โคขุน ขุนโค สร้างอาชีพที่ชายแดนใต้

โคขุน ขุนโค สร้างอาชีพที่ชายแดนใต้

“โค” เป็นส่วนหนึ่งในวิถีการดำเนินชีวิตของพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนใต้ ชาวบ้านนิยมเลี้ยงโคพื้นเมืองเพื่อบริโภคในชีวิตประจำวันและใช้บริจาคทานในช่วงเทศกาลรอมฎอน หรือที่เรียกว่า วัวบุญ ซึ่งทำให้ความต้องการโคมีสูงมาก จึงมีโคจากที่ต่างๆ ส่งมาขายในพื้นที่และที่นี่จึงเป็นตลาดโคที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศก็ว่าได้ เมื่อปริมาณความต้องการโคในพื้นที่มีมาก แต่เม็ดเงินจากการซื้อขายโคกลับไม่หมุนเวียนถึงเกษตรกรในพื้นที่ จึงมีความพยายามของหลายหน่วยงานที่จะสนับสนุนและยกระดับการเลี้ยงโคให้เป็นอาชีพหลักในพื้นที่นี้ ผศ.ดร.จักรพันธ์ พิชญพิพัฒน์กุล คณบดีคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เล่าว่า วิถีการเลี้ยงโคในพื้นที่ยังเลี้ยงแบบดั้งเดิม คือปล่อยให้โคหากินตามสวนหรือพื้นที่ว่างเปล่า การพัฒนาการเลี้ยงแบบจริงจังในเชิงธุรกิจหรือยกระดับให้เป็นอาชีพหลัก จึงต้องให้ความรู้เกษตรกรและมีช่องทางตลาดที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกรได้ ผศ.ดร.จักรพันธ์ พิชญพิพัฒน์กุล มาหะมะนาเซ และฆาเยาะ หรือ ฎอน นั่นจึงเป็นที่มาของ สหกรณ์โคเนื้อมือนารอ ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2561 เพื่อส่งเสริมให้ชาวบ้านหันมาเลี้ยงโคพันธุ์ลูกผสมมากขึ้น นอกจากสหกรณ์ฯ รับซื้อ ชำแหละ จำหน่ายและแปรรูปเนื้อโคแล้ว สหกรณ์ฯ ยังเป็นแหล่งความรู้การเลี้ยงโคพันธุ์ลูกผสมและการขุนโคให้ได้คุณภาพ รวมถึงเป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารโคคุณภาพให้สมาชิก “ตอนเริ่มต้นตั้งสหกรณ์ฯ มีสมาชิก

สืบสาน ต่อยอด ‘จกโหล่งลี้’ ลายผ้าโบราณด้วยนวัตกรรม

สืบสาน ต่อยอด ‘จกโหล่งลี้’ ลายผ้าโบราณด้วยนวัตกรรม

“ผ้าจกโหล่งลี้” ผ้าทอโบราณลายจกของชุมชนโหล่งลี้ที่สืบเชื้อสายไทยญวน ด้วยเทคนิคการขึ้นลายแบบ “จก” และ “ยกผสมจก” สร้างลวดลายและสีสันที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ชาวลำพูนภาคภูมิใจ โดยมี กลุ่มทอผ้าบ้านปวงคำ ต.ลี้ อ.ลี้ จ.ลำพูน และเป็นศูนย์เรียนรู้หม่อนไหมผ้าจกโหล่งลี้ รับหน้าที่สืบสานสู่คนรุ่นหลังผ่านผลิตภัณฑ์ผ้าผืน เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องใช้ในครัวเรือน “ปัจจุบันผ้าซิ่นตีนจกมีหลงเหลือเพียงไม่กี่แห่งในประเทศ ซึ่งผ้าจกโหล่งลี้พบได้ที่นี่ที่เดียว เป็นลายที่มีอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น ปู่ย่าตายายสร้างสรรค์ลวดลายจากจินตนาการไม่มีแบบหรือแม่พิมพ์ การขึ้นลายใช้ทักษะและประสบการณ์เฉพาะของผู้ทอ” สุนี ทองสัมฤทธิ์ ข้าราชการครูเกษียณผู้รับบทบาทรองประธานกลุ่มฯ บอกเล่าถึงการสืบค้นลายผ้าจกโบราณประจำถิ่น ซึ่งกลุ่มฯ ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เทศบาลตำบลลี้ และองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน รวบรวมและจัดเก็บไว้ที่ศูนย์เรียนรู้ฯ พร้อมกับแกะลายการทอให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ การทอผ้าทอลายจกของกลุ่มฯ ต้องอาศัยความชำนาญและความประณีต จึงใช้เวลาทอประมาณ 2-4 เดือน ซึ่งผ้าซิ่นลายจก 1 ผืน