หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
นาโนเทค สวทช. เปลี่ยนวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็น “ถ่านชีวภาพ” ทดแทนถ่านหิน ลดต้นตอ PM2.5 ตอบ BCG เพื่อความยั่งยืน
For English-version news, please visit : BioCoal from agricultural waste วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่มีจำนวนมาก และยังหาทางใช้ประโยชน์ได้ไม่หมด กลายเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่ นักวิจัยนาโนเทค สวทช. นำมาต่อยอดเป็น “ถ่านชีวภาพ (BioCoal)” เชื้อเพลิงชีวภาพ ทางเลือก-ทางรอดสำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลและอุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านหิน ด้วยประสิทธิภาพเทียบเคียงถ่านหิน แต่หาได้ง่ายกว่า ที่สำคัญ ยังช่วยลดของเหลือใช้ทางการเกษตร ลดเลี่ยงการกำจัดทิ้งด้วยการเผาที่อาจก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 รวมถึงเป็นช่องทางสร้างงาน สร้างรายได้ ตอบโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อความยั่งยืนทางพลังงานของไทย ดร. สัญชัย คูบูรณ์ ทีมวิจัยตัวเร่งปฏิกิริยา กลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยาและการคำนวณระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า โรงไฟฟ้าชีวมวลมักประสบปัญหาจากการใช้ชีวมวลเป็นเชื้อเพลิงโดยตรงในการผลิตกระแสไฟฟ้า เช่น ชีวมวลมีค่าความชื้นสูง ค่าความร้อนต่ำ ประสิทธิภาพการเผาไหม้ต่ำ เกิดการเสื่อมสภาพระหว่างการจัดเก็บจากการย่อยสลายของจุลินทรีย์ การเก็บรวบรวมและการขนส่งมีต้นทุนสูง ตลอดจนวัตถุดิบมีไม่เพียงพอตลอดทั้งปี เป็นต้น “เราต้องการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากชีวมวลที่มีในประเทศให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุด รวมถึงอยากที่จะพัฒนาเชื้อเพลิงที่สามารถใช้ทดแทนถ่านหินที่กำลังจะถูกจำกัดการใช้งานในอนาคตอันใกล้ จึงมองว่า การพัฒนาถ่านชีวภาพ จะเข้ามาตอบความต้องการ ลดข้อจำกัดของผู้ใช้ชีวมวลในปัจจุบัน” ดร. สัญชัยชี้ “ถ่านชีวภาพ” หรือ “BioCoal” คือ เชื้อเพลิงแข็งชีวภาพ ที่มีสมบัติต่างๆ ใกล้เคียงกับถ่านหิน ผลิตโดยกระบวนการที่เรียกว่า ทอร์รีแฟคชัน (Torrefaction) ซึ่งเป็นการปรับปรุงคุณภาพและเปลี่ยนรูปชีวมวลผ่านกระบวนการทางเคมีความร้อน โดยให้ความร้อนแก่ชีวมวลในสภาวะไร้ออกซิเจนหรือจำกัดออกซิเจน (อากาศ) ในช่วงอุณหภูมิ 200-300 องศาเซลเซียส ถ่านชีวภาพสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วม (Co-firing) หรือทดแทน (Replacement) เชื้อเพลิงชีวมวลและถ่านหินสำหรับการผลิตกระแสไฟฟ้าหรือความร้อนได้ ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. นำของเหลือใช้ทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นใบอ้อย ใบข้าวโพด เหง้ามันสำปะหลัง ทะลายปาล์ม ไม้โตไวตระกูลกระถิน เปลือกไม้ยูคาลิบตัส เป็นต้น มาพัฒนาโดยมีการหาสภาวะที่เหมาะสมของกระบวนการทอร์รีแฟคชันในการผลิตถ่านชีวภาพจากชีวมวลแต่ละชนิด และวิเคราะห์ทดสอบสมบัติของถ่านชีวภาพที่ผลิตได้ รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีระบบผลิตถ่านชีวภาพที่สามารถต่อยอดสู่การใช้งานจริงในระดับอุตสาหกรรม ดร. สัญชัยเผยว่า ถ่านชีวภาพที่พัฒนาขึ้นมานั้น มีค่าความร้อนขั้นต่ำ 18-24 MJ/kg ความหนาแน่น 0.65-0.75 kg/l และความชื้น 1-5 wt% เมื่อเทียบคุณสมบัติถ่านชีวภาพกับสินค้าคู่แข่ง เช่น ชีวมวล ไม้สับ (Wood chips) และเชื้อเพลิงไม้อัดแท่ง (Wood pellets) ถ่านชีวภาพจะมีค่าความร้อนสูงกว่า ในขณะที่ความชื้นของถ่านชีวภาพต่ำกว่า และสามารถจัดเก็บได้นานกว่า นั่นหมายถึง ถ่านชีวภาพมีคุณสมบัติที่สำคัญดีกว่า ชีวมวล ไม้สับ และเชื้อเพลิงไม้อัดแท่ง อีกทั้งถ่านชีวภาพยังสามารถใช้แทนถ่านหินได้ เนื่องจากถ่านชีวภาพมีค่าความร้อนสูงใกล้เคียงกับถ่านหิน “ถ่านชีวภาพนี้ มีโอกาสทางการตลาดที่น่าสนใจ ด้วยสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงสะอาดเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าหรือความร้อน เช่นใน โรงไฟฟ้าชีวมวล โรงไฟฟ้าถ่านหิน หรืออุตสาหกรรมอื่นๆที่ใช้ความร้อนในกระบวนการผลิต ซึ่งมีความต้องการทางการตลาดสูงในประเทศไทย” นักวิจัยนาโนเทคกล่าว ในขณะเดียวกัน ก็ยังตอบโจทย์เชิงสังคมและสิ่งแวดล้อม การใช้ถ่านชีวภาพสามารถส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตเชื้อเพลิงถ่านชีวภาพขึ้นในประเทศไทย ทำให้เกิดการลงทุน และการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เกษตรกรนำชีวมวลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการเผาชีวมวลทิ้งในที่โล่งแจ้ง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฝุ่น PM2.5 อีกทั้ง การใช้ถ่านชีวภาพทดแทนถ่านหินยังสามารถลดปัญหาการเกิดสภาวะโลกร้อนและมลพิษทางอากาศได้อีกด้วย “งานวิจัยพัฒนากระบวนการผลิตถ่านชีวภาพ สอดคล้องกับแนวทางของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้านการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากชีวมวลเหลือทิ้งทางการเกษตรให้มากที่สุด เพื่อนำมาเป็นพลังงานหมุนเวียนในการผลิตกระแสไฟฟ้าและความร้อน สามารถลดปัญหาการเกิดสภาวะโลกร้อน และสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ” ดร. สัญชัยกล่าว พร้อมชี้ว่า สำหรับการวิจัยต่อยอด ทีมวิจัยต้องการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตถ่านชีวภาพที่มีกำลังการผลิตสูงให้สามารถใช้งานได้จริงในเชิงพาณิชย์ ควบคู่กับการพัฒนาฐานข้อมูลเชื้อเพลิงถ่านชีวภาพจากชีวมวลที่มีศักยภาพในประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในระดับอุตสาหกรรม นวัตกรรมถ่านชีวภาพนี้ ถูกนำเสนอและร่วมจัดแสดงในงาน NanoThailand 2023 หรือการประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติทางนาโนเทคโนโลยี ครั้งที่ 8 ที่นาโนเทค สวทช. ร่วมกับสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) จัดขึ้นภายใต้กรอบแนวคิด "Nanotechnology for Sustainable World" ระหว่างวันที่ 29 พ.ย. -1 ธันวาคม 2566 ณ โรงแรมดุสิตธานี พัทยา โดยได้รับความสนใจและขยายความร่วมมือกับพันธมิตรที่เข้าร่วมงาน โดยเฉพาะเกาหลีและญี่ปุ่น   ข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ สาลินีย์ ทับพิลา (กบ) งานประชาสัมพันธ์ นาโนเทค สวทช. 0869726966
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“ศุภมาส” ลงพื้นที่ตรวจราชการ พร้อมเยี่ยมชมโครงการนำร่องใช้ BCG ขับเคลื่อนชุมชนฐานการผลิตข้าวเหนียว BCG-NAGA Belt Road เน้นพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
วันที่ 3 ธันวาคม 2566มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี : นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ลงพื้นที่ตรวจราชการในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2566 หรือ ครม.สัญจร ณ พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และอุดรธานี) โดยมี พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษา รมว.อว. นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. รศ.ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ ประธานคณะที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ และบอร์ด กวทช. ศาสตราจารย์ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานคณะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และกิจการพิเศษ รอว. และบอร์ด กวทช. ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะผู้บริหารจากกระทรวง อว. ร่วมให้การต้อนรับ โอกาสนี้ รัฐมนตรี อว. ได้เยี่ยมชมผลงานของ สวทช. ในด้านการแก้ไขความยากจนลดความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่ (Area-Based & Community) แบบครบห่วงโซ่ โดยใช้ BCG economy model เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ภายใต้โครงการนำร่อง “การใช้ BCG Model ขับเคลื่อนชุมชนฐานการผลิตข้าวเหนียวให้มีการสร้างมูลค่าเพิ่มแบบครบวงจร โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่อิงกับวัฒนธรรมพื้นถิ่น: BCG NAGA belt road” โดยมี ดร. วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. พร้อมด้วย ดร.อรรจนา ด้วงเเพง อาจารย์คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ทีมนักวิจัยจากไบโอเทค สวทช. และกลุ่มเกษตรกรในโครงการร่วมนำเสนอผลงาน BCG สาขาเกษตร ได้ผลักดันการดำเนินงานร่วมกันระหว่างไบโอเทค สวทช. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท เกษตรอินโน จำกัด และหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินโครงการยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง BCG-NAGA Belt Road บีซีจี นาคาเบลต์โรด พัฒนาโมเดลการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่แบบ 4 P (ภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และสถาบันการศึกษาในพื้นที่) ที่มีการบูรณากันในทุกภาคส่วนของจังหวัด ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยกิจกรรมการผลิตนั้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงการแปรรูปอุตสาหกรรมระดับจังหวัดโดยใช้ข้าวเหนียว และ เศษเหลือจากการผลิตข้าวในไร่นา มาผนวกกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์และวัฒนธรรมพื้นถิ่น ให้เกิดสินค้าที่มีมูลค่า มีอัตลักษณ์ ผลักดันให้เกิด soft power ระดับจังหวัด รวมทั้งเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวบนฐานวัฒนธรรมข้าวเหนียว ใน 4 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงราย ลำปาง อุดรธานี และ นครพนม ผ่านการดำเนินงานภายใต้ 4 แผนงานหลัก คือ 1) มุ่งพัฒนาทักษะเกษตรกรและถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม 2) มุ่งยกระดับผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวเหนียวและเพิ่มมูลค่าจากวัสดุเหลือทิ้ง 3) มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียว และ 4) มุ่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับการผลิตและรายได้ ทั้งนี้ จังหวัดอุดรธานี คือหนึ่งในจังหวัดนำร่อง ได้พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรม ได้แก่ 1) วิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวเกษตรเชิงนิเวศอ่างน้ำพาน และ 2) วิสาหกิจชุมชนโฮม สเตย์เชิงอนุรักษ์บ้านเชียงแหว ที่ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและพัฒนาตลาดวัฒนธรรมข้าวเหนียวสู่การยกระดับเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
SMC เผยความสำเร็จในการผลักดันอุตสาหกรรมไทยก้าวสู่ 4.0 พร้อมเผยผลการสำรวจระดับความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศไทยปี 2566 ในกิจกรรมเปิดบ้าน SMC Open house 2023
For English-version news, please visit : SMC Open House 2023 highlights performance and outlook for Sustainable Manufacturing Center 1 ธันวาคม 2566 ณ สำนักงานใหญ่ EECi จังหวัดระยอง: ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน หรือ Sustainable Manufacturing Center (SMC) ภายใต้เมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติหุ่นยนต์และ- อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (ARIPOLIS) ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) หน่วยงานภายใต้สังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ พันธมิตรภาคอุตสาหกรรม จัดกิจกรรม เปิดบ้านศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน: SMC OPEN HOUSE 2023 ภายใต้แนวคิด “การผลิตแบบยั่งยืน เส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่โลกสีเขียว” ครั้งแรกของการรายงานผลสำรวจ ระดับความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 ของไทย ปี 2566 พร้อมอัปเดตผลงาน ความก้าวหน้าการดำเนินงาน และบริการที่ผ่านมา รวมทั้ง แผนงาน/กิจกรรม ที่จะเกิดขึ้นในปี 2567 ของ SMC ซึ่งภายในงานมี การบรรยายพิเศษจากตัวอย่างความสำเร็จในปรับตัวสู่ Industry 4.0 จากภาคเอกชน ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวต้อนรับผู้ร่วมงาน ผู้ประกอบการ โรงงานอุตสาหกรรม การจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการขับเคลื่อนงานวิจัยเพื่อภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) กล่าวว่า เป้าหมายหลักของศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน ต้องการผลักดันอุตสาหกรรมไทยก้าวเข้าสู่ Industry 4.0 โดยส่งเสริมและพัฒนาให้กลุ่มผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมสามารถนําเทคโนโลยีสารสนเทศ และนวัตกรรมมาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตของโรงงาน ในปีนี้ การเปิดบ้านศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน: SMC Open House 2023 ได้จัดงาน “ภายใต้แนวคิด “การผลิตแบบยั่งยืน เส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่โลกสีเขียว” ในรูปแบบ Low-Carbon Emission Event ที่มุ่งลดปริมาณ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงจากระดับปัจจุบัน นับเป็นกิจกรรมแรกๆ ที่ผนึกกำลังของหน่วยงาน ร่วมกับพันธมิตรอุตสาหกรรมเพื่อสร้างแนวทางและตัวอย่างในการจัดงานที่ยั่งยืน การดำเนินงานในปี 2566 ของ SMC มีจำนวนโรงงาน ผู้ประกอบการ ที่ได้รับถ่ายทอดเพื่อยกระดับ อุตสาหกรรมให้ใช้เทคโนโลยี ARI (Automation Robotic and Intelligent System) นำไปใช้สะสมจำนวน 178 หน่วยงาน โดยผ่านบริการด้านต่างๆ ของศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน เช่น การที่ได้รับบริการประเมินความ พร้อมโรงงานด้วย Thailand i4 index การให้คำปรึกษา เพื่อขอรับการสนับสนุนด้าน สิทธิประโยชน์ BOI และบริการให้คำปรึกษาเชิงเทคนิคของ SMC จำนวนทั้งสิ้น 153 ราย การให้บริการฝึกอบรมถ่ายทอด เทคโนโลยีเพื่อยกระดับความพร้อมฯ ของ SMC จำนวนรวม 1,479 คน อีกทั้งสร้างผลกระทบทางสังคมและ การหมุนทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่า เกิด Impact 5,262.24 ล้านบาท ผลักดันให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรม มากกว่า 120 ล้านบาท สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานใน ปี 2567 SMC มุ่งเป้าการพัฒนาอย่างยั่งยืน และยืดหยุ่น มุ่งสู่ Industry 5.0 ผ่านกลไก 3-4-5 อันได้แก่ 3 มิติของการพัฒนาสู่ความยั่งยืน  มุ่งเป้าความยั่งยืนทางสังคม เศรษฐกิจ ควบคู่การดูแลสิ่งแวดล้อม 4 หัวข้อหลักในการวิจัยพัฒนาและให้บริการ  ประกอบด้วย 1) การวัดระดับความพร้อมของอุตสาหกรรมตามแนวทาง Thailand i4.0 Index ซึ่งปีนี้จะเพิ่มเครื่องมือให้โรงงานประเมินตนเองเบื้องต้นได้   2) การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในโรงงาน SMC จะเปิดบริการเครื่องมือช่วยพัฒนา Edge IoT และ Machine Learning โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรม รวมถึงเริ่มนำ ChatGPT สัญชาติไทยมาให้บริการร่วมกับหุ่นยนต์บริการ   3) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก SMC พร้อมให้บริการศูนย์ทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้าแห่งเดียวในประเทศที่สามารถทดสอบมอเตอร์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดสูงสุด 380 kW ได้ตามมาตรฐานนานาชาติ เช่น ISO-21782 และ UNECE-R85 และร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับใช้เป็นระบบคำนวณและทวนสอบ เพื่อให้สามารถรองรับภายใต้ข้อกำหนดของมาตรการการปรับภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) และ 4) การพัฒนายกระดับศักยภาพของบุคลากรในภาคการผลิต ผ่านโครงการ SMC Academy และ EEC Model Type B 5 สิทธิประโยชน์สุดพิเศษ ที่เตรียมให้กับสมาชิก SMC ในปี 2567 ประกอบด้วย 1) รับการประเมิน Thailand i4.0 Index ฟรีโดยผู้เชี่ยวชาญของ SMC 2) การใช้งานเครือข่าย 5G Private Network, AIS Paragon Platform และ AIS 5G Manufacturing Platform สนับสนุนโดย AIS 3) เครื่องมือสร้างอุปกรณ์ AIoT Edge Computing พร้อมที่ปรึกษาการพัฒนาและติดตั้ง สนับสนุนโดย Smart Sense 4) เครื่องมือ IoT ตรวจวัดและวิเคราะห์ข้อมูลพลังงานเชิงลึก สนับสนุนโดย INET และ 5) การประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเบื้องต้นของโรงงาน สนับสนุนโดย บีไอจี ดร. รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 เผยผลการสำรวจ ระดับความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศไทยประจำปี 2566 ด้วยดัชนี้ชี้วัด Thailand i4.0 Index โดยสำรวจบริษัทในภาคการผลิตจำนวน 150 บริษัท พบว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมของประเทศอยู่ในระดับ 2.8 (เต็ม 6) โดยการสำรวจเน้นใน 3 อุตสาหกรรมหลักของประเทศคือ ยานยนต์และชิ้นส่วน (53 ราย ค่าเฉลี่ย 2.71) อาหารและเครื่องดื่ม (39 ราย ค่าเฉลี่ย 2.77) ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (21 ราย ค่าเฉลี่ย 2.83) และ ที่เหลือเป็นอุตสาหกรรมอื่นๆ ในมิติของขนาดกิจการ ผู้ประกอบการขนาดเล็กมีค่าเฉลี่ยระดับอุตสาหกรรมอยู่ที่ 2.38 ผู้ประกอบการขนาดกลางมีค่าเฉลี่ยระดับอุตสาหกรรมอยู่ที่ 2.45 ผู้ประกอบการขนาดใหญ่มีค่าเฉลี่ยระดับ อุตสาหกรรมอยู่ที่ 3.07 การตรวจวัดระดับนี้นอกจากจะช่วยให้ผู้ประกอบการทราบสถานะปัจจุบันของตนแล้ว ยังทำให้ทราบว่า ตนอยู่ห่างจากค่าเฉลี่ยหรือผู้นำในอุตสาหกรรมเดียวกันอยู่เพียงใด อีกทั้งยังช่วยแนะนำจุด ที่ควรเริ่มต้นปรับปรุง เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุน ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) ออกมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยใช้ผลการประเมิน Thailand i4.0 Index เป็นเกณฑ์การพิจารณา ผู้ประกอบการสามารถนำเงินลงทุน 100% ไปหักจากภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นเวลา 3 ปี ดร. รวีภัทร์ กล่าวต่อว่า สำหรับบันได 4 ขั้น ก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ขั้นแรกคือ การประเมินความพร้อมด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ที่ www.nstda.or.th/i4platform/checkup เพื่อให้ทราบว่าเบื้องต้นอุตสาหกรรมของตนอยู่ในระดับใด ขั้นที่สอง คือการประเมินความพร้อมในการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมรับคำแนะนำในการยกระดับโรงงาน โดยผู้ประกอบการและพนักงานอาจเข้ารับการอบรมเพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้และทักษะด้านอุตสาหกรรม 4.0 ด้วย ขั้นที่สาม คือการรับคำแนะนำในการยกระดับอุตสาหกรรมทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ และอาจนำแผนงานมาทดสอบจำลองสถานการณ์ (Simulation) ด้วย Testbed อาทิ เครื่องจักร สายการผลิต และระบบดิจิทัลที่มีให้บริการ ก่อนลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และกระบวนการผลิตภายในโรงงานจริง เพื่อลดการสูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย  และขั้นสุดท้ายคือการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม นำไปสู่การเพิ่มความยืดหยุ่นในกระบวนการผลิต ลดต้นทุน ลดข้อเสีย และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ ได้เปิดระบบให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าทำการประเมิน Thailand i4.0 Index ได้ด้วยตนเองได้แล้ววันนี้ ผ่านเว็บไซต์ www.nstda.or.th/i4platform และเข้าไปยัง i4.0 Checkup ซึ่งเป็นระบบ Online Self-Assessment โดยผู้ประกอบการสามารถป้อนข้อมูลและรับผลการประเมิน ได้ทันที ส่วนผู้ประกอบการที่ต้องการรับการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญภายนอก สามารถสมัครเป็นสมาชิกของศูนย์ SMC เพื่อรับการประเมินได้ฟรี   ข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน ศููนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน หรือ Sustainable Manufacturing Center (SMC) อยู่ภายใต้การดูแล ของศูนย์เทคโนโลยี- อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ภายในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ตั้งอยู่ในพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จังหวัดระยอง มุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต ผู้พัฒนาระบบ นวัตกร นักวิจัยตลอดจนนักศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้อง สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ผ่านกิจกรรมต่างๆ ทั้งในรูปแบบการสาธิต การเรียนรู้และการทดลองปฏิบัติจริง รวมไปถึงกิจกรรมวิจัย เพื่อการสร้างนวัตกรรม SMC ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการ พัฒนาศักยภาพทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย เพื่อมุ่งไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) และส่งแรงขับเคลื่อนถึงการ เป็นประเทศเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม (Thailand 4.0) ตั้งขึ้นตามมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ช่องทางการติดต่อ                                                        Web https://www.nectec.or.th/smc Facebook smcci Line @smceeci Email             smc-business@nectec.or.th   ข้อมูลโดย : งานประชาสัมพันธ์ เนคเทค สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ปฐมนิเทศ 34 นักเรียนทุนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2566 เตรียมความพร้อมก่อนไปศึกษาต่อ ป.โท-เอก ต่างประเทศ
(วันที่ 30 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2566) ณ ห้อง BW ชั้น 6 โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น จตุจักร : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายนักเรียนทุนรัฐบาลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงานสัมมนาและปฐมนิเทศนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2566 ประเภททุนบุคคลทั่วไประดับปริญญา ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานเปิดงาน พร้อมกล่าวแสดงความยินดีว่า ในปีนี้มีผู้ที่ได้รับทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเภททุนบุคคลทั่วไประดับปริญญา มีโอกาสได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท-เอก ในต่างประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 34 คน ผู้ที่ได้รับทุนจะต้องใช้เวลาศึกษาในต่างประเทศเป็นเวลา 5-6 ปี การจัดสัมมนาและปฐมนิเทศครั้งนี้เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเดินทาง มีวิทยากรมาช่วยแนะนำเรื่องการเรียน , ระเบียบข้อควรปฏิบัติ, การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น , ทักษะในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ ตลอดจนเป็นกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักเรียนทุน ฝ่ายนักเรียนทุน สวทช. และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ซึ่งจะช่วยดูแลติดตามและให้คำปรึกษาแก่นักเรียนทุนในระหว่างที่ศึกษาในต่างประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จนกระทั่งเรียนจบและกลับมาปฏิบัติงานเพื่อชดใช้ทุนต่อไป “ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนทุนที่ได้รับโอกาสดีครั้งนี้ พร้อมขอให้นักเรียนทุนทุกคนมีความสุขกับการเรียน เก็บเกี่ยวประสบการณ์การเรียน การทำงานวิจัย การบริหารการวิจัย การสร้างเครือข่ายงานวิจัย และการใช้ชีวิตในต่างประเทศ เพื่อนำความรู้และประสบการณ์กลับมาประยุกต์ใช้ในการทำงานและพัฒนาประเทศชาติต่อไป” ดร.พัชร์ลิตา กล่าว สำหรับการปฐมนิเทศครั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจของนักเรียนทุนก่อนเดินทางไปศึกษา ฝ่ายนักเรียนทุนฯ ได้เชิญ ผศ.ดร.ศุภาพิชญ์ มณีสาคร โฟน โบร์แมนน์ รองคณบดีสำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา มาบรรยายในหัวข้อ “ชีวิตสดใส ปรับตัวอย่างไรเมื่ออยู่ต่างแดน”   นอกจากนี้ยังมีการเสวนาเพื่อให้คำแนะนำและเล่าประสบการณ์การเรียนและการใช้ชีวิตต่างแดนโดยนักเรียนทุนรุ่นพี่ที่สำเร็จการศึกษาจากประเทศต่างๆ ประกอบด้วย ดร.รอยต่อ เจริญสินโอฬาร นักเรียนทุนรุ่นพี่จากสหรัฐอเมริกา , ดร.สุวิจักขณ์ เดียวอิศเรศ นักเรียนทุนรุ่นพี่จากสหราชอาณาจักร , ดร.วรัญญา อุสมา นักเรียนทุนรุ่นพี่จากญี่ปุ่น , ดร.วศิน ผลชีวิน นักเรียนทุนรุ่นพี่จากเนเธอร์แลนด์ และ ดร.ศิรินทรา แว่วศรี นักเรียนทุนรุ่นพี่จากออสเตรเลีย  โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.อนรรฆ ขันธะชวนะ อดีตนักเรียนทุนฯ เป็นผู้ดำเนินการเสวนา   ทั้งนี้ โครงการนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ประกอบด้วยทุน 3 ประเภท ได้แก่ ทุนบุคคลทั่วไประดับปริญญา , ทุนบุคคลทั่วไประดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้ไปศึกษาตรี-โท-เอก ในต่างประเทศ และทุนพัฒนาบุคลากรภาครัฐ ศึกษาวิชาต่างประเทศ และศึกษาวิชาในประเทศ จนถึงปัจจุบันมีผู้ได้รับทุนรวมทั้งสิ้นจำนวน 5,434 คน (ทุนต่างประเทศ 5,055 คน , ทุนในประเทศ 379 คน) สำเร็จการศึกษาแล้วจำนวน 4,076 คน (ทุนต่างประเทศ 3,790 คน , ทุนในประเทศ 286 คน) ผู้สำเร็จการศึกษาได้เข้าทำงานในมหาวิทยาลัย และหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมทั้งหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
MagikFresh สวนนันทนาการอากาศสะอาด! นวัตกรรมสู้ฝุ่น PM2.5
สวทช. ร่วมกับ กทม. เปิดตัว ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่ “MagikFresh” เป็นนวัตกรรมบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ให้กับประชาชน ตั้งอยู่ในพื้นที่ อุทยานสวนจตุจักร กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาพักผ่อน หรือทำกิจกรรมนันทนาการ พร้อมสูดรับอากาศที่สะอาดปลอดภัย ในช่วงที่อากาศภายนอกมีฝุ่น PM2.5 โดยเปิดให้ประชาชนเข้ามาใช้บริการตั้งแต่วันนี้ ถึงพฤษภาคม 2567 เวลา 06.00 - 21.30 น.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. รับมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ในฐานะหน่วยงานที่มีส่วนสําคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนระบบนิเวศสตาร์ตอัป
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน 2566 ณ GrandHall ชั้น 3 อาคาร True Digital Park West : สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย โดย นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ รองประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยและประธานคณะกรรมการพันธกิจด้าน Startups ประธานในพิธี ได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมี ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นผู้รับมอบรางวัล ในฐานะเป็นหน่วยงานที่มีส่วนสําคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนระบบนิเวศสตาร์ตอัปเป็นอย่างยิ่งรวมถึงการให้ความร่วมมือกับสภาดิจิทัล ฯ ในการผลักดันนโยบายและร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่สตาร์ตอัป DCT Startup Connect มีวัตถุประสงค์การดำเนินงานที่สำคัญ คือ เพื่อสนับสนุนสตาร์ตอัป โดยความร่วมมือกันของพันธมิตรในระบบนิเวศ อันเป็นการส่งเสริมโอกาสสำหรับ Startup และภาคธุรกิจพันธมิตรในระบบนิเวศ ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ปรึกษา รับคำแนะนำ นำไปสู่การสร้างรายได้และโอกาสทางธุรกิจ ยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยก้าวไกลสู่สากล ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจยุทธศาสตร์ที่สำคัญของสภาดิจิทัลฯ นั่นคือ การขับเคลื่อนและส่งเสริม Startup ไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในในระดับโลก โดยการปลดล๊อกนโยบายส่งเสริมการลงทุน ตลอดจนสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการพัฒนาสินค้าและบริการ เงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจ การวิจัย พัฒนานวัตกรรมสำหรับ Startup
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นักวิจัย สวทช. รับรางวัล IEEE PES Women In Power Award 2023
(วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566) ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ : นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) เข้ารับรางวัล IEEE PES Outstanding Engineer Award 2023 จากสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) ในโอกาสนี้ ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ศล.) ENTEC สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้ารับรางวัล IEEE PES Women In Power Award 2023 ด้วย โดยทั้ง 2 ท่านเข้ารับรางวัลจาก นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในงาน IEEE PES Dinner Talk 2023 ซึ่งเป็นพิธีมอบรางวัลให้แก่วิศวกรและผู้ที่มีผลงานโดดเด่น น่ายกย่อง IEEE PES – Thailand และสมาคมสถาบันวิศวกรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์แห่งประเทศไทย (IEEE Thailand Section) ได้ร่วมจัดงาน IEEE PES DinnerTalk มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลรวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านนโยบายและทิศทางการพัฒนาด้านพลังงานและอุตสาหกรรมไฟฟ้าไทยซึ่งส่งผลต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของประเทศ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นาโนเทค สวทช. จับมือสมาคมนาโนฯ – VISTEC เปิดงาน NanoThailand 2023
เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่กับงานประชุมวิชาการด้านนาโนเทคโนโลยีระดับสากลอย่าง การประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติทางนาโนเทคโนโลยี ครั้งที่ 8 (NanoThailand 2023) ที่ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) จัดขึ้น ภายใต้กรอบแนวคิด "Nanotechnology for Sustainable World" โดยได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดการประชุม หวังสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านนาโนเทคโนโลยีระดับสากล ยกระดับงานวิจัยและนวัตกรรมนาโนตอบโจทย์โลกเพื่อความยั่งยืน ดร. ภาวดี อังค์วัฒนะ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า การประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติทางนาโนเทคโนโลยี (NanoThailand) ในปี 2023 นี้นับเป็นครั้งที่ 8 โดยจัดขึ้นภายใต้กรอบแนวคิด "Nanotechnology for Sustainable World" ที่มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานกว่า 350 คน โดยมีผู้ร่วมงานชาวต่างชาติ 100 คนจาก 20 ประเทศทั่วโลก ซึ่งตอบวัตถุประสงค์ของสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ด้วยเป็นกิจกรรมที่ตอบโจทย์ในด้านการแลกเปลี่ยนและเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ ผลงานวิจัย รวมทั้งการนำความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยีไปประยุกต์จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และนำไปสู่การสร้างความร่วมมือการวิจัยกับทั้งภายในและภายนอกประเทศ นาโนเทค สวทช. เป็นองค์กรวิจัยแห่งความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี  ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการวางรากฐานเพื่อขยายผลการพัฒนานาโนเทคโนโลยี สร้างความเข้มแข็งทางวิชาการที่เกิดจากการวิจัยและพัฒนา ความสามารถในการนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์เพื่อสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนภายในประเทศ เวที NanoThailand นี้ก็จะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญ ขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางด้านนาโนเทคโนโลยีของไทยและของโลกไปทั้งองคาพยพ นายพอ บุณยรัตพันธุ์ อุปนายก สมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานอิสระที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง ในการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการจากองค์กรภาครัฐ ตลอดจนมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้ไปสู่ภาคอุตสาหกรรมทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งการเป็นศูนย์กลางประสานงาน แก้ปัญหาและพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ เชื่อมโยงของภาควิชาการและภาคอุตสาหกรรม ในวงการนาโนเทคโนโลยีของประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม และกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจให้กับสังคมและประชาชนในประเทศ ซึ่งงาน NanoThailand ก็เป็นอีกหนึ่งเวทีที่จะช่วยส่งเสริมและสร้างความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงพัฒนาด้านนาโนเทคโนโลยีร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรจากทั่วโลก โดยในงาน NanoThailand 2023 นี้ ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรกิตติมศักดิ์ ซึ่งเป็นนักวิจัยในระดับแนวหน้าของโลก 2 ท่าน คือ Prof. Susumu Kitagawa จากสถาบัน Institute for Integrated Cell-Material Sciences (iCeMS), Kyoto University, Japan เป็นผู้บุกเบิกเคมีเชิงฟังก์ชันของ MOF และค้นพบ MOF ที่มีสมบัติยืดหยุ่น ซึ่งมีสมบัติแตกต่างไปจากวัสดุที่มีรูพรุนทั่วไป ที่จะมาบรรยายในหัวข้อเรื่อง “Chemistry and Application of Soft Porous Crystals from MOFs/PCPs” และ Prof. Cees Dekker จากสถาบัน Kavli Institute of Nanoscience, Delft University of Technology, Netherlands ผู้เชี่ยวชาญด้านนาโนพอร์ (nanopore) เป็นผู้ค้นพบสมบัติทางอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ ๆ ของท่อนาโนคาร์บอน จะมาบรรยายในหัวข้อเรื่อง “Employing Nanotechnology for Single-molecule Biology: From Nanopore Protein Sequencing to Chromosome Organization” นับเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความก้าวหน้าด้านนาโนเทคโนโลยีของโลก ศ. ดร. จำรัส ลิ้มตระกูล อธิการบดีเกียรติคุณ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) กล่าวว่า งาน NanoThailand 2023 นี้ นับเป็นความภูมิใจที่ VISTEC ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพ และนำเสนอความก้าวหน้าของงานวิจัยทางด้านนาโนเทคโนโลยีภายใต้แนวคิด “นาโนเทคโนโลยีเพื่อโลกอย่างยั่งยืน" โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ การนำนาโนเทคโนโลยีไปใช้ในหลายสาขาเพื่อสร้างสรรค์การพัฒนาที่ยั่งยืน งานประชุมนี้จะเป็นแนวทางในการแลกเปลี่ยนความรู้ทางเทคโนโลยี และการแบ่งปันความคืบหน้าล่าสุดในการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนต่อไป การประชุมวิชาการนานาชาติ NanoThailand 2023 ภายใต้แนวคิด “Nanotechnology for Sustainable World” ประกอบด้วย 13 หัวข้อดังนี้ (1) Nanoencapsulation and Functional Ingredients (2) Theory and Simulation for Nanosystems (3) Nanosafety & Standard (4) Nanomaterials and Nanotechnology for Electronic/Optoelectronic Devices and Sensors (5) Nanomedicine, Nanosensor and Nano-Biotechnology (6) Nanotechnology for Energy Storage and Management (7) Nanotechnology for Environment and Agriculture (8) Nanotechnology for Catalysis and Industrial Applications (9) Nanotechnology for Startups and Industrial Enterprises (10) Nanocharacterization & Instrumentation และมี Special session อีก 3 sessions ได้แก่ (11) Advanced Nanostructured Materials for a Global Circular Economy (12) Symposium on Bio-Based Chemicals & Fuels from Lignocellulose 2023 (Hub of Knowledge) และ (13) The 2nd Thailand Symposium on Nanopore technology นอกจากนี้ ในงานยังมีการนำเสนอผลงานวิจัยที่โดดเด่นทางด้านนาโนเทคโนโลยี จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ได้แก่ เทคโนโลยีนาโนเอ็นแคปซูเลชันและส่วนประกอบเชิงฟังก์ชัน, ชุดตรวจต่าง ๆ อาทิ  และเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน (Carbon Capture Utilization, CCU) รวมถึงมีผลงานนวัตกรรมที่พัฒนาจากงานวิจัยมาเป็นผลิตภัณฑ์ จากบริษัท CLEANTECH AND BEYOND CO., LTD ภายใต้การดูแลของบริษัท วิสอัพ จำกัด (VISUP) ที่จัดตั้งโดยสถาบันวิทยสิริเมธี และผลงาน BioVis ที่เป็นการเพิ่มทรัพย์จากขยะอินทรีย์ มาจัดแสดงในงาน นอกจากนี้ยังมีการนำเครื่องมืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์ จากบริษัทชั้นนำมาร่วมออกบูทจำนวน 12 บริษัท ดร. ภาวดีกล่าวทิ้งท้ายว่า เราคาดหวังให้งานนี้เป็นเวทีที่ผสานพลังของเครือข่ายพันธมิตรด้านนาโนเทคโนโลยีจากทั่วโลก ทั้งด้านวิจัยและด้านการศึกษา แลกเปลี่ยนและเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยี เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรโลก บูรณาการการทำงานร่วมกับพันธมิตรผ่าน Ecosystem หรือระบบนิเวศด้านนาโนเทคโนโลยีที่เข้มแข็ง อันเกิดจากความร่วมมือในเวทีโลกเช่นงาน NanoThailand นี้ และนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างกันในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางด้านนาโนเทคโนโลยีของโลก และของไทยเรา
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 9 ฉบับที่ 6 ประจำเดือนกันยายน 2566
ข่าว ก.ล.ต. – สวทช. หนุนผู้ประกอบการ BCG New S-curve และ SME ส่งเสริมกลไกการเข้าถึงแหล่งเงินทุน กสทช. จับมือ สวทช. ร่วมสร้างนวัตกรรมด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ที่ออกแบบสำหรับทุกคน และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สวทช. รับโล่ประกาศเกียรติคุณแบบอาคารอนุรักษ์พลังงาน ประจำปี ๒๕๖๕ วช.-สวทช. เปิดตัว ๖ นักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี ๒๕๖๕-๒๕๖๖ รับทุนส่งเสริมผลงานตอบโจทย์และขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าการดำเนินงานเมืองนวัตกรรม EECi ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานด้าน วทน. ระดับประเทศ เร่งดึงดูดการลงทุนต่างชาติ สวทช.ร่วมกับกลุ่มความร่วมมือวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย (CREATe Asia) ลงนามบันทึกข้อตกลง The CREATe Asia Agreement 2023 JAXA ประกาศเลือก ๓ ไอเดียเยาวชนไทย เตรียมทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่องวิศวกรรมพื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกครั้งที่ ๑๖ (i-CREATe2023) สวทช. – แจ็กซา ส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ ให้หน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษา ๒๒ แห่ง พร้อมปลูกทั่วไทย สร้างเป็นแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์ A-MED Care Pharma แก้วิกฤติโรงพยาบาลแออัด หนุน สภาเภสัชฯ-สปสช. ดูแลผู้ป่วยสิทธิบัตรทองเจ็บป่วยเล็กน้อย รับยาที่ ‘ร้านยาคุณภาพ’ ผู้อำนวยการ สวทช. แสดงความยินดี ๒ นักวิจัย สวทช. ในโอกาสเข้ารับพระราชทาน โล่รางวัลกลุ่มนักเทคโนโลยีดีเด่นและรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ ประจำปี ๒๕๖๕ สวทช. เปิดตัว Industry 4.0 Platform: แพลตฟอร์มยกระดับสู่อุตสาหกรรม ๔.๐ ด้วยดิจิทัล เสริมศักยภาพผู้ประกอบการแบบครบวงจร คณะวิศวะ จุฬาฯ จับมือเอ็มเทค สวทช. และ อพวช. เป็นเจ้าภาพจัด “การแข่งขันออกแบบและสร้างหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ IDC RoBoCon 2023” ไบโอเทค-สวทช. ปฏิวัติวงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนด้วย “อควาเจด” นวัตกรรมสาหร่ายสีเขียวเซลล์เดียวต้านโรคไวรัสเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ สวทช. จัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตร ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๖ พร้อมร่วมแสดงความยินดีแก่ผู้สำเร็จการศึกษาโครงการ TAIST-Tokyo Tech สวทช. ผนึกกำลัง บ.สยามคูโบต้าฯ ยกระดับเกษตรไทยด้วยเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ ดีเอสไอ ขยายความร่วมมือ สวทช. ด้านการวิจัยพัฒนานวัตกรรม ยกระดับงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ ครั้งแรก CAE มอบรางวัล CE Awards สวทช. คว้า ๒ รางวัล Traffy Fondue และโครงการ Agri-Map ผลงานเด่นด้านการแก้ประเด็นทางสังคม (Creative Social Impact Awards) สวทช. มอบใบรับรองระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้กับ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ใช้สิทธิยกเว้นภาษีได้ด้วยตนเอง (Self-Declaration) เดินหน้ารุกแผน AI แห่งชาติ เผยผล ๑ ปีการดำเนินงาน พร้อมปักธงโปรเจกต์ใหญ่ พัฒนาข้อมูล AI หนุนการแพทย์ สวทช. ทูลเกล้าฯ ถวายโปรแกรมประเมินภาวะโภชนาการ KidDiary เพื่อใช้ในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริฯ “พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ” องคมนตรี เปิดการสัมมนาวิชาการอุดมศึกษา ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ BCG  สร้างคน สร้างต้นแบบพัฒนาเศรษฐกิจคู่คุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน สวทช. ร่วมกับเครือข่าย STEM จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมทักษะ STEM แก่ครูระดับประถมศึกษา    Download เอกสารฉบับเต็ม (13.7 MB)
จดหมายข่าว สวทช.
 
มหาวิทยาลัยมหิดล จับมือ สวทช. ร่วมกันพัฒนาระบบบริหารจัดการเผยแพร่ฐานข้อมูลพืช-ทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืน
(วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566) ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารใบไม้สามใบ อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา:  มหาวิทยาลัยมหิดล โดย โครงการจัดตั้งสถาบันอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand) หรือ NBT ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิจัยและพัฒนา เรื่อง “การพัฒนาระบบบริหารจัดการและเผยแพร่ฐานข้อมูลพืชและทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืน” โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล และ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ปฏิบัติการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ พัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลและการจัดเก็บทรัพยากรทางชีวภาพที่พบในอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ อาทิ ฐานข้อมูลออนไลน์ แพลตฟอร์มสารสนเทศสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเผยแพร่และเชื่อมโยงข้อมูลทรัพยากรชีวภาพระหว่างหน่วยงาน ในการศึกษา วิจัย และพัฒนานวัตกรรมด้านการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชและทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืน ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า NBT เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศที่สำคัญกำกับดูแลโดยไบโอเทค สวทช. มีพันธกิจหลักในการสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพที่มีค่าของประเทศอย่างยั่งยืน โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพที่สำคัญ ยกระดับการบริหารจัดการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพผ่านดูแลตัวอย่างทรัพยากรฯ แบบระยะยาว รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสนับสนุนการพัฒนาเครือข่ายอนุรักษ์ฯ เพื่อช่วยประเทศไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติเป็นแหล่งปลูกและรวบรวมพืชสมุนไพรมากกว่า 900 ชนิด ซึ่งถือว่ามีจำนวนที่มากที่สุดในประเทศไทย และยังเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลแห่งแรกของประเทศไทย จาก Botanic Gardens Conservation International สหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังเป็นต้นแบบแหล่งท่องเที่ยวด้านการเรียนรู้สมุนไพร พฤกษศาสตร์ สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDGs และโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของประเทศไทย ทั้งนี้การร่วมมือกันของสองหน่วยงานจะนำไปสู่การบริหารจัดการตัวอย่างทรัพยากรชีวภาพพืชและเผยแพร่ฐานข้อมูลตัวอย่างเหล่านี้ รวมไปถึงการจัดเก็บตัวอย่างพืชและทรัพยากรชีวภาพที่พบในอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ เพื่อการศึกษา วิจัย และพัฒนาและนวัตกรรมต่าง ๆ ด้านการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชและทรัพยากรชีวภาพ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน “ความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยเฉพาะทางเทคโนโลยีและกำลังคนผู้เชี่ยวชาญด้านระบบฐานข้อมูล จะช่วยให้ระบบการบริหารจัดการและเผยแพร่ฐานข้อมูลพืชและทรัพยากรชีวภาพของอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ ได้รับการพัฒนาอย่างมีคุณภาพและเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติ ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง” อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ระบุ   อย่างไรก็ดีหนึ่งในเป้าหมายหลักด้านการอนุรักษ์ฯ ของโครงการจัดตั้งสถาบันอุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ คือการผลักดันให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ทรัพยากรชีวภาพของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปช่วยในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลายหลายทรัพยากรชีวภาพในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ ซึ่งเป็นถือเป็นจุดเด่นสำคัญของประเทศไทยในการพัฒนาประเทศและสร้างมูลค่าทางเศรฐกิจของประเทศจากการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน สำหรับอุทยานฯ มีพื้นที่รวม 140 ไร่ ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยมหิดล ถ.พุทธมณฑล สาย 4 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เป็นแหล่งเรียนรู้และพัฒนาการใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรอย่างครบวงจร และเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านสมุนไพรและธรรมชาติวิทยาระดับโลก
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 9 ฉบับที่ 7 ประจำเดือนตุลาคม 2566
ข่าว เปิดตัวครั้งแรก ‘Ve-Sea’ รสชาติอาหารทะเล จากโปรตีนพืช โอกาสทางธุรกิจ เจาะกลุ่ม Plant Based Seafood ผู้อำนวยการ สวทช. นำคณะผู้บริหาร ร่วมพิธีอำลาตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ของ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ สวทช. ร่วมมือ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศ ผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมบรรยายพิเศษหัวข้อ “Using AI to Tackle Thailand’s Most Urgent Challenges and Turning Them into Opportunities” สวทช. ร่วมสัมมนา RRTC2023 สร้างนิเวศนวัตกรรมระบบรางไทย สวทช. ผนึกกำลัง A*STAR ผลิตกำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมทำวิจัยในมหาวิทยาลัยชั้นนำของสิงคโปร์ สวทช. ร่วมแสดงความยินดีพันธมิตร AIT เปิดอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บริษัท อาร์ดี เทอร์มอล จำกัด มอบเงินสนับสนุนกองทุนวิจัย สวทช. สวทช.–ผส.- สสส. ชวน ขึ้นทะเบียนและค้นหาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ ผ่านไลน์ แชทบอท @jaideecity ภายใต้ “เมืองใจดี ผู้สูงวัย Happy” ซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช.  ประกาศผลการแข่งขันหุ่นยนต์ไร้การบังคับอัจฉริยะ ทีม Robot A และ ทีม FRANNNNN คว้าแชมป์ รับถ้วยรางวัลพระราชทานกรมสมเด็จพระเทพฯ NECTEC-ACE2023 ผนึกกำลังภาครัฐและเอกชน แสดงศักยภาพแห่ง “ข้อมูล” หนุนให้เกิดการ “แชร์และใช้” เพื่อขับเคลื่อน พัฒนา เพิ่มมูลค่า สร้างความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีไทย เพื่อคนไทย ‘ศุภมาส’ ชวนพ่อเมืองทุกจังหวัด ใช้ “ทราฟฟี่ ฟองดูว์” แก้ปัญหาประชาชน ภาคีเครือข่าย ๑๖ องค์กร จัดงาน ‘วันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก’ ภายใต้แนวคิด Engaging patients for patient safety สวทช. จับมือพันธมิตรนำนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์จัดแสดงในงาน Medical Fair Thailand 2023 ไบโอเทค-สวทช. จับมือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อวดโฉมพันธุ์ข้าวใหม่รับโลกรวนจากเอลนีโญ พร้อมต่อยอดให้ใช้ประโยชน์สาธารณะ และเชิงพาณิชย์ สวทช. ร่วมประชุมความร่วมมือ ไทย–จีน ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ‘นักวิจัย’ ไบโอเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยี สู้ ‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’ แนะเกษตรกรชาวไร่มันฯ ลดเสี่ยง-เลี่ยงใช้ท่อนพันธุ์ต่างถิ่น กมธ.อุดมศึกษาฯ ชื่นชมผลงาน สวทช. สร้างผลกระทบทุกภาคส่วน สวทช. ติวเข้ม เยาวชนในชนบท รับทุนพัฒนาทักษะด้าน ‘สะเต็มและโค้ดดิ้ง’  เตรียมพร้อมสู่ ‘ยุวเกษตรกรอัจฉริยะ’ ในอุตสาหกรรมเกษตรแม่นยำ อีอีซี รวมพลังภาคีภาครัฐ-เอกชน MOU หนุนใช้รถยนต์ไฟฟ้าขนส่งสาธารณะ และรับส่งพนักงานในพื้นที่ อีอีซี ๔ พันธมิตรเครือข่ายวิทยาศาสตร์ แลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง ต่อยอดนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ สู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน   Download เอกสารฉบับเต็ม (14.6 MB)
จดหมายข่าว สวทช.
 
PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ตรวจง่าย สะดวก รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ
For English-version news, please visit : PigXY-AMP: A sensitive and rapid one-step colorimetric LAMP detection kit for African swine fever virus   โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever: ASF) เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ทำให้สุกรมีอัตราป่วยและตายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรและเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างมาก สาเหตุสำคัญที่ทำให้การควบคุมการระบาดของโรคนี้เป็นไปได้ยากมาจากการที่เชื้อไวรัสก่อโรค ASF มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง อีกทั้งยังไม่มีวัคซีนและยาที่ช่วยป้องกันและรักษาโรคได้ ทำให้การป้องกันและเฝ้าระวังการระบาดใหม่ยังคงต้องพึ่งพาการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการเป็นสำคัญ ผู้ประกอบการที่กลับมาเริ่มธุรกิจฟาร์มสุกรจึงทำได้เพียงตรวจคัดกรองลูกสุกรก่อนนำเข้าเลี้ยงในฟาร์มเท่านั้น ล่าสุดองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) รายงานว่าช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนปี 2566 ยังพบการระบาดของโรคนี้ใน 3 ทวีป คือ แอฟริกา ยุโรป และเอเชีย ขณะที่ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคให้สงบได้แล้วหลังเผชิญการระบาดใหญ่ในปี 2565 อย่างไรก็ตามกรมปศุสัตว์ยังคงมีมาตรการให้ทุกฟาร์มตรวจคัดกรองโรคเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ASF อย่างเคร่งครัดต่อไป     ในช่วงเริ่มแรกของการระบาดของโรค ASF ในภูมิภาคเอเชียตั้งแต่ปี 2561 แต่ยังไม่พบการระบาดในประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้เดินหน้าเชิงรุกเตรียมความพร้อมด้านชุดตรวจวินิจฉัยก่อนการระบาด โดยนำองค์ความรู้ทางด้านอณูชีววิทยาร่วมกับเทคนิคการตรวจวัดสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตมาออกแบบและพัฒนา ‘ต้นแบบชุดตรวจหาเชื้อโรค ASF ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยสมัยใหม่ ที่มีประสิทธิภาพสูง ราคาย่อมเยา และใช้ง่าย’ ต่อมาในปี 2565 เมื่อพบการระบาดของโรคในประเทศไทย จึงได้มีการนำตัวอย่างเชื้อที่ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรภาคเอกชนมาทดลองใช้ร่วมกับต้นแบบชุดตรวจที่พัฒนาขึ้น และพัฒนาน้ำยาสกัดดีเอ็นเอจากเลือดสุกรแบบรวดเร็ว (rapid DNA extraction) เพิ่มเติม เพื่อการใช้งานแบบครบวงจร ได้เป็น PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาประสบความสำเร็จ และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทเอกชนไทยเรียบร้อยแล้ว   [caption id="attachment_49909" align="aligncenter" width="750"] PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว[/caption]   [caption id="attachment_49910" align="aligncenter" width="750"] คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย (ซ้าย) และคุณระพีพัฒน์ สุวรรณกาศ (ขวา)[/caption]   คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด ไบโอเทค สวทช. หัวหน้าโครงการวิจัยอธิบายว่า วิธีมาตรฐาน (gold standard) ของการตรวจโรค ASF ที่ใช้กันทั่วโลกคือเทคนิค real-time PCR (real-time polymerase chain reaction) เพราะเป็นวิธีการตรวจที่มีความไว (sensitive) สูง ตรวจได้แม้ในตัวอย่างมีปริมาณเชื้อน้อย อย่างไรก็ตามวิธีการนี้มีค่าใช้จ่ายในการตรวจสูง เพราะต้องใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ราคาหลักล้านและน้ำยาเฉพาะ ทำให้อัตราค่าบริการสูงถึง 1,000-1,500 บาท ต่อ 1 ตัวอย่าง เป็นข้อจำกัดในการตรวจคัดกรองโรค “เพื่อสนับสนุนการลดค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรอง ทีมวิจัยจึงได้พัฒนา ‘PigXY-AMP’ ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว การตรวจทำได้ง่ายเพียงใช้ก้านสำลีปาดเลือดสดจากหางลูกสุกร แล้วนำไปจุ่มแช่ในน้ำยาสกัดดีเอ็นเอแบบรวดเร็ว ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วนำดีเอ็นเอที่ได้ไปผสมกับน้ำยาแลมป์เปลี่ยนสีสำเร็จรูปซึ่งมีสีม่วง จากนั้นนำไปบ่มที่อุณหภูมิ 63 องศาเซลเซียสในกล่องให้ความร้อน (heating block) นาน 1 ชั่วโมง ก็จะสามารถอ่านผลการตรวจด้วยตาเปล่าได้แล้ว โดยหากในตัวอย่างมีเชื้อไวรัส ASF น้ำยาจะเปลี่ยนสีจากสีม่วงเป็นสีเหลือง แต่ถ้ายังคงเป็นสีม่วงแสดงว่าไม่มีเชื้อ” PigXY-AMP ไม่เพียงใช้งานได้ง่ายแต่ยังมีประสิทธิภาพการตรวจทั้งด้านความไว (sensitivity) ความจำเพาะ (specificity) และความแม่นยำ (accuracy) เทียบเท่ากับเทคนิคมาตรฐานอีกด้วย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำยาแลมป์เปลี่ยนสีของ PigXY-AMP มีประสิทธิภาพในการตรวจจับเชื้อสูงและแม่นยำ อีกทั้งยังมีขีดจำกัดของการตรวจวัด (limit of detection) เทียบเท่ากับเทคนิคมาตรฐานคือ real- time PCR (Ct = 36-37) คือ การใช้ไพรเมอร์สำหรับเทคนิคแลมป์จำนวน 2 ชุด หรือ 16 เส้น ตรวจจับยีนที่ทำหน้าที่สร้างโปรตีนหุ้มอนุภาคไวรัส (p72 capsid protein)   [caption id="attachment_49915" align="aligncenter" width="1000"] PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว[/caption]   [caption id="attachment_49912" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยผู้พัฒนา PigXY-AMP[/caption]   [caption id="attachment_49913" align="aligncenter" width="750"] PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว[/caption]   คุณระพีพัฒน์ สุวรรณกาศ หนึ่งในทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด ไบโอเทค สวทช. ผู้ร่วมวิจัยหลัก อธิบายว่า จุดเด่นสำคัญของ PigXY-AMP คือมีประสิทธิภาพในการตรวจสูงเทียบเท่าเทคนิค real-time PCR แต่มีราคาถูกกว่า ใช้เวลาตรวจสั้นกว่า (เพียง 70 นาที) ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่มีราคาสูงและผู้เชี่ยวชาญในการทำงานและอ่านผล อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการใช้ตรวจภาคสนามมากกว่า ทำให้ในภาพรวม PigXY-AMP สามารถช่วยลดต้นทุนด้านการตรวจคัดกรองโรคให้แก่ผู้ประกอบได้เป็นอย่างดี และส่งผลให้ผลิตภัณฑ์​มีศักยภาพด้านการตลาดในระยะยาวทั้งในไทยและต่างประเทศสูงอีกด้วย โดยช่วงต้นปี 2566 บริษัทเอ็ม จี ฟาร์มา จำกัด ได้เข้ารับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการขอขึ้นทะเบียนอุปกรณ์ทางการแพทย์กับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) “สำหรับการวิจัยต่อยอด หากได้รับการสนับสนุนต่อจากทั้งภาครัฐและเอกชน ทีมวิจัยมุ่งเป้าที่จะพัฒนาชุดตรวจโรค ASF เพื่อรองรับการตรวจพื้นผิวคอก โรงเรือน และสิ่งแวดล้อมภายในฟาร์มสุกร รวมถึงสิ่งส่งตรวจชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เลือด เพื่อเป็นทางเลือกนอกเหนือจากเทคนิค real-time PCR ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการตรวจสอบสภาพแวดล้อมในฟาร์มสุกรให้แก่ผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี” PigXY-AMP เป็นตัวอย่างการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทยตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยเทคโนโลยีที่นักวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้น ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการเฝ้าระวังโรคได้เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยป้องกันการระบาดของโรค ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการระบาดของโรคภายในประเทศ ทั้งด้านการขาดทุน การขาดแคลนอาหาร รวมไปถึงการสูญเสียความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์อาหารไทย ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ผลงาน PigXY-AMP ได้รับรางวัลประดิษฐ์คิดค้นระดับดี สาขาเกษตรและชีววิทยา จากงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 ที่จัดโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นเครื่องการันตีประสิทธิภาพของงานวิจัยด้วย   [caption id="attachment_49908" align="aligncenter" width="750"] ภาพบรรยากาศจากงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566[/caption]   ผู้ที่สนใจร่วมสนับสนุนการทำวิจัยต่อยอด ติดต่อสอบถามได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ(BBD) โทรศัพท์ 0 2564 6700 ต่อ 3301 (คุณลินดา) และติดตามการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้จากบริษัทเอ็ม จี ฟาร์มา จำกัด   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และไบโอเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เอกสารเผยแพร่