หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ชวนคนกรุงสูดอากาศสะอาด ที่ ‘MagikFresh’ ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่ ณ สวนจตุจักร
  PM2.5 เป็นปัญหาฝุ่นละอองที่คนไทยต้องเผชิญแทบทุกปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วง ‘อากาศปิด’ สภาวะอากาศแห้งและนิ่ง ทำให้ฝุ่นละอองแขวนลอยอยู่ในบรรยากาศได้นาน ส่งผลให้ PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและมีค่าเกินมาตรฐาน อยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ผู้คนในหลายพื้นที่ไม่สามารถใช้ชีวิตกลางแจ้งเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมนันทนาการ ได้ตามปกติ   [caption id="attachment_50260" align="aligncenter" width="750"] MagikFresh[/caption]   สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร พัฒนา 'ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่’ หรือ ‘MagikFresh (เมจิกเฟรช)’ สำหรับให้บริการแก่ผู้ใช้บริการสวนจตุจักร ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 - พฤษภาคม 2567 เป็นเวลา 7 เดือน เพื่อใช้ประโยชน์ในการพักผ่อน ออกกำลังกาย และจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ มุ่งลดผลกระทบการเจ็บป่วยจากการสูดฝุ่น PM2.5 ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ปัจจุบัน MagikFresh ตั้งอยู่ภายในสวนจตุจักร ฝั่งติดถนนพหลโยธิน บริเวณใกล้กับประตูทางเข้าออกสวนที่ตรงกับ MRT สถานีสวนจตุจักร      ดร.พรอนงค์ พงษ์ไพบูลย์ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมไร้สายและระบบอัจฉริยะ (WIS) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า MagikFresh เป็นอาคารลักษณะกึ่งปิดกึ่งเปิดขนาด 100 ตารางเมตร มีประตูทางเข้าหนึ่งทาง ประตูทางออกหนึ่งทาง โครงสร้างอาคารมีลักษณะเป็นแผ่นพลาสติกใสมองทะลุเห็นบรรยากาศสวนภายนอกได้ บริเวณภายในอาคารมีนิทรรศการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับ PM2.5 และ MagikFresh ติดตั้งอยู่บนผนังทั้ง 4 ด้าน อีกทั้งยังมีสวนหย่อมให้ประชาชนได้เข้ามานั่งพักผ่อนหย่อนใจ ส่วนด้านนอกอาคารเป็นพื้นที่ติดตั้งเครื่องกรองอากาศสำหรับใช้ดึงอากาศจากภายนอกให้เข้ามาไหลเวียนเข้ามาภายในอาคาร ส่วนองค์ประกอบสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันคือหลังคาที่มีลักษณะเป็นช่องระบายอากาศสำหรับปล่อยให้อากาศจากภายในอาคารไหลออกสู่ภายนอก “MagikFresh สร้างการไหลเวียนของอากาศสะอาดภายในอาคาร โดยดูดอากาศจากภายนอกเข้าสู่เครื่องกรองอากาศที่ติดตั้งไว้ทั้ง 4 ทิศรอบอาคารด้านนอก เพื่อกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กออกจากอากาศด้วยระบบไฟฟ้าสถิต ก่อนปล่อยอากาศสะอาดเข้าสู่ภายในอาคารผ่านช่องปล่อยอากาศด้านใน จากนั้นอากาศจะเคลื่อนตัวขึ้นไปที่ช่องระบายอากาศบริเวณหลังคา ทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ผู้ใช้บริการรู้สึกสบายตัว และเป็นการป้องกันฝุ่นจากภายนอกไม่ให้ลอยเข้ามาทางช่องเปิดด้วย” MagikFresh สร้างอากาศสะอาดที่มีค่า PM2.5 ต่ำกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ระดับที่มีความปลอดภัยต่อสุขภาพ) ได้มากถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศภายในอาคารได้ไม่ต่ำกว่า 10 รอบต่อชั่วโมง     [caption id="attachment_50259" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศภายใน MagikFresh[/caption]   [caption id="attachment_50258" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศภายใน MagikFresh[/caption]   ดร.พรอนงค์ อธิบายเสริมถึงจุดเด่นสำคัญ 5 ประการของเทคโนโลยี MagikFresh ว่าประการแรก คือการออกแบบระบบกรองอากาศด้วยเทคนิคไฟฟ้าสถิต ที่มีการปลดปล่อยก๊าซโอโซนเฉลี่ย 1 ชั่วโมง ไม่เกิน 10 ppb หรือต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 10 เท่า ประการที่สอง คือ MagikFresh ปรับการทำงานของเครื่องให้สอดคล้องกับค่าฝุ่นละออง ณ​ ขณะนั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้มีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม ประการที่สาม คือ ชุดกรองอากาศผ่านการออกแบบให้ถอดล้างหรือทำความสะอาดได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญ​ และไม่ต้องเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศบ่อยครั้งเหมือนเครื่องกรองอากาศทั่วไป จึงช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการสร้างขยะได้เป็นอย่างดี ประการที่สี่ คือ MagikFresh ผ่านการออกแบบให้ถอดประกอบรวมถึงปรับขนาดของพื้นที่อาคารได้ตามต้องการ นำไปติดตั้งเพื่อใช้งานยังสถานที่อื่น ๆ ได้สะดวก และประการสุดท้ายที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือ MagikFresh เป็นนวัตกรรมเครื่องกรองอากาศที่พัฒนาโดยคนไทยและผลิตได้ภายในประเทศ ช่วยลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขไทยด้วย นอกจาก MagikFresh ที่เป็นนวัตกรรมเครื่องกรองอากาศสำหรับใช้งานในพื้นที่อาคารกึ่งปิดกึ่งเปิดขนาดใหญ่แล้ว สวทช. ยังได้พัฒนานวัตกรรมอีกหลายชิ้นเพื่อสนับสนุนการรับมือปัญหาด้านฝุ่น PM2.5 ดร.พรอนงค์ เล่าว่า ตัวอย่างเทคโนโลยีเด่นที่ทีมวิจัยพัฒนาเพื่อสนับสนุนการลดปัญหาฝุ่น PM2.5 เช่น ‘ชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซล’ สำหรับใช้งานกับรถขนาดใหญ่ อาทิ รถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ รวมถึงรถกระบะเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหา PM2.5 จากการทดสอบประสิทธิภาพกับรถกระบะเครื่องยนต์ดีเซลพบว่า ชุดกรองสามารถลดค่าไอเสียที่สูงถึงร้อยละ 99 ให้เหลือเพียงร้อยละ 27 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานใหม่ที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดไว้ที่ร้อยละ 30 ที่สำคัญชุดกรองยังผ่านการเลือกใช้วัสดุและการออกแบบโครงสร้างให้ใช้งานได้ยาวนาน ทำความสะอาดง่าย เพื่อช่วยลดต้นทุนด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้ประกอบการด้านระบบขนส่งให้ได้มากที่สุด   [caption id="attachment_50261" align="aligncenter" width="700"] ดร.พรอนงค์ พงษ์ไพบูลย์ นำเสนอผลงานชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซล[/caption]   นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี ‘IonFresh+ (ไอออนเฟรชพลัส)’ เครื่องกรองฝุ่นละอองและกำจัดเชื้อโรคในอากาศสำหรับใช้ภายในห้องขนาดใหญ่ 100-250 ตารางเมตร อาทิ ห้องประชุม ห้องจัดแสดงผลงาน ซึ่งเครื่องกรองฯ ทำงานโดยใช้เทคโนโลยี 2 ด้านหลัก คือ ใช้ระบบไฟฟ้าสถิตในการกรองฝุ่นละออง และใช้แสง UVC ในการกำจัดเชื้อก่อโรค จุดเด่นที่สำคัญของเครื่องนี้คือปลดปล่อยโอโซนต่ำ ปรับการทำงานได้แบบอัตโนมัติตามค่า PM2.5 ณ ขณะนั้น ล้างทำความสะอาดชุดกรองได้ง่าย และตัวเครื่องยังผ่านการออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด ทำให้เคลื่อนย้ายไปใช้งานตามห้องต่าง ๆ ได้สะดวก”   [caption id="attachment_50257" align="aligncenter" width="700"] IonFresh+[/caption]   ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างผลงานวิจัยที่ สวทช. พัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย รวมถึงช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มคนเปราะบาง อาทิ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ สำหรับผู้ที่สนใจเทคโนโลยีอื่น ๆ ติดตามข้อมูลได้ที่ www.nstda.or.th ส่วนผู้สนใจใช้พื้นที่ MagikFresh จัดกิจกรรมนันทนาการ หรือ นำ MagikFresh ไปติดตั้งในสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเครื่องกรองอากาศที่กล่าวมาทั้ง 3 ผลงาน ติดต่อได้ที่ทีมวิจัยนวัตกรรมไร้สายและระบบอัจฉริยะ (WIS) เนคเทค สวทช. โทร 0 2564 6900   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
อว. โดย “สวทช.” และ “มหิดล” จับมือพัฒนายาต้านมาลาเรียตัวแรกของประเทศที่กำลังพัฒนา
For English-version news, please visit : NSTDA and Mahidol University to develop an antimalarial medicine (13 ธ.ค. 66) ณ ห้องแถลงข่าว อว. - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมด้วยจุฬาฯ เกษตรฯ และหน่วยงานพันธมิตรอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ได้ร่วมกันพัฒนายามาลาเรีย ที่ได้ผลต่อเชื้อที่ดื้อยาที่เรียกว่า “แอนตี้โฟเลต” โดยเป็นผลงานที่เริ่มจากการวิจัยขั้นพื้นฐานจนได้เป็นยาที่เรียกว่า “P218” ในขั้นต่อไปจะได้พัฒนาจนสามารถจดทะเบียนตำรับยา เพื่อผลิตใช้ในการป้องกันและรักษาได้ ซึ่งจะเป็นยาต้านมาลาเรียตัวแรกที่มาจากการค้นคิดและพัฒนาของคนไทยแบบครบวงจร โดยข้อตกลงความร่วมมือแรก สวทช. จะได้ทำร่วมกับ ม.มหิดล ซึ่งมีความสามารถและผลงานด้านการพัฒนายาสู่การจดทะเบียนและสู่ตลาดมานานแล้ว ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางยา ช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาได้มีโอกาสเข้าถึงยาต้านมาลาเรียที่มีคุณภาพในราคาต่ำ และช่วยให้ประเทศไทยเข้าใกล้เป้าหมายกำจัดโรคไข้มาลาเรียให้หมดไปจากประเทศได้ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านมาลาเรียในประเทศไทย สวทช. กล่าวว่า มาลาเรียยังเป็นปัญหาใหญ่ของโลก คร่าชีวิตคนปีละกว่า 600,000 คน ประเทศไทยเองก็ประสบปัญหานี้ ซึ่งการสู้รบในประเทศเพื่อนบ้านทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง การรักษายุ่งยากเนื่องจากเชื้อมักจะดื้อยา จึงเป็นเรื่องที่ต้องหาทางแก้ไข ด้วยการออกแบบยาที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนักวิจัยของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ได้ร่วมกับหน่วยงานภาคีต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศเดินหน้าศึกษาวิจัยเรื่องยารักษามาลาเรียมากว่า 30 ปี โดยทีมวิจัยวิศวกรรมโปรตีน-ลิแกนด์และชีววิทยาโมเลกุล กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพระดับโมเลกุลทางการแพทย์ ไบโอเทค ได้ทำการศึกษาวิจัยโครงสร้างของโปรตีนเป้าหมายที่มีชื่อเรียกว่า DHFR ทำให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโปรตีนที่ทำให้เกิดการดื้อยา จึงได้นำความรู้เรื่องนี้มาเป็นเป้าหมายในการพัฒนายาร่วมกับนักวิจัยจากหลายประเทศทั่วโลก จนออกมาเป็นผลงานวิจัยยาต้านมาลาเรียต้นแบบ P218 ที่ได้รับการตีพิมพ์ในปี 2556 ซึ่งเป็นสารต้านมาลาเรียตัวแรกที่ออกแบบและสังเคราะห์ขึ้นเองโดยนักวิจัยไทย “ความร่วมมือผลักดันยามาลาเรีย P218 สู่การเป็นยาใหม่ตัวแรกจากประเทศที่กำลังพัฒนา ระหว่าง ไบโอเทค สวทช. กับมหิดล จะร่วมกันดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเพื่อทำการทดสอบความเป็นพิษของยา P218 ในสัตว์ทดลองเพื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพของยา P218 ในระดับคลินิก เพื่อการทำนายขนาดของยา P218 ที่เหมาะสมในการรักษาโรคมาลาเรียอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการสนับสนุนทรัพยากร แลกเปลี่ยน เสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลทางวิชาการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งร่วมกับหน่วยงานอื่น รวมทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อต่อยอดพัฒนาตำรับยาต้านมาลาเรียสู่เภสัชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีมาตรฐานสากล ซึ่งจะขยายผลสู่ขั้นตอนการผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป เพื่อสนับสนุนการผลิตยาต้านมาลาเรียที่ออกมาใช้ได้จริง ในรูปแบบยากินราคาถูก เข้าถึงผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นคนยากจน นับเป็นก้าวสำคัญในการเดินหน้าวิจัยอย่างแข็งแกร่งไปพร้อมกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อผลักดันให้มีผลิตภัณฑ์ยาต้านมาลาเรียสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนา ถือเป็นครั้งแรกของโลก โดยทีมนักวิจัยของประเทศไทย” ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างไบโอเทค สวทช. และมหาวิทยาลัยมหิดล จะช่วยต่อยอดขยายผลพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อการค้นหาทำนายขนาดของยา P218 ที่เหมาะสมในการรักษาโรคมาลาเรีย และพัฒนาตำรับยาต้านมาลาเรีย สู่เภสัชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีมาตรฐานสากล เพื่อขยายผลสู่ขั้นตอนการผลิตเชิงพาณิชย์ในลำดับถัดไป ถือเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรภายใต้กระทรวง อว. ในการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับวงการแพทย์และสาธารณสุขไทย สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG และสอดคล้องตามนโยบาย “วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ” และ “เน้นประเด็นสำคัญของประเทศ” ของกระทรวง อว. ภายใต้การนำของ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รมว.อว. เพื่อตั้งเป้าสร้างศักยภาพการผลักดันยา P218 สู่การเป็นยาใหม่ตัวแรกของประเทศที่ไทยและประเทศกำลังพัฒนาของโลกได้สำเร็จต่อไป ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหิดล เล็งเห็นศักยภาพยา P218 จึงนำเอาศักยภาพของแพลตฟอร์มการพัฒนายา “Mahidol University Drug Discovery & Development” หรือ MU-DDD มาใช้ในการผลักดันยา P218 สู่การเป็นผลิตภัณฑ์ยาของประเทศไทย โดยแพลตฟอร์ม MU-DDD เกิดขึ้นจากต้นทุนความเข้มแข็งด้านการวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยที่สั่งสมมากว่า 50 ปี และได้รับการสนับสนุนทุนจากโครงการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย (Reinventing University) ของกระทรวง อว. ตั้งแต่ปี 2564 โดยจุดเด่นแพลตฟอร์มคือ ความสมบูรณ์ของศักยภาพการพัฒนายาที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเชื่อมต่อกับความเข้มแข็งด้านการทำวิจัยในสัตว์ทดลอง ความสามารถในการพัฒนาสูตรตำรับยาให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะกับการใช้ในกลุ่มประชากรที่หลากหลาย เช่น เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ตลอดจนความเข้มแข็งด้านการทำวิจัยในมนุษย์ของคณะแพทย์ฯ ทั้งสามคณะในมหิดล ทำให้เป็นแพลตฟอร์มพัฒนายาที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย “ปัจจุบัน ม.มหิดล ได้ร่วมประชุมและลงมือทำวิจัยกับทีมนักวิจัยไบโอเทค สวทช. ในการพัฒนายา P218 มาเป็นระยะ ๆ และได้ทิศทางที่ชัดเจนในการผลักดันยา P218 ให้เข้าสู่ขั้นตอนต่าง ๆ ที่จำเป็นตามเกณฑ์การขึ้นทะเบียนยาของไทยและระดับนานาชาติ รวมถึงได้เริ่มประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ในเบื้องต้นเพื่อให้ อย. รับทราบเกี่ยวกับความพยายามดังกล่าว โดยคาดการณ์ว่าอาจสามารถดำเนินการเตรียมความพร้อมของข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงวิจัยเพิ่มเติมอีกไม่เกิน 2 ปี จะสามารถเข้าสู่กระบวนการขอขึ้นทะเบียนยา P218 ได้เป็นผลสำเร็จ” อธิการบดี ม.มหิดล กล่าวปิดท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดรับสมัครทุน NSTDA-SINGA เรียนต่อปริญญาเอก 4 ปี ที่สิงคโปร์ ประจำปี 2024
เปิดรับสมัครทุน NSTDA-SINGA เรียนต่อปริญญาเอก 4 ปี ที่สิงคโปร์ ประจำปี 2024 ส่งใบสมัครถึง 31 ธันวาคม 2023 **สำหรับนักศึกษาสัญชาติไทย ใกล้หรือสำเร็จการศึกษาในระดับ ป.ตรี ป.โท กำลัง/เคยรับทุน สวทช.หรือ Alumni นักศึกษาทุน สวทช. ที่สนใจศึกษาต่อระดับปริญญาเอก (อยู่ในเครือข่าย สวทช.) NSTDA-SINGA Scholarships (ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ Singapore International Graduate Award (SINGA)) คัดเลือกผู้มีศักยภาพสูงเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกกับสถาบันการศึกษาพันธมิตรของโครงการ ได้แก่ Agency for Science, Technology & Research (A*STAR) https://www.a-star.edu.sg/Scholarships/for-graduate-studies/singapore-international-graduate-award-singa/a-star-supervisors-projects Nanyang Technological University (NTU), https://shorturl.asia/jug4M The National University of Singapore (NUS) https://nusgs.nus.edu.sg/programmes/ The Singapore University of Technology and Design (SUTD) https://shorturl.asia/tcCs8 Singapore Management University (SMU) https://computing.smu.edu.sg/phd (more…)
ปฏิทินกิจกรรม
 
11 องค์กร ผนึกจัดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ปี 2566 (IBD2023)  ภายใต้แนวคิด ความหลากหลายทางชีวภาพ กุญแจสู่ชีวิตที่ดีขึ้น
For English-version news, please visit : Inauguration of International Conference on Biodiversity 2023 วันนี้ (12 ธันวาคม 2566) เวลา 09.00 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ปี 2566 (International Conference on Biodiversity: IBD2023) ภายใต้หัวข้อ Biodiversity: Key to Better Life (ความหลากหลายทางชีวภาพ กุญแจสู่ชีวิตที่ดีขึ้น) จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 12-13 ธันวาคม พ.ศ.2566 ณ สวนหลวง ร. 9 กรุงเทพฯ โดยหน่วยงานที่ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งนี้ ประกอบด้วย มูลนิธิสวนหลวง ร.9 มูลนิธิชัยพัฒนา สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มูลนิธิสวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร.9  สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) และกรุงเทพมหานคร ตลอดจนมีหน่วยงาน/องค์กรภาครัฐและเอกชนให้การสนับสนุนการประชุมอีกเป็นจำนวนมาก ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา นางวรรณิพา ทองสิมา ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ และเจ้าหน้าที่ สวทช. เข้าร่วมเฝ้ารับเสด็จ ฯ การประชุมฯ ครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานวิจัยและวิชาการ ด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรชีวภาพสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน และเป็นเวทีระดับนานาชาติในการแสดงพลังความร่วมมือของบุคคลและหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศที่ดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพ  และยกระดับความสามารถของนักวิจัยไทย ในการวิจัย การอนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อสร้างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน นอกจากนี้ สวทช. ยังได้แสดงผลงานวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพในรูปแบบดิจิทัลภายในงานนี้ด้วย โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศรวมกว่า 600 คน ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงฟังปาฐกถาพิเศษจาก Keynote Speaker 3 ราย ได้แก่ -         ศาสตราจารย์ ดร. เฮนริค บัลสเลฟ มหาวิทยาลัยออร์ฮุส ประเทศเดนมาร์ก บรรณาธิการร่วมโครงการพรรณพฤกษชาติของประเทศไทย บรรยายเรื่อง ความร่วมมือในภูมิภาคเหนือใต้ ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ-พรรณพฤกษชาติของประเทศไทย -         ศาสตราจารย์ ดร.ตัน ปวย หยก ผู้อำนวยการสวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ และกรรมการบริหารสวนสาธารณะแห่งชาติ ประเทศสิงคโปร์ บรรยายเรื่อง บทบาทของสวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ -         ศาสตราจารย์ ดร.สนิท อักษรแก้ว กรรมการบริหารอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร และประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประเทศไทย บรรยายเรื่อง “ความหลากหลายทางชีวภาพสร้างชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนไทย” นอกจากนี้ยังมีการบรรยายพิเศษโดยวิทยากรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ตลอดจนการนำเสนอผลงานวิชาการแบบปากเปล่าและแบบโปสเตอร์ รวมกว่า 100 เรื่อง ภายใต้หัวข้อหลัก 4 หัวข้อ คือ ความหลากหลายทางชีวภาพกับการอนุรักษ์ระบบนิเวศและการบริการ ความหลากหลายทางชีวภาพและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพและแบบจำลองเศรษฐกิจบีซีจี ความหลากหลายทางชีวภาพกับความร่วมมือระหว่างประเทศ ต่อมาเวลา 14.00 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการวิชาการด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่น่าสนใจ จัดโดยหน่วยงาน/องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทด้านความหลากหลายทางชีวภาพและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ อีก 12 เรื่องได้แก่ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี: โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี: การฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ (กรณีศึกษา ศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัต สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ตามพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี) การไฟฟ้าฝ้ายผลิตแห่งประเทศไทย: มหัศจรรย์พรรณพฤกษา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน สถาบันปลูกป่าและระบบนิเวศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน): ศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศป่า ปตท. จากทะเล สู่ป่าเขา เข้าสู่เมือง สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยและองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน: บทบาทของเครือข่ายภาคธุรกิจไทยในการมีส่วนร่วมอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: ดิน น้ำ ป่าไม้ พลังงานทดแทน สมดุลสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ: เศรษฐกิจหมุนเวียน บนฐานทรัพยากรชีวภาพ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน): เอ็กโก กรุ๊ป บนเส้นทางสู่ความยั่งยืนด้วยเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net Zero สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน): 10 เรื่องเล่า Community BioBank สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ: ความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยวิจัยและนวัตกรรม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง: นิเวศบริการของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: นิทรรศการรูปแบบดิจิทัล การประชุมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากหน่วยงานต่างๆ โดยเป็นการสนับสนุนในระดับแพลตตินัม 5 หน่วยงาน ได้แก่ บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด สถาบันปลูกป่าและระบบนิเวศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยและองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และระดับซิลเวอร์ ๘ หน่วยงาน ได้แก่ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ มูลนิธิสวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มูลนิธิต่อต้านการทุจริต กลุ่มไทยรุ่งเรือง และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีโครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนเดซี
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 Mr. Stefan Karsten Krohn กงสุลกิตติมศักดิ์ ณ นครฮัมบูร์ก พร้อมด้วยคุณหญิง Barbara Riepl อดีตกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ มิวนิก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เดินทางเยือนประเทศไทยและเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารเย็น เนื่องในกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีโครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนเดซี ซึ่งเป็นโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการสนับสนุนเยาวชนไทยในระดับปริญญาตรีถึงปริญญาโท ได้มีโอกาสปฏิบัติการวิจัย ณ เมืองฮัมบูร์ก และเมืองซอยเธย์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยมี ร.ศ. ดร. คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ กรรมการคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิ เทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี นางฤทัย จงสฤษดิ์ กรรมการและเลขานุการโครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนเดซี  และคณะศิษย์เก่าจากโครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนเดซีตั้งแต่รุ่นที่ 1 ถึงรุ่นที่ 20 ให้การต้อนรับ งานเลี้ยงเป็นไปอย่างอบอุ่น คณะศิษย์เก่าได้จัดงานบายศรีและรดน้ำเนื่องในโอกาสกงสุลครบรอบ 60 ปี โดย Mr. Stefan Karsten Krohn ได้นำสารจาก Prof. Dr. Helmut Dosch ประธานกรรมการบริหารของ DESY กล่าวแสดงความยินดีถึงนักศึกษาฤดูร้อนไทยทุกคน และเป็นกำลังใจให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ ยังได้กล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนับสนุนวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างโอกาสทางนานาชาติและโปรแกรมวิจัยสำหรับนักวิจัยไทยรุ่นใหม่ ทรงทุ่มเทและมีพระวิสัยทัศน์ดังกล่าวไม่เพียงเพิ่มโอกาสแก่นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ แต่ยังเสริมสร้างความเชื่อมั่นและความรู้ความสามารถในวงการวิทยาศาสตร์ไทยอีกด้วย ทั้งนี้ ยังได้ยกย่องและชื่นชม สวทช. ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและพัฒนาโครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนร่วมกันระหว่างไทยและเยอรมนี ซึ่งมีความสำคัญต่อการส่งเสริมวิทยาศาสตร์และการวิจัยค้นคว้าสำหรับทั้งสองประเทศ และท้ายที่สุด ยังได้กล่าวชื่นชมความทุ่มเทของ Mr. Stefan Karsten Krohn กงสุลกิตติมศักดิ์เยอรมันประจำประเทศไทย ที่ได้มีส่วนร่วมสำคัญในการสนับสนุนนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ นางฤทัย จงสฤษดิ์ ได้กล่าวว่า  ตลอดระยะเวลา 20 ปี (พ.ศ. 2546 – 2566) โครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนเดซี ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง โดยมีผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมโครงการจำนวน 53 คนและปัจจุบัน มีศิษย์เก่าที่ทำงานแล้ว จำนวน 31 คน กระจายอยู่ในมหาวิทยาลัย หน่วยงานวิจัย และภาคเอกชน เช่น ดร.สาธิตา ตปนียากร นักวิจัย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) ผศ. ดร.ธีรศักดิ์ เอโกมล อาจารย์ ภาควิชาพันธุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการกลุ่มภารกิจการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) นอกจากนี้ ยังมีศิษย์เก่าที่อยู่ระหว่างการศึกษาต่อ จำนวน 22 คน หลายคนมีผลงานวิจัยที่สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศ เช่น ผศ. ดร.ธีรศักดิ์ เอโกบล ศิษย์เก่า รุ่นที่ 3 ที่ศึกษาวิจัยด้านพันธุศาสตร์มาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีผลงานวิจัยโดดเด่นจากการศึกษาสารสกัดจากเมือกหอยทากและนำมาเป็นส่วนผสมในเวชสำอางช่วยลบเลือนริ้วรอยและกระตุ้นให้เซลล์ผิวผลิตคอลลาเจนมากขึ้นจนมีผู้ใช้จำนวนมาก นับว่าเป็นการพัฒนางานวิจัยสู่การเป็นนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ได้อย่างดีเยี่ยม และผศ. ดร.ธีรศักดิ์ ยังได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณอาจารย์ดีเด่น ด้านการสอนนิสิตเตรียมแพทยศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าในปีนี้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีศิษย์เก่า รุ่นที่ 5 อีกคนที่มีผลงานวิจัยโดดเด่น คือ ดร.พินิจ กิจขุนทด หัวหน้าฝ่ายวิจัยและประยุกต์ใช้แสงซินโครตรอน สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) ที่ล่าสุดเพิ่งได้รับรางวัลนักวิจัยวัสดุรุ่นใหม่ดีเด่น ประจำปี 2565 จากสมาคมวิจัยวัสดุประเทศไทย จากผลงานศึกษาวิจัยด้านการพัฒนาเทคนิคและการศึกษาโครงสร้างของวัสดุขั้นสูง ด้วยเทคนิค XAS จากแสงซินโครตรอน ทั้งนี้ ดร.พินิจยังร่วมกับทีมวิจัยพัฒนาเทคนิคการดูดกลืนรังสีเอกซ์สำหรับศึกษาโครงสร้างของวัสดุหน้าที่พิเศษขั้นสูงต่าง ๆ เช่น ตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับแบตเตอรี่ เพื่อพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายที่จะต่อยอดงานวิจัยสู่การใช้งานจริงทางอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการต่อยอดองค์ความรู้ที่ได้ศึกษาและค้นคว้ามาเป็นเวลาเกือบทศวรรษ ให้สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมูลค่าได้ต่อไปในอนาคตด้วย ดร.สุทธิพงษ์ วรรณไพบูลย์ นักวิทยาศาสตร์ระบบลำเลียงแสง สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) นักศึกษาภาคฤดูร้อนเดซี DESY Summer Student Program 2009 ได้กล่าวความรู้สึกเกี่ยวกับโครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนเดซีไว้ว่า “การได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้าร่วมโครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนเดซี เป็นความภาคภูมิใจ และเป็นโอกาสเริ่มต้นที่สำคัญของข้าพเจ้าในเส้นทางการศึกษาและการทำงานด้านวิชาชีพในฐานะนักวิทยาศาสตร์ระบบลำเลียงแสง กิจกรรมในโครงการช่วยทำให้เกิดการเพิ่มพูนทักษะความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นแนวหน้า ได้มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒนธรรมในระดับนานาชาติ และสร้างความร่วมมือทางวิชาการร่วมกับผู้เข้าร่วมโครงการ ทำให้ข้าพเจ้าสามารถเตรียมความพร้อมและพัฒนาตนเองเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในกลไกการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น” ด้านนางสาวจิดาภา ละครวัฒน์ นักศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติ สาขาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมโครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนเดซี นอกจากความรู้ทางด้านวิชาการแล้ว ประสบการณ์ที่ได้รับยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อยากทำงานวิจัยทางด้านนี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อนำมาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในอนาคต รวมไปถึงมิตรภาพดี ๆ ที่ได้รับจากโครงการนี้ด้วย” ก่อนปิดงาน ท่านกงสุลกิตติมศักดิ์ ได้กล่าวว่า รู้สึกขอบคุณและดีใจที่ได้เจอกับคณะทำงานและศิษย์เก่า การสนับสนุนดังกล่าวไม่ใช่แค่ทุน แต่การเห็นความสำเร็จและความเจริญก้าวหน้าของศิษย์เก่าเดซีทุกคน คือสิ่งที่แทนคำขอบคุณที่ดีที่สุด
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไบโอเทค สวทช. ติดอาวุธเกษตรกร! สู้โรคระบาดใบด่างมันสำปะหลัง
ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับ องค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล และ สภาเกษตรกรจังหวัดชัยภูมิ จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “การตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังด้วยชุดตรวจ แบบง่าย ทำได้ด้วยตัวเอง” ที่ อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกร เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง ซึ่งเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังต่างกำลังประสบปัญหาการระบาดของโรคใบด่าง สำหรับเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง ที่พัฒนาโดยนักวิจัยไบโอเทค สวทช. เป็นชุดตรวจในรูปแบบ Strip Test สามารถตรวจคัดกรองโรคใบด่างได้ง่าย สะดวก และทราบผลรวดเร็ว ลดความเสี่ยงในการนำท่อนพันธุ์ติดเชื้อไปเพาะปลูกต่อ รวมถึงลดความเสียหายรุนแรงของโรคใบด่างต่อห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
“พันธุ์ข้าวรับโลกรวน” โดยศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว และไบโอเทค สวทช. ร่วมอวดโฉมในงานเกษตรแฟร์กำแพงแสน 66 พร้อมเดินหน้าพัฒนาพันธุ์ข้าวลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ในงานเกษตรแฟร์กำแพงแสน ปี 66 ที่ จ.นครปฐม - ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ม.เกษตรศาสตร์ และทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแม่นยำ ไบโอเทค สวทช. นำผลงานปรับปรุงพันธุ์ข้าวและสายพันธุ์ข้าวดีเด่นที่วิจัยและพัฒนาร่วมนำเสนอต่อเกษตรกรที่เข้าชมงาน ชูจุดเด่นพันธุ์ข้าวรับมือภาวะโลกรวน ทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม ทนต่อโรคและแมลงศัตรูพืชต่าง ๆ โดยกลุ่มข้าวเจ้า ไฮไลท์คือข้าวหอมสยาม 2 ที่คุณสมบัติเหมือนข้าวหอมมะลิ แต่ให้ผลผลิตสูงกว่า และทนใต้น้ำได้ดี รวมถึงข้าวเจ้าและข้าวเหนียวอีกหลายสายพันธุ์ที่ทนต่อสภาวะโลกรวน พร้อมนี้ยังเดินหน้าพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่ลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนจากการทำนา เพื่อการเกษตรสมัยใหม่ที่ร่วมขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ดร.มีชัย เซี่ยงหลิว นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า สภาวะโลกรวน (climate change) ส่งผลให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดปัญหาด้านการเกษตร เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง โรคและแมลงศัตรูพืช ส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าวจำเป็นต้องพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน โดยข้าวพันธุ์ใหม่ต้องมีคุณสมบัติในการต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืช ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่มีปัญหา เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง มีผลผลิตสูง มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี สามารถเพิ่มมูลค่า นำไปใช้ประโยชน์ให้ครบวงจรมากขึ้น ในงานเกษตรแฟร์กำแพงแสน 2566 ทางไบโอเทค สวทช. ซึ่งมีความร่วมมือกับศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าวมามากกว่า 20 ปี ในปีนี้มีผลงานวิจัยด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและสายพันธุ์ข้าวดีเด่นที่พร้อมเผยแพร่ในการใช้ประโยชน์เชิงสาธารณะและเชิงพาณิชย์มาจัดแสดงทั้งในกลุ่มข้าวเจ้าและข้าวเหนียว โดยข้าวเจ้าหอมพื้นนุ่มในกลุ่มข้าวนาปี คือ ข้าวเจ้าพันธุ์หอมสยาม เด่นที่ทนแล้ง ต้านทานต่อโรคไหม้ และมีกลิ่นหอม และข้าวเจ้าพันธุ์หอมสยาม 2 เด่นที่ให้ผลผลิตสูงกว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105 มีกลิ่นหอม ทนต่อน้ำท่วมฉับพลัน และต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในระดับปานกลาง ส่วนข้าวหอมพื้นนุ่มที่เป็นกลุ่มข้าวนาปรัง ประกอบด้วย ข้าวเจ้าพันธุ์หอมมาลัยแมน เด่นที่หอมนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง เมล็ดเรียวยาวพิเศษ ให้ผลผลิตดีในการปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ ข้าวเจ้าพันธุ์หอมจินดา เด่นที่ต้านทานโรคขอบใบแห้ง ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ต้นสูงปานกลาง ผลผลิตสูง และข้าวเจ้าพันธุ์หอมนาเล เด่นที่พื้นนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง ทนน้ำท่วมฉับพลัน ต้านทานโรคขอบใบแห้ง และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ส่วนในกลุ่มข้าวเหนียว จะมีทั้งข้าวเหนียวไวแสงคือ น่าน 59 และข้าวเหนียวที่ไม่ไวแสงคือ หอมนาคา โดยข้าวเหนียวพันธุ์น่าน 59 เด่นที่มีกลิ่นหอม ต้นเตี้ย ทนการหกล้ม ต้านทานโรคไหม้ และโรคขอบใบแห้ง และข้าวเหนียวพันธุ์หอมนาคา เด่นที่ลำต้นแข็งแรง มีกลิ่นหอม และนุ่มเหนียวเมื่อหุงสุก สามารถปลูกได้ตลอดปี ทั้งหมดถือเป็นไฮไลท์พันธุ์ข้าวใหม่ที่รองรับสภาวะโลกรวนที่นำมาจัดแสดงในงานเกษตรแฟร์กำแพงแสนปีนี้ “แนวทางวิจัยในปัจจุบัน นอกจากจะเน้นเดินทางในการพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อรับมือภาวะโลกรวนแล้ว ทางทีมวิจัยยังร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ม.เกษตรศาสตร์ ในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสม ลดและจัดการไนโตรเจนในพันธุ์ข้าว เพื่อให้เกิดศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการเกษตรสมัยใหม่ที่มีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ” ดร.มีชัย เซี่ยงหลิว นักวิจัยไบโอเทค กล่าวเสริม   ทั้งนี้ ในโซนศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าวที่ไบโอเทค สวทช. ร่วมจัดแสดงผลงานนิทรรศการพันธุ์ข้าวใหม่ที่รองรับสภาวะโลกรวนแล้ว ภายในโซนดังกล่าวยังมีการจำหน่ายสินค้าจากชุมชนต่าง ๆ งานแสดงนิทรรศการศิลปะบนผืนนา และการใช้เครื่องตรวจจับก๊าซที่ปลดปล่อยออกมาจากการทำนา เป็นต้น รวมถึงในงานเกษตรแฟร์กำแพงแสนปีนี้ ไบโอเทค ยังร่วมนำผลงานการพัฒนาสายพันธุ์มะเขือเทศเชอรี่สายพันธุ์แดงโกเมน และซันไชน์ ที่ทนทานต่อโรคใบหงิกเหลือง มาร่วมจัดแสดงในงานด้วย ระหว่างวันที่ 1 - 11 ธันวาคม 2566 ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน จ.นครปฐม  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ ให้แก่บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เพื่อสร้างประโยชน์แก่สาธารณชน
(6 ธันวาคม 2566) ณ ห้องโถงนิทรรศการ อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดพิธีส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศให้แก่บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เพื่อนำไปปลูกยังพื้นที่ธาราพาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี และซีพีแรม อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ สามารถสร้างประโยชน์แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไปที่เข้ามาใช้พื้นที่ ทั้งในด้านนันทนาการและองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์อวกาศ   โดย ผศ. ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้แทนผู้อำนวยการ สวทช. ส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศให้กับคุณวิเชียร จึงวิโรจน์ กรรมการบริหารและผู้จัดการร่วม บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ และคุณชนาพร ตุลยานนท์ ที่ปรึกษาคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีแรม จำกัด นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากผู้บริหารหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วมงาน ได้แก่ รศ. ดร.กัณยารัตน์ สุไพบูลย์วัฒน หัวหน้ากลุ่มสาขาวิชาชีวนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพอัจฉริยะ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคุณทาเคฮิโระ นากามูระ ผู้อำนวยการองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ   ทั้งนี้ โครงการราชพฤกษ์อวกาศ เป็นหนึ่งในโครงการความร่วมมือระหว่าง สวทช. กับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น และมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนและประชาชนทั่วไป สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation และเฟซบุ๊ก NSTDA SPACE Education
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. คว้ารางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance) 2 ปีซ้อน (2565-2566)
(วันที่ 6 ธันวาคม 2566) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล : ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ผู้แทนผู้อำนวยการ สวทช. เข้ารับโล่รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance) จากนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานพิธีประกาศรางวัลรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2566 (Digital Government Awards 2023) จัดโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA พร้อมมอบนโยบายและทิศทางการขับเคลื่อนสู่รัฐบาลดิจิทัล สวทช. ถือเป็น 1 ใน 59 หน่วยงาน ที่ได้รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ ซึ่งพิจารณาจากระดับการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐที่มีการดำเนินการทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ การวิเคราะห์และการใช้ประโยชน์ข้อมูล
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เทิดพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 ร่วมแสดงนิทรรศการ “พระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว” ในงาน “ดนตรีในสวน: H.M. Song อว. บรรเลงเพลงของพ่อ”
5 ธันวาคม 2566: น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานพิธีเปิดงาน "ดนตรีในสวน : H.M. Song อว. บรรเลงเพลงของพ่อ" เพื่อเทิดพระเกียรติ และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ 5 ธันวาคม 2566 วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ที่สวนหลวงพระราม 8 เชิงสะพานพระราม 8 (ถนนอรุณอมรินทร์) พร้อมด้วยนายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คณะผู้บริหาร อว. และหน่วยงานในสังกัด โดยศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ เข้าร่วมงาน กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การแสดงดนตรี H.M.song อว.บรรเลงเพลงของพ่อ การเทิดพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้แก่ การแสดงโขน การแสดงบินโดรนแปรอักษร การแสดงการวาดภาพ และศิลปกรรมช่างไทย และการแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติ ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระบิดาแห่งศาสตร์ต่างๆ 9 ด้าน ได้แก่  พระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ำ  พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย พระบิดาแห่งฝนหลวง พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย พระบิดาแห่งการอนุรักษ์มรดกไทย พระบิดาแห่งการวิจัยไทย พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย และพระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย โอกาสนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้นำนิทรรศการ “ยีนความหอม ความภูมิใจของคนไทย” มาร่วมจัดแสดง โดยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2552 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ชื่อกระทรวงในขณะนั้น) ได้เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญสดุดีพระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงอุทิศกำลังพระวรกายในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาพันธุ์ข้าวและผลิตข้าวไทยและกราบบังคมทูลรายงานเกี่ยวกับสิทธิบัตรยีนความหอมในข้าว ซึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ปัจจุบันคือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ค้นพบยีนที่ควบคุมความหอมในข้าว ซึ่งการค้นพบดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศไทยในการปกป้องการนำยีนความหอมไปใช้ประโยชน์ในเชิงการค้า การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการควบคุมการผลิตสารหอมในข้าว และการปรับปรุงพันธุ์ข้าวต่อไป ในการนี้สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกสิทธิบัตรให้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2551  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ชวนน้อง ๆ ระดับประถมศึกษาร่วมกิจกรรม EP.1
สวทช. ชวนน้อง ๆ ระดับประถมศึกษาร่วมกิจกรรม EP.1 สนุกกับวิทยาศาสตร์ในวันสำคัญของแต่ละเดือน บูรณาการความรู้ตามแนวทาง STEAM สร้างทักษะแห่งอนาคต ด้วยการลงมือทำการทดลอง คิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา สร้างสรรค์นวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ เดือนธันวาคม ขอเสนอกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ.. วันดินโลกและวันสิ่งแวดล้อมไทย ตัวอย่างกิจกรรม การทดลองสนุกกับชนิดของดิน รู้จักกับ Carbon Footprint แปรรูปพลาสติกเหลือใช้ เป็นต้น   วันคริสต์มาสและวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ตัวอย่างกิจกรรม STEAM การ์ดวงจรไฟฟ้า เสกน้ำเปลี่ยนสี สนุกกับการทดลองสารเรืองแสง เป็นต้น   คุณสมบัติผู้สมัคร ระดับชั้นประถมศึกษา จำนวน 60 คน (เปิดรับสมัครเป็นโรงเรียน) วันที่เปิดรับสมัคร ตั้งแต่บัดนี้ – 15 กุมภาพันธ์ 2567 วันที่จัดกิจกรรม 1 ธันวาคม 2566 – 28 กุมภาพันธ์ 2567 ค่าใช้จ่าย 800 บาท (ราคารวมค่าวัสดุ อุปกรณ์ อาหารกลางวัน และอาหารว่าง) สถานที่จัดกิจกรรม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช. หมายเหตุ ขอสงวนสิทธิ์ในการคืนเงินทุกกรณี ยกเว้นกรณีที่ไม่สามารถจัดกิจกรรมให้ได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ โทรศัพท์ 0 2 529 7100 ต่อ 77205 และ 77207 Facebook Sciencecamp (ลิงก์ https://www.facebook.com/sciencecamp.fanpage/posts/678991877747580)
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. ร่วมพันธมิตร พัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุน ‘คนพิการและผู้สูงอายุเข้าถึงบริการดิจิทัลอย่างเท่าเทียม (Digital inclusion)’
  การปรับเปลี่ยนจากยุคแอนะล็อกเป็นดิจิทัลอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการติดต่อสื่อสาร การเข้าถึงข้อมูล การเรียนรู้ การประกอบอาชีพ และการทำธุรกรรมทางการเงิน อย่างไรก็ตามสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) รายงานว่า ‘ยังมีกลุ่มคนเปราะบางมากถึง 1 ใน 4 ของประชากรไทย ที่ต้องเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (digital divide) เนื่องด้วยข้อจำกัดทางกายภาพและการเรียนรู้ ที่ทำให้ต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อให้เข้าถึงสื่อและระบบบริการได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งนั่นส่งผลให้คนกลุ่มนี้ขาดโอกาสในการเข้าถึงข่าวสารที่มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต และเกิดความเหลื่อมล้ำในการนำความรู้มาพัฒนาศักยภาพของตนเพื่อการดำรงชีพในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (digital economy) ดังปัจจุบัน’ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ (DHCB) และกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร อาทิ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนให้ ‘คนพิการและผู้สูงอายุเข้าถึงบริการดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียม (digital inclusion)’ โดยแบ่งการพัฒนางานออกเป็น 3 ด้านหลัก คือ การเข้าถึงการสื่อสาร การเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ และการเข้าถึงระบบบริการดิจิทัล     ที่ผ่านมา สวทช. ได้ดำเนินงานพัฒนาเทคโนโลยีผ่าน ‘แพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Accessibility Information and Communication Platform: AI-C (ไอ-ซี))’ จนประสบความสำเร็จแล้ว 2 เทคโนโลยี คือ ระบบบริการถ่ายทอดการสื่อสารและระบบบริการคำบรรยายแทนเสียงสำหรับคนพิการทางการได้ยิน และมีแผนพัฒนาต่ออีก 2 งาน คือ ระบบบริการสื่ออ่านง่ายสำหรับคนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ และระบบตรวจสอบการเข้าถึงสื่อดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียมสำหรับคนพิการทางการมองเห็นและการได้ยินรวมไปถึงผู้สูงอายุ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ตามเป้าหมายที่ 3 คือ การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (good health and well-being) และเป้าหมายที่ 4 การศึกษาที่เท่าเทียม (quality education)   ‘TTRS’ ระบบบริการถ่ายทอดการสื่อสารสำหรับคนพิการทางการได้ยิน หนึ่งในปัญหาหลักของคนพิการทางการได้ยินหรือคนหูหนวก คือ ไม่สามารถเข้าถึงการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลได้สะดวกเหมือนคนหูดี ทั้งด้วยเหตุผลของการไม่สามารถสื่อสารด้วยเสียง และการไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากภาษาหลักของคนหูหนวกคือ ‘ภาษามือ’ ซึ่งมีไวยากรณ์คนละแบบกับภาษาไทย ดังนั้นคนหูหนวกจึงมีภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง เช่นเดียวกับคนหูดีที่มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ประกอบกับคนหูหนวกส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาไม่เกินระดับชั้นประถมศึกษาจึงส่งผลให้มีความสามารถในการใช้ภาษาไทยที่จำกัด และไม่เข้าใจคำศัพท์และข้อความที่ซับซ้อนได้     ทั้งนี้จากจำนวนคนหูหนวกในประเทศไทยทั้งหมดประมาณ 400,000 คน มีประมาณร้อยละ 70 สามารถสื่อสารด้วยภาษามือได้อย่างคล่องแคล่ว และมีเพียงร้อยละ 3 ของคนหูหนวกที่ใช้ภาษามือได้คล่องแคล่ว สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วด้วย   [caption id="attachment_50209" align="aligncenter" width="500"] ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและสิ่งอำนวยความสะดวก กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช.[/caption]   ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและสิ่งอำนวยความสะดวก กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช. เล่าว่า สวทช. ได้ร่วมกับ กสทช. และมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ พัฒนา ‘ศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย (Thai Telecommunication Relay Service: TTRS)’ สำหรับให้บริการล่ามแปลภาษาจาก ‘ภาษามือหรือข้อความที่ใช้ไวยากรณ์ภาษามือ’  เป็น ‘เสียงภาษาไทย’ และแปลจาก ‘เสียงภาษาไทย’ เป็น ‘ภาษามือหรือข้อความที่ใช้ไวยากรณ์ภาษามือ’ เพื่อให้บริการด้านการสื่อสารระหว่างคนหูหนวกกับคนหูดีผ่านระบบออนไลน์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายมาเป็นระยะเวลากว่า 12 ปีแล้ว โดยที่ผ่านมามีผู้ใช้งานระบบแล้วมากกว่า 2.5 ล้านครั้ง ปัจจุบันมีการใช้บริการเฉลี่ย 1,200 ครั้งต่อวัน     “TTRS พัฒนาระบบให้คนหูหนวกเข้าถึงบริการได้มากถึง 4 รูปแบบหลัก คือ video call, video message, chat และ SMS โดยสาเหตุที่พัฒนาให้มีความหลากหลายมากกว่าระบบบริการของประเทศอื่น ๆ (โดยส่วนใหญ่) มาจากการออกแบบระบบให้สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบโทรคมนาคมของประเทศไทย เพราะบางพื้นที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูงได้ ส่งผลให้การสื่อสารแบบเรียลไทม์อาจมีความติดขัดหรือก่อให้เกิดการสื่อสารที่ผิดพลาด นอกจากนี้ TTRS ยังเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้คนหูหนวกเข้าถึงบริการล่ามได้ตลอดเวลาอีกด้วย เพราะมีคนหูหนวกจำนวนมากทำงานหรือใช้ชีวิตในเวลากลางคืน หรืออาจต้องเผชิญเหตุการณ์เร่งด่วนที่ทำให้ต้องใช้ล่ามนอกเวลาทำการทั่วไป เช่น การสื่อสารอาการเจ็บป่วยให้หมอทราบ การแจ้งขอความช่วยเหลือจากเหตุด่วนเหตุร้ายต่าง ๆ”      การเพิ่มโอกาสทางการสื่อสารจะช่วยให้คนหูหนวกรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับสังคมมากยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงาน เพิ่มโอกาสในการรักษาความเจ็บป่วย และช่วยให้พวกเขาสื่อสารความรู้สึก ความต้องการ และสิ่งที่นึกคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพและเท่าเทียม   ระบบบริการคำบรรยายแทนเสียง (CC) แบบเรียลไทม์ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนหูหนวกจำนวนมากขาดโอกาสทางการเรียนรู้ในระดับสูงและพลาดโอกาสการรับทราบข่าวสารอย่างเท่าทันสถานการณ์ มาจากการที่คนหูหนวกไม่สามารถเข้าถึง ‘การบรรยาย’ หรือ ‘การถ่ายทอดสด’ ที่ไม่มีระบบบริการล่ามภาษามือหรือคำบรรยายแทนเสียงให้บริการได้ ดร.ณัฐนันท์ เล่าว่า เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว สวทช. ได้ดำเนินการพัฒนาระบบบริการคำบรรยายแทนเสียงประเภทเปิดและปิดได้ (Closed Captioning: CC) แบบเรียลไทม์ สำหรับขึ้นในรายการโทรทัศน์ การประชุมที่มีความสำคัญ​ของประเทศ และการจัดการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัย มาเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว กลไกการทำงานของระบบแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ การใช้คนถอดคำ การใช้ระบบอัตโนมัติถอดคำ และแบบผสม ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ เพราะในกรณีที่มีผู้พูดมากกว่า 1 คน มีการพูดมากกว่า 1 ภาษา และในกรณีที่เสียงพูดไม่ชัดเจนหรือมีเสียงอื่น ๆ นอกจากเสียงพูดรบกวน ระบบอัตโนมัติจะมีประสิทธิภาพการทำงานลดลง ทั้งนี้จากการทดสอบใช้งานจริงพบว่าระบบที่ สวทช. พัฒนาขึ้นสามารถจัดทำคำบรรยายได้ตรงตามมาตรฐานที่ กสทช. กำหนด คือ ขึ้นคำบรรยายได้ภายใน 5 วินาทีหลังจากผู้พูดพูดจบประโยค และมีความแม่นยำ (accuracy) มากกว่าร้อยละ 90     “ปัจจุบัน สวทช. พร้อมให้บริการระบบบริการคำบรรยายแทนเสียงแบบเรียลไทม์แล้ว โดยที่ผ่านมาได้ร่วมกับ กสทช. ทดสอบการให้บริการ CC แบบเรียลไทม์แก่ช่องทีวีดิจิทัลทุกสถานีส่งสัญญาณ (MUX) ในช่วงการรายงานสดสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 โดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ที่รายงานสดทุกวันเป็นเวลากว่า 2 เดือน และให้บริการ CC แบบเรียลไทม์แก่สถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนแก่คนหูหนวกแล้ว 5 สถาบัน ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา วิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล (จ.นครปฐม) วิทยาลัยสารพัดช่างสุรินทร์ และโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดอุดรธานี โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนการให้บริการแก่สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้มากขึ้นในอนาคต เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาระดับสูงอย่างเท่าเทียม” ทั้งนี้ในปี 2567 ทาง กสทช. มีแผนเพิ่มมาตรการบังคับการมีระบบบริการดิจิทัลอย่างเท่าเทียมแก่คนหูหนวก โดยกำหนดให้ช่องทีวีดิจิทัลของภาครัฐจะต้องให้บริการ CC เพิ่มขึ้นจาก 2 ชั่วโมงเป็น 3 ชั่วโมง ส่วนช่องทีวีดิจิทัลของเอกชนจะต้องเพิ่มจาก 1 ชั่วโมง เป็น 2 ชั่วโมง ดังนั้นการมีเทคโนโลยีภายในประเทศสำหรับรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ผู้ให้บริการระบบทีวีดิจิทัลปรับเปลี่ยนการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น     ระบบบริการสื่ออ่านง่าย (Easy read) ผู้ที่บกพร่องทางการรับรู้ อาทิ บุคคลออทิสติก บุคคลที่บกพร่องทางปัญญา บุคคลที่บกพร่องทางการเรียนรู้ กลุ่มบุคคลที่ไม่สามารถอ่านภาษาไทยได้แตกฉาน เป็นคนอีกกลุ่มใหญ่ที่ต้องเผชิญความยากลำบากจากการรับรู้ไม่เท่ากับคนทั่วไป ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่สามารถทำความเข้าใจข้อมูลที่มีความซับซ้อนสูงหรือมีศัพท์เฉพาะ แต่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตได้ เช่น เอกสารทางด้านกฎหมาย เอกสารด้านสิทธิพลเมือง เอกสารด้านสุขภาพและสาธารณสุข ดร.ณัฐนันท์ เล่าว่า ปัจจุบัน สวทช. มีแผนพัฒนา ‘ระบบบริการสื่ออ่านง่าย (digital platform for easy to understand communication (easy read) services)’ เพื่อให้บริการคลังคำและคลังภาพสำหรับผลิตสื่ออ่านง่าย สำหรับใช้พัฒนาเครื่องมือแนะนำการแปลงเนื้อหาเอกสารที่เข้าใจยากให้มีข้อความและการนำเสนอที่เข้าใจง่ายขึ้น ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านการแปลงเอกสารประกอบการเรียนรู้และเอกสารที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีพ สนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างเท่าเทียม โดยคาดว่าการพัฒนานี้จะนำไปสู่การสร้างระบบแปลงข้อมูลแบบอัตโนมัติได้ในอนาคตด้วย “ทีมวิจัยมีแผนพัฒนาคลังคำและคลังภาพ รวมถึงเครื่องมือแนะนำการแปลงเนื้อหาให้พร้อมใช้งานในระดับเบื้องต้นภายในปี 2567 และตั้งเป้าพัฒนาสู่ระบบแปลงข้อมูลแบบอัตโนมัติในช่วงอีก 2-3 ปีข้างหน้า ณ ตอนนี้อยู่ระหว่างการเจรจาความร่วมมือในการวิจัยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”     เทคโนโลยีตรวจสอบบริการดิจิทัล นอกจากการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนให้คนพิการและผู้สูงอายุการเข้าถึงการสื่อสารและข้อมูลสารสนเทศได้อย่างเท่าเทียมแล้ว อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ ‘เทคโนโลยีสำหรับตรวจสอบการเข้าถึงสื่อและบริการว่าเอื้อให้เกิดการเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมจริงหรือไม่’ ดร.ณัฐนันท์ เล่าว่า อีกหนึ่งภารกิจที่ สวทช. มีแผนเริ่มดำเนินการในช่วงปี 2567 คือ การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับตรวจสอบการให้บริการสื่อหรือบริการดิจิทัล โดยแบ่งการตรวจสอบออกเป็น 3 ส่วน คือ โมไบล์แอปพลิเคชัน เว็บแอปพลิเคชัน และการออกอากาศรายการโทรทัศน์ “โดยในส่วนของโมไบล์แอปพลิเคชันจะพัฒนาเป็น ‘ชุดคู่มือสำหรับตรวจสอบการเข้าถึงการใช้งานแอปพลิเคชัน’ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการใช้บริการได้อย่างสะดวก (ไม่สามารถพัฒนาระบบอัตโนมัติในการตรวจสอบได้ เนื่องจากมีความหลากหลายของซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันสูง) ทางด้านเว็บแอปพลิเคชันจะพัฒนาเป็น ‘ซอฟต์แวร์สำหรับตรวจสอบโคด (code) ของเว็บไซต์’ ว่าเอื้อให้คนทุกคนเข้าถึงการใช้บริการได้อย่างสะดวกหรือไม่ และในส่วนของการออกอากาศรายการโทรทัศน์ จะพัฒนาเป็นเทคโนโลยีสำหรับตรวจสอบ ‘บริการล่ามภาษามือ บริการคำบรรยายแทนเสียง และบริการเสียงบรรยายภาพ’ ตามที่ กสทช. กำหนดแบบอัตโนมัติ     ทั้งนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเดินหน้าควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบตรวจสอบ คือ การพัฒนาชุดองค์ความรู้ด้านการออกแบบสื่อและระบบบริการดิจิทัลในรูปแบบที่คนพิการหรือผู้สูงอายุเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศหรือการใช้บริการระบบดิจิทัลได้สะดวกและมีความเท่าเทียม สำหรับใช้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตสื่อและระบบบริการอย่างเหมาะสม ดร.ณัฐนันท์ เสริมว่า เพื่อสนับสนุนให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาสื่อออนไลน์และระบบบริการดิจิทัลมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง digital inclusion อย่างถ่องแท้ สวทช. มีแผนร่วมดำเนินงานกับสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) จัดอบรมให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมดิจิทัล ภายในปี 2567 ก่อนที่ในปี 2568 จะดำเนินการผลักดันนโยบายให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร. ใช้เทคโนโลยีและชุดองค์ความรู้ที่ สวทช. พัฒนาขึ้น เพื่อตรวจสอบเนื้อหาสื่อออนไลน์และระบบบริการดิจิทัลของภาครัฐว่าคนพิการและผู้สูงอายุสามารถเข้าร่วมใช้ประโยชน์จากสื่อต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพ (หรือตามที่กำหนดให้ควรเข้าถึงได้) ได้อย่างเท่าเทียมหรือไม่ต่อไป ส่วนทางด้านการออกอากาศรายการโทรทัศน์ สวทช. มีแผนร่วมดำเนินงานกับ กสทช. สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย และสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย ใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบการออกอากาศรายการโทรทัศน์ของช่องทีวีดิจิทัลต่าง ๆ ตามข้อกำหนดด้านการออกอากาศของ กสทช.   จากทั้ง 4 เทคโนโลยีหลักที่ สวทช. และพันธมิตรเปิดให้บริการหรือกำลังพัฒนาเพื่อให้บริการภายใต้การดำเนินงานผ่านแพลตฟอร์ม AI-C คณะทำงานมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้มีผู้ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาเทคโนโลยีไม่ต่ำกว่า 14 ล้านคน ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือประมาณปี 2571 ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล “เมื่อไหร่ก็ตามที่คนพิการและผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงการสื่อสารและบริการดิจิทัลต่าง ๆ ได้ ‘ประโยชน์ทั้งด้านการเรียนรู้ การประกอบอาชีพ และการดำรงชีพ จะเกิดขึ้นในทันที” ดร.ณัฐนันท์ กล่าวทิ้งท้าย   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ TTRS
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น