ผลการค้นหา :
งานสัมมนา “การบริหารจัดการภาษีคาร์บอนให้เป็นผลกำไร” : Turning Carbon Tax Management into Profit!
FDI Group ร่วมกับ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ภายใต้การดูแลของ สวทช. เพื่อให้ผู้ประกอบการ ได้เห็นความสำคัญของการเตรียมพร้อมและรับมือในการวางแผนภาษีคาร์บอน
ในงานสัมมนา “การบริหารจัดการภาษีคาร์บอนให้เป็นผลกำไร” : Turning Carbon Tax Management into Profit!
.
วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2567
08.30 - 17.00 น.
ห้องประชุม Auditorium ชั้น 3 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช.
Ticket Price : 1,800 บาท (ราคานี้รวมอาหารและเครื่องดื่มภายในงาน)
พิเศษ! ซื้อ 1 แถม 1 **สำหรับสมาชิกของ NSTDA, TSP , FTI , FDI และเครือข่าย**
.
ร่วมฟังบรรยายพิเศษกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจากภาครัฐและภาคเอกชนชั้นนำ
อุปสรรคการจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และความท้าทายของผู้ประกอบการ
Green Technology and Trend
สิทธิประโยชน์ในการจัดการก๊าซเรือนกระจกและแนวทางการวางแผนภาษีที่เกี่ยวข้องกับก๊าซเรือนกระจก
การวางแผนภาษีคาร์บอนให้เหมาะสมกับธุรกิจอุตสาหกรรมนำเข้าและส่งออก
ข้อกำหนด CBAM และข้อกำหนดอื่นๆในระแวกเพื่อนบ้าน
เสวนา 1 Case Study : Success story จากการปรับปรุงการจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในไทย
เสวนา 2 Case Study : Technology Success คาร์บอนฟุตพริ้นท์ในไทย
กิจกรรม Special Consulting ( ฟรี สำหรับผู้ลงทะเบียนล่วงหน้า 10 ท่านแรก ! )
.
จำนวนที่นั่งจำกัด! สำรองที่นั่งได้ที่ https://forms.gle/K8oDGJYjUgzDBAc79
.
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sciencepark.or.th/.../fdi-turning-carbon-tax.../
ดูน้อยลง
ปฏิทินกิจกรรม
เอ็มเทค สวทช. ผนึกกำลัง ส.อ.ท. จัดทำฐานข้อมูลกลางด้านสิ่งแวดล้อม กลุ่มอุตสาหกรรม เหล็ก รองรับมาตรการ CBAM
(9 กุมภาพันธ์ 2567) ณ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย รศ.ดร. เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พร้อมด้วย นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมลงนามความร่วมมือการจัดทำฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก
เพื่อรองรับมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) โดยมีนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมเป็นสักขีพยาน และกล่าวแสดงความยินดี
รศ.ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินวัฏจักรชีวิต หรือ Life Cycle Assessment (LCA) ของกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมเหล็ก โดยประเมินจากข้อมูลบัญชีรายการสิ่งแวดล้อม หรือ Life Cycle Inventory (LCI) เก็บข้อมูลจริงจากโรงงาน (Field Collection) และใช้แบบจำลองในการศึกษาจากข้อมูลที่เก็บได้ในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก เพื่อเป็นตัวแทนของข้อมูลภาคการผลิตในอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศอย่างเป็นระบบ โดยทีมวิจัยสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้การดูแลของ เอ็มเทค สวทช.และบริษัทที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 7 โรงงาน ประกอบด้วยเหล็กแผ่น 4 โรงงาน ท่อเหล็ก 1 โรงงาน ลวดเหล็ก 1 โรงงานและเหล็กรูปพรรณ 1 โรงงาน โดยจะร่วมกันศึกษารายการสารขาเข้าและสารขาออกของแต่ละกระบวนการผลิต เพื่อวิเคราะห์ส่วนที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาในแต่ละกระบวนการ เพื่อเป็นการสร้างโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต ตลอดจนสามารถทราบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการผลิตรวมถึงผลพลอยได้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกระบวนการผลิตในอนาคต ทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปีค.ศ.2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2065ต่อไป
“เอ็มเทค สวทช. มีพันธกิจในการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนถ่ายทอดองค์ความรู้สำหรับการประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรม ชุมชน และสังคม เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ การดำเนินงานในการจัดทำฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมรองรับมาตรการ CBAM ภายใต้ความร่วมมือนี้ จะสะท้อนให้เห็นถึงการตื่นตัวต่อมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะดำเนินการโดยสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สำหรับวิเคราะห์ข้อมูล สร้างโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อันนำไปสู่แนวทางในการปรับปรุงการผลิตที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”
ด้าน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหล็ก เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ปัจจุบันนี้ แนวโน้มและทิศทางของการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมมีการแข่งขันกันสูงมาก โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การบริหารจัดการต้นทุนในกระบวนการผลิต เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยอุตสาหกรรมจะเข้าสู่ “Green Steel” ที่จะต้องเน้นความยั่งยืน พลังงานสะอาด และรักษ์โลก หนึ่งในมาตรการสำคัญ คือ มาตรการ CBAM (Carbon Boarder Adjustment Mechanism) ซึ่งทาง EU ได้ประกาศใช้แล้วช่วงต้นเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นมาตรการที่มีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเหล็ก เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งมีการส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปไปสหภาพยุโรป (27 ประเทศ) ในปี 2566 มีมูลค่า 2,466 ล้านบาท และมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 4.3% จากมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยผู้ประกอบการจะต้องหาแนวทางเพื่อปรับรูปแบบการผลิต การผลิต เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับมาตรการดังกล่าว
“สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมไทยยกระดับภาคอุตสาหกรรมภายใต้นโยบาย ONE FTI จากอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industries) ที่ประกอบด้วย 46 กลุ่มอุตสาหกรรมและ 11 คลัสเตอร์ ครอบคลุม 76 จังหวัด สู่อุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย ส.อ.ท. มีการจัดตั้งสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Institute: CCI) เพื่อให้องค์ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับ Carbon Footprint of Product (CFP) และ Carbon Footprint for Organization (CFO) นำเสนอความเห็นต่อภาครัฐเพื่อให้ประเทศไทยเตรียมความพร้อมต่อมาตรการสิ่งแวดล้อมจากต่างประเทศ เช่น CBAM มีการจัดทำ FTIX แพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิต นอกจากนี้ ส.อ.ท. เห็นว่า หากกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ มีการศึกษาและจัดทำฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิตและการพัฒนาต่อยอดเพื่อมุ่งไปสู่การพัฒนา Green Products และฉลากสิ่งแวดล้อมต่อไป” นายเกรียงไกร กล่าว
นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท. กล่าวว่า “ภาพรวมของการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็ก และสถานการณ์ของการแข่งขันทางธุรกิจในอุตสาหกรรมเหล็กตามที่ทุกท่านทราบหรือรับรู้จากข่าวสารต่างๆ ที่มุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการผลิตที่มุ่งสู่ Green Steel และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทางกลุ่มเหล็กได้ตระหนักในความสำคัญและมุ่งมั่นในการส่งเสริม สนับสนุนสมาชิกของกลุ่มเหล็กในการเตรียมความพร้อมขององค์กรและกระบวนการผลิตเหล็ก เพื่อรองรับการมุ่งสู่ Green and Circular Economy โดยเริ่มต้นจากการศึกษาและจัดทำฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์เหล็ก โดยโครงการฯ ได้รับความสนใจจากสมาชิกของกลุ่มฯ เป็นอย่างมาก การจัดทำฐานข้อมูลของอุตสาหกรรมเหล็ก แบบ Gate to Gate และ Cradle to Gate ที่เป็นตัวแทนของข้อมูลภาคการผลิตเหล็กของไทย มีเป้าหมายการจัดทำฐานข้อมูลของผู้ประกอบการทั้งกลุ่มเหล็กทรงยาว (Long products) 2 ฐานข้อมูล และกลุ่มทรงแบน (Flat products) จำนวน 5 ฐานข้อมูล รวมทั้งสิ้น 7 ฐานข้อมูล”
ทั้งนี้ พิธีลงนามสัญญาร่วมวิจัยเป็นความร่วมมือในการจัดทำบัญชีรายการสิ่งแวดล้อมตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Inventory: LCI) ที่เป็นฐานข้อมูลแบบ Gate-to-Gate และ Cradle to gate ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก (พิจารณาตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงผลิตภัณฑ์ที่ออกจากโรงงาน) ประเมินข้อมูลผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อหน่วยของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ และบริษัทที่เข้าร่วมต้องทำการร่วมเก็บข้อมูลการผลิตย้อนหลังจำนวน 12 เดือน เพื่อให้ได้ข้อมูลเฉลี่ยตามการผลิตจริง ซึ่งจะพิจารณาตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงผลิตภัณฑ์ที่ออกจากโรงงาน
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. พร้อมพันธมิตร ร่วมอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยี และแนวทางการใช้ ChatGPT และเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ ปี 67
(8 กุมภาพันธ์ 2567) ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 3 อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ร่วมกับองค์กรพันธมิตร ได้แก่ สถาบันไอเอ็มซี สมาคมอุตสาหกรรมชอฟต์แวร์ไทย วิทยาลัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ บริษัท โค้ดคิท อินโนเวชั่น จำกัด และบริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ จำกัด จัดงานสัมมนาหัวข้อ "Top 10 Technology & Cyber Security Trends and Updates 2024"
เพื่ออัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่น่าจับตามองในปี 2567 รวมถึงแนวทางการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ภาคธุรกิจและประชาชนต้องระวังเพื่อลดความเสี่ยงในการสูญเสียทั้งต่อตัวบุคคลและองค์กร พร้อมเผยวิธีการประยุกต์ใช้เครื่องมือ Generative AI อย่าง ChatGPT เพื่อเพิมประสิทธิภาพในด้านการทำงานและด้านการศึกษา และเทรนด์ของ Cross Platform Development ที่โปรแกรมเมอร์ควรทราบ โดยภายในกิจกรรมสัมมนาได้รับเกียรติจาก ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ รองผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานเปิดงาน
ผศ. ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. มีภารกิจในการพัฒนา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เพื่อสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญในการพัฒนาประเทศ ขับเคลื่อนประเทศผ่านเครือข่ายความร่วมมือทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนทั่วประเทศ สวทช. มีเครื่องมือ บุคลากร และบริการที่พร้อมให้การสนับสนุนและผลักดันการสร้างผู้ประกอบการ การพัฒนาบุคลากร การจ้างงาน ทั้งยังมีโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) และ Food Innopolis อีกทั้งโปรแกรมต่าง ๆ ที่ช่วยสนับสนุนและยกระดับสร้างความเข้มแข็งให้กับทั้งบุคลากร SME สตาร์ตอัป และภาคอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ให้สามารถแข่งขันบนเวทีระดับโลกได้ โดยในปีนี้ สวทช. วางแผนผลักดันเรื่อง BCG Implementation เป็นภารกิจสำคัญ เพื่อมุ่งเน้นการตอบสนองต่อเป้า BCG ของประเทศทั้ง 4 มิติ ได้แก่ การเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การสร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการพึ่งพาตนเอง
สำหรับการสัมมนาหัวข้อ Top 10 Technology & Cyber Security Trends and Updates เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นทุกปี ร่วมกับองค์กรพันธมิตรเพื่ออัปเดตแนวทาง แบ่งปันและถ่ายทอดความรู้เรื่องแนวโน้มของเทรนด์เทคโนโลยี และภัยคุกคามทางดิจิทัลที่ต้องติดตามเฝ้าระวัง รวมไปถึงให้ความรู้ด้านอาชีพและทักษะที่ตลาดแรงงานของอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งเป็นที่ต้องการในปี 2567 เพื่อให้องค์กรและบุคลากรที่อยู่ในอุตสาหกรรมดิจิทัล ได้มีแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์ วางแผน และเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง
โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ทางซอฟต์แวร์พาร์คจัดกิจกรรมอบรมและสัมมนา เพื่อพัฒนาบุคลากรทางด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลมากกว่า 2,500 ราย ผ่านหลักสูตรและโปรแกรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้บริหารระดับสูง นักพัฒนา หรือกลุ่มผู้ที่ต้องการได้รับประกาศนียบัตรในระดับสากล นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมสนับสนุนผู้ประกอบการทางธุรกิจเทคโนโลยี ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและมีศักยภาพเพื่อรองรับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และดิจิทัลของประเทศ และรวมไปถึงบริการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ให้บริการพื้นที่สำนักงาน ห้องอบรม/สัมมนา และ ARI Co-InnoSpace
ภายในงานสัมมนาฯ ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ สถาบันไอเอ็มซี ได้เล่าถึงความน่าสนใจเกี่ยวกับ Top 10 Technology และแนวโน้มเทคโนโลยีดิจิทัลในปี 2024 นายสมหมาย กรังพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท พี เอ็น พี โซลูชั่น จำกัด และกรรมการสมาคมอุตสาหกรรมชอฟต์แวร์ไทย (ATSI) อัปเดตถึง Development Platform ที่บุคลากรในสายไอทีและโปรแกรมเมอร์จำเป็นต้องรู้
นายไพบูลย์ พนัสบดี CTO บริษัท โค้ดคิท อินโนเวชั่น จำกัด และ ดร.เด่นเดช รักษ์รัตนตรัย วิทยาลัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือ Generative AI อย่าง ChatGPT เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในด้านการทำงานขององค์กรและด้านการศึกษา ปิดท้ายด้วย นายปริญญา หอมเอนก ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ จำกัด ได้เล่าถึงความน่ากลัวของภัยคุกคามทางไซเบอร์
สำหรับผู้สนใจในบริการทางด้านการพัฒนาบุคลากร หรือพัฒนาผู้ประกอบการ หรือกิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงบริการด้านพื้นที่ของทางเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติม และติดตามรายละเอียดได้ที่เฟซบุ๊ก: Software Park Thailand เว็บไซต์ swpark.or.th หรือ โทร. 02-583-9992, 02-564-7000
ข่าวประชาสัมพันธ์
เกษตรกรเฮ ปลูกถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML สร้างรายได้ไม่ธรรมดา สวทช.-พันธมิตร หนุนปลูกครบวงจร ใช้กลไก ‘ตลาดนำการผลิต’ เอกชนรับซื้อถึงแปลง
(วันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ 2567) ณ จังหวัดอำนาจเจริญ และ จังหวัดศรีสะเกษ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ร่วมกิจกรรมสื่อมวลชนสัญจร (Press Tour) เพื่อเยี่ยมชมความสำเร็จโครงการการขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต เป็นโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. ปีงบประมาณ 2566
นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ได้สนับสนุนทุนวิจัยให้ ศาสตราจารย์ ดร.พีระศักดิ์ ศรีนิเวศน์ และ รศ. ดร.ประกิจ สมท่า จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิจัยและพัฒนาพันธุ์ถั่วเขียวจนได้สายพันธุ์ KUML#1-5 และ 8 ที่มีลักษณะเด่น คือ เมล็ดขนาดใหญ่ สุกแก่เร็ว ให้ผลผลิตได้สูงถึง 300 กิโลกรัม (กก.) /ไร่ ที่สำคัญต้านทานโรคราแป้งและใบจุดได้ดี นอกจากนี้ สวทช. ยังได้ร่วมมือกับ รศ.ดร.ประกิจ สมท่า และ ผศ.ดร.กนกวรรณ เที่ยงธรรม ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (วิทยาเขตกำแพงแสน) จ.นครปฐม ขยายผลการผลิตถั่วเขียว KUML ด้วยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เกษตรกรทั่วประเทศ
เพื่อพัฒนากลุ่มผู้ผลิตถั่วเขียวให้มีผลผลิตสูงและมีคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาดถั่วเขียวทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้กลไกตลาดนำการผลิต (Inclusive Innovation) เพื่อแก้ปัญหาของเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียวในประเทศไทย เรื่องการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ (seed) คุณภาพดี เกษตรกรขาดความรู้ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และปัญหาเรื่องตลาดรับซื้อผลผลิต ปัจจุบันเกษตรกรนิยมนำถั่วเขียว KUML ไปปลูกเป็นพืชหลังนาเพื่อปรับปรุงดิน ทั้งยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนของ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ที่ต้องทำทันที คือ การนำนวัตกรรมมาแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชน อาทิ การจัดการภัยแล้ง และนวัตกรรมแก้จน เป็นต้น รวมถึงการพัฒนาเชิงพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภูมิภาค และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)
นางสาวณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สท. สวทช. กล่าวเสริมว่า ด้วยประเทศไทยประสบภาวะสภาพภูมิอากาศแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำ รัฐบาลส่งเสริมให้ลดการทำนาปรัง โดยให้ปลูกพืชทนแล้งหรือพืชที่ใช้น้ำน้อยทนแทนการทำนาปรัง พืชตระกูลถั่วนับเป็นพืชที่มีความสำคัญ เพราะเป็นพืชอายุสั้น ใช้น้ำน้อย ช่วยตัดวงจนชีวิตโรคแมลงในพื้นที่นาข้าว และช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน นอกจากนี้พืชตระกูลถั่วยังเป็นพืชที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศทั้งใช้ในการบริโภคและเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมแปรรูปต่าง ๆ แต่ผลผลิตพืชตระกูลถั่วในประเทศมีไม่เพียงพอ ต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศปีละหลายหมื่นล้านบาท เนื่องจากพื้นที่การเพาะปลูกมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2566 พบว่าประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกถั่วเหลือง ถั่วเขียว และถั่วลิสง จำนวน 81,190 ไร่ 713,437 ไร่ และ 71,088 ไร่ ปริมาณผลผลิต 22,252 ตัน 108,467 ตัน 25,652 ตัน และปริมาณการนำเข้า 2,684 ตัน 33,472 ตัน และ 9,943 ตัน ตามลำดับ ทั้งนี้ในด้านเศรษฐกิจของประเทศ ถั่วเขียวถือเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งวุ้นเส้น ไส้ขนม ขนมหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหาร Plant-Based ที่ผู้บริโภคทั่วโลกมีแนวโน้มบริโภคโปรตีนจากพืชมากขึ้น เพราะถั่วเขียวมีโปรตีนสูง จึงเป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่สำคัญของอาหารแห่งอนาคตนี้
จากปัญหาและความต้องการข้างต้น ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สท. สวทช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน และกรมส่งเสริมการเกษตร ขยายผลถั่วเขียวสายพันธุ์ KUML โดย ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และใช้กลไก “ตลาดนำการผลิต” ดำเนินงานร่วมกับภาคเอกชน บริษัท กิตติทัต จำกัด ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันและยกระดับกลุ่มเกษตรกรในการบริหารจัดการ กำหนดมาตรฐานและราคาถั่วเขียว KUML รับซื้อผลผลิตถั่วเขียวปลอดภัย ในจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ โดยปริมาณความต้องการผลผลิตถั่วเขียวเพื่อแปรรูปเป็นถั่วกะเทาะซีก ปีละ 4,000 ตัน และบริษัท ข้าวดินดี จำกัด รับซื้อผลผลิตถั่วเขียวอินทรีย์ ในจังหวัดอำนาจเจริญ โดยปริมาณความต้องการผลผลิตถั่วเขียวเพื่อแปรรูปเป็นพาสต้าถั่วเขียวอินทรีย์ ปีละ 20 ตัน ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML จะดำเนินงานร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัด หรือกรมส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่
โดยมีการพัฒนาต้นแบบเกษตรกร แปลงเรียนรู้ และพื้นที่ต้นแบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวในระดับชุมชน มุ่งหวังการสร้างกลุ่มผู้ผลิตถั่วเขียวสามารถป้อนถั่วเขียวเข้าโรงงานอุตสาหกรรมที่มีผลผลิตสูง (Grain) ตรงกับความต้องการของตลาด และสร้างกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวระดับชุมชน (Seed) สามารถลดการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดีมีคุณภาพ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการดำเนินงาน
นายอดุลย์ โคลนพันธ์ เกษตรกรแกนนำ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง ต.โพนเมืองน้อย อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ กล่าวว่า กลุ่มเกษตรกรปลูกถั่วเขียว KUML ซึ่งเป็นพืชหลังนามีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมเท่าตัว จากเดิมปลูกถั่วเขียวพันธุ์ทั่วไป เหลือขายเล็กน้อยมีรายได้เฉลี่ยต่อไร่เพียง 1,500 บาท เมื่อได้เรียนรู้กระบวนการปลูกและองค์ความรู้จาก สวทช. และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเข้ามาถ่ายทอดขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML แบบครบวงจร ตั้งแต่การปลูก การดูแล และการเก็บเกี่ยว ทำให้ผลผลิตที่ได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวมีรายได้เฉลี่ย 3,000 บาทต่อไร่ ซึ่งถือว่ามีรายได้เพิ่มจากการเก็บเกี่ยวข้าวพักแปลงนา โดยตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่เกษตรกรปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา (มกราคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี)
นอกจากจะมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้ว สภาพดินก็ดีขึ้น ส่งผลให้การปลูกข้าวในรอบฤดูปลูกถัดไป มีผลผลิตเพิ่มขึ้นและคุณภาพดีขึ้นต่อเนื่อง และลดการใส่ปุ๋ยในนาข้าวได้เกินครึ่ง โดยมีภาคเอกชนอย่าง บริษัท ข้าว ดิน ดี จำกัด รับซื้อผลผลิตถั่วเขียวจากเกษตรกรในจังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกถั่วเขียวอินทรีย์สายพันธุ์ KUML ในราคากิโลกรัมละ 40 บาท ไปผลิตและแปรรูปเป็นพาสต้าออร์แกนิกส์ส่งขายทั้งในและต่างประเทศ และกลุ่มยังสามารถขายเมล็ดถั่วเขียว (grain) ให้กับผู้บริโภคภายใต้บริษัท บ้านต้นข้าว จำกัด ของกลุ่มในราคากิโลกรัมละ 80 บาท และที่สำคัญกลุ่มสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว (seed) ไว้ใช้เอง เพื่อนำต้นทุนการซื้อเมล็ดพันธุ์ในการปลูกฤดูกาลถัดไป และเกิดความยั่งยืน
ศรีสะเกษ-สวทช. ปูพรมยกระดับรายได้เกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาฯ ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG
นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวถึงการสนับสนุนเกษตรกรและผลักดันหน่วยงานในจังหวัดตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG ร่วมกับ สวทช. ว่า จังหวัดศรีสะเกษขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้โครงการการพัฒนาเศรษฐกิจด้วย BCG Model พื้นที่นำร่องทุ่งกุลาร้องไห้ สร้างเศรษฐกิจใหม่จากฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนและเชื่อมโยงการท่องเที่ยว มาตั้งแต่ปี 2564 โดยมีโจทย์นำร่องในเรื่อง ข้าว พืชหลังนา และสิ่งทอ นอกจากนี้ยังมีเรื่องสมุนไพร ผักอินทรีย์ โคเนื้อ ที่ สวทช. และหน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ขับเคลื่อนในการนำองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ และเกษตรกรในจังหวัด โดยใช้กลไกโมเดลเศรษฐกิจ BCG เข้ามาขับเคลื่อนร่วมกัน
อย่างไรก็ดีจังหวัดศรีสะเกษถือเป็นดินแดนมหัศจรรย์ ที่เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน โดยมีพื้นที่ปลูกข้าวนาปี ทั้งสิ้น 3,000,799 ไร่ เกษตรกรผู้ผลิตข้าวจำนวน 235,558 ครัวเรือน ผลผลิตเฉลี่ย 405.23 กิโลกรัม/ไร่ โดยตั้งแต่ปี 2564 จังหวัดได้ส่งเสริมปลูกพืชหลังนา ได้แก่ ถั่วเขียวพันธุ์ KUML ซึ่ง สวทช. เป็นแกนหลัก เข้ามาขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานในจังหวัด ได้แก่ สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ ให้เกษตรกรในพื้นที่ทดลองปลูกถั่วเขียว KUML และพบว่าสามารถปลูกได้ในพื้นที่ศรีสะเกษ มีกลไกที่ชัดเจนในการใช้ตลาดนำการผลิต ซึ่งตลาดยังมีความต้องการถั่วเขียวพันธุ์ KUML จำนวนมากถึง 4,000 ตันต่อปี คิดเป็นพื้นที่ปลูก 20,000 ไร่ มีศักยภาพที่จะส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่ปลูกถั่วเขียวพันธุ์ KUML นอกจากนี้จังหวัดศรีสะเกษยังมีตลาดรับซื้อในพื้นที่ ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิริบูรณ์จงเจริญไพศาล ซึ่งเป็นเครือข่ายของ บริษัท กิตติทัต จำกัด
“จังหวัดศรีสะเกษมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุน สวทช. ในการขยายพื้นที่ปลูกถั่วเขียวในจังหวัด โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณที่ สวทช. มาช่วยสนับสนุนทั้งองค์ความรู้ เทคโนโลยี ให้กับเจ้าหน้าที่เกษตรโดยเป็นพี่เลี้ยงในพื้นที่ ติดตามให้คำแนะนำแก่เกษตรกรที่จะปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา และถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีให้กับเกษตรกร จนสามารถผลักดันให้มีแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML คุณภาพดีในจังหวัด ที่ไม่ต้องหาซื้อจากภายนอกซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มและพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น เพื่อความยั่งยืนในการขยายพื้นที่ปลูกในจังหวัดศรีสะเกษที่จะช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นไป”
นายวีรศักดิ์ บุญเชิญ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเสริมว่า กลุ่มส่งเสริมพืชน้ำมันและพืชตระกูลถั่ว สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับ สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน ในการส่งเสริมการขยายผลถั่วเขียวสายพันธุ์ KUML ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี เพชรบูรณ์ ศรีสะเกษ โดยได้ผลการตอบรับจากเกษตรกรเป็นอย่างดี โดยในปี 2567 ได้วางแผนการขยายผลถั่วเขียวสายพันธุ์ KUML ผ่านกิจกรรมการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML แบบครบวงจร โดยใช้กลไก “ตลาดนำการผลิต” โดยจะดำเนินงานใน 4 จังหวัดนำร่อง คือ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดเพชรบูรณ์ พะเยา และร้อยเอ็ด และจะขยายผลให้ครอบคลุมใน 5 จังหวัดพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น ด้านการเกษตร แผนแม่บทย่อย: เกษตรปลอดภัย โดยโครงการที่ร่วมมือกันนี้ จะมีการพัฒนาต้นแบบเกษตรกร แปลงเรียนรู้ และพื้นที่ต้นแบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวในระดับชุมชน โดยมุ่งหวังการส่งเสริมเกษตรกรให้เป็นผู้ผลิตถั่วเขียวเข้าโรงงานอุตสาหกรรมที่มีผลผลิตสูง (Grain) ตรงกับความต้องการของตลาด และสร้างกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวระดับชุมชน (Seed) ที่สามารถลดการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดีมีคุณภาพ
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. โดย ไบโอเทค-เอ็มเทคได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี 2566 จำนวน 3 โครงการ ด้านรถไฟความเร็วสูง มันสำปะหลังและเห็ด
5 กุมภาพันธ์ 2567 – ณ โรงแรมสุโกศล กรุงเทพฯ: นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และนายอู๋ จื้ออยู่ (Mr. Wu Zhiwu) อัครราชทูตและรองหัวหน้าสำนักงาน สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เป็นประธานร่วมกล่าวเปิดงานการประชุมปฏิบัติการเพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี 2566
พร้อมด้วยนายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัด อว. น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ประธานคณะทำงาน รมว.อว. และ น.ส.จันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง เข้าร่วมงาน โดย อว. ได้รับงบประมาณจากกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง จำนวนทั้งหมด 13 โครงการ ในวงเงินงบประมาณรวม 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 103 ล้านบาท
ทั้งนี้ สวทช. ได้รับทุนสนับสนุน จำนวน 3 โครงการ ได้แก่
1) โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมในประเทศและการจัดเตรียมร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ตามข้อกำหนดของโครงการรถไฟความเร็วสูง (Technological Capability Enhancement of Local Industries and Product Standardization Initiative in Accordance with High-speed Railway Project Requirements) โดย กลุ่มวิจัยระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ เอ็มเทค
2) การส่งเสริมการผลิตมันสำปะหลังที่ยั่งยืนในประเทศแถบลุ่มน้ำโขงผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลังและการผลิตท่อนพันธุ์ปลอดโรค (Promotion of sustainable cassava production in the Mekong region through dissemination of cassava mosaic disease diagnostic and clean cassava seed production technologies) โดย กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการค้นหาสารชีวภาพ ไบโอเทค
3) การถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเห็ดบริโภคได้เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเกษตรที่ยั่งยืนระหว่างประเทศในภูมิภาคแม่น้ำโขง (Technology transfer and knowledge exchange on edible mushrooms for economic and agriculture sustainable development among countries in the Mekong region) กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ไบโอเทค
ทีมวิจัยจากไบโอเทค-เอ็มเทค สวทช.
กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 6 ประเทศสมาชิก ประกอบด้วย ไทย จีน กัมพูชา เมียนมา ลาว และเวียดนาม และเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศสมาชิกลุ่มน้ำโขง ในกรอบการพัฒนาด้านความเชื่อมโยง การพัฒนาศักยภาพในการผลิต เศรษฐกิจข้ามพรมแดน ทรัพยากรน้ำ การเกษตรและการขจัดความยากจน
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อเยาวชน เท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในงานวันนักประดิษฐ์ 2567
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพสูง และ NSTDA Shop สวทช. ร่วมจัดกิจกรรมเสริมทักษะเยาวชนเพื่อเป็นการส่งเสริมทักษะของเยาวชนไทยให้เท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเข้าถึงการเรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ ในงานวันนักประดิษฐ์ 2567 Thailand Inventors’ Day 2024 ภายใต้แนวคิด “สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมนำประเทศ”
ทั้งนี้กิจกรรมแบ่งออกเป็น 2 กิจกรรมในช่วงเช้าและบ่าย โดยช่วงเช้ากิจกรรม “การสร้างแชตบอตที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจของคุณ” (Creating Effective Chatbot for your business) เป็นการเปิดมุมมองและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแชตบอตในการทำงาน ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน และฝึกปฏิบัติออกแบบและพัฒนาระบบแชตบอตที่ใช้งานได้จริงและสอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจ โดยวิศวกรวิจัย จากกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ทีมวิจัยการเข้าใจเสียงและข้อความ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช.
สำหรับช่วงบ่ายเป็นการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านเกม “ชื่อและสมบัติของธาตุทางเคมี” (Game-based Learning in Science : Name and Properties of Chemical Elements) เป็นกิจกรรมที่ใช้สื่อเสริมทักษะการใช้ตารางธาตุสำหรับนักเรียน ในรูปแบบของเกมการ์ด 2 รูปแบบ ได้แก่ การเขียนชื่อหรือคำศัพท์ด้วยสัญลักษณ์จากตารางธาตุ (Magna Periodica) และการแข่งขันกันด้วยบัตรคำชื่อธาตุบนแผ่นกระดานตารางธาตุ (Eka Periodica) ซึ่งเป็นสื่อการเรียนรู้ที่พัฒนาโดย สวทช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล โดยทั้ง 2 กิจกรรมได้รับความสนใจจากเยาวชน ครูอาจารย์ และผู้ปกครอง รวมกว่า 80 คน
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช.-อว. ชี้ “น้ำไม่ใช่เชื้อเพลิง” ไม่สามารถใช้แทนน้ำมันในรถยนต์เชื้อเพลิงสันดาปได้
จากที่มีข่าวในสื่อสังคมออนไลน์และเว็บไซต์ต่าง ๆ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ในเรื่อง หนุ่มวิศวกรชาว จ.ระยอง คิดค้นรถยนต์ใช้น้ำเปล่าเป็นเชื้อเพลิงร่วม เติมลงในรถยนต์เครื่องสันดาป และมีบุคลากรของสำนักงานปลัดฯ และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ไปตรวจสอบการใช้งานนั้น
สวทช. ขอให้ข้อมูลในประเด็นข่าวดังกล่าวว่า อย่าเข้าใจผิดว่าใช้น้ำเป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมัน หรือใช้ร่วมกับน้ำมันเพื่อประหยัดน้ำมันได้ การใช้ละอองน้ำขนาดเล็กในระบบแยกต่างหากที่ควบคุมอย่างดี เพื่อลดอุณหภูมิอากาศทำให้อากาศที่ส่งเข้าไปจุดระเบิดหนาแน่นขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการจุดระเบิด เพื่อใช้ในเครื่องสันดาปหรือที่เรียกว่า “water injection” นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการใช้กันในกลุ่มแต่งรถมานานแล้ว น้ำจะช่วยลดอุณหภูมิขณะจุดระเบิด โดยเฉพาะเครื่องเทอร์โบชาร์จ หรือ เครื่องซุปเปอร์ชาร์จ เมื่อใช้เหมาะสมอาจจะทำให้จูนเครื่องได้ดีขึ้นและเพิ่มความสมบูรณ์ของการเผาไหม้ได้ แต่ถ้าใช้ไม่เหมาะสมก็ลดประสิทธิภาพให้แย่ลง และเป็นอันตรายกับเครื่องยนต์ได้มาก มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายได้ บริษัทรถยนต์จึงไม่ได้แนะนำให้ใช้ เช่น หากน้ำไม่เป็นละอองเล็กพอจะทำให้เครื่องสะดุดและอาจจะถึงกับเครื่องพังได้ และน้ำที่หลงเหลือจะทำให้เครื่องยนต์เป็นสนิมและอุดตันได้ง่าย เป็นต้น นอกจากนี้รถยนต์บ้านที่ใช้กันอยู่ โดยเฉพาะรถรุ่นใหม่ ๆ ได้ถูกปรับแต่งและพัฒนาด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ จนมีประสิทธิภาพการใช้น้ำมันสูงมาก ๆ แล้ว แทบไม่มีโอกาสที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันอีก การเติมน้ำสำหรับรถยนต์บ้านจึงมีโอกาสเกิดผลเสียมากกว่าผลดี
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
นักวิจัย สวทช. สุดเจ๋ง รวมทัพรับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2567
(2 กุมภาพันธ์ 2567) ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ทรงเปิดงาน “วันนักประดิษฐ์ 2567 Thailand Inventors’ Day 2024” พร้อมพระราชทานเกียรติบัตรให้แก่ผู้ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2567 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมนำประเทศ” จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 24 เพื่อน้อมรำลึกถึงวันประวัติศาสตร์ การทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ “กังหันน้ำชัยพัฒนา” แด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร์ มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” โดยปีนี้มีผลงานสิ่งประดิษฐ์คิดค้นจากนักประดิษฐ์ไทยและนานาชาติ ร่วมนำเสนอผลงานกว่า 1,000 ผลงาน ระหว่างวันที่ 2-6 กุมภาพันธ์ 2567
ในโอกาสนี้ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผู้บริหารร่วมแสดงความยินดีกับนักวิจัย สวทช. ที่ได้รับรางวัลในสาขาต่าง ๆ รวม 23 รางวัล แบ่งออกเป็น 3 ประเภทรางวัล ดังนี้
รางวัลผลงานวิจัย จำนวน 12 รางวัล
1.1 ดร.ณัฎฐิกา แสงกฤช และคณะ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ผลงานวิจัยเรื่อง “ระบบนำส่งยาแบบแม่นยำเพื่อการรักษาโรคมะเร็งระบบประสาทส่วนกลาง” รางวัลระดับดีมาก สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์
1.2 ดร.วณิลดา รุ่งรัศมี และคณะ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ผลงานวิจัยเรื่อง “ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มประชากรแบคทีเรียในลำไส้ต่อระบภูมิคุ้มกันในกุ้ง” รางวัลระดับดีมาก สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา
1.3 ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง และคณะ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ผลงานวิจัยเรื่อง “การวิเคราะห์จีโนม และพันธุศาสตร์ประชากรของพืชวงศ์โกงกาง อธิบายการเกิดขึ้นของสปีซีส์ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรทางวิวัฒนาการได้" รางวัลระดับดีมาก สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา
1.4 ดร.วีระวัฒน์ แช่มปรีดา และคณะ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ผลงานวิจัยเรื่อง "การคัดเลือกและค้นหาเอนไซม์ที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์จากแหล่งจุลินทรีย์ในประเทศไทย : จากความหลากหลายทางชีวภาพสู่ต้นแบบเพื่ออุตสาหกรรม "รางวัลระดับดีมาก สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย
1.5 ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ และคณะ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ ผลงานวิจัยเรื่อง "เทคโนโลยีกราฟินเพื่อการประยุกต์ใช้ด้านเซ็นเซอร์และพลังงาน " รางวัลระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์
1.6 ดร.สุภาวดี นาเมืองรักษ์ และคณะ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ผลงานวิจัยเรื่อง "การค้นหาตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อผลิตพลังงานไฮโดรเจนด้วยปัญญาประดิษฐ์และการคำนวณเคมีคอมพิวเตอร์ "รางวัลระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์
1.7 ดร.คทาวุธ นามดี และคณะ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ผลงานวิจัยเรื่อง "การพัฒนาอนุภาคนาโนทองคำแบบใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผ่านแนวกั้นระหว่างเลือดกับสมองโดยการห่อหุ้มด้วยเอ็กโซโซมที่มีการแสดงออกของโปรตีนเป้าหมายกับระบบประสาท" รางวัลระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช
1.8 ดร.บุญรัตน์ รุ่งทวีวรนิตย์ และคณะ ศูนย์นาโนเทคโลยีแห่งชาติ ผลงานวิจัยเรื่อง "การออกแบบและพัฒนาโมเดลการศึกษาตัวเร่งปฏิกิริยาแบบใหม่ สำหรับการศึกษากลไกเกิดปฏิกิริยาเชิงลึกในสภาวะเสมือนจริงด้วยตัวเร่งปฏิกิริยาอะตอมเดี่ยวบนตัวรองรับโครงข่ายโลหะ-อินทรีย์" รางวัลระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช
1.9 ดร.ปิติ อ่ำพายัพ และคณะ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ผลงานวิจัยเรื่อง "การพัฒนาอาหารสัตว์น้ำเสริมสุขภาพเพื่อการเพาะเลี้ยงปลาสวยงามเชิงพาณิชย์แบบยั่งยืนด้วยการประยุกต์ใช้ทคโนโลยีชีวภาพพรีไบโอติก-โปรไบโอติก และการใช้ประโยชน์จากโคพีพอดของไทย"รางวัลระดับดี สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา
1.10 ดร.พีร์ จารุอำพรพรรณ และคณะ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ผลงานวิจัยเรื่อง "การศึกษาบทบาทของโปรตีนนิวคลิโอแคปสิดที่สำคัญต่อการเพิ่มจำนวนของไวรัสโคโรนา" รางวัลระดับดี สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา
1.11 ดร.มาริษา ไร่ทะ และคณะ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ผลงานวิจัยเรื่อง "การพัฒนาต้นแบบเทคโนโลยีการทำบริสุทธิ์น้ำตาลไชโลโอลิโกแซกคาไรด์จากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรจากอ้อย" รางวัลระดับดี สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย
1.12 ดร.ขจรศักดิ์ เฟื่องนวกิจ และคณะ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ผลงานวิจัยเรื่อง “ตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะไม่มีตระกูลขนาดนาโนเมตรเพื่อการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพขั้นสูงจากน้ำมันปาล์มเละไขมันสัตว์" รางวัลระดับดี สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย
รางวัลวิทยานิพนธ์ จำนวน 4 รางวัล
2.1 ดร.คณาณัฐ นาคสมบูรณ์ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ วิทยานิพนธ์เรื่อง "การพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาชนิดพาลาเดียมที่มีลิแกนด์แบบไบเดนเตดสำหรับการเติมหมู่โอเลฟินส์บนสารประกอบอะโรมาติกผ่านการตัดพันธะคาร์บอน-ไฮโดรเจนโดยตรง" รางวัลระดับดีมาก สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช
2.2 ดร.ปภล ม่วงสนิท ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ วิทยานิพนธ์เรื่อง "การพัฒนาโครงสร้างไฮโดรเจลสามมิติที่ประกอบไปด้วยเซลล์บุผนังหลอดเลือดและเซลล์ชวานน์แบบเรียงตัวสำหรับวิศวกรรมเนื้อเยื่อเส้นประสาทส่วนปลาย" รางวัลระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์
2.3 ดร.ธรรมนูญ ชาญชนิษฐา ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ วิทยานิพนธ์เรื่อง "ตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์สำหรับการสลายตัวของสารมลพิษอินทรีย์" รางวัลระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช
2.4 ดร.ศศิกานต์ สีทาสังข์ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ วิทยานิพนธ์เรื่อง "การพัฒนาโฟโตมิเตอร์แบบย่อส่วนโดยใช้คู่ของไดโอดเปล่งแสงและการประยุกต์ใช้โฟโตมิเตอร์" รางวัลระดับดี สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย
รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น จำนวน 7 รางวัล
3.1 ดร.อรประไพ คชนันทน์ และคณะ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ผลงานเรื่อง "ชุดตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลังและการประยุกต์ใช้เพื่อเฝ้าระวังและจัดการควบคุมโรคอย่างเป็นรูปธรรม" รางวัลระดับดีมาก สายาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา
3.2 ดร.ชัชวรินทร์ ปูชัย และคณะ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ ผลงานเรื่อง "ZafeBat-แบตเตอรี่ปลอดภัย ไม่ระเบิด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" รางวัลระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์
3.3 ดร.จันทร์เพ็ญ ครุวรรณ์ และคณะ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ผลงานเรื่อง "D-Sense: ขั้วไฟฟ้าพิมพ์สกรีนจากวัสดุสองมิติแบบใช้แล้วทิ้งสำหรับการประยุกต์ใช้งานเซนเซอร์เคมีและเภสัช" รางวัลระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช
3.4 ดร.ชุติพันธ์ เลิศวชิรไพบูลย์ และคณะ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ผลงานเรื่อง "เส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติผลิตจากขยะเปลือกหอยแมลงภู่และขยะพลาสติกชีวภาพ" รางวัลประกาศเกียรติคุณ สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์
3.5 ดร.พรอนงค์ พงษ์ไพบูลย์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ และคณะ ผลงานเรื่อง "ชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลด้วยการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิต" รางวัลประกาศเกียรติคุณ สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์
3.6 ดร.สมศักดิ์ สุภสิทธิ์มงคล และคณะ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ผลงานเรื่อง "ENcase: นวัตกรรมเครื่องผลิตสารฆ่าเชื้ออิเล็กโทรไลต์" รางวัลประกาศเกียรติคุณ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์
3.7 นายวันเสด็จ เจริญรัมย์ และคณะ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ผลงานเรื่อง "สวัสดีแอมป์-พลัส: ชุดตรวจเชิงสีชนิดใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเป็นต้นแบบชุดตรวจแห่งอนาคตสำหรับรับมือกับโรคอุบัติใหม่อย่างครอบคลุม" รางวัลประกาศเกียรติคุณ สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช
ข่าวประชาสัมพันธ์
เดินหน้าขยายผล “วินจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้า” ยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมือง
ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. ร่วมกับ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหน่วยงานพันธมิตรภาคเอกชน จัดกิจกรรม Kick-off โครงการความร่วมมือวิจัย “รถจักรยานยนต์รับจ้างพลังงานไฟฟ้า สู่สังคมที่ยั่งยืน” เพื่อส่งเสริมและขยายผลการใช้งานรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ไปสู่กลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ นำร่องในพื้นที่เขตสามย่าน กรุงเทพมหานคร มีเป้าหมายผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้รถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้า และยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมือง
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. ร่วมกับ สกมช. ผนึกกำลังรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และเทคโนโลยี
1 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กสมช.)
จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจด้านการวิจัยและพัฒนา โดยได้รับเกียรติจาก พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมเป็นประธานลงนาม
โดยมี ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วราภรณ์ พรหมวิกร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ร่วมเป็นพยานการลงนาม
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวถึงการลงนามในบันทึกความเข้าใจด้านการวิจัยและพัฒนา ระหว่าง สวทช. กับ กสมช.นี้ว่า ถือเป็นการผนึกกำลังของ 2 หน่วยงาน เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ส่งเสริมและสนับสนุนเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างความตระหนักด้านสถานการณ์เกี่ยวกับภัยคุกคามสารสนเทศทางไซเบอร์ และร่วมมือกันเพื่อให้มีการดำเนินงานเชิงปฏิบัติการที่มีลักษณะบูรณาการและเป็นปัจจุบัน เพื่อก่อให้เกิดโครงการ วิจัย หรือนวัตกรรม ที่จะเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาประเทศต่อไป
สวทช. เป็นสถาบันวิจัยและพัฒนา เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่มีความพร้อมทั้งด้านองค์ความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของทีมนักวิจัย ซึ่งถือเป็นขุมพลังหลักทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในมิติต่าง ๆ เรามีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรที่เป็นเจ้าของโจทย์สำคัญของประเทศในด้านต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในทุกภาคส่วน
ซึ่งในปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีดิจิทัล, AI ที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่องทางสื่อสารต่าง ๆ มีหลากหลายขึ้น ธุรกิจหลายภาคส่วน รวมถึงหน่วยงานของรัฐ ล้วนใช้ระบบดิจิทัล และการเชื่อมต่อความเร็วสูงเพื่อจะให้การทำงานทุกอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินดิจิทัลและปกป้องระบบของตนไม่ให้มีการเข้าถึงโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือเกิดเหตุการณ์โดยเจตนาที่มีการละเมิดและเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่าย หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เชื่อมต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งโดยรวมเรียกว่าการโจมตีทางไซเบอร์ ทั้งนี้การโจมตีทางไซเบอร์ที่ประสบความสำเร็จจะส่งผลให้เกิดการสัมผัสความเสี่ยง การโจรกรรม การลบข้อมูล หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่เป็นความลับ ดังนั้นองค์กรที่ใช้กลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยการมีส่วนร่วมดำเนินงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะช่วยประเมินความเสี่ยงด้านการรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์ ตลอดจนเครือข่าย พื้นที่เก็บข้อมูล แอปพลิเคชัน และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออื่น ๆ จากนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์จะสร้างเฟรมเวิร์กด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ครอบคลุมและใช้มาตรการป้องกันในองค์กรต่อไป
“ความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นอีกก้าวสำคัญที่จะได้ร่วมกันเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และเทคโนโลยี รวมถึง การสร้างความตระหนักด้านสถานการณ์เกี่ยวกับภัยคุกคามสารสนเทศทางไซเบอร์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคลทั้ง 2 ฝ่าย ร่วมกันดำเนินการเชิงปฏิบัติการที่มีลักษณะบูรณาการ และให้ความช่วยเหลือในด้านการพัฒนากำลังคนเพื่อเสริมสร้างทักษะและองค์ความรู้ด้านการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และเทคโนโลยี รวมทั้งจัดฝึกอบรมและสัมมนา ระหว่างบุคลากรของทั้งสองฝ่าย เพื่อดำเนินการในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และเทคโนโลยี ตลอดจนดำเนินการฝึกอบรมเพื่อยกระดับทักษะความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่เกี่ยวข้อง”
ด้าน พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กล่าวว่า สกมช. และ สวทช. ได้ร่วมกันส่งเสริม และสนับสนุนการศึกษาวิจัย และพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรมและอุตสาหกรรม สำหรับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อให้เกิด ประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ถึงสถานการณ์เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ ตลอดจนได้ร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ เนื่องจากการวิจัยและพัฒนามีบทบาทสำคัญในการสร้างความเจริญรุ่งเรือง ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของชุมชนหรือประเทศ ตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ การป้องกันปัญหา จนถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดังนั้นการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ ระหว่าง สกมช. และ สวทช. ในงาน Thailand International Cyber Week 2024 จึงเป็นก้าวสำคัญ ในการยกระดับความร่วมมือ เพื่อสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยี นวัตกรรมและอุตสาหกรรมสำหรับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
ทั้งนี้ สกมช. เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่กำหนดนโยบาย มาตรการ แนวทางการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สำหรับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในการป้องกัน รับมือ และลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบและสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชน ตลอดจนความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ จึงมั่นใจว่าความพยายามร่วมกันของทั้ง 2 องค์กร จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ให้กับประเทศไทยในอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 13 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) 31 มกราคม พ.ศ. 2567
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.)
โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์
ผู้อำนวยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 1 ได้รับทราบ
ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 1
ครั้งที่ 13 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง)
วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2567 เวลา 9.00 น.
ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร
โดยสามารถอ่าน รายงานประจำปี 2565 ของ สวทช. ได้ที่
https://www.nstda.or.th/home/nstda_post/annual-report-2565/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
งานสัมมนา How to WIN International Invention & Innovation Awards? เจาะลึกเทคนิคพิชิตการประกวดสิ่งประดิษฐ์และผลงานนวัตกรรมระดับโลก
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดงานสัมมนา How to WIN International Invention & Innovation Awards? เจาะลึกเทคนิคพิชิตการประกวดสิ่งประดิษฐ์และผลงานนวัตกรรมระดับโลก
.
ไฮไลท์ของงานในครั้งนี้ จะได้พบกับ
บทบาทของ วช. ในการส่งเสริมนวัตกรรมบนเวทีโลก
ประโยชน์ของการส่งผลงานเข้าประกวด...โอกาสที่ได้รับและความท้าทายที่ต้องเจอ
เวทีไหนที่ใช่สำหรับเรา หลักการพิจารณาและการเตรียมความพร้อมในการส่งผลงานเข้าประกวด
ถอดบทเรียนจากประสบการณ์จริงของผู้ที่เคยผ่านเวทีระดับโลกและได้รับรางวัลมาแล้วจากหลายเวที
Tips & Tricks เพื่อพิชิตรางวัลปังๆ ระดับโลกในมุมมองของ วช.และภาคเอกชน
.
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sciencepark.or.th/.../how-to-win.../
.
ลงทะเบียนที่นี่ https://tsp.hubmember.com/.../how-to-win-international... รับจำนวนจำกัด!!!
.
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 13.00-16.00น. ณ ศูนย์ Connex อาคาร INC 2 Tower D (อาคาร 19) ชั้น 1 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช.
.
งานนี้เหมาะกับผู้บริหารธุรกิจเทคโนโลยี นักวิจัย นักพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่กำลังมองหาโอกาสและเวทีในการส่งผลงานวิจัยหรือสิ่งประดิษฐ์เข้าร่วมประกวดบนเวทีนานาชาติ
.
สัมมนานี้จะให้แรงบันดาลใจกับทุกคน ความเข้าใจและเห็นถึงประโยชน์ของการส่งผลงานเข้าประกวดในเวทีระดับสากล เป็นงานสัมมนา 3 ชม.ที่นอกจากจะได้ความรู้และเห็นถึงความสำคัญของการส่งผลงานเข้าประกวดแล้ว คุณจะได้พบกับทีมงาน วช. และ อวท. ที่พร้อมจะให้คำปรึกษา ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการทุกคน
.
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณประภัสสร (หนิง)
โทร. 0-2564-7000 ต่อ 5365
มือถือ. 081-854-1844
อีเมล bcd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม


