ผลการค้นหา :

‘ผักที่เรากินปลอดภัยจริงไหม ?’ เซนเซอร์ให้คำตอบคุณได้
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผักที่รับประทานมีไนเทรตสูงเกินมาตรฐานหรือไม่ ? กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ทีเมค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาเซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณไนเทรต (nitrate) ในผักและสมุนไพร รวมถึงน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์ (hydroponics) หรือระบบรางน้ำ เพื่อการผลิตอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพ สมุนไพรมูลค่าสูง และการดูแลสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_67147" align="aligncenter" width="450"] ดร.วิน บรรจงปรุ นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีอิสเฟต ทีเมค สวทช.[/caption]
ดร.วิน บรรจงปรุ หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีอิสเฟต ทีเมค สวทช. อธิบายว่า การเพาะปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิกส์เป็นการปลูกพืชด้วยสารละลายน้ำที่มีธาตุอาหารและปุ๋ยเป็นส่วนประกอบทดแทนการปลูกด้วยดิน โดยในการปลูกผู้เพาะปลูกอาจให้ไนเทรต (ธาตุอาหารรูปแบบหนึ่งของไนโตรเจน) ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชในปริมาณมาก เพื่อบำรุงพืชให้เจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ แต่การให้ไนเทรตปริมาณมากเกินจำเป็นอาจทำให้พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่หมด ส่งผลให้มีไนเทรตตกค้างอยู่ทั้งในพืชและสารลายน้ำที่ใช้ในการปลูกมาก โดยหากผู้บริโภครับประทานผักหรือสมุนไพรที่มีปริมาณไนเทรตสูงเป็นปริมาณมาก แบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารอาจเปลี่ยนไนเทรตให้เป็นไนไทรต์ (nitrite) ซึ่งเป็นสารอันตรายได้
“ในกรณีทารกได้รับสารไนไทรต์ปริมาณมากอาจทำให้เกิดภาวะ Blue baby syndrome หรือภาวะเมทเฮโมโกลบินีเมีย (Methemoglobinemia) ซึ่งทำให้เลือดขนส่งออกซิเจนได้น้อยลงจนผิวหนังมีสีฟ้าหรือน้ำเงิน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็อาจส่งผลกระทบต่อสมองและระบบประสาทถึงขั้นเสียชีวิตได้ ส่วนในผู้ใหญ่หากได้รับไนไทรต์ปริมาณมาก ไนไทรต์อาจทำปฏิกิริยากับสารเอมีนในร่างกายก่อให้เกิดสารไนโทรซามีน (N-nitrosamines) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ทั้งนี้องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ได้กำหนดปริมาณที่บริโภคได้ต่อวัน (Acceptable Daily Intake: ADI) ของผู้ใหญ่ไว้ที่ 3.7 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยผักใบเขียว เช่น คะน้า, ปวยเล้ง, ผักกาดหอม อาจมีไนเทรตประมาณ 200-4,800 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักสด 1 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับชนิดของผัก รวมถึงสภาพและรูปแบบวิธีการเพาะปลูก
“ด้านสิ่งแวดล้อม ไนเทรตเป็นสารที่มีอัตราการละลายน้ำสูง หากปล่อยน้ำที่มีไนเทรตเจือปนสูงลงดิน แล้วพืชในบริเวณนั้นดูดซึมสารไปใช้ได้ไม่ทัน ก็อาจทำให้ไนเทรตไหลลงสู่แหล่งน้ำจนเกิดปัญหายูโทรฟิเคชัน (eutrophication) หรือภาวะแพลงก์ตอนพืชและสาหร่ายเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลงจนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ น้ำในแหล่งน้ำเน่าเสีย และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในที่สุด”
[caption id="attachment_67159" align="aligncenter" width="700"] ผักคะน้า[/caption]
[caption id="attachment_67148" align="aligncenter" width="700"] ปวยเล้ง[/caption]
[caption id="attachment_67152" align="aligncenter" width="700"] ผักกาดหอม[/caption]
[caption id="attachment_67153" align="aligncenter" width="700"] ปัญหายูโทรฟิเคชัน (eutrophication) หรือภาวะแพลงก์ตอนพืชและสาหร่ายเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว[/caption]
[caption id="attachment_67151" align="aligncenter" width="700"] ปัญหายูโทรฟิเคชัน (eutrophication) หรือภาวะแพลงก์ตอนพืชและสาหร่ายเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว[/caption]
จากความสำคัญดังกล่าว นักวิจัยทีเมคได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเซนเซอร์ชนิด ISFET (Ion-Sensitive Field-Effect Transistor) หรืออิสเฟต ซึ่งเป็นอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ชนิดไวต่อประจุ (ion) ที่อยู่ในสารละลายหรือของเหลว มาพัฒนาเป็นเซนเซอร์ไนเทรตบนโครงสร้างทรานสดิวเซอร์แบบ ISFETสำหรับตรวจสอบปริมาณไนเทรตที่เจือปนอยู่ในใบพืชและน้ำที่ใช้ในระบบเพาะปลูก เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการตรวจสอบปริมาณไนเทรตแบบแม่นยำ แทนวิธีการที่ผู้ประกอบการรายย่อยมักเลือกใช้ คือ การตรวจสอบค่าการนำไฟฟ้า (Electrical Conductivity: EC) ของน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกแบบไฮโดรโพนิกส์ เพื่อชี้วัดถึงปริมาณธาตุอาหารที่คงเหลือ แต่จะไม่สามารถระบุได้ว่ามีธาตุชนิดไหนคงเหลืออยู่ในปริมาณเท่าไหร่
ดร.วิน อธิบายว่า ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาเซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณไนเทรตในของเหลวสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ใช้ตรวจได้ทั้งปริมาณไนเทรตที่อยู่ในใบและน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูก (กรณีใบพืชจะใช้การนำใบไปปั่นกับน้ำเพื่อให้อยู่ในรูปของเหลว) โดยทีมวิจัยได้พัฒนาเป็นอุปกรณ์ 2 รูปแบบ คือ อุปกรณ์แบบพกพา และอุปกรณ์แบบระบบอัตโนมัติสำหรับติดตั้ง ณ จุดเพาะปลูกหรือห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์ทั้งสองใช้เทคโนโลยีเดียวกันในการตรวจวัด แตกต่างกันที่ระบบอัตโนมัติมีฟังก์ชันปรับเทียบ (calibrate) ค่าการนำไฟฟ้าก่อนใช้งานอัตโนมัติ ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องปรับเทียบด้วยตัวเองทุกครั้งก่อนใช้งานเหมือนอุปกรณ์พกพา และแบบอัตโนมัติยังเป็นอุปกรณ์ IoT (Internet of Thing) ที่มีฟังก์ชันจัดเก็บข้อมูลตรวจวัดเข้าสู่ระบบคลาวด์โดยอัตโนมัติ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานด้วย
[caption id="attachment_67155" align="aligncenter" width="700"] เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณไนเทรตในของเหลว ชนิดอุปกรณ์แบบพกพา[/caption]
“ตัวอย่างการนำเซนเซอร์ไปใช้งาน เช่น ใช้วัดปริมาณสารไนเทรตในการเพาะปลูกระบบไฮโดรโพนิกส์ เพื่อวางแผนลดการให้สารไนเทรตเกินความจำเป็น และลดปริมาณสารไนเทรตในผักและผลไม้ก่อนเก็บเกี่ยวให้คงเหลือในปริมาณที่เหมาะสม ใช้วัดปริมาณสารไนเทรตในผักก่อนจำหน่าย เพื่อเป็นข้อมูลทางเลือกเพื่อสุขภาพให้แก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้บริโภคที่จำเป็นต้องควบคุมปริมาณไนเทรต เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยโรคโลหิตจาง ใช้ควบคุมสารไนเทรตในการเพาะปลูกพืชสมุนไพรมูลค่าสูง เพราะปริมาณสารไนเทรตที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณสารสำคัญของพืชสมุนไพรบางประเภทได้ ใช้ตรวจสอบปริมาณสารไนเทรตในดินบริเวณพื้นที่เพาะปลูก เพื่อควบคุมปริมาณการให้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ตรวจสอบปริมาณสารไนเทรตในน้ำบาดาล เพื่อควบคุมคุณภาพน้ำที่ใช้ในการดื่ม โดย WHO ได้กำหนดมาตรฐานไว้ว่าควรมีไนเทรตไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อลิตร
“นอกจากนี้ยังมีบางประเทศที่ห้ามจำหน่ายผักใบเขียวที่มีปริมาณสารไนเทรตเกินกำหนดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค เช่น สหภาพยุโรป (ตามประกาศ Commission Regulation (EU) No 1258/2011 และ 1258/2011) ดังนั้นหากผู้ผลิตไทยควบคุมปริมาณไนเทรตในผักใบเขียวให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกสินค้าไปจำหน่าย”
ปัจจุบันทีมวิจัยร่วมกับผู้ประกอบการที่เพาะปลูกพืชระบบไฮโดรโพนิกส์ นักวิจัยระบบสมาร์ตฟาร์ม นักวิจัยกระบวนการเพาะปลูกสมุนไพรมูลค่าสูง และหน่วยงานที่รับตรวจสอบคุณภาพดินทดสอบการใช้งานอุปกรณ์เพื่อพัฒนาต่อยอดให้พร้อมใช้งานและเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานแต่ละประเภทมากที่สุด ผู้ที่สนใจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ได้ที่ ดร.วิน บรรจงปรุ อีเมล info-tmec@nectec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย TMEC สวทช. และจาก Adobe Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

มหาวิทยาลัยมหิดล – สวทช. แลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนาเครือข่ายวิจัยและนวัตกรรม
เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ณ อาคารเนคเทค อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี มหาวิทยาลัยมหิดล และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมจัดกิจกรรม “MU – NSTDA Researcher Visit ครั้งที่ 1” ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เรื่อง โครงการความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล และ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา คณะอนุกรรมการบริหารความร่วมมือเพื่อความเป็นเลิศ และและนักวิจัยทั้งสองหน่วยงานเข้าร่วมงาน รวมกว่า 60 คน ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านการวิจัย พร้อมเข้าชมผลงานจากห้องปฏิบัติการวิจัย โรงงานต้นแบบ และศูนย์วิเคราะห์ทดสอบต่าง ๆ ของ สวทช.
ภายในงานได้รับเกียรติจากผู้บริหารศูนย์แห่งชาติ สวทช. 5 ศูนย์ ได้แก่ ดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุล ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ศาสตราจารย์ ดร.ศิวพร มีจู สมิธ และ ดร.ดร.ลิลี่ เอื้อวิไลจิตร แนะนำผลงานวิจัยเป้าหมาย และการให้บริการของศูนย์วิจัยแห่งชาติ การเยี่ยมชมโครงสร้างพื้นฐานของ สวทช. ประกอบด้วย ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC) ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. (NCTC) และโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง และ กิจกรรมระดมสมองเพื่อกำหนดโจทย์วิจัยหรือแนวทางความร่วมมือระหว่างอาจารย์กับนักวิจัยทั้งสองหน่วยงาน เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัยได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือ และต่อยอดสู่การพัฒนา Virtual Research Group หรือ Cluster ในสาขาวิชาต่าง ๆ นำไปสู่การพัฒนาโจทย์วิจัยที่สำคัญ และต่อยอดนวัตกรรมร่วมกัน หรืองานความร่วมมืออื่นๆ ต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

อว. ร่วมสืบสานวัฒนธรรมไทย และรักษาประเพณีอันดีงาม วัน ”สงกรานต์ ปี 2568“
เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดพิธีสรงน้ำพระพุทธรูปและรดน้ำขอพร เนื่องในโอกาสประเพณีวันสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยมี นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. และ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รวมถึงคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ อว. เข้าร่วมในพิธี ณ ห้องโถงชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว. (ถนนโยธี)
ในวาระนี้ รมว.อว. นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ กระทรวง อว. ร่วมพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป และรดน้ำขอพรจากอดีตผู้บริหาร ประกอบด้วย นายกฤษณพงศ์ กีรติกร อดีตเลขาธิการ คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ดร.สุภัทร จำปาทอง อดีตเลขาธิการ กกอ. เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการและบุคลากร อว.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

Medical AI Consortium ร่วมแชร์ เชื่อม ใช้ “ข้อมูล” ขับเคลื่อน AI เพื่อการแพทย์ไทย
ผู้สนใจนวัตกรรม AI ทางการแพทย์ห้ามพลาด!
✨ Medical AI Consortium 🩺
ร่วมแชร์ เชื่อม ใช้ “ข้อมูล” ขับเคลื่อน AI เพื่อการแพทย์ไทย
เวทีแลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือด้าน AI ทางการแพทย์ระดับประเทศ
.
🗓 วันจันทร์ที่ 21 เมษายน 2568
🕘 เวลา 09.30 - 15.00 น.
📌 ณ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี กรุงเทพฯ
ห้องพิมาน บอลรูม
ขอเชิญผู้สนใจจากภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย Medical AI Consortium
เพื่อร่วมขับเคลื่อนนวัตกรรม AI ทางการแพทย์
สร้างโอกาสความร่วมมือ ยกระดับระบบสาธารณสุขไทย
ภายในงานจะได้พบกับ
🧬 Keynote โดยผู้บริหารขององค์กรที่ร่วมขับเคลื่อน AI ทางการแพทย์
🧬 พบกับ “แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์” (Medical AI Data Platform) พร้อมการสาธิตใช้งานระบบ
🧬 ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปกับการบรรยาย “ปลดล็อคศักยภาพ AI ยกระดับวงการแพทย์”
🧬 เปิดมุมมองผ่านเสวนา “โอกาสและความ้ทายทายการพัฒนานวัตกรรม AI ของประเทศไทย ผ่านกลไก Medical AI Consortium”
🧬 นิทรรศการนวัตกรรม AI ทางการแพทย์จากเครือข่ายพันธมิตร
เนื้อหาเข้มข้นตลอดงาน พร้อมพบกับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ:
🚀 เปิดงานโดย นางสาวศุภมาส อิศรภักดี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
🚀Keynote Session : Medical AI ก้าวสาคัญสู่การพัฒนาการแพทย์แห่งอนาคต
▪️ ผศ.พิเศษ นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
▪️ ศาสตราจารย์ นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล
▪️ ศาสตราจารย์ สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว.
▪️ ดร.ภาวดี อังค์วัฒนะ รองผู้อำนวยการ บพค.
▪️ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.
🚀 การนำเสนอแพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform)
▪️ดร.มารุต บูรณรัช นักวิจัย เนคเทค สวทช.
🚀สาธิตการใช้งานแพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Demo)
▪️ดร.มารุต บูรณรัช, ดร.วลิตะ นาคบัวแก้ว และ ดร.ธีศิษฏ์ ลีลาสวัสดิ์สุข
นักวิจัย เนคเทค สวทช.
🚀 การบรรยายหัวข้อ “ปลดล็อกศักยภาพ AI ยกระดับวงการแพทย์ ”
▪️รศ.ดร.พญ.รุ่งฤดี ชัยธีรกิจ
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
▪️ผศ.พญ.พัดชา ตุลยาเดชานนท์
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
▪️รศ.ดร.พญ.ศิริอนงค์ นามวงศ์พรหม
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
🚀การเสวนา หัวข้อ: "โอกาสและความท้าทาย ในการพัฒนานวัตกรรม AI ของ ประเทศไทย ผ่านกลไก Medical AI Consortium" ร่วมเสวนาโดย :
▪️ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค
▪️นายแพทย์ภัทรวินฑ์ อัตตะสาระ ผู้อำนวยการสำนักดิจิทัลการแพทย์ กรมการแพทย์
▪️รศ.นพ.สิทธิ์ พงษ์กิจการุณ หัวหน้าภาควิชารังสีวิทยา
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
▪️ศาสตราจารย์ ดร.พญ.โสฬพัทธ์ เหมรัญช์โรจน์ รองคณบดีฝ่ายนวัตกรรมแนวบูรณาการและเทคโนโลยีดิจิทัล คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
▪️รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ดำเนินรายการ โดย ดร.วงศกร พูนพิริยะ
ฝ่ายบริหารเครือข่ายวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม สวทช.
🔥ลงทะเบียนด่วน! (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
📲 คลิก https://medical-ai.openservice.in.th
หรือสแกน QR Code
#MedicalAIConsortium #AIทางการแพทย์ #แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ #MedAI #AIThailand
ปฏิทินกิจกรรม

‘Acamp’ แพลตฟอร์มคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (CFO) แบบอัตโนมัติ ใช้งานง่าย ปรับตัวทันนโยบายภาษีคาร์บอน
ปัจจุบันผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตต่างเริ่มหันมาคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) และผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint for Product: CFP) กันมากขึ้น เพราะไม่เพียงช่วยให้การส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังประเทศที่มีมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมเข้มงวดเป็นไปด้วยความราบรื่น ข้อมูลค่า CFO ยังช่วยให้ผู้ประกอบการมองเห็นถึงลู่ทางลดการปล่อยคาร์บอน (decarbonization) ทั้งทางตรงและทางอ้อม และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามการจัดทำค่า CFO เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะกระบวนการมีความซับซ้อนสูง นอกจากผู้จัดทำจะต้องเก็บข้อมูลกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดแล้ว ยังต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการจำแนกรูปแบบการปล่อยคาร์บอนตาม Greenhouse Gas Protocol (GHG Protocol) หรือระเบียบวิธีวัดและรายงานก๊าซเรือนกระจกอย่างลึกซึ้ง ต้องเข้าใจวิธีคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอน และยังต้องอัปเดตค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor: EF) ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอด้วย
เพื่อลดภาระดังกล่าวให้ผู้ประกอบการไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา Automated Carbon Accounting Management Platform (Acamp) หรือเอแคมป์ แพลตฟอร์มสำหรับคำนวณค่า CFO แบบอัตโนมัติและติดตามผลแบบเรียลไทม์ พร้อมแสดงผลข้อมูลในรูปแบบแดชบอร์ด (dashboard) ที่เข้าใจง่าย พร้อมใช้งาน การคำนวณค่า CFO สอดคล้องกับ GHG Protocol และค่า EF ของอุตสาหกรรมไทย
Acamp คำนวณค่า CFO แบบอัตโนมัติและเรียลไทม์ ข้อมูลพร้อมใช้งาน
[caption id="attachment_67288" align="aligncenter" width="750"] ดร.อัมพร โพธิ์ใย นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการลดคาร์บอน เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.อัมพร โพธิ์ใย นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการลดคาร์บอน เนคเทค สวทช. อธิบายว่า ทีมวิจัยเริ่มต้นจากการศึกษาปัญหาที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญทั้งความยากในการจัดเก็บข้อมูล การจำแนกประเภท และการคำนวณ ก่อนรวมเอาปัญหาเหล่านั้นมาออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยให้การดำเนินงานสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การนำข้อมูลการปล่อยคาร์บอนเข้าสู่ระบบโดยอัตโนมัติ และการพัฒนาแพลตฟอร์ม Acamp เพื่อการคำนวณค่า CFO แบบอัตโนมัติและเรียลไทม์
“การนำเข้าข้อมูลแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้า ในส่วนนี้ทีมวิจัยได้พัฒนา ZCARBON (ซีคาร์บอน) ซึ่งเป็นเอดจ์คอมพิวเตอร์ (edge computer) ที่มาพร้อมซอฟต์แวร์สำหรับจัดเก็บข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าของแต่ละอุปกรณ์จากเครื่องวัดกำลังไฟฟ้า (power meter) แบบเรียลไทม์ และคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ที่เกิดจากการใช้พลังงานไฟฟ้าทันที โดยหลังจากคำนวณเสร็จสิ้น ระบบจะส่งเฉพาะข้อมูลค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขึ้นคลาวด์ เพื่อให้แพลตฟอร์ม Acamp เรียกข้อมูลจากคลาวด์ไปใช้คำนวณค่า CFO ขององค์กรต่อโดยอัตโนมัติ
“ส่วนที่สองคือข้อมูลจากระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning: ERP) ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลชนิดและปริมาณของในคลัง เช่น วัตถุดิบ เชื้อเพลิง และข้อมูลการนำทรัพยากรดังกล่าวไปใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ โดยทีมวิจัยได้ออกแบบกระบวนการส่งข้อมูล ERP ที่จำเป็นต่อการคำนวณค่า CFO เข้าสู่คลาวด์อัตโนมัติไว้ 2 รูปแบบ รูปแบบแรกคือส่งผ่าน API (Application Programming Interface) และรูปแบบที่สองคือการตั้งค่าสร้างรายงาน (print out) ไปไว้ที่คลาวด์แบบอัตโนมัติ เพื่อให้แพลตฟอร์ม Acamp เรียกข้อมูลจากคลาวด์ไปใช้คำนวณค่า CFO ขององค์กรต่อได้โดยอัตโนมัติ
“ส่วนที่สามจะเป็นข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการคำนวณค่า CFO แต่ไม่ได้มีบันทึกไว้ในระบบทั้งสอง ผู้ประกอบการสามารถกรอกข้อมูลเข้าสู่ Acamp โดยตรงผ่านหน้าเว็บแอปพลิเคชัน ตัวอย่างข้อมูล เช่น ปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ในการขนส่งสินค้า ปริมาณเชื้อเพลิงในการเดินทางเพื่อปฏิบัติภารกิจที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่การผลิต”
หลังจากนำเข้าข้อมูลที่จำเป็นต่อการคำนวณค่า CFO เข้าสู่ระบบทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว Acamp จะคำนวณข้อมูล CFO ขององค์กรให้โดยอัตโนมัติ
ดร.อัมพร อธิบายว่า ในการเริ่มต้นใช้งานระบบ Acamp ครั้งแรก จะมีทีมที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและระบบโรงงานที่ผ่านการอบรมโดยเนคเทค สวทช. (ปัจจุบันมีมากกว่า 70 คน) เข้าช่วยตั้งค่าระบบอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง และวางแผนการคำนวณค่า CFO ของโรงงานให้ตรงตาม GHG Protocol ให้ก่อน (เช่น การจำแนกการปล่อยคาร์บอนตามขอบเขต (scope) ที่ต้องใช้ในการรายงานผล, การเลือกค่า EF ที่เหมาะสมมาใช้คำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอนของแต่ละวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ หรือกิจกรรม) ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการวางระบบ หลังจากที่ปรึกษาช่วยวางระบบทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว Acamp จะคำนวณค่า CFO จากข้อมูลหลักทั้ง 3 ส่วนให้อัตโนมัติและติดตามผลแบบเรียลไทม์ พร้อมแสดงผลข้อมูลการคำนวณในรูปแบบแดชบอร์ดที่เข้าใจง่าย ทำให้สะดวกต่อการรายงานค่า CFO และการนำข้อมูลไปใช้วางแผนปรับปรุงการทำงานเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
“นอกจากความสะดวกที่กล่าวถึงข้างต้น Acamp ยังเป็นระบบ adaptive หรือปรับแต่งสูตรการคำนวณให้สอดคล้องกับค่า EF ที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กำหนด ณ ขณะนั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้การคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์เป็นไปตามค่า EF ที่อัปเดตเสมอ อีกจุดเด่นที่สำคัญไม่แพ้กันคือการจัดเก็บ วิเคราะห์ และคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ของ Acamp เป็นไปตาม ISO 14064-1 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ทำให้ผู้ประกอบการนำข้อมูลไปใช้ยื่นเพื่อการทำการค้ากับต่างประเทศได้ทันที”
จาก CFO สู่ Net Zero Emission
ดร.อัมพร อธิบายว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะยังไม่มีการเรียกเก็บภาษีคาร์บอน (carbon tax) อย่างเป็นทางการ แต่ก็มีผู้ประกอบการจากบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องจัดทำค่า CFO เพื่อนำไปคำนวณค่า CFP เพื่อใช้ยื่นเป็นข้อมูลประกอบเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศที่มีมาตรการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนแล้ว เช่น สหภาพยุโรป (EU) มีมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือ ‘มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน’ เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแก่ประเทศคู่ค้านอกสหภาพยุโรป โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้นำเข้าสินค้าประเภทที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูง (carbon intensive products) ก่อน ซึ่งหลังจากนี้คาดว่าจะมีอีกหลายประเทศที่ใช้มาตรการลักษณะนี้เช่นกัน
“สำหรับผู้ประกอบการที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าภายในประเทศ รวมไปถึงภาคบริการ การจัดทำข้อมูลค่า CFO และ CFP จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้เป็นแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาเลือกใช้สินค้าและบริการที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้หากในอนาคตประเทศไทยมีการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนรายบุคคลดังที่มีผลบังคับใช้แล้วในสวีเดน ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร แคนาดา นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น สินค้าและบริการที่ระบุค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ได้และมีค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำก็จะยิ่งได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นด้วย (กรณีที่เลือกใช้สินค้าและบริการที่ไม่ระบุค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ ผู้บริโภคจะต้องเสียค่าภาษีคาร์บอนในอัตราที่รัฐบาลของประเทศนั้นกำหนด)”
นอกจากค่า CFO และ CFP จะเป็นประโยชน์ต่อการรับมือมาตรการภาษีทั้งระดับนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาแล้ว การที่ผู้ประกอบการทราบถึงค่า CFO และ CFP ของสินค้าและบริการ ยังส่งผลดีต่อการลดต้นทุนการผลิตในภาพรวม และลดการปล่อยคาร์บอนเพื่อร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมด้วย
ดร.อัมพร อธิบายทิ้งท้ายว่า เป้าหมายปลายทางของทีมวิจัยในการพัฒนา Acamp คือ การทำให้ผู้ประกอบการตระหนักรู้ถึงค่า CFO และ CFP ของตัวเอง เพื่อนำไปสู่การประเมินความเป็นไปได้ในการลดการปล่อยคาร์บอนในแต่ละกิจกรรมขององค์กร โดยอาจเริ่มต้นจากจุดที่แก้ไขได้ง่าย เช่น การปรับอุณหภูมิตู้แช่วัตถุดิบให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมโดยไม่ใช้อุณหภูมิระดับต่ำเกินความจำเป็น เพื่อลดการใช้พลังงานและยืดอายุตู้แช่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลดการปล่อยคาร์บอนทั้งทางตรงและทางอ้อม และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย นอกจากนี้ทีมวิจัยยังมีแผนจะร่วมกับทีมวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางแขนงต่าง ๆ พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อมุ่งเป้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (net zero emissions) ต่อไป
ปัจจุบันทีมวิจัยเปิดให้บริการเทคโนโลยี Acamp และ ZCARBON ผ่าน IDA Platform ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการนำร่องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nectec.or.th/smc/ida-platform/ โดยในปี 2568 นี้ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) สวทช. มีแผนที่จะจัดแคมเปญเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผ่าน IDA Platform ทั้งผ่านการให้คำปรึกษา การสนับสนุนเทคโนโลยี รวมถึงการช่วยเชื่อมต่อกับแหล่งเงินทุน และสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจในเทคโนโลยี Acamp และ ZCARBON สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีทั้งสองได้ที่ DTIRT อีเมล iiarg-dti@nectec.or.th, Line @DTIRT
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ Adobe Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

เจาะลึกกรณีศึกษาตึกถล่มจากแผ่นดินไหว! เสวนาวิชาการเรื่องเหล็กเสริมแรงและโครงสร้างคอนกรีต
"เหล็กเสริมแรงและโครงสร้างคอนกรีต: กรณีศึกษาตึกถล่มจากแผ่นดินไหว"📅 วันที่ 9 เมษายน 2568📍 ณ ห้องบุษบา ชั้น 1 โรงแรมแนวกริน กรุงเทพฯ🕘 เวลา 08:30 – 15:00 น.🆓 เข้าร่วมฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
🧱 เจาะลึกเรื่องวัสดุเสริมแรง โครงสร้างคอนกรีต และบทเรียนจากกรณีศึกษาตึกถล่ม👨🏫 พบกับผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ
📌 ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่👉 https://forms.gle/YFSERqv5WzjuaEWJ7
📞 สอบถามเพิ่มเติม: 02-564-6500 ต่อ 4676✉️ kobkula@mtec.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. – บพข. ดัน MED Drive ปั้นธุรกิจเครื่องมือแพทย์ไทยสู่ยอดขายพันล้าน หวังสร้างโปรดักส์แชมเปี้ยนด้วยนวัตกรรม
(2 เมษายน 2568) ณ ห้องคริสตัลบอกซ์ ชั้น 19 ศูนย์การค้าเกษรพลาซ่า กรุงเทพฯ - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) จัดงาน “MED Drive Demo Day : Journey to Medical Billion Business สัมมนาเส้นทางธุรกิจพันล้านเครื่องมือแพทย์ไทย” ภายใต้โครงการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ (MED Drive) เพื่อเป็นเวทีนำเสนอผลงานเครื่องมือแพทย์สู่อนาคตของ 5 ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งมีศักยภาพในการเพิ่มยอดขายระดับร้อยล้านสู่หลักพันล้านได้ภายใน 5 ปี ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อ กลุ่มรักษาแผล กลุ่มวัสดุฝังใน กลุ่มอุปกรณ์ล้างไต และกลุ่มทันตกรรม ด้วยกลไกการสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) รวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง พร้อมเชื่อมโยงสู่ตลาดทั้งในประเทศและระดับโลก หวังสร้างโปรดักส์แชมเปี้ยนให้อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย นอกจากนี้ งาน Demo Day ยังเป็นเวทีสร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ไทยเพื่อร่วมกันจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ และผลักดันให้ไทยก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมนี้บนเวทีโลก โดยมีพันธมิตรจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ตลอดจนผู้ประกอบการกว่า 200 คนเข้าร่วมงาน
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชน มีมูลค่าตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในด้านมาตรฐานระดับสากลที่สูง ต้องใช้เงินลงทุนสูง และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดโครงการ MED Drive ขึ้นเพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งก้าวเดินธุรกิจ และพัฒนาให้เครื่องมือแพทย์ไทยสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในภูมิภาคอาเซียนและระดับโลก โดยงานครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ด้วยการเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบในระบบนิเวศของการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยให้เดินหน้าไปด้วยกัน โดยมีเป้าหมายร่วมกันที่จะก้าวสู่การเป็นธุรกิจฐานนวัตกรรม (IDE) สามารถขยายธุรกิจให้มียอดขายสู่ 1,000 ล้านบาท งานนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงและต่อยอดความสำเร็จที่จะช่วยยกระดับสินค้านวัตกรรม เพิ่ม GDP และขีดความสามารถของประเทศ
รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล รักษาการรองผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า บพข. ได้สนับสนุนทุนในการดำเนินโครงการ MED Drive ภายใต้แผนงาน “พัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศเพิ่มธุรกิจฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprise: IDEs)” ประจำปีงบประมาณ 2567 เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยทั้ง 5 รายให้พัฒนาสู่องค์กรฐานนวัตกรรม เป้าหมายหลักคือการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยที่ได้การรับรองตามมาตรฐานสากล สามารถขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ และสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย โดยการดำเนินการประกอบด้วย การวินิจฉัยประเมินศักยภาพของผู้ประกอบการ IDE ทั้ง 5 ราย เพื่อวิเคราะห์โอกาสและช่องว่างของธุรกิจ การสนับสนุนการยกระดับธุรกิจและผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยสนับสนุนการวิเคราะห์ทดสอบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยนวัตกรรม การพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และส่งเสริมการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ โดยสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะเฉพาะทางด้านเครื่องมือแพทย์ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานและการบำรุงรักษา การให้ความรู้ด้านการจดสิทธิบัตร เป็นต้น
ทั้งนี้ ในงานมีนิทรรศการของ 5 ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย 1) บริษัท โพสเฮลท์แคร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค ทั้งอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้ในโรงพยาบาลและกลุ่ม Personal Use 2) บริษัท โนวาเมดิค จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายไหมเย็บแผล แผ่นปิดแผลต่างๆ และถุงทวารเทียม 3) บริษัท ออโธพีเซีย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุศัลยกรรมกระดูกและเครื่องมือผ่าตัดกระดูก 4) บริษัท ซี วี พี เมดิคอล เทคโนโลยี จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เข้มข้นสำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (น้ำยาไตเทียม) และสายส่งเลือดสำหรับเครื่องไตเทียม และ 5) บริษัท ซี.ซี.ออโตพาร์ท จำกัด ผู้ผลิตขึ้นรูปโลหะให้กับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักรกลการเกษตร และเครื่องมือแพทย์ทางด้านทันตกรรม
รวมถึงยังมีการเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับกลไกการเบิกจ่ายของภาครัฐด้านสวัสดิการสุขภาพ ที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยให้เติบโต โดยผู้แทนจากกองทุนและกลุ่มผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทย การสัมมนาอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์โลก โดยผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลการตลาดเครื่องมือแพทย์ ตลอดจนการจัดแสดงผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์จากผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทย ผลงานวิจัย สวทช. พันธมิตร และมหาวิทยาลัยโรงเรียนแพทย์ เพื่อต่อยอดผลงานสู่อุตสาหกรรมและการใช้งานจริง และในช่วงท้ายงานได้เปิดเวทีสร้างเครือข่าย (Networking) ระหว่างทุกภาคส่วนที่มีภารกิจด้านการแพทย์ด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

Gunther-Janine นวัตกรรมเฝ้าระวังการหกล้มและการเคลื่อนไหวผิดท่าสำหรับผู้สูงวัย
เมื่อผู้สูงวัยอายุมากขึ้น ร่างกายเริ่มเสื่อมถอย การทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งหลังค่อม การลุกนั่งผิดวิธี การก้มยกของซํ้า ๆ การบิดเอี้ยวตัวขณะยกของหนัก อาจทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อเกิดการบาดเจ็บ และเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้สูงวัยมีภาวะกระดูกหัก บางกรณีอาจรุนแรงถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิต ทั้งนี้ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขพบว่า การพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสอง รองจากอุบัติเหตุจากการขนส่ง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา “Gunther-Janine (กันเธอร์ ไอเอ็มยู-เจณีน) อุปกรณ์และแอปพลิเคชันแจ้งเตือนการเคลื่อนไหวผิดท่าและการพลัดตกหกล้ม” ซึ่งใช้งานง่ายและแม่นยำ เพื่อช่วยลดอัตราการบาดเจ็บในกลุ่มผู้สูงอายุ
[caption id="attachment_67269" align="aligncenter" width="750"] ดร.เปริน วันแอเลาะ ทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.เปริน วันแอเลาะ ทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า “Gunther IMU” เป็นอุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดแบบสวมใส่ ที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้พัฒนาระบบช่วยเฝ้าระวังท่าทาง การเคลื่อนไหวที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บและการหกล้ม โดยอุปกรณ์ออกแบบให้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สามารถติดตั้งร่วมกับชุดที่มีช่องสำหรับใส่อุปกรณ์ได้ จุดที่ติดอุปกรณ์คือบริเวณด้านหลังระหว่างกระดูกสะบักซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวได้แม่นยำ และไม่กีดขวางการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน จึงทำให้สวมใส่ได้สะดวกสบายตลอดวัน
[caption id="attachment_67268" align="aligncenter" width="750"] Gunther IMU อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดแบบสวมใส่[/caption]
[caption id="attachment_67270" align="aligncenter" width="750"] อุปกรณ์เซนเซอร์ Gunther IMU[/caption]
“หลักการทำงานของ Gunther IMU คือ เซนเซอร์จะทำหน้าที่ตรวจวัดความเร็วเชิงมุม ความเร่งในแต่ละแกน และองศาการเคลื่อนไหวของร่างกาย จากนั้นจึงประมวลผลโดยส่งต่อข้อมูลไปเปรียบเทียบกับข้อมูลท่าทางที่ถูกต้อง ซึ่งระบบใช้ AI ในการเรียนรู้ท่าทางและการเคลื่อนไหว ดังนั้นหากอุปกรณ์ตรวจพบท่าทางที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือหกล้ม อุปกรณ์จะแจ้งเตือนด้วยการสั่นแบบนุ่มนวลโดยอัตโนมัติเพื่อให้ผู้ใช้งานปรับเปลี่ยนท่าทางให้ถูกต้องทันที เช่น ปกติเวลานั่งดูทีวีหรือดูโทรศัพท์ไปสักพัก ไหล่จะห่องุ้มไปด้านหน้า และหลังส่วนบนจะเริ่มโค้งงอมากกว่าปกติ ซึ่งการนั่งหลังค่อมติดต่อกันนาน ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนหดสั้นและตึงตัว ขณะที่บางส่วนยืดยาวและอ่อนแรง โครงสร้างร่างกายจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดตามมา ดังนั้นหากอุปกรณ์ตรวจพบว่า ผู้ใช้งานเริ่มนั่งหลังงอก็จะสั่นแจ้งเตือนทันที”
[caption id="attachment_67272" align="aligncenter" width="750"] แอปพลิเคชัน Janine[/caption]
Gunther IMU ทำงานเชื่อมต่อกับ “แอปพลิเคชัน Janine” ซึ่งทำหน้าที่บันทึกข้อมูลการใช้งานและแสดงผลการวิเคราะห์ท่าทางและการเคลื่อนไหวให้ดูแบบเรียลไทม์ ช่วยเฝ้าระวังการทำท่าทางที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ที่สำคัญหากผู้ใช้งานพลัดตกหกล้ม แอปพลิเคชันจะแจ้งเตือนและติดต่อไปยังผู้ดูแลอีกด้วย
[caption id="attachment_67273" align="aligncenter" width="400"] แอปพลิเคชัน Janine[/caption]
ดร.เปริน กล่าวว่า Gunther IMU ตรวจจับการหกล้มจากองศาการเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนแปลง มีความเร็วเชิงมุม ความเร่ง หรือแรงกระแทกสูงถึงเกณฑ์ที่กำหนด อุปกรณ์จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังแอปพลิเคชันของผู้ใช้งาน เพื่อถามถึงการขอความช่วยเหลือ ในกรณีที่ผู้ใช้งานล้มและยังพอรู้สึกตัวก็สามารถกดปุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือด้วยตนเอง แต่หากผู้ใช้งานล้มลงและไม่พบสัญญาณการเคลื่อนไหวภายในเวลาที่กำหนด แอปพลิเคชันจะแจ้งเตือนผู้ดูแล เพื่อให้รีบเข้ามาตรวจสอบช่วยเหลือได้ทันการณ์
“แอปพลิเคชัน Janine ยังมีฟีเจอร์การประเมินความเสี่ยงต่อการล้ม คือ Timed Up and Go Test เป็นแบบทดสอบที่อ้างอิงมาตรฐานทางคลินิก วิธีการคือให้ผู้ใช้งานลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเป็นเส้นตรงด้วยความเร็วปกติในระยะทาง 3 เมตร จากนั้นหมุนตัวและเดินกลับมานั่งที่เดิม ซึ่งแอปพลิเคชันจะจับเวลาในการทำกิจกรรมและเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานสากล หากผู้ถูกทดสอบที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ใช้เวลาในการทำกิจกรรมมากกว่า 13.5 วินาที บ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงในการพลัดตกหกล้มมากกว่าคนปกติ จึงจำเป็นต้องระมัดระวัง หรือผู้ดูแลต้องเริ่มเฝ้าระวังมากขึ้น”
[caption id="attachment_67271" align="aligncenter" width="400"] แอปพลิเคชัน Janine[/caption]
[caption id="attachment_67274" align="aligncenter" width="400"] แอปพลิเคชัน Janine[/caption]
[caption id="attachment_67275" align="aligncenter" width="400"] แอปพลิเคชัน Janine[/caption]
ปัจจุบัน Gunther-Janine ผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการ และอยู่ระหว่างทดสอบใช้งานจริงในอาสาสมัครเพื่อประเมินประสิทธิภาพการใช้งาน
ดร.เปริน กล่าวว่า จุดเด่นของ Gunther-Janine คือ เป็นอุปกรณ์แจ้งเตือนเพื่อป้องกันการเคลื่อนไหวที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บและการหกล้มตั้งแต่ต้นทาง รวมทั้งหากเกิดเหตุหกล้มก็แจ้งเตือนได้ทันที ที่สำคัญต้นทุนอยู่ในราคาหลักพันเท่านั้น ซึ่งเป็นความตั้งใจของทีมวิจัยที่อยากให้อุปกรณ์มีราคาจับต้องได้ เข้าถึงได้ง่ายสำหรับประชาชน โดยในอนาคตทีมวิจัยมีแผนขยายผลการใช้งานสู่วัยทำงานที่กำลังเผชิญปัญหาออฟฟิศซินโดรม และขณะนี้ได้เริ่มทดลองใช้งานในอาสาสมัครกลุ่มคนทำงาน เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ท่าทางให้ถูกต้องตามสรีระร่างกายมากขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นได้รับผลตอบรับที่ดี
“ทีมวิจัยมุ่งหวังว่า Gunther-Janine จะเป็นนวัตกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถทำงานและทำกิจกรรมได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงและการบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหวผิดท่าและพลัดตกหกล้ม ขณะที่ครอบครัวก็อุ่นใจหากผู้สูงวัยต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง”
สำหรับผู้ที่สนใจนวัตกรรม Gunther-Janine ติดต่อสอบถามได้ที่ คุณเปริน วันแอเลาะ โทรศัพท์ 0 2564 6500 หรืออีเมล GuntherIMU@mtec.or.th
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. โดยศูนย์ TECE ผนึกพันธมิตร สัมมนา Next-Gen Thai Automotive & Parts แลกเปลี่ยนองค์ความรู้เทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต
(วันที่ 2 เมษายน 2568) ณ อิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี: ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย หรือ ทีอีซีอี (TECE) และผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) กล่าวต้อนรับผู้ร่วมงานสัมมนา Next-Gen Thai Automotive & Parts ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 46 ซึ่งงานสัมมนาในวันนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีสำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต รวมถึงแนวทางการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างเข้มแข็ง
ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), การพัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะ (AI), การลดคาร์บอนสู่ Net Zero และการใช้พลังงานสะอาด การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อผู้ผลิตยานยนต์ แต่ยังครอบคลุมถึงระบบซัพพลายเชน ผู้ประกอบการ และแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่เราทุกคนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวทันกระแสโลก
ในโอกาสนี้ ดร.สุมิตรา ยังได้แนะนำศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย หรือ ทีอีซีอี ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ครอบคลุม 3 ด้านหลัก ได้แก่
ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสมกับบริบทของไทย
ด้านการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม เชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยกับเทคโนโลยีและโอกาสทางธุรกิจ
ด้านการพัฒนาบุคลากรและมาตรฐาน ผลักดันให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับยานยนต์แห่งอนาคต
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ รอง ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (TECE) และ รอง ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) กล่าวถึงแนวโน้มประเทศไทยกับเทคโนโลยียานพาหนะสมัยใหม่ โดยยกตัวอย่างการขับเคลื่อน EV-INNOVATION พัฒนางานวิจัย และงานด้าน NQI ตามนโยบาย อว. For EV
คุณปิยพงศ์ เปรมวรานนท์ หัวหน้าทีมวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC), นำเสนอผลงาน EV-Microbus โครงการพัฒนารถ EV Micro Bus ทดแทนรถสองแถว (E Songthaew) สำหรับพื้นที่ EEC ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก
ดร.ศราวุธ คงยัง นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) กล่าวถึงเทคโนโลยี AI สามารถเชื่อมโยงกับยานพาหนะสมัยใหม่ได้อย่างไร พร้อมยกตัวอน่างการประยุกต์ใช้ AI ใน EV ของต่างประเทศ
ดร.นงนุช พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) กล่าวถึงนโยบาย Net Zero ส่งผลกับยานพาหนะสมัยใหม่แค่ไหน พร้อมยกตัวอย่าง นโยบาย 30@30 ซึ่งเป็นแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศ ด้วยการตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือ รถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 เป็นต้น
นอกจากนี้งานสัมมนาดังกล่าว ยังได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมและนักวิจัยชั้นนำของประเทศที่จะมาร่วมแบ่งปันความรู้และแนวโน้มสำคัญเกี่ยวกับยานยนต์แห่งอนาคต โดยผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่านจะได้อัปเดตความรู้จากการบรรยายที่เป็นประโยชน์ เช่น อัปเดตแนวโน้มยานยนต์สมัยใหม่, โอกาสสนับสนุนผู้ประกอบการ จากหน่วยงานสำคัญ เช่น ITAP, NIA เสวนาหัวข้อ "How to Catch the Train: ไทยจะก้าวทันยานยนต์สมัยใหม่ได้อย่างไร ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองเกี่ยวกับอนาคตของอุตสาหกรรมไทย และนิทรรศการผลงานวิจัยด้านยานยนต์ไฟฟ้าจากศูนย์วิจัยชั้นนำของประเทศ ได้แก่ MTEC, NECTEC และ ENTEC รวมทั้งการบริการวิศวกรรมจาก NFED อีกด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ผนึกกำลัง สป.อว. และ สกสว. เปิดฉากอบรม “Empowering Local-Global Synergy” ปั้นบุคลากรเชี่ยวชาญสูง เสริมแกร่งธุรกิจไทยสู่สากล ขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง-ตะวันตก ด้วย วทน.
(วันที่ 1 เมษายน 2568) ณ โรงแรม ทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมกับ กองส่งเสริมและประสานเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กปว.) สำนักปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดพิธีเปิดอบรมเชิงปฏิบัติการเข้มข้นและแผนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ (Empowering Local-Global Synergy Program) ซึ่งเป็นกิจกรรมการสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคกลาง-ตะวันตก (Central-West Economic Corridor: CWEC) ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวดำเนินการภายใต้โครงการพัฒนาระบบกลไกของอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค เพื่อการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค (NEC, NeEC, CWEC, SEC)
ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพบุคลากรในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง-ตะวันตก ให้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูง (Technology Transfer) จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เพื่อยกระดับธุรกิจด้วยนวัตกรรมให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น การอบรมเชิงปฏิบัติการนี้จะเน้นการพัฒนาทักษะบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญสูง โดยเฉพาะในเทคโนโลยีเป้าหมาย เช่น เซนเซอร์, AI, ดิจิทัล, ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ และนาโนเทคโนโลยี นอกจากนี้ โครงการฯ ยังมุ่งสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ตลอดจนการบริหารจัดการอุทยานวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือระดับนานาชาติในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ดร.วัฒนจักร พุ่มวิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มอุทยานวิทยาศาสตร์ กปว. สป.อว. กล่าวเปิดงานโดยเน้นย้ำถึงนโยบายของกระทรวง อว. ที่มุ่งพัฒนากำลังคน การวิจัย และการนำองค์ความรู้ วทน. ไปใช้ยกระดับเศรษฐกิจและสังคม โดย กปว. มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค โครงการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง-ตะวันตก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงทั้งด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรมการผลิต การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กปว. มุ่งส่งเสริมการบูรณาการงานวิจัยและนวัตกรรมเข้ากับภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจในภูมิภาค เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ และหวังว่าการอบรมครั้งนี้จะนำไปสู่แนวทางการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม ต่อยอดสู่การปฏิบัติได้จริง และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้ประกอบการที่ต้องการยกระดับธุรกิจสู่ระดับโลก (Industrialist) นักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีขั้นสูง (Technologist) และผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจเทคโนโลยีและการตลาด (Innovation Builder) โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้เข้าอบรมเชิงปฏิบัติการใน 4 Module ได้แก่
Orientation & Gap Analysis Workshop: เริ่มต้นทำความเข้าใจโครงการ วิเคราะห์ศักยภาพ และวางเป้าหมาย
Enhancing Potential Hard Skill & Soft Skill: เสริมสร้างศักยภาพ พัฒนาทักษะที่จำเป็น และคัดเลือกผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างความร่วมมือต่างประเทศ
Filling the Gaps & Excursion/Working Aboard: เติมเต็มองค์ความรู้เฉพาะทาง รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ
Synergizing Power: สร้างความร่วมมือภายใน (Internal Synergies) และคัดเลือกผู้แทน CWEC ก่อนนำไปสู่การผนึกกำลังร่วมกับเครือข่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค
การอบรมในครั้งนี้เป็น Module ที่ 1 Orientation & Gap Analysis Workshop ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิร่วมเป็นวิทยากรตลอดการอบรมทั้ง 3 วัน ได้แก่ รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ดร.สุจิต พงษ์นุ่มกุล อ.ไพบูลย์ พนัสบดี รศ.อรพิณ สันติธีรากุล ผศ.ดร.สาลินี สันติธีรากุล อ.สุดชาย สิงห์มโน คุณณัฐธิดา สงวนสิน ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง คุณระสิตา ถาวรานุรักษ์ เนื้อหาการอบรมครอบคลุมหัวข้อสำคัญ อาทิ Objective and Key Results (OKRs), Innovation Management, Design Thinking & Customer Journey, Strategic AI for Business Planning รวมถึงกิจกรรมสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการแนะนำแหล่งทุนสนับสนุนจาก สวทช. ซึ่งการอบรมภายใต้โครงการจะแล้วเสร็จครบทั้ง 4 Module ในช่วงเดือนกันยายน 2568
“โครงการพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูงเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคกลาง-ตะวันตก (Empowering Local-Global Synergy Program) มุ่งหวังว่าจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง สร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง และยกระดับระบบวิจัยและนวัตกรรมในพื้นที่ CWEC ให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน” ดร.อดิสร กล่าวทิ้งท้าย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. คว้า 2 รางวัลผลิตสื่อสร้างสรรค์จากเวที Commu Max Competition จากผลงาน Thailand’s Food Bank และ Innovation Grows@TSP
(1 เมษายน 2568) ณ ห้องประชุมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อาคาร วช.1 ชั้น 2 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) - ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. นำทีมวิจัยนโยบาย ทีมสื่อสารการตลาด อวท. และทีมประชาสัมพันธ์ สวทช. เข้ารับรางวัลนวัตกรรมการสื่อสารสร้างสรรค์ Commu Max Competition จาก ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) รางวัลนี้จัดขึ้นภายใต้โครงการต่อยอดแซนด์บ็อกซ์นวัตกรรมการสื่อสารสำหรับนโยบายภาครัฐ (ระยะที่ 2) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และดำเนินโครงการโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำหรับปีนี้ สวทช. คว้า 2 รางวัล จากการผลิตสื่อสร้างสรรค์คลิปวิดีโอสั้น ได้แก่ รางวัลชนะเลิศ การสร้างการเข้าถึงดีเด่น (Outstanding Engagement Excellence Award) จากผลงาน “ธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank)” และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 การสื่อสารผลงานวิจัยดีเด่น (Outstanding Research Communication Award) จากผลงาน “Innovation Grows@TSP” รางวัลดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ สวทช. ในการใช้สื่อสร้างสรรค์เพื่อขับเคลื่อนการสื่อสารนโยบายและนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เข้าถึงสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลงานคลิปวิดีโอสั้น “ธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank)” สร้างสรรค์โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. และทีมวิจัยนโยบายในเรื่องโครงการการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย ร่วมกับบริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยมุ่งสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมทัศนคติที่ดีต่อโครงการ รวมถึงกระตุ้นการมีส่วนร่วมในการบริจาคอาหารส่วนเกิน ด้วยวลีเด็ด “รู้หรือไม่? อาหาร 1 ใน 3 ที่ผลิตในไทย ถูกทิ้งไปโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์” เพื่อสะท้อนความจริงที่ว่า ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากยังขาดแคลนอาหาร กลับมีอาหารส่วนเกินจำนวนมหาศาลถูกทิ้งเป็นขยะ ธนาคารอาหารของประเทศไทยจึงเข้ามาเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ ด้วยระบบบริหารจัดการอาหารที่มีประสิทธิภาพ ช่วยกระจายทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดขยะอาหารและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ของคนไทยและโลกของเรา ความสำเร็จของผลงานนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศในการสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งผู้บริจาคและชุมชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลงานคลิปวิดีโอ สั้น “Innovation Grows@TSP นวัตกรรมดี ๆ เกิดขึ้นได้ทุกวัน” สร้างสรรค์โดยทีมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) และฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. ผลงานนี้นำเสนอบริการและศักยภาพของ อวท. ในฐานะ “ระบบนิเวศนวัตกรรมครบวงจร” และศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของประเทศ เรื่องราวถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของบริษัทผู้เช่าภายใน อวท. ที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยได้รับการสนับสนุนจาก อวท. ในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การให้คำปรึกษาและถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยนักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีแห่งชาติ รวมถึงบริการวิเคราะห์ทดสอบด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยได้มาตรฐานสากลโดยผู้เชี่ยวชาญของ สวทช. ตลอดจนมาตรการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในด้านต่าง ๆ ซึ่งคลิปวิดีโอนี้ตอกย้ำแนวคิด “นวัตกรรมดีๆ เกิดขึ้นได้ทุกวัน” พร้อมเน้นย้ำบทบาทสำคัญของ สวทช. ผ่านการดำเนินงานของ อวท. ในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและผลักดันให้ระบบนิเวศนวัตกรรมของไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
รางวัลนวัตกรรมการสื่อสารสร้างสรรค์ Commu Max Competition เป็นกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และดำเนินโครงการโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้โครงการต่อยอดแซนด์บ็อกซ์นวัตกรรมการสื่อสารสำหรับนโยบายภาครัฐ (ระยะที่ 2) เพื่อเป็นการส่งเสริมและเปิดโอกาสและเป็นเวทีสำหรับการแสดงผลงานทางด้านการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐที่มีผลงานโดดเด่นด้านการสื่อสารนโยบายผ่านสื่อสังคมออนไลน์
ชมคลิป ธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank)
คลิกลิงก์: https://www.facebook.com/share/v/1Q6oF4zJbM/
ชมคลิป Innovation Grows@TSP
คลิกลิงก์: https://youtu.be/gai7DxtfZEQ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ร่วม UNFPA ผนึกพันธมิตร 8 หน่วยงาน เปิดตัวแพลตฟอร์ม SoSafe ยกระดับสุขภาพและความปลอดภัย ผ่านการพัฒนาชีวิตทุกช่วงวัย สำหรับทุกกลุ่ม ทุกเพศและทุกวัย
วันที่ 28 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมปริ้น พาเลซ กรุงเทพ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ ดร.จูลิตตา โอนาบันโจ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจำประเทศไทย นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายสันติธร ยิ้มละมัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุ ร่วมกันลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม SoSafe ซึ่งเป็นโครงการสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพ ความปลอดภัย และการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมไทย
ดร.จูลิตตา โอนาบันโจ ผู้อำนวยการกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNFPA Thailand) กล่าวว่า บันทึกข้อตกลงฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวางกรอบความร่วมมือและสร้างพันธมิตรที่เข้มแข็งในการพัฒนาแพลตฟอร์ม SoSafe ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรในด้าน สุขภาพมารดา สุขภาพทางเพศ อนามัยการเจริญพันธุ์ และสิทธิทางเพศภาวะ การบูรณาการแพลตฟอร์ม SoSafe เข้ากับระบบสนับสนุนด้านสุขภาพ สังคม และชุมชน การสนับสนุนทรัพยากรเพื่อให้ SoSafe สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน การส่งเสริมการพัฒนานโยบายที่ช่วยให้ชุมชนมีความปลอดภัยและครอบคลุมมากขึ้น
ทั้งนี้ ภาคีที่ร่วมลงนามในข้อตกลงนี้ตกลงที่จะร่วมมือกันในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การให้คำปรึกษา และการบูรณาการทรัพยากร เพื่อให้แพลตฟอร์ม SoSafe สามารถดำเนินการและขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดกลไกการประชุมเพื่อติดตามผลและวางแผนความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง โดยข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้มีระยะเวลา 3 ปี มีเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการนำเทคโนโลยีและแนวทางการพัฒนาแบบบูรณาการมาใช้ ภายใต้แผนดำเนินการ SoSafe จะเริ่มนำร่องในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และขยายไปยังจังหวัดอื่น ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือเขตที่มีประชากรกลุ่มเปราะบางจำนวนมาก
นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างระบบสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม โดย เฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ แพลตฟอร์ม SoSafe จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยบูรณาการบริการด้านสังคม สุขภาพ และความปลอดภัยให้เป็นระบบเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมที่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายณพงศ์ วาณิชยพงศ์ ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส หน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง สวทช. กล่าวในการเสวนาเรื่อง “พันธกิจและแนวทางเชิงนโยบายขับเคลื่อนระบบแพลตฟอร์ม SoSafe” ว่า แพลตฟอร์ม SoSafe เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจาก Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง โดย SoSafe จะเป็นช่องทางในการรับแจ้งปัญหาสังคม เช่น การตั้งครรภ์ไม่พร้อม การละเมิดทางเพศ ความรุนแรงในครอบครัว และปัญหาสังคมอื่น ๆ ปัจจุบันพร้อมใช้งานใน 15 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร , ลำพูน , พะเยา , แม่ฮ่องสอน , แพร่ , อ.เชียงของ เชียงราย , ขอนแก่น , อุดรธานี , ร้อยเอ็ด , สิงห์บุรี , สมุทรปราการ , ปัตตานี , สงขลา , ภูเก็ต , และเทศบาลนครยะลา ประชาชนที่ต้องการแจ้งปัญหาสามารถเพิ่มเพื่อนในแอปพลิเคชัน Line @SoSafe จากนั้นระบุตำแหน่งพิกัด พร้อมเลือกประเภทปัญหา โดยปัญหาจะถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อไป
การลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาแพลตฟอร์มที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพ และความปลอดภัยของประชาชน ผ่านการร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมที่ยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์