลก หักมุม ได้ความสนุกและความรู้กันแบบครบรส แม้การผลิตผลงานและการแข่งขันจะจบลงไปแล้วในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่ประสบการณ์และสิ่งที่ได้เรียนรู้จะอยู่กับพวกเขาไปยาวๆ เป็นแรงสนับสนุนในการพัฒนาสื่อคุณภาพให้ผู้ชมได้รับชมต่อไปในอนาคตธนชาต เล่าว่า การเข้าร่วมแข่งขันครั้งนี้ได้รับความรู้และประสบการณ์เยอะมาก สิ่งที่ได้ตั้งแต่แรกเลยคือความรู้เกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่เพื่อคนไทย หากไม่ได้ร่วมโครงการนี้ก็คงยังไม่มีโอกาสได้ลองศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ด้านการทำโปรดักชันพวกเราก็ได้เรียนรู้อย่างมาก เพราะการทำสื่อโฆษณามีความยากที่แตกต่างจากการทำหนัง ทุกอย่างต้องสั้นกระชับแต่คนดูยังต้องได้อรรถรส รวมถึงได้รับสารที่เราตั้งใจจะถ่ายทอดครบถ้วนด้วย“เราหวังว่าผลงาน ‘สามตัวตรง’ จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ชมและหน่วยงานต่างๆ ในการนำไปใช้เผยแพร่ เพื่อให้พี่น้องคนไทยได้รู้จักกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG มากยิ่งขึ้น และหากมีโอกาสเราจะนำความรู้เรื่องนี้ไปสร้างการรับรู้ในสื่อต่างๆ ต่อไป ทีมของเรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย” ธนชาต กล่าวทิ้งท้าย
Thungsong Hometown
ธนชาต ใจหล่อ (เค) – หัวหน้าทีม ผู้ทำทุกอย่างตั้งแต่พรี-โพร-โพสต์โปรดักชัน นพดล ไกรนรา (แบงค์) – นักแสดง ผู้รับบทเทพารักษ์ เต็มที่กับทุกบทบาท สนุก ตลก ครบในคนเดียวพัทธ์ธีรา หมวดทอง (ไอซ์) – นักแสดง ผู้รับบทสาวขูดหวย นักแสดงสาวสวยที่ผสานบทบาทตัวละครเข้ากับความเป็นตัวเองได้อย่างลงตัวณัฐภูมิ ไม้เรียง (ทีน) – ทีมโพสต์โปรดักชัน กองหนุนการตัดต่อ ผู้ช่วยเสนอไอเดียให้งานปังยิ่งขึ้นเสฏฐวุฒิ สุขสง (เป้อ) – ช่างภาพผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีการถ่ายทำ อยากได้มุมไหนสั่งได้เลยถนอมพงศ์ ไชยพลฤทธิ์ (เล็ก) – ผู้ช่วยช่างภาพ ซัปพอร์ตอุปกรณ์แบบรู้ใจกันสุรเชษฐ์ บัวแก้ว (ครูต้น) – ที่ปรึกษาด้านการผลิต ทั้งงานพรี โพร โพสต์โปรดักชันสิรนุช บุญไทย (ครูก้อย) – ที่ปรึกษาด้านเทคนิคจรูญ ครุฑจ้อน (ครูออ) – ที่ปรึกษาด้านเทคนิควิรวัฒน์ พลประสิทธิ์ (ครูยุ้ย) – ผู้สนับสนุนการทำงานทุกที่ทุกเวลา
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

เปิดตัว Traffy Fondue 2023 แพลตฟอร์มจัดการปัญหาเมือง โฉมใหม่!
ในการสัมมนางานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค ประจำปี 2565 หรือ NECTEC-ACE 2022 เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม หัวหน้าทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ เนคเทค สวทช. ได้เปิดตัว Traffy Fondue 2023 แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมืองเวอร์ชันใหม่ที่ใช้งานง่ายขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งยังเปิดตัวไลน์แชทบอทใหม่ Fondue Manager สำหรับการใช้งานของเจ้าหน้าที่ เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการรับแจ้งและจัดการปัญหาต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา Traffy Fondue ยังได้รับ รางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2565 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)โดยได้รับรางวัลบริการภาครัฐ ระดับดีเด่น ประเภทนวัตกรรมการบริการ.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์