เมื่อ “จุลินทรีย์” เปลี่ยนชีวิต

เมื่อ “จุลินทรีย์” เปลี่ยนชีวิต

จากคนที่ทำสวนลำไยมีรายได้เป็นแสนบาทต่อปีให้หยิบจับ รัตฑนา จันทร์คำ หรือ แม่หลวงอ้อ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ต.หนองตอง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ใช้เวลาเรียนรู้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงอยู่กว่า 7 ปี จึงตัดสินใจปรับเปลี่ยนจากเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นเกษตรผสมผสาน “ไปอบรมแรกๆ ก็แย้งในความรู้สึกว่ามันดูกระจอก จะได้จริงเหรอ กระจอกคือรายได้นิดเดียว ขายลำไยปีนึงได้เป็นแสน เก็บผักได้วันละ 100-300 บาท ทำเหนื่อย รายได้น้อย แต่เป็นผู้ใหญ่บ้านถูกส่งไปอบรมเรื่อยๆ ก็ซึมซับว่าน่าจะดี จะดีจริงมั้ย ก็ต้องลงมือทำ พอมาทำก็ยากอยู่ ต้องใช้ความอดทน ความขยันและเรียนรู้ตลอด แต่ผลที่ได้ ทำแล้วคุ้ม โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ เพราะไม่ใช้สารเคมี” วิถีการทำสวนลำไยที่พึ่งพาการใช้สารเคมี ทำให้สมาชิกในชุมชนได้รับผลกระทบเรื่องสุขภาพ ผลตรวจเลือดอยู่ในระดับไม่ปลอดภัย แม่หลวงอ้อ ใช้เวลากว่า 2 ปี ลงมือทำและปรับเปลี่ยนการทำเกษตรในพื้นที่ 7 ไร่ของตนเองให้เป็นเกษตรผสมผสานเพื่อเป็นตัวอย่างให้สมาชิกได้เข้ามาเรียนรู้ จนเกิดเป็น “ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านป่าลาน” ที่มีทั้งแปลงผักอินทรีย์

“บ้านท้องฝาย” ชุมชนปลอดขยะ ดินดีมีคุณภาพ ด้วย “จุลินทรีย์”

จุลินทรีย์1

“แต่ก่อนวิถีของชุมชนกำจัดขยะโดยการเผา นำไปทิ้งในแม่น้ำลำคลอง ที่สาธารณะต่างๆ ทำอย่างไรก็ได้ให้ขยะ ใบไม้ กิ่งไม้พ้นบ้านของตนเอง สร้างปัญหาให้กับชุมชน เรื่องขยะเป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของเทศบาลฯ ฝ่ายเดียว คนในชุมชนต้องมีจิตสาธารณะด้วย”  ร.ต.ต.สุภาพ ยะมะโน หรือ ลุงสุภาพ ประธานคณะกรรมการชุมชนปลอดขยะบ้านท้องฝาย และประธานสภาเทศบาลตำบลริมเหนือ บอกเล่าถึงสภาพการจัดการขยะของชุมชนในอดีต บ้านท้องฝาย หมู่ 2 ตำบลริมเหนือ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบริมฝั่งแม่น้ำแม่ริม ชุมชนอาศัยอยู่ใต้ฝาย จึงเรียกว่า บ้านท้องฝาย จากการทิ้งขยะของชุมชนที่นับวันจะเป็นปัญหามากขึ้น ลุงสุภาพจึงได้ร่วมกับทางเทศบาลตำบลริมเหนือผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหา โดยนำความรู้หลายๆ ด้านมาถ่ายทอดให้ชุมชน หนึ่งในองค์ความรู้จากสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คือ การใช้จุลินทรีย์เร่งการย่อยสลายเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร หลังจากได้รับความรู้จาก สท./สวทช. ลุงสภาพ ได้สร้างบ่อเพื่อกำจัดขยะอินทรีย์โดยใช้จุลินทรีย์ช่วยเร่งการย่อยสลายรดในบ่อทุกๆ 6 เดือน ทำให้เศษใบไม้

ปัจจัยการผลิตและอื่นๆ

ปัจจัยการผลิตและอื่นๆ

ปัจจัยการผลิตในการทำเกษตร ไม่ว่าจะเป็น ดิน ปุ๋ย สารชีวภัณฑ์ ฯลฯ ล้วนมีผลต่อทั้งการเจริญเติบโตของพืชและต้นทุนการผลิตของเกษตรกรทั้งสิ้น สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านปัจจัยการผลิต ได้แก่ สารชีวภัณฑ์ (Biocontrol) โดยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ที่สามารถควบคุมการระบาดของแมลงศัตรูพืชหลายชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ราบิวเวอเรีย ไวรัสเอ็นพีวี (NPV) นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีการจัดการดิน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการทำเกษตร โดย สท. ได้ถ่ายทอดฯการผลิตปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกลับกอง ที่สามารถช่วยให้เกษตรกรสามารถทำการหมักปุ๋ยอินทรีย์ใช้ในพื้นที่ของตนเอง ด้วยวิธีการทำปุ๋ยหมักที่ง่าย ประหยัดและได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่คุณภาพสูง หรือการผลิตปุ๋ยไส้เดือนดินจากขยะอินทรีย์ ที่ช่วยปรับปรุงโครงสร้างและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ดิน ช่วยย่อยอินทรียวัตถุในดิน อีกทัั้งเพิ่มจุลินทรีย์และธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช บทความ สิ่งพิมพ์ วิดีโอ บทความ ‘ถุงห่อผลทุเรียน Magik Growth’ ป้องกันแมลงศัตรูพืช สร้างมูลค่าเพิ่มทุเรียนไทย Magik

ยกดินขึ้นโต๊ะ…แล้วมาปลูกผักกัน

ยกดินขึ้นโต๊ะ…แล้วมาปลูกผักกัน

เมื่อพูดถึงการปลูกผักบนโต๊ะ เรามักจะนึกถึงการปลูกผักโดยไม่ใช้ดินหรือที่เรียกกันว่า ไฮโดรโพนิกส์ แต่ปัจจุบันการปลูกผักบนโต๊ะโดยใช้ดินเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น และหากจะปลูกผักบนโต๊ะต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง จะปลูกอะไร ต้องทำอย่างไร …ไปหาความรู้กัน! รศ.ดร.บุญส่ง เอกพงษ์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ผู้คร่ำหวอดการปลูกพืชไฮโดรโพนิกส์และการปลูกพืชในระบบโรงเรือน บอกว่า ปัจจุบันผู้คนให้ความสนใจการทำเกษตรมากขึ้น แต่หลายคนมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่และการจัดการดูแลแปลง “โต๊ะปลูกผัก” จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากความนิยมปลูกพืชไฮโดรโพนิกส์ ซึ่งไม่ต้องใช้ดินและสามารถดัดแปลงโต๊ะปลูกให้เหมาะสมกับพื้นที่ แต่การปลูกพืชระบบนี้จะมีต้นทุนที่สูงกว่าปลูกบนดิน ต้องอาศัยความรู้และการดูแลเอาใจใส่อย่างดี ด้วยความตั้งใจที่อยากให้ผู้สนใจการทำเกษตรแต่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ สามารถเข้าถึงการปลูกพืชโดยมีต้นทุนไม่สูง อาจารย์บุญส่งจึงได้ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชบนโต๊ะจากระบบไฮโดรโพนิกส์เป็นการปลูกพืชโดยใช้ดินแทน ซึ่งพบว่าการปลูกพืชผักบนโต๊ะนั้นดูแลจัดการแปลงง่าย ห่างไกลแมลงศัตรูพืช มีวัชพืชและโรคระบาดน้อย และที่สำคัญสามารถเก็บผลผลิตได้เร็วขึ้น 5-7 วันเมื่อเทียบกับการปลูกผักบนดิน “การปลูกผักบนดินโดยเฉพาะในระบบผักอินทรีย์ แมลงและโรคบนดินจะเยอะ โดยเฉพาะหมัดกระโดด จากการทดลองปลูกผักบนโต๊ะที่มีความสูง 1 เมตรจากพื้นดิน ไม่พบแมลงชนิดนี้ เกษตรกรสามารถดูแลจัดการแปลงบนโต๊ะได้ง่าย

พลังกลุ่ม พลังเกษตรอินทรีย์…ไร้สูตรสำเร็จ

พลังกลุ่ม พลังเกษตรอินทรีย์…ไร้สูตรสำเร็จ

ธรรมชาติของการรวมกลุ่มก่อเกิดจากคนที่มีความคิดอ่านคล้ายกัน ยอมรับในข้อกำหนดหรือแนวทางที่ตกลงร่วมกัน เช่นเดียวกับ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์โนนกลาง ที่หลอมรวมขึ้นจากสมาชิกผู้มุ่งมั่นทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ต.โนนกลาง อ.สำโรง จ.อุบลราชธานี มีเจตจำนงแน่วแน่ในการลดใช้สารเคมี ปฏิเสธสารสังเคราะห์ เพื่อสุขภาพที่ดีของทั้งผู้ผลิตผู้บริโภค สร้างระบบนิเวศที่สมดุล ควบคู่กับการสร้างอาชีพที่มั่นคง และเป็นแบบอย่างการเรียนรู้แก่ผู้สนใจ กว่าสมาชิกจาก 14 ครัวเรือนจะฝังรากบนเส้นทางเกษตรอินทรีย์ได้ แทบทุกคนเคยผ่านการทำเกษตรเคมีมาแล้ว บางคนต้องล้มป่วยเพราะผลจากการใช้สารเคมีอย่างหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ดังเช่น สุรทอน เหมือนมาต “ตอนทำเกษตรเคมีลงทุนเยอะ ทั้งทุน ทั้งสุขภาพ ทำไปทำมาไม่คุ้ม ตอนแรกดินยังดี แต่พอ 5 ปีขึ้นไปดินเริ่มเสีย พืชเริ่มเป็นโรค ยิ่งใช้สารเคมีหนัก จนมีอาการเหมือนมีลมดันในจมูกขึ้นไปสมอง หายใจไม่อิ่ม นอนก็ไม่อิ่ม ไม่เหมือนทำเกษตรอินทรีย์ใช้ลูกเก็บผักได้เพราะรู้ว่าปลอดภัย” ถวัลย์ ถีระทัน เป็นอีกคนที่ “เคยสนุกกับการทำเคมีและไม่รู้สึกว่าเป็นคนนำสารพิษมาให้ภรรยาและลูก” กระทั่งภรรยาแพ้สารเคมีอย่างหนักจนเข้าออกโรงพยาบาลประจำ จึงทดลองปลูกผักอินทรีย์ตามคำเชิญชวนของ ปิยะทัศน์ ทัศนิยม ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์โนนกลาง หลังจากปลูกผักอินทรีย์ขายได้ 2 ปี ถวัลย์มีรายได้มากกว่าอาชีพขายเสื้อผ้าเร่ที่ทำอยู่เดิม แถมได้สุขภาพที่แข็งแรงของภรรยากลับมา

หมอนยางพาราบ้านแพรกหา ต้นแบบการแก้ปัญหาราคาน้ำยาง ด้วยการพึ่งพาตัวเอง

หมอนยางพาราบ้านแพรกหา ต้นแบบการแก้ปัญหาราคาน้ำยาง ด้วยการพึ่งพาตัวเอง

ในภาวะวิกฤติราคาน้ำยางตกต่ำ อนันต์ จันทร์รัตน์ ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรบ้านแพรกหา จำกัด หนึ่งในเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราที่ต้องการแก้ปัญหาราคาน้ำยางเช่นกัน ด้วยวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลและความมุ่งมั่น จึงเกิดเป็นธุรกิจแปรรูปน้ำยางพาราในระดับชุมชนแห่งแรกที่สามารถผลิตหมอนยางได้เองทุกกระบวนการ ตั้งแต่การรับน้ำยางสดจากสมาชิกไปจนถึงการผลิตเพื่อจำหน่าย พึ่งพาตัวเองและแก้ไขปัญหาราคาน้ำยางได้อย่างยั่งยืน ย้อนหลังไปเมื่อปี 2557 อนันต์ เป็นผู้ช่วยผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรพนมวังก์ จำกัด เขามีแนวคิดผลิตหมอนยางพาราเพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับน้ำยางสด ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคุณชาย คงแก้ว ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ดำเนินการของบประมาณตามยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ปี 2558 (โครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางพารา) จัดตั้งโรงงานผลิตหมอนและที่นอนยางพาราเพื่อสุขภาพ “โครงการที่ไม่มีวันเป็นไปได้ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เกษตรกรไม่มีทางทำได้” คือคำสบประมาทที่ได้ยินจนชินหู แต่กลับเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ อนันต์ เดินหน้าแก้ไขปัญหาราคาน้ำยางตามแนวคิดที่ตนเองมองแล้วว่า “เป็นไปได้” หนทางความฝันของเขาเริ่มชัดเจนขึ้น แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับจากชุมชนให้จัดตั้งโรงงานผลิตหมอนยางพาราตามโครงการ อนันต์ นำความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาพร้อมโครงการกลับสู่บ้านเกิดที่ตำบลแพรกหา อ.ควนขนุน จ.พัทลุง หารือผู้นำท้องถิ่นและชุมชนถึงโครงการที่ได้มา จนได้รับการยอมรับ และนำมาสู่การจัดตั้ง สหกรณ์การเกษตรบ้านแพรกหา จำกัด เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2558 มีสมาชิกจัดตั้งจำนวน 50 คน เริ่มผลิตหมอนยางพาราเมื่อวันที่

“ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่” กลับบ้าน สร้างอาชีพ มีรายได้

“ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่” กลับบ้าน สร้างอาชีพ มีรายได้

“คิดอย่างเดียว ถ้าไปเป็นลูกจ้างเขา เหนื่อยก็เหนื่อยให้เขา ไม่ได้กลับบ้านซะที แต่ถ้าเราลองทำดู โครงการ 3 ปี ถ้าไม่ได้จริงๆ ค่อยว่ากัน” สุวิตรี แดนขนาน บอกไว้ในช่วงจบปีแรกที่เข้าร่วม “โครงการพัฒนาทักษะผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ รุ่นที่ 1” ถึงวันนี้จบโครงการฯ แล้ว แต่ สุวิตรี ยังคงเดินบนเส้นทาง “ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์” “กลับมาปีแรก ไฟแรง อยากหาลูกไล่ล่ะ” สุวิตรี ย้อนความถึงวันที่กลับมา “สร้างอาชีพ” ที่บ้านเกิด หลังจบการศึกษาจากสาขาพืชผัก คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และเพิ่มพูนทักษะการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่บริษัท สุพรีมโกลด์ จำกัด อีก 6 เดือนก่อนกลับมาผลิตเมล็ดพันธุ์มะระและถั่วฝักยาวส่งให้บริษัทฯ โดยมี วรนารี แดนขนาน พี่สาวที่เรียนจบด้านเกษตรและลาออกจากงานประจำมาร่วมด้วยช่วยกัน ด้วยมองว่า “ทำของตัวเอง เหนื่อยก็เป็นของเรา” “ตอนฝึกงานกับบริษัท เรียนรู้สบายๆ แต่กลับมาเจอของจริงที่บ้าน ต้องรับสภาพทุกอย่าง เป็นแรงงานด้วย เป็นคนดูด้วย ปีแรกยังไม่ท้อ

ยางชุมน้อยโมเดล: การปลูกพริกยอดสนเข็ม 80 เพื่อแปรรูป

ยางชุมน้อยโมเดล: การปลูกพริกยอดสนเข็ม 80 เพื่อแปรรูป

อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ ถือเป็นพื้นที่ผลิตพริกชั้นดีของประเทศไทย เกษตรกรในพื้นที่มีอาชีพผลิตพริกจำหน่ายให้ลูกค้าในประเทศ แต่เกษตรกรยังมีรายได้น้อย ทั้งๆ ที่ทำการเกษตรมานาน มีความชำนาญและขยัน การผลิตพริกแบบเดิมมีต้นทุนสูง มีปัญหาโรคแมลงและใช้สารเคมีปริมาณมาก ทำให้ สุจิตรา จันทะศิลา ที่จบการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และต้องการกลับบ้านมาช่วยเหลือเกษตรกรที่บ้านเกิด จัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านโนนติ้ว ตำบลโนนคูณ อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อ 27 สิงหาคม 2558 ให้เกษตรกรผลิตพริกแห้งปลอดภัยเพื่อแปรรูปและส่งออก เช่น ผลิตพริกสายพันธุ์ “ยอดสนเข็ม 80” ป้อนให้บริษัท บางกอกแลปแอนด์คอสเมติก จำกัด โดยประกันราคารับซื้อ บริษัทฯ ต้องการผลผลิตพริกแห้งพันธุ์นี้ประมาณปีละ 5 – 10 ตันต่อปี หรือ พริกสด

นวัตกรรมฟางข้าวอินทรีย์: ผลิตภัณฑ์จากบ้านสามขา จังหวัดลำปาง

นวัตกรรมฟางข้าวอินทรีย์: ผลิตภัณฑ์จากบ้านสามขา จังหวัดลำปาง

อย่าโยนฉันทิ้ง ให้โอกาสฉันงอกงามในสวนคุณ “กระดาษที่สื่อสารมากกว่าตัวหนังสือ” คุณเคยได้รับกระดาษโน๊ตที่ส่งผ่านด้วยข้อความสั้นๆ ไหม? หลังจากคุณอ่านข้อความแล้ว กระดาษเหล่านั้นหายไปไหน? วันนี้กระดาษโน๊ตจากฟางข้าว หรือ “สวนกระดาษ” ทำให้คุณเข้าใจมากกว่าตัวหนังสือ เพราะสวนกระดาษ คือสิ่งที่สื่อความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการดูแลเอาใจใส่เมล็ดพันธุ์ในกระดาษให้งอกเจริญเติบโตเป็นต้นกล้า กระทั่งนำไปบริโภคได้ กระดาษฟางข้าวไม่เพียงใช้เขียนเพื่อสื่อข้อความ แต่เป็นปุ๋ยไร้สารเคมีชั้นดี ทำให้พืชเจริญเติบโต แข็งแรง ทนต่อศัตรูพืช เมื่อถึงช่วงหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวในหลายพื้นที่ในประเทศไทย “ฟางข้าว” ส่วนที่เหลือใช้จากการเลี้ยงสัตว์และการเพาะปลูกกลายเป็นของเหลือใช้ทางการเกษตร เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมกำจัดฟางข้าวโดยการเผาทำลายมากกว่าการปล่อยให้ย่อยสลาย เพราะความสะดวก รวดเร็ว และการขาดแคลนแรงงาน กลายเป็นปัญหาหมอกควันหรือมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นทุกปี รวมทั้งการสูญเสียอินทรีย์วัตถุที่กลับคืนสู่ผืนดิน “หมู่บ้านสามขา” มีการรณรงค์ในเรื่องการเผา จนได้รับรางวัลเป็นหมู่บ้านต้นแบบปลอดการเผาฟางข้าว หมู่บ้านสามขา อ.แม่ทะ จ.ลำปาง เป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก ล้อมรอบด้วยภูเขา เป็นแหล่งต้นน้ำธรรมชาติที่บริสุทธิ์จากยอดดอย ชาวบ้านสามขาใช้น้ำธรรมชาติจากยอดดอยสำหรับอุปโภคและบริโภค การทำเกษตรทำนายึดถือตามวิถีชีวิตคนในชุมชนที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ใช้หลักการของเกษตรแบบอินทรีย์ คือการทำนาโดยไม่ใช้สารเคมี