หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เปิดตัวนวัตกรรม ชุดเอ็กโซสูท (Exosuits) “เรเชล (Rachel)” และ “รอส (Ross)” นวัตกรรมชุดบอดี้สูทสำหรับสังคมอายุยืน ตัวช่วยผู้สูงอายุและผู้ดูแล
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/exosuits-unveiled-to-support-thailand%E2%80%99s-aging-society.html สวรส. บพข. สศอ. จับมือ เอ็มเทค สวทช. เปิดตัวนวัตกรรม ชุดเอ็กโซสูท (Exosuits) “เรเชล (Rachel)” และ “รอส (Ross)” นวัตกรรมชุดบอดี้สูทสำหรับสังคมอายุยืน ตัวช่วยผู้สูงอายุและผู้ดูแล เพื่อการเคลื่อนไหวอย่างอิสระ-ลดเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ และคุณภาพชีวิตที่ดี (วันที่ 31 มีนาคม 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี)  สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. จัดสัมมนาเปิดตัวนวัตกรรมชุดเอ็กโซสูท (Exosuits) ภายในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18  โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นให้ข้อมูลเกี่ยวกับนวัตกรรม “นวัตกรรมชุดเอ็กโซสูท (Exosuits)” นวัตกรรมเพื่อสังคมอายุยืน ซึ่งได้วิจัยและพัฒนามาเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ (พฤฒพลัง : Active aging) โดยใช้นวัตกรรมในการดูแลตัวเอง รวมทั้งช่วยผู้ดูแลในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยงานผู้ให้ทุนในการพัฒนานวัตกรรมให้พร้อมต่อการใช้งาน และเกิดการต่อยอดขยายผลในระดับประเทศต่อไป โดยชุดเอ็กโซสูท (Exosuits) ที่พัฒนาสามารถแบ่งตามกลุ่มผู้ใช้ได้ 2 รูปแบบ ดังนี้ 1. “เรเชล (Rachel)” ชุดบอดี้สูทสำหรับผู้สูงอายุ โดยออกแบบ วิจัยและพัฒนามาเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุที่ยังสามารถดูแลตัวเองได้ เพื่อใช้สวมใส่ตลอดวัน ช่วยในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ โดยมีการเสริมแรงด้วยกล้ามเนื้อจำลอง เพื่อการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นตัวช่วยผู้สูงอายุในการทำกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการลุกขึ้นยืน เดินขึ้นบันได ทำงานบ้าน เป็นต้น  2. “รอส (Ross)” ชุดพยุงหลัง ที่ได้รับการออกแบบวิจัยและพัฒนา สำหรับบุคลากรทางการพยาบาล ได้แก่ พยาบาล เวรเปล หรือบุคคลทั่วไปที่ดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน ซึ่งมีลักษณะเป็นชุดสำหรับสวมใส่ที่มีกลไกเสริมแรง หรือที่เรียกว่า “ทอร์กเจเนอเรเตอร์ (Torque generator)” ทำหน้าที่ช่วยลดภาระของกล้ามเนื้อส่วนหลังที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อในระหว่างการปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ เช่น การยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วย การพลิกตัวผู้ป่วย การประคองผู้ป่วย และก้มยกของที่มีน้ำหนักมาก โดยสามารถสวมใส่หรือถอดชุดได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว พร้อมใช้งานได้ทันที สามารถป้องกันการบาดเจ็บของบุคลากรทางการพยาบาล รวมถึงผู้ดูแลผู้สูงอายุในระยะยาว  ชุดเอ็กโซสูท (Exosuit) เรเชล (Rachel) สำหรับผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ ชุดเอ็กโซสูท (Exosuit) รอส (Ross) สำหรับผู้ดูแล   [caption id="attachment_41828" align="aligncenter" width="1920"] นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น[/caption] นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น  ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า สวรส. ให้การสนับสนุนทุนวิจัยกับ เอ็มเทค สวทช. ในปีงบประมาณ 2565 เพื่อดำเนินโครงการวิจัยปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของชุดสวมใส่พร้อมระบบติดตามและแอปพลิเคชัน เพื่อพยุงกล้ามเนื้อและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บสำหรับผู้สูงอายุ  ซึ่งเป็นการวิจัยพัฒนาและขยายผลการใช้งานต้นแบบชุดพยุงกล้ามเนื้อและอุปกรณ์วัดเตือนการบาดเจ็บแบบสวมใส่ หรือเรียกว่า ชุดเรเชล (Rachel) รุ่นออลเดย์ (All-day) โดยพัฒนาต่อยอดจากองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้าน Exoskeleton ที่มีอยู่เดิม ได้แก่ เทคโนโลยีชุดสวมใส่เพื่อพยุงกล้ามเนื้อ (Motion-assist Exo-apparel Technology) และเทคโนโลยีอุปกรณ์วัดแบบสวมใส่เพื่อบ่งชี้ท่าทางและป้องกันการบาดเจ็บ (Injury-preventive Wearable Technology) ซึ่งเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมดังกล่าว แม้จะมีประสิทธิภาพในการช่วยในการเคลื่อนไหวได้ดี แต่ส่วนของกล้ามเนื้อจำลองยังต้องใช้แหล่งพลังงานภายนอก ได้แก่ ปั๊มลมไฟฟ้า ทำให้ชุดมีน้ำหนักมาก ดังนั้นงานวิจัยจึงมีการพัฒนานวัตกรรมกล้ามเนื้อจำลองด้วยการตัดเย็บและเลือกวัสดุผ้าที่มีน้ำหนักเบา แต่ยังคงคุณสมบัติในการทำงานโดยชุดมีขนาดเหมาะสม น้ำหนักเบา ตอบโจทย์การใช้งานจริงในชีวิตประจำวันมากขึ้น  ทั้งนี้ชุดดังกล่าวได้รับการออกแบบให้สามารถสวมใส่ได้ทั้งวัน ช่วยป้องกันการบาดเจ็บระหว่างการเคลื่อนไหวในกิจวัตรประจำวัน และลดความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม ส่งผลให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น เป็นเวลานานขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อในระยะสั้น เช่น การป้องกันการหกล้ม และระยะยาว เช่น การปรับท่าทางในการทำกิจกรรมให้ถูกต้องตามหลักของการจัดวางท่าทางที่เหมาะสมและดีต่อสุขภาพ เพื่อลดอัตราการเสื่อมของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ตลอดจนลดการพึ่งพาผู้อื่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการเสริมพลังแห่งการมีสุขภาวะที่ดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจให้กับผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี  นายแพทย์นพพร กล่าวอีกว่า การสนับสนุนทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรมงานวิจัยของ สวรส. ตั้งอยู่บนเป้าหมายของการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง สวรส. จึงให้การสนับสนุนทุนวิจัยดังกล่าว เพื่อให้เครือข่ายวิจัยพัฒนาอุปกรณ์คุณภาพที่สามารถผลิตใช้เองในประเทศ ซึ่งทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าจากต่างประเทศ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้สูงอายุ ตลอดจนลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งนี้งานวิจัยดังกล่าว สวรส. วางแผนจะพัฒนาไปสู่การขยายผลในระบบสุขภาพ โดยคาดว่าจะพัฒนาเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยสิทธิ์บัตรทอง เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไป  [caption id="attachment_41829" align="aligncenter" width="1920"] รองศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์[/caption] รองศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์ รองผู้อำนวยการด้านบริหารงานวิจัย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า บพข. สนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนา โครงการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับวิเคราะห์ทำนายการเคลื่อนไหวในชุดพยุงหลังและเสริมแรงแบบกึ่งอัตโนมัติสำหรับภารกิจทางการแพทย์  ปีงบประมาณ 2566 และ 2567 ให้แก่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ในการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีชุดพยุงหลัง “รอส (Ross)” สำหรับบุคลากรทางการพยาบาล ที่ต้องใช้งานกล้ามเนื้อหลังอย่างหนัก ระหว่างการดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นการยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากเตียงไปยังรถเข็น หรือจากการขึ้น-ลงรถ การพลิกตัวผู้ป่วยติดเตียง โดยคณะวิจัยได้พัฒนาชุด “รอส (Ross)” นี้ ให้มีระบบติดตามและแจ้งเตือนท่าทางในการเคลื่อนไหว เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะในภารกิจที่ท่าทางของร่างกายมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ซึ่งได้พัฒนาจากปัญญาประดิษฐ์หรือโครงข่ายประสาทเทียมในการทำนายสถานะการเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่ ทำหน้าที่ช่วยลดภาระของกล้ามเนื้อส่วนหลังที่มีผลต่อความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังสามารถสวมใส่หรือถอดชุดได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เหมาะสำหรับภารกิจเร่งด่วน โดยจากการสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมโครงการนี้ บพข. เชื่อมั่นว่าจะส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันและพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนจากเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ที่พัฒนาขึ้นเอง หรือมีการต่อยอดขึ้นภายในประเทศ    [caption id="attachment_41830" align="aligncenter" width="1920"] ดร.กฤษดา ประภากร[/caption] ดร.กฤษดา ประภากร รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) กล่าวถึงที่มาของการพัฒนานวัตกรรมในครั้งนี้ว่า การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Ageing Society) เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่เป็น “สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์” แล้วในปี 2565  ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความสุขของผู้สูงวัย จึงได้ริเริ่มจัดตั้งโปรแกรม NSTDA Frontier Research Exoskeleton ในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี “เอ็กโซสเกเลตัน (Exoskeleton)” เพื่อวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุประเภทสวมใส่ เพื่อตอบสนองการทำกิจกรรมต่างๆ การช่วยเหลือพึ่งพาตนเอง ตลอดจนเสริมสร้างสุขภาพให้มีความแข็งแรงยาวนานขึ้น โดยมีลักษณะเป็นอุปกรณ์สวมใส่ภายนอกร่างกาย หรือที่เรียกว่า “เอ็กโซ-แอพพาเรล (Exoapparel)” หรือ “เอ็กโซ-สูท (Exosuit)” เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหว ป้องกันการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ รวมถึงการป้องกันการพลัดตกหกล้ม มุ่งเน้นออกแบบให้เหมาะกับสรีระและบริบทการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ นอกจากนี้มีการคำนึงถึงกระบวนการผลิตที่ไม่ใช้ต้นทุนสูง เพื่อให้ผู้สูงอายุไทยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ในราคาที่เข้าถึงได้      เริ่มต้น เอ็มเทค สวทช. ได้ทำงานร่วมกันกับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล และ สถาบันพัฒนาแพ็ทเทิร์นอุตสาหกรรมและการออกแบบเสื้อผ้าสำเร็จรูป ในการออกแบบชุดบอดี้สูทสำหรับผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ ที่มีชื่อว่า เรเชล (Rachel) รุ่นแอ็คทีฟ (Active)  ที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ได้แก่ เทคโนโลยีอุปกรณ์วัดการเคลื่อนไหวแบบสวมใส่ เทคโนโลยีกล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติกส์ เทคโนโลยีการจำลองการทำงานของกล้ามเนื้อและกระดูก และมีแนวคิดการออกแบบชุด โดยมีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง โดยชุดเรเชล รุ่นแอ็คทีฟ นี้ เสริมแรงให้กล้ามเนื้อที่ใช้ สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ เช่น ท่าลุกขึ้นยืน ท่าเดินขึ้นบันได ท่ายกของ โดยมีน้ำหนักเบา สามารถสวมใส่เสื้อผ้าทับได้ และผู้สูงอายุสามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวัน เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ โดยกระบวนการทดสอบประสิทธิภาพของชุดดังกล่าว คณะวิจัยจาก เอ็มเทค สวทช. ได้ดำเนินการที่ห้องปฏิบัติการให้คำปรึกษาด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสวมใส่ (Wearable Technologies Consulting Services lab) ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจัดตั้งภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ประจำปีงบประมาณ 2565 จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)  หลังจากนั้น ในปีงบประมาณ 2565 เอ็มเทค สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนจาก สวรส. และ สกสว. เพื่อต่อยอดชุดบอดี้สูทสำหรับผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ จากชุดเรเชล (Rachel) รุ่นแอ็คทีฟ (Active) เป็นรุ่นออลเดย์ (All-day) โดยได้ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมของคณะวิจัย ในการพัฒนากล้ามเนื้อจำลองที่ใช้วัสดุผ้าและเทคนิคการตัดเย็บให้มีการยืดหยุ่นและมีคุณสมบัติที่เหมาะสม ทำให้ตัวชุดรุ่นนี้ มีน้ำหนักเบา ใส่สบาย ระบายเหงื่อได้ดี สามารถใส่ได้ทั้งวัน แต่ยังคงช่วยเสริมในการเคลื่อนไหว และลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีอุปกรณ์วัดการเคลื่อนไหวแบบสวมใส่มาต่อยอดเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ด้วย ทำให้เรเชล (Rachel) รุ่น ออลเดย์ (All-day) นี้ มีกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้เป็นผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ทั่วประเทศ ที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บในชีวิตประจำวัน ให้ยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ลดการพึ่งพิงผู้อื่น และเป็นกำลังสำคัญของประเทศไทยได้ต่อไป นอกจากนี้ ในปีงบประมาณ 2566 ถึง 2567 เอ็มเทค สวทช. ยังได้รับทุนสนับสนุนจาก บพข. ในการต่อยอดชุดพยุงหลัง “รอส (Ross) รุ่น แบ็คซัพพอร์ต (Back support)” ที่มีฟังก์ชันการเสริมแรงแบบกึ่งอัตโนมัติสำหรับภารกิจทางการแพทย์ด้วย โดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับวิเคราะห์ทำนายการเคลื่อนไหว สามารถช่วยลดภาระของกล้ามเนื้อส่วนหลัง ที่มีผลต่อความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อในระหว่างการเคลื่อนไหว ในการปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ ได้แก่ การยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วย การพลิกตัวผู้ป่วย การประคองผู้ป่วย และก้มยกของ  มีระบบติดตามและแจ้งเตือนท่าทางในการเคลื่อนไหว เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะในภารกิจที่ท่าทางของร่างกายมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ อีกทั้งยังคำนึงถึงด้านการใช้งาน โดยใช้วัสดุที่มีโครงสร้างการที่โปร่ง ใส่สบาย เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นในประเทศไทย และด้านการผลิต มีการใช้วัสดุในประเทศเป็นหลัก และมีกระบวนการผลิตที่ไม่ซับซ้อน ทำให้ต้นทุนไม่สูง เพื่อกำหนดราคาจำหน่ายให้คนไทยสามารถเข้าถึงได้  สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคลากรทางการพยาบาล เช่น พยาบาล หรือเวรเปล รวมถึงบุคคลที่ต้องดูแลผู้ป่วยที่บ้าน  การวิจัยและพัฒนาชุดนวัตกรรมในครั้งนี้ ทาง สวรส. สกสว. บพข. และ สศอ. ตลอดจนหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ เห็นถึงความสำคัญของการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในระยะยาว จึงให้การสนับสนุนคณะวิจัยจาก เอ็มเทค สวทช. จนสามารถพัฒนานวัตกรรมให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศไทย พร้อมรับมือการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุได้อย่างยั่งยืน  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ชวน ‘คนดัง’ สายกรีน เปิดมุมมองส่งเสริมแนวคิด Circular economy เพื่อวิถีชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่
วันที่ 30 มีนาคม 2566 ที่ห้องบรรยาย 2 อาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : ดร.ศรันย์ สัมฤทธิ์เดชขจร รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานเปิดงาน สัมมนาการส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อวิถีชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ "Promoting the concept of circular economy for sustainable living of the new generation." โดยมี ดร.ปิยวิทย์ คุ้มพงษ์  ผู้จัดการงานวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนชนบท ด้านพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. ทีมนักวิชาการ สวทช. และประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมงานในห้องถึง 100 คน รวมทั้งผู้ลงทะเบียนในช่องทางออนไลน์กว่า 300 คน โดยได้รับเกียรติจาก ดร.วิจารย์ สิมาฉายา (ผอ.สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่ร่วมบรรยายภาพรวม ในหัวข้อ “ทำไม ประเทศเราถึงต้องเริ่มทำธุรกิจที่ยั่งยืน” สำหรับงานสัมมนาวิชาการครั้งนี้ เพื่อหาแนวทางการส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ให้กับคนรุ่นใหม่ โดยการแชร์ประสบการณ์จากผู้ปฏิบัติจริงในด้านธุรกิจสีเขียว ได้แก่ คุณเชอรี่ เข็มอัปสร นักแสดงสาวสวยมากความสามารถ กับธุรกิจรักษ์โลก แบรนด์ "สิริไท" คุณณภัทร พงษ์แพทย์ ผู้แทนมูลนิธิเอสโอเอส (SOS Thailand) แชร์ประสบการณ์ ในหัวข้อ “ขยะอาหาร (Food waste) อาหารส่วนเกิน (Food surplus) คนรุ่นใหม่เข้าใจหรือยัง” และคุณชณัฐ วุฒิวิกัยการ เจ้าของช่อง ‘KongGreenGreen’ อินฟลูเอนเซอร์สายกรีน ในหัวข้อ “โลกนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าเราใช้ชีวิตแบบ Zero Waste”ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และดำเนินรายการ โดย ดร.ธิติยา บุญประเทือง ผู้ช่วยนักวิจัยอาวุโส สวทช. ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการพัฒนาและส่งเสริมองค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชนและเยาวชนคนรุ่นใหม่ ใหเขาใจการนำแนวคิดด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และร่วมขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อวีถีชีวิตที่ยั่งยืนในระดับประเทศต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ได้รับการรับรองมาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย ‘TMVS’ จากทีเส็บ
วันที่ 29 มีนาคม 2566  ณ อาคารอาเซียน รัชดา กรุงเทพฯ : ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้ารับมอบตราสัญลักษณ์การรับรองมาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย (Thailand MICE Venue Standard: TMVS) จาก ดร.อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ (TCEB) ในงาน MICE Standard Day 2023 เพื่อส่งเสริมมาตรฐานสถานที่จัดงานของไทยและอาเซียน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน รองรับตลาดธุรกิจไมซ์ในอนาคต ทั้งนี้ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ สวทช. ได้เข้าร่วมการประเมินและผ่านการรับรองมาตรฐาน TMVS ประเภทห้องประชุม ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมาจนครบทุกห้องตามเกณฑ์ และมีการประเมินเพื่อต่ออายุทุก ๆ 3 ปี จนถึงปัจจุบัน โดยตราสัญลักษณ์ดังกล่าวใช้ยืนยันว่าสถานที่จัดงานต่าง ๆ ในสถานที่ราชการและเอกชน ศูนย์ประชุม อาคารแสดงสินค้า โรงแรม รีสอร์ท มีความเหมาะสมตามมาตรฐานการจัดงานในระดับสากล เพิ่มความมั่นใจในคุณภาพของผู้ประกอบธุรกิจไมซ์ในไทยให้กับกลุ่มนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ สำหรับศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการจัดประชุม สัมมนาและจัดกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วยห้องประชุม 11 ห้องย่อย ห้องประชุมใหญ่ออดิทอเรียม แบบเธียเตอร์ 376 ที่นั่ง ห้องประชุมบอร์ดรูม 60 ที่นั่ง และพื้นที่จัดนิทรรศการกว่า 2,000 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้ร่วมงานได้มากกว่า 3,000 คน รวมทั้งให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการในการจัดงาน อีกทั้งมีบริการที่จอดรถภายในอาคารมากกว่า 300 คัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้จัดงานและผู้ร่วมงานอีกด้วย ผู้สนใจสามารถติดต่อศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โทรศัพท์ 02 564 7170 ต่อ 6011, 6012, 6013 e-mail : sms@nstda.or.th หรือเว็บไซต์ http://www.nstda.or.th/tcc Facebook : http://www.facebook.com/TSPConventionCenter
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดสัมมนาเรื่อง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านโอมิกส์ ที่นำไปสู่การปรับปรุงพันธุ์แบบแม่นยำ และโอกาสของประเทศไทย ในการเป็นผู้นำการส่งออกเมล็ดพันธุ์พืชระดับโลก
(30 มี.ค. 2566) ณ อาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานสัมมนาพิเศษเรื่อง “ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านโอมิกส์ที่นำไปสู่การปรับปรุงพันธุ์แบบแม่นยำ และโอกาสของประเทศไทยในการเป็นผู้นำการส่งออกเมล็ดพันธุ์พืชระดับโลก” เป็นการนำเสนอความพร้อมทางด้านข้อมูล QTL ที่สำคัญและเครื่องหมายโมเลกุลที่สามารถนำไปใช้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการคัดเลือกในพืชสำคัญของประเทศ เช่น ข้าว ข้าวโพด มะเขือเทศ พืชสมุนไพร (กัญชา กัญชง บัวบก) พืชผัก (แตง มะระ) และไม้ผล (มะพร้าว) สวทช. ได้ให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Climate change) อันเนื่องมาจากสภาวะโลกร้อน (Global warming) ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตร้อนชื้นที่พื้นที่การเกษตรยังอาศัยน้ำฝนและความเหมาะสมของสภาพภูมิอากาศในการเพาะปลูก เช่น ในประเทศไทย ปรากฏการณ์โลกร้อนทำให้การเกษตรของไทยมีความเสี่ยงทางด้านการผลิตเป็นอย่างมาก นำไปสู่ประสิทธิภาพของการผลิตที่ลดลงหรือล้มเหลวในการผลิต ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการ รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวเปิดงาน ภายในงานสัมมนาฯ ยังได้รับเกียรติจากวิทยากร นำโดย ศ.เกียรติคุณดร.มรกต ตันติเจริญ ที่ปรึกษาอาวุโสอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้บรรยายพิเศษเรื่อง “BCG กับ อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ไทย” ดร.บุญญานาถ นาถวงษ์ นายกสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย บรรยายเรื่อง “อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ไทยและโอกาสของประเทศไทยที่จะเป็นผู้นำการส่งออก” ดร.ศิริลักษณ์ จิตรอักษร ผู้อำนวยการกองวิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร บรรยายเรื่อง “การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ไทยไปสู่ผู้ผลิตระดับโลก” และ ศ.ดร.กมล เลิศรัตน์ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยปรับปรุงพันธุ์พืชเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยขอนแก่น บรรยายเรื่อง “เทคโนโลยีด้านการเกษตรระดับโลกและความพร้อมของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการเกษตรสู่การเกษตรแบบแม่นยำ” ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการในตำแหน่ง รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า เทคโนโลยีด้านโอมิกส์ที่นำไปสู่การปรับปรุงพันธุ์แบบแม่นยำเป็นแนวทาง ในการแก้ไขที่สำคัญการพัฒนาพันธุ์พืชให้สามารถปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ทันเวลา และพันธุ์พืชที่ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ต้องอาศัยองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านโอมิกส์ ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระดับจีโนมนำมาใช้ในการเพิ่มศักยภาพในการปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่โดยสามารถระบุยีน หรือ QTL ที่มีความสัมพันธ์กับลักษณะการปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ทนร้อน ทนหนาว ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ต้านทานต่อโรคแมลง เป็นต้น และพัฒนาเครื่องมือเพื่อใช้ ติดตามการถ่ายทอดทางพันธุกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดเลือกที่แม่นยำและรวดเร็ว ในกระบวนการปรับปรุงพันธุ์ต่างๆ เทคโนโลยีด้านการใช้โมเลกุลเครื่องหมายในการปรับปรุงพันธุ์และการแก้ไขพันธุกรรม นำไปสู่การพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ที่มีลักษณะตามความต้องการอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้นักปรับปรุงพันธุ์สามารถพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ได้ในระยะเวลาที่สั้นลง ให้ผลผลิตสูงในพื้นที่จำกัด และปรับตัวได้ดีในสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ด้วยภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต เมล็ดพันธุ์เป็นสินค้าเกษตรมูลค่าสูง เป็นสินค้าที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกมาก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเกษตร ซึ่งเน้นการสร้างขีดความสามารถด้านปัจจัยการผลิต ซึ่งเมล็ดพันธุ์ก็เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ เมล็ดพันธุ์สร้างผลกระทบ ทั้งในระดับเกษตรกรที่เน้นการทำเกษตรแบบประณีต ใช้พื้นที่ผลิตน้อยแต่ได้รายได้สูง อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ไทยมีศักยภาพสูง โดยประเทศไทยตั้งเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์ในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค (SEED HUB) เพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและส่งออกเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นในระดับหมื่นล้านบาท สวทช.เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย Seed Hub โดยการส่งเสริมและพัฒนางานวิจัยในอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์เกิดการทำงานร่วมกัน ที่เรียกว่า Seed cluster ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา สวทช. สนับสนุนทั้งในเรื่องหน่วยบริหารจัดการเชื้อพันธุกรรม (Plant Germplasm Bank) ที่เป็นการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมระยะยาว สนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่เมล็ดพันธุ์ ได้แก่ เทคโนโลยีการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและชุดตรวจวินิจฉัยต่อเชื้อก่อโรคพืชในอุตสาหกรรมผลิตเมล็ดพันธุ์ เทคโนโลยีจีโนมในการวินิจฉัยตรวจสอบโรคและความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสมสำหรับการส่งออกเมล็ดพันธุ์ และการใช้เทคโนโลยีจีโนมในการคัดเลือกพันธุ์ ซึ่งช่วยให้ภาคเอกชนส่งออกเมล็ดพันธุ์และพัฒนาพันธุ์ได้รวดเร็วขึ้น ดร.ธีรยุทธ กล่าวทิ้งท้าย หลังจากนั้นช่วงบ่ายมี เสวนาพิเศษในหัวข้อ เรื่อง “เทคโนโลยีด้าน Omics กับความพร้อมของประเทศไทยในการผลักดันอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์และการเกษตรมูลค่าสูง” ผู้ดำเนินการเสวนา ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดาและ ดร.วศิน ผลชีวิน นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ (ไบโอเทค) ผู้ร่วมเสวนา ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง ผู้อำนวยการศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ ดร.ปิยรัตน์ ธรรมกิจวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร ดร.ศิริพัฒน์ เรืองพยัคฆ์ นักวิจัยศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว สำนักงานวิทยาเขตกำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ร รศ.ดร.ศิวเรศ อารีกิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว สำนักงานวิทยาเขตกำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดร.สามารถ วันชะนะ นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ (ไบโอเทค) ดร.วินิตชาญ รื่นใจชน นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ (ไบโอเทค) และ ดร.อรประไพ คชนันทน์ หัวหน้าทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ (ไบโอเทค)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดสัมมนาวิชาการและส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ ให้สถาบันการศึกษา 20 แห่ง เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนไทย
30 มีนาคม 2566 ห้องประชุม CC 308 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดสัมมนาวิชาการภายใต้งานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 หรือ NAC2023 ในหัวข้อ “ราชพฤกษ์อวกาศ” เมล็ดพันธุ์อวกาศสู่ต้นกล้าเพื่อการเรียนรู้” พร้อมส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์ที่ปลูกโดยใช้เมล็ดที่ผ่านการท่องอวกาศนาน 7 เดือน ให้แก่สถาบันการศึกษา จำนวน 20 แห่งทั่วประเทศนำไปปลูก เพื่อต่อยอดสู่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากการศึกษาเปรียบเทียบการเติบโตระหว่างต้นราชพฤกษ์อวกาศที่ปลูกด้วยเมล็ดจากอวกาศกับต้นราชพฤกษ์ที่ปลูกด้วยเมล็ดปกติ โดยมีดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และนายทาเคฮิโระ นากามูระ ผู้อำนวยการองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ ร่วมส่งมอบต้นราชพฤกษ์อวกาศ ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สวทช. ร่วมกับ JAXA และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) บริษัท กรีน อินโนเวทีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด และ SPACETH.CO ร่วมกันดำเนินการโครงการ Asian Herb in Space (AHiS) โดยแบ่งกิจกรรมย่อยออกเป็น 2 โครงการ ได้แก่ โครงการทดลองปลูกโหระพาเปรียบเทียบระหว่างบนอวกาศกับบนพื้นโลก และโครงการราชพฤกษ์อวกาศ “ในวันนี้ สวทช. ได้เชิญชวนหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ รับ ‘ต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ’ เฟสแรก รอบที่สอง โดยมีสถาบันการศึกษาที่ได้รับมอบต้นกล้าราชพฤกษ์จำนวน 20 แห่ง ประกอบด้วย ภาคกลาง โรงเรียนวัดบางแขม, โรงเรียนกว่างเจ้า, โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์, โรงเรียนเทพศิรินทร์พุแค สระบุรี, โรงเรียนร่มเกล้า กาญจนบุรี (ในโครงการพระราชดำริ) , มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี, สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์, โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา, โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา ภาคเหนือ โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม, มหาวิทยาลัยพะเยา , โรงเรียนพรานกระต่ายพิทยาคม, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ภาคอีสาน โรงเรียนสุรนารีวิทยา, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, โรงเรียนกัลยาณวัตร, โรงเรียนบ้านดินดำเหล่าเสนไต้, โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม ภาคตะวันออก มหาวิทยาลัยบูรพา และโรงเรียนกบินทร์วิทยา ทั้งนี้หน่วยงานที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการราชพฤกษ์อวกาศในระยะต่อไป สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation และเฟซบุ๊ก NSTDA SPACE Education
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ต้อนรับผู้ประกอบการ-เครือข่ายเกษตรกร จ.ปทุมธานี  เยี่ยมชมโรงงานต้นแบบผลิตพืช
30 มีนาคม 2566 ห้องโถง Tower D อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับกลุ่มนักธุรกิจและกลุ่มเกษตรกรจังหวัดปทุมธานี เพื่อเข้าเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบผลิตพืช (Plant factory) ของ สวทช. และมี ดร.เกรียงไกร โมสาลียานนท์ ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืช ไบโอเทค พาคณะเข้าเยี่ยมชม โดยวัตถุประสงค์ของการเยี่ยมชมครั้งนี้เพื่อศึกษาเทคโนโลยีและหาแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิจัย นักธุรกิจและเครือข่ายเกษตรกรปทุมธานี รวมทั้งนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปถ่ายทอดในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีและกลุ่มผู้สนใจต่อไป อย่างไรก็ตามเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สวทช. โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี และ NSTDA Shop ได้นำผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรของ สวทช. ไปเผยแพร่แก่กลุ่มเกษตรกร ณ ศูนย์เรียนรู้และพัฒนาการเกษตรตลาดโรงเกลือท้ายเกาะ อำเภอสามโคก จ.ปทุมธานี มาแล้ว 2 ผลงาน ได้แก่ ถุงปลูก Magik Growth ต้นอ่อนกระชายดำ-ขมิ้นชัน โดยมีนายสุเทพ กุลศรี เจ้าของทฤษฎีปลูกผักลงถุง ซึ่งได้เริ่มทดสอบการใช้ถุงปลูกในแล้ว ถือเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและนักธุรกิจและเครือข่ายเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อสร้างการทำงานร่วมกันโดยอาศัยเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในต่อยอดธุรกิจและพัฒนาเครือข่ายเกษตรกรในพื้นที่ให้สามารถนำความรู้ด้านนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไบโอเทค สวทช. จับมือกรมประมง ในการคัดกรอง ทดสอบและพัฒนาวิธีการผลิตเชื้อจุลินทรีย์สำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อแจกจ่ายให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์จริง
(29 มีนาคม 2566) ที่ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี  กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแถลงความสำเร็จในการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์จุลินทรีย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยจุลินทรีย์ดังกล่าวสามารถยับยั้งการสร้างไบโอฟิล์มของเชื้อก่อโรคทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค และลดความจำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์น้ำลงได้ โดยมีความพร้อมในการถ่ายทอดวิธีการผลิตหัวเชื้อสำหรับแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรเพื่อเป็นสาธารณะประโยชน์ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า สวทช. และกรมประมง มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่อง “การวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมทางด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” ถึง 5 ปี        เริ่มตั้งแต่ปี 2563 โดยหนึ่งในความร่วมมือที่ สวทช. ให้ความสำคัญก็คือ การพัฒนาการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดย สวทช. ได้ให้การสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม. 1 (ปม. 1 ย่อมาจาก ประมง 1)ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจนคัดเลือกหาเชื้อจุลินทรีย์สายพันธุ์ใหม่ ๆ มีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมในการนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์สูตรใหม่ ที่ผ่านการทดสอบคุณสมบัติด้านต่าง ๆ ที่ได้มาตรฐานตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การทดสอบคุณสมบัติเชิงหน้าที่เช่นความสามารถในการย่อยสารอาหาร ความสามารถในการช่วยกำจัดขยะไนโตรเจนหรือลดของเสีย การช่วยปรับเปลี่ยนหรือรักษาสมดุลของประชากรจุลินทรีย์ทั้งในตัวกุ้งและในบ่อ การทดสอบคุณสมบัติด้านความปลอดภัย เช่น การสร้างสารพิษและความเป็นพิษต่อเซลล์สัตว์ การมียีนที่ทำให้เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะและความสามารถในการถ่ายทอดยีนดื้อยาไปสู่สิ่งแวดล้อม การทดสอบคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องการผลิตและการนำไปใช้ ได้แก่ วิธีการผลิต การเจริญเติบโต การสร้างสปอร์ การทนต่อสภาพแวดล้อมของเชื้อ ซึ่งการทดสอบทำทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและระดับฟาร์ม โดยข้อมูลทางวิชาการที่ได้เหล่านี้จะทำให้เกษตรกรเลือกใช้เชื้อได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการผลิตกุ้งดีขึ้น ส่งผลต่อการเพิ่มอัตรารอด และช่วยลดต้นทุนให้กับเกษตรผู้เลี้ยงกุ้งได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้ยังสามารถนำไปสนับสนุนการขึ้นทะเบียนจุลินทรีย์สำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ได้มาตรฐานอีกด้วย “จากจุลินทรีย์ที่ได้นำมาทดสอบภายใต้ความร่วมมือนี้ พบว่าเชื้อ Bacillus subtilis สายพันธุ์  BSN1       ที่แยกจากถั่วหมักนัตโตะหรือถั่วเน่าญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง (เป็นสายพันธุ์ที่แยกโดยนักวิจัยที่หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้งซึ่งเป็นหน่วยวิจัยร่วมระหว่างไบโอเทค สวทช. กับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)      มีคุณสมบัติยับยั้งการสร้างไบโอฟิล์มของเชื้อ Vibrio harveyi และ V. parahaemolyticus ซึ่งเป็นสาเหตุสาเหตุของโรคกุ้งเรืองแสงและโรคตับวายแบบเฉียบพลันซึ่งเป็นโรคสำคัญในกลุ่มอาการโรคกุ้งตายด่วน เมื่อนำ BSN1 ไปผสมอาหารให้กุ้งกินพบว่าสามารถช่วยลดอัตราการตายของกุ้งจากการติดเชื้อทั้งสองนี้ได้อีกด้วย ดังนั้น BSN1 จึงมีความเหมาะสมในการนำไปปรับปรุงเป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์ต่อไป ทั้งนี้ สวทช. ได้ลงนามในสัญญาอนุญาตให้ใช้วัสดุชีวภาพ กับกรมประมงเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้กรมประมงสามารถนำเชื้อ Bacillus subtilis สายพันธุ์ BSN1 ไปใช้ในเชิงสาธารณะประโยชน์ต่อไป” ผู้อำนวยการ ไบโอเทค สวทช. กล่าว ด้าน นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง  กล่าวว่า กรมประมง และ สวทช. ได้มีความร่วมมือทางวิชาการกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปี 2563 ได้ลงนามความร่วมมือกับ สวทช. เพื่อร่วมกันดำเนินงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม รวมทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนร่วมกันกำหนดทิศทางงานวิจัยและพัฒนาด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก และทำให้สัตว์น้ำไทย มีเอกลักษณ์เป็นที่หนึ่งของโลก ตลอดจนสนับสนุนให้มีการนำผลงานวิจัยต่าง ๆ ไปใช้ประโยชน์ ซึ่งจากการดำเนินงานร่วมกันของกรมประมง และ สวทช. จนกระทั่งพบจุลินทรีย์สายพันธุ์ BSN1 ที่มีศักยภาพ สามารถนำไปต่อยอดผลิตเป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม. 2 จึงนำจุลินทรีย์สายพันธุ์ดังกล่าว มาปรับปรุงเป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม. 2 และขยายผลการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ดังกล่าวไปยังหน่วยงานของกรมประมงในพื้นที่ จำนวน 24 แห่ง เพื่อผลิตและแจกจ่ายให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รวมไปถึงถ่ายทอดเทคโนโลยี การผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ไปยังสหกรณ์ ชมรมและกลุ่มเกษตรกร จำนวน 18 แห่ง เพื่อผลิตและแจกจ่ายให้กับสมาชิก ส่งผลให้มีการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์อย่างกว้างขวาง ซึ่งช่วยลดการใช้สารเคมีในการเลี้ยงกุ้งทะเล บรรเทาความเสียหายจากการเกิดโรคในกุ้งทะเล และมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมกุ้งทะเลของไทย ให้พลิกฟื้นกลับมาได้ ///////////////////////////
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี” สู่ผลิตภัณฑ์แปรรูปมูลค่าสูง
นักวิจัยไบโอเทค สวทช. ร่วมกับสถาบันอาหาร และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากมะพร้าวน้ำหอมราชบุรี  รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีการยืดอายุน้ำมะพร้าวน้ำหอม จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าหลากหลายผลิตภัณฑ์ พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับชุมชนผู้ผลิตมะพร้าวน้ำหอม จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดต้นแบบของการนำโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ไปเพิ่มมูลค่าผลผลิต เป็นการสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน   พบกับทีมนักวิจัยและตัวอย่างผลงานผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวน้ำหอมราชบุรี ในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 หรือ NAC2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม 2566 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. เปิดสูตรสำเร็จโครงการ “TIME” ยกระดับขีดความสามารถ พัฒนา ‘บุคลากรทักษะสูง’ ตอบโจทย์อุตสาหกรรม
(เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2566) ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (CFA) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดสัมมนา ความสำเร็จโครงการ TIME & WiL ยกระดับขีดความสามารถ พัฒนาคนตอบโจทย์อุตสาหกรรมภายใต้โครงการ Total Innovation Management Enterprise (TIME) and Work-integrated Learning (WiL) Project Success ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงสถานประกอบการกับสถานศึกษาและหน่วยงานวิจัยในการบูรณาการการพัฒนาบุคลากร ภายในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 หรือ NAC2023 พร้อมจัดพิธีมอบโล่ “รางวัลนวัตกรรมการศึกษาเพื่อสังคม” ให้กับ 3 สถานประกอบการ ได้แก่ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) และ บริษัท คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (1994) จำกัด ซึ่งเป็นสถานประกอบการตัวอย่างที่แสดงถึงศักยภาพในการพัฒนากระบวนการยกระดับความสามารถทางนวัตกรรมของอุตสาหกรรมไทย ผ่านการพัฒนาองค์ความรู้ในการบริหารจัดการกระบวนการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องภายใต้ชื่อ โครงการ “TIME” ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า TIME เป็นโครงการพัฒนากำลังคนทักษะสูงรูปแบบใหม่ ต่อยอดมาจากความสำเร็จของโครงการบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน (Work-integrated Learning: WiL) และ โครงการพัฒนานักวิจัยในอุตสาหกรรมร่วมกับสถานประกอบการขนาดกลาง ของ สอวช. ซึ่งส่งต่อโครงการสู่การขยายผลโดย สวทช. โดยมีการพัฒนาองค์ความรู้ทางการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุมอุตสาหกรรมใน sector หลัก เช่น อุตสาหกรรมอาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ซึ่งจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้สนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ๆ ตามนโยบายการส่งเสริมการลงทุนได้ ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาระบบการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับ BOI โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายไปคำนวณเพื่อยื่นของสิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการได้ “โครงการ “TIME” หรือ Total Innovation Management Enterprise ซึ่งเป็นโครงการพัฒนากำลังคนทักษะสูงรูปแบบใหม่ ที่ต่อยอดความสำเร็จจาก โครงการบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน (Work-integrated Learning: WiL) และ โครงการพัฒนานักวิจัยในอุตสาหกรรมร่วมกับสถานประกอบการขนาดกลาง ของ สอวช. ส่งต่อสู่การขยายผลโดยมีสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้บริหารจัดการและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นผู้จัดสรรงบประมาณ” (คนที่ 2 จากทางซ้าย) นายนพดร ปัญญาจงถาวร รองผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต นายนพดร ปัญญาจงถาวร รองผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (CFA) กล่าวว่า ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 8 บริษัท มีนักศึกษาสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโท จำนวน 45 คน จากสถาบันอุดมศึกษาจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยโครงการ TIME ได้รับทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) สกสว. ซึ่งความสำเร็จของโครงการเป็นการพัฒนานวัตกรรมในรูปแบบการสร้างกำลังคนแนวใหม่ โดยมุ่งเน้นการค้นหารูปแบบทักษะที่จำเป็นสำหรับการสร้างนวัตกรรมในภาคอุตสาหกรรม ดังนั้นการพัฒนาแพลตฟอร์มในโครงการนี้จึงมุ่งเป้าในการออกแบบระบบการพัฒนากำลังคนที่สอดคล้องกับระบบนิเวศนวัตกรรมที่จะต้องเริ่มจากการพัฒนาองค์ความรู้ในการสร้างนวัตกรรมอุตสาหกรรม ที่สามารถบูรณาการองค์ความรู้ทางเทคนิคเข้ากับองค์ความรู้ทางการจัดการ เพื่อนำไปออกแบบกิจกรรมที่ต้องทำ ซึ่งการบรรลุเป้าหมายได้จะต้องพัฒนาความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในการนำปัญหาจริงมาเป็นเป้าหมายโครงการนวัตกรรม เพื่อให้ได้ต้นแบบของกระบวนการ ซึ่งจะนำไปสู่การสื่อสารกับภาคอุตสาหกรรมว่าต้องมีการดำเนินการอย่างไร โดยผลสำเร็จของโครงการ TIME มีต่อหลายภาคส่วน ได้แก่ สถานประกอบการและภาคอุตสาหกรรมจะได้พนักงานซึ่งเกิดจากการบ่มเพาะนักศึกษา โดยจะเป็นบุคลากรทักษะสูง ที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมระดับประเทศช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ด้านสถานศึกษาและมหาวิทยาลัย จะสามารถพัฒนาหลักสูตรที่สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงองค์ความรู้ระหว่างภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้สถานศึกษามีหลักสูตรการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมแต่ละประเภท และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ด้านหน่วยงานวิจัยและหน่วยงานให้ทุน จะเกิดการเชื่อมโยงหน่วยงานวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชน กับภาคการศึกษา ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศขององค์กรนวัตกรรม ซึ่ง สวทช. มีเป้าหมายที่จะมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนให้เกิด Eco System ดังกล่าวเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของการพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งนี้หากผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมการผลิตสนใจรายละเอียดโครงการเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (CFA) สวทช. โทรศัพท์ 0 2644 8150 เว็บไซต์ www.career4future.com หรือ Facebook : Career for the Future Academy   //////////////////////////
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 ‘NAC2023’ โชว์ขุมพลังวิจัย ‘ขับเคลื่อน BCG สู่ความยั่งยืน’ เริ่มแล้ว 28-31 มี.ค. ที่ อุทยานวิทยาศาสตร์ฯ ปทุมธานี
(28 มีนาคม 2566) ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2566 (NSTDA Annual Conference: NAC2023) ภายใต้แนวคิด “สวทช. : ขุมพลังหลัก วทน. เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG สู่ความยั่งยืน” (NSTDA: STI powerhouse to drive BCG economy for Thailand's sustainable development) ระหว่างวันที่ 28 -31 มีนาคม 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยมี นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายไชยรัตน์ บุตรเทพ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดธัญบุรี พลตรีปัญญา ตั้งความเพียร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 พล.ต.ต.ชุมพล ชาญชนะโยธิน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงานกระทรวง อว. และ สวทช. ร่วมรับเสด็จฯ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กราบบังคมทูลรายงานว่า การประชุมประจำปี สวทช. ในปีนี้เป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลประกาศขับเคลื่อนประเทศตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG Economy Model (Bio-Circular-Green Economy หรือเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว) ซึ่ง สวทช. จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 18 โดยปีนี้จัดแบบออนไซต์เต็มรูปแบบ ทั้งกิจกรรมสัมมนาวิชาการ นิทรรศการ กิจกรรมเยี่ยมชม กิจกรรมนำเสนอเชิงธุรกิจ และกิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กและเยาวชน โดยตั้งเป้าให้เป็นเวทีในการนำเสนอผลงานของบุคลากรวิจัย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเรียนรู้จากเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล มั่นคง และยั่งยืนภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2570 ซึ่งการประชุมฯ ครั้งนี้แบ่งการนำเสนอออกเป็น 4 การขับเคลื่อน และ 4 การส่งเสริม สำหรับ 4 การขับเคลื่อน ประกอบด้วย การพัฒนาตามสาขายุทธศาสตร์ ได้แก่ 1.เกษตรอาหาร 2. สุขภาพการแพทย์ 3.พลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ และ 4.ดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาเชิงพื้นที่ การพัฒนาเทคโนโลยีและองค์ความรู้ขั้นแนวหน้า และการเตรียมกำลังคน ผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการ ส่วน 4 การส่งเสริม ประกอบด้วย 1.การส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก 2.การยกระดับความสามารถของกำลังคน 3.การยกระดับเครือข่ายพันธมิตรต่างประเทศ และ 4.การปรับกฎหมาย กฎระเบียบให้เอื้อต่อการพัฒนา BCG Economy model ซึ่งกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นภายในงาน ได้แก่ การจัดสัมมนาวิชาการและกิจกรรมสำหรับเยาวชน 53 หัวข้อ และการจัดแสดงผลงานในรูปแบบนิทรรศการ 72 ผลงานใน 6 โซน เพื่อสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนักวิชาการ ผู้ประกอบการ ภาครัฐ ภาคเอกชน เด็กและเยาวชน และประชาชนทั่วไปให้ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กราบบังคมทูลเบิกคณะผู้ชนะเลิศการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 25 ผู้ชนะเลิศการแข่งขันออกแบบและสร้างหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 14 และผู้ชนะเลิศการแข่งขัน RoboInnovator Challenge 2022 จำนวนรวมทั้งสิ้น 13 ราย เข้ารับพระราชทานเกียรติบัตร จากนั้นสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัสเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2566 และทรงตัดแถบแพรเปิดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทยและนิทรรศการความก้าวหน้าทางงานวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 6 โซนได้แก่ 1.นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ อาทิ โครงการฝึกทักษะถอดความเสียงพูดเพื่อจัดทำคำบรรยายแทนเสียงสำหรับผู้มีปัญหาทางการได้ยิน ซึ่งมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ดำเนินโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาผู้ต้องขังตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ต้องขังได้รับความรู้และทักษะเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ระหว่างที่อยู่ในที่คุมขัง ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์เพื่อสร้างรายได้และคุณค่าต่อตนเอง และนำความรู้และทักษะที่ได้รับไปประกอบอาชีพเมื่อพ้นโทษได้ ในปี พ.ศ.2562 สวทช. ร่วมกับ มูลนิธิฯ และทัณฑสถานบำบัดพิเศษหญิงปทุมธานี ได้จัดทำ “โครงการการฝึกถอดความเสียงพูด เพื่อจัดทำคำบรรยายแทนเสียง” เพื่อพัฒนาทักษะด้านการพิมพ์สัมผัส และถอดความเสียงพูดแก่ผู้ต้องขัง ซึ่งจะสามารถพัฒนาเป็นอาชีพอีกอาชีพหนึ่งหลังพ้นโทษได้ โดยในปี พ.ศ.2563 จนถึงปัจจุบัน สวทช. ดำเนินการจ้างผู้ต้องขังในการจัดทำคำบรรยายแทนเสียงสำหรับวิดีโอประกอบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เป็นส่วนหนึ่งของสื่อดิจิทัลที่เข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า บนแพลตฟอร์มการเรียนการสอนออนไลน์ที่เข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้าสำหรับนักเรียนพิการทุกประเภทที่ สวทช. พัฒนาขึ้นสำหรับนำไปใช้งานในโรงเรียนการศึกษาพิเศษของสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ และโรงเรียนเรียนร่วมทั่วประเทศ ทั้งภาครัฐ และเอกชน โครงการภาคีโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติด้าน e-Science (National e-Science Infrastructure Consortium) เป็นโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในด้านการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง หรือ High Performance Computer (HPC) ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมของประเทศ และสนับสนุนความร่วมมือด้านฟิสิกส์อนุภาคพลังงานสูงระหว่างประเทศไทยและเซิร์น เพื่อยกระดับงานวิจัยของประเทศไทยให้ทัดเทียมงานวิจัยระดับนานาชาติ 2.NSTDA core business แสดงผลงานความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยตอบโจทย์เศรษฐกิจและสังคมที่ สวทช. มุ่งขับเคลื่อนในยุค NSTDA 6.0 ซึ่งในปี พ.ศ.2566 สวทช. เปิดกลยุทธ์ นำพลังวิจัย รับใช้สังคม และได้คัดเลือกงานวิจัยที่เป็นความเชี่ยวชาญและตอบโจทย์ความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ 4 เรื่องหลัก คือ 1.Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง 2.Digital Healthcare Platform แพลตฟอร์มบริการทางการแพทย์ดิจิทัล 3.FoodSERP แพลตฟอร์มให้บริการผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์กลุ่มสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ (Functional ingredient) ในรูปแบบ One stop service และ 4.Thailand i4.0 Platform แพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ของไทย 3.นิทรรศการ BCG Economy Model ทั้ง 4 สาขา เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ เช่น ด้านเกษตรและอาหาร เช่น นวัตกรรมสเปรย์เติมความ “สด” ให้พืช ซึ่งนักวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนาสเปรย์ทำความเย็นอัดแก๊สแรงดันสูงที่มีส่วนประกอบของสารสกัดจากธรรมชาติ รวมถึงธาตุอาหารเสริมและรอง ที่ช่วยลดอุณหภูมิภายในของพืช ลดการคายน้ำจากอากาศร้อน ช่วยให้พืชสดชื่น ไม่เหี่ยวเฉา ตอบความต้องการธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไม้เมืองหนาวราคาสูงที่นำมาปลูกในประเทศไทย ด้านสุขภาพและการแพทย์ เช่น เทคโนโลยีชุด Exosuit ช่วยในการเคลื่อนไหวและป้องกันการบาดเจ็บสำหรับผู้สูงอายุ ด้านพลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ เช่น เทคโนโลยีแบตเตอรี่ อุตสาหกรรมสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมสีเขียว และ ด้านดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Sontana สนทนา (AI Chatbot) ซึ่งล้วนเป็นผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ 4.นิทรรศการ วทน. ยกระดับคุณภาพชีวิต ได้แก่ การยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง (BCG-Naga Belt Road) ซึ่งเป็นหนึ่งในการขับเคลื่อนแบบ Area based ในลักษณะกลุ่มสินค้าของ BCG สาขาเกษตร มีเป้าหมายเพื่อ ปรับเปลี่ยนระบบการเกษตรของประเทศไทยสู่ 3 สูง คือ ประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง และรายได้สูง ดำเนินการโดย สวทช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท เกษตรอินโน จำกัด และหน่วยงานในพื้นที่เป้าหมาย ดำเนินการในพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย ลำปาง อุดรธานี และนครพนม เพื่อผลักดันการใช้ BCG Economy Model ขับเคลื่อนชุมชนให้มีการสร้างมูลค่าเพิ่มแบบครบวงจร ด้วยการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการผลิตข้าวด้วยเกษตรสมัยใหม่ ควบคู่กับการผลิตพืชหลังนาที่เหมาะสมแต่ละพื้นที่ 5.นิทรรศการระบบบริการ โดย สวทช. เช่น โครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในขุมพลังหลักของ สวทช. ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาครัฐและเอกชนใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด และ 6.ผลงานวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี ผ่านการแสดงผลงานวิจัยโดยนักวิจัยไทย อาทิ ระบบให้แสงเพื่อใช้ในการเพาะเลี้ยงอาหารโภชนาการสูงสำหรับสัตว์น้ำ ในระบบปิดและกึ่งปิด (SUN-ZOOM for Eco-Plankton Culture Plant) และระบบควบคุมการยกยอและบันทึกภาพถ่ายโดยอัตโนมัติ และระบบให้อาหารอัตโนมัติสำหรับการเลี้ยงกุ้ง เป็นต้น สำหรับงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 จัดระหว่างวันที่ 28 - 31 มีนาคม 2566 นี้ จัดออนไซต์เต็มรูปแบบในทุกกิจกรรม ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ภายในงานประกอบด้วย การสัมมนาและกิจกรรมเยาวชน 53 หัวข้อ นิทรรศการผลงานวิจัยนวัตกรรมของนักวิจัย สวทช. และพันธมิตรกว่า 72 ผลงาน กิจกรรม Open house เยี่ยมชม 27 ห้องปฏิบัติการวิจัยของ สวทช. และเครือข่ายพันธมิตร ต่อยอดธุรกิจด้วยนวัตกรรมกับเวที R&D Pitching 16 ผลงาน และ NAC Market 2023 ตลาดนัดจำหน่ายสินค้านวัตกรรมจากงานวิจัย สินค้าชุมชนในราคาพิเศษจากเครือข่าย สวทช. ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.nstda.or.th/nac และร่วมกิจกรรมภายในงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือสอบถามโทร. 02564 8000
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 8 ฉบับที่ 11 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2566
ข่าว ปลัด อว. พร้อมคณะผู้บริหาร สวทช. และหน่วยงานในสังกัดกระทรวง ร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2566 รมว.อว. ต้อนรับศักราชใหม่ นำคณะผู้บริหาร-บุคลากร กระทรวง อว. ร่วมทำบุญตักบาตรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2566 รมว.อว. นำคณะผู้บริหาร สวทช. และหน่วยงานภายใต้สังกัด ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ 3 รอบ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พุทธศักราช 2566 สวทช. ร่วมกับ สรพ.จัดเวิร์คช็อป 2P Safety Tech Hackathon Camp หวัง รพ. ที่เข้าร่วมสามารถสร้างนวัตกรรมมต้นแบบ MVP ได้ 10 นักวิทยาศาสตร์ไทยรุ่นเยาว์ร่วมงานประชุมสุดยอดนักวิทยาศาสตร์เยาวชนโลก (GYSS) 2023 ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ปักธง ‘สวทช. ยุค 6.0’ นำพลังวิจัย รับใช้สังคม สวทช. จับมือ EA เล็งจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา BCG Industry เสริมแกร่งระบบนิเวศวิจัยด้านพลังงาน แมงกานีสเซ็นส์ (Mn Sense) ชุดตรวจไอออนแมงกานีสปนเปื้อนในแหล่งน้ำ นวัตกรรมนาโนเทค สวทช. ตอบโจทย์อุตสาหกรรมชุดตรวจ ทดแทนชุดตรวจนำเข้า ในราคาที่ถูกกว่า นักบินอวกาศญี่ปุ่นทดลอง 2 ไอเดียเยาวชนไทยบนสถานีอวกาศนานาชาติ สวทช. จับมือ อบจ.- สสจ.ปราจีนบุรี เปิด AMED Homeward ระบบบริการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยในที่บ้าน นำร่อง 7 กลุ่มโรคใช้จริงแห่งแรกใน รพ.สต. ปราจีนบุรี บทความ น้ำยาเคลือบโซลาร์เซลล์ลดการเกาะของน้ำและฝุ่นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า  Download เอกสารฉบับเต็ม (10.3MB)  
จดหมายข่าว สวทช.
 
Gunther Bath นวัตกรรมตรวจจับและแจ้งเตือน “การหกล้ม”
นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ออกแบบและพัฒนานวัตกรรมตรวจจับและแจ้งเตือนการพลัดตกหกล้ม เรียกว่า Gunther Bath เป็นอุปกรณ์ที่มีระบบตรวจจับวัตถุหรือคนจากการสะท้อนคลื่นความถี่วิทยุ ในกรณีที่ตรวจพบการหกล้มหรือการลงไปนอนกับพื้น อุปกรณ์จะประมวลผลก่อนส่งสัญญาณผ่านระบบไร้สายเพื่อแจ้งเตือนไปยังแอปพลิเคชันปลายทางที่ติดตั้งในโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้งาน ซึ่งผู้ใช้งานสามารถกดปุ่มเรียกหรือส่งเสียงไปยังผู้ที่หกล้มได้ทันที เหมาะสำหรับกรณีที่มีผู้สูงอายุพักอาศัยอยู่ในบ้าน อุปกรณ์สามารถติดตั้งใช้งานได้ทุกที่ที่มีสัญญาณ WiFi โดยเฉพาะเหมาะติดตั้งในห้องน้ำที่ผู้สูงอายุมักเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้มบ่อยครั้ง   พบกับ Gunther Bath และทีมนักวิจัยผู้พัฒนาได้ในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 หรือ NAC2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม 2566 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac  
คลิปสั้นทันเหตุการณ์