“ใช้เคมี โรคหาย แต่ไม่นานก็เป็นอีก ใช้ขีวภัณฑ์เห็นผลช้า แต่ยั่งยืนกว่า” ถ้อยคำจาก พงษ์ธร เกษรบัว เกษตรกรวัย 75 ปี อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ผู้ผ่านประสบการณ์จัดการโรครากเน่าโคนเน่าในทุเรียนด้วยราไตรโคเดอร์มา

ตลอดชีวิตการทำสวน พงษ์ธร ยึดแนวทางการทำเกษตรปลอดภัย ลด ละการใช้สารเคมีตั้งแต่ทำสวนผสมผสานทั้งพริกไทย เงาะ ลองกอง ก่อนลงมือทำทุเรียนจริงจังได้ 10 กว่าปี ในช่วงที่ทุเรียนราคาดี โดยเขาให้ความสำคัญกับดินเพื่อป้องกันการเกิดโรครากเน่าโคนเน่า โรคพืชสำคัญของทุเรียนที่เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งสภาพแวดล้อม (เช่น ความชื้นสูง การระบายน้ำในแปลงไม่ดี ดินเป็นกรดสูง) และการจัดการสวนที่ไม่เหมาะสม  (เช่น การใช้สารเคมีมากเกินไป ความอ่อนแอของต้นทุเรียน เครื่องมือการเกษตรที่ไม่สะอาด)

“ใช้ไตรโคเดอร์มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ซื้อแบบสำเร็จจากร้าน ก็เห็นผลอยู่ แต่ต้องใช้ต่อเนื่อง เพราะโรคอยู่ในดิน แล้วต้องจัดการดินให้สมบูรณ์ ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก แปลงที่ใช้เคมีสะสมมานาน ดินเสีย ผมก็อยากให้ดินเขาดี ชวนให้ใช้ไตรโคเดอร์มา ก็ไม่มีใครสนใจ”

ช่วงปี พ.ศ. 2566 พงษ์ธร ร่วมทำแปลงทดสอบการจัดการศัตรูทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์แบบครบวงจรกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภัณฑ์แห่งชาติ (ไบโอเทค) และได้ทดลองใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาสายพันธุ์ TBRC 4734[1] ควบคุมเชื้อโรครากเน่าโคนเน่าในทุเรียนด้วย จากการทำแปลงทดสอบครั้งนั้นโดยใช้ชีวภัณฑ์ร่วมกับสารเคมีสามารถควบคุมโรคพืชและแมลงศัตรูพืชในแปลงทุเรียนของ พงษ์ธร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดประกายความสนใจให้เกษตรกรรายอื่นๆ จนเกิดการรวมกลุ่มเป็น “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านมาบโอน” เมื่อปี พ.ศ. 2567 ที่มุ่งเน้นผลิตทุเรียนปลอดภัยจากสารเคมี โดยมี พงษ์ธร เป็นประธานกลุ่มฯ

“เป็นสายเคมีจ๋ามาก่อน ใช้จนดินเสีย น้ำไม่ซึมลงดิน พอได้ยินว่าลุงไม่ใช้เคมี แต่ได้ผลผลิต ก็อยากทำบ้าง  ตอนแรกกยังไม่เปิดใจกับไตรโคเดอร์มาเท่าไหร่ เพราะต้องใช้ต่อเนื่อง แต่เราไม่มีของ พอลุงชวนให้มาผลิตด้วยกัน จะได้มีใช้ต่อเนื่อง ความอยากใช้ก็เริ่มมี ถ้าได้เริ่มและทำได้ต่อเนื่องก็น่าจะเป็นผลดี” นัจภัค ไชยมาก เกษตรกรรุ่นใหม่เล่าถึงการเข้าร่วมกลุ่มฯ จากการชักชวนของ พงษ์ธร ที่สมาชิกในกลุ่มเรียก “ลุง” โดยเธอยังรับหน้าที่เป็นเลขานุการกลุ่มฯ ด้วย

[1] เป็นสายพันธุ์ที่คัดเลือกโดยทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค และ สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ให้บริษัท โมริน่า โซลูชั่น จำกัด ผลิตจำหน่าย

ขณะที่ บุญชู ทองจุลเจือ สมาชิกกลุ่มฯ สะท้อนการใช้ไตรโคเดอร์มาว่า เกษตรกรรู้อยู่ว่าไตรโคเดอร์มาช่วยรักษาโรครากเน่าโคนเน่าได้ แต่ไม่ค่อยใช้เพราะใช้เคมีมาตลอด พอลองใช้ก็ไม่มีความรู้ ได้มาก็โรยเลย สภาพดินไม่ดี ไม่บำรุงก่อนก็ไม่ได้ผล แล้วของที่จะใช้ก็ไม่รู้ว่าจะมีต่อเนื่องด้วยมั้ย

สมาชิกทั้ง 14 คนได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี “การจัดการโรครากเน่าโคนเน่าด้วยเชื้อราไตรโคเดอร์มา” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการศัตรูทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์แบบครบวงจร โดยเรียนรู้การผลิตและการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาอย่างถูกวิธีจาก สวทช. และนำมาสู่การจัดตั้ง “บ้านไตรโค” ที่สมาชิกลงขันปรับปรุงประตู หน้าต่าง ติดฝ้าและเครื่องปรับอากาศในบ้านไม้หลังเล็กของ พงษ์ธร ที่ร้างการใช้งาน ให้เป็นพื้นที่เหมาะสมสำหรับผลิตก้อนเชื้อสดราไตรโคเดอร์มาของกลุ่มฯ[2]

“เราผลิตเดือนละครั้ง ได้เฉลี่ย 300 ถุง พอได้หัวเชื้อจาก สวทช. จะนัดสมาชิกมาช่วยกัน ก่อนวันผลิตจะมีทีมมาชั่งข้าวถุงละ 2 ขีด เตรียมสำหรับนึ่งวันรุ่งขึ้น ในวันผลิตก็จะแบ่งหน้าที่กันไปตามขั้นตอน ตั้งแต่ใส่น้ำลงถุงข้าว ปิดจุกหุ้มฟอยล์ นำไปนึ่ง พอข้าวเย็นแล้วนำไปหยอดหัวเชื้อ เขย่าถุงข้าวเพื่อให้หัวเชื้อกระจายทั่วถุง ก่อนนำไปวางเรียงบนชั้น พอช่วง 3 คืนแรกที่บ่มเชื้อ ลุงจะเปิดไฟตอนกลางคืน เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเชื้อ หลังจากนั้นจะมีสมาชิกแวะเวียนมาพลิกกลับถุงข้าว เพื่อไม่ให้ข้าวเกาะติดกันเป็นก้อนและเชื้อสามารถเจริญเติบโตได้ทั่วเมล็ดข้าว” รุ่งทิวา พูสุวรรณ์ หนึ่งในแกนนำหลักการผลิต เล่าถึงการจัดสรรหน้าที่ผลิตเชื้อราไตรโคเดอร์มาของกลุ่มฯ และยังเป็นวันที่สมาชิกได้มาพบปะพูดคุยและทานข้าวร่วมกัน

[2] สวทช. ร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดจันทบุรี สนับสนุนหัวเชื้อ วัสดุและอุปกรณ์การผลิตภายใต้โครงการ “การถ่ายทอดเทคโนโลยีการบริหารจัดการโรครากเน่าโคนเน่าของทุเรียนด้วยเชื้อราไตรโคเดอร์มา ในพื้นที่จังหวัดระยอง จันทบุรี อุตรดิตถ์ และแพร่”

จำนวนก้อนเชื้อสดราไตรโคเดอร์มาที่ผลิตได้จะให้สมาชิกสั่งจองและซื้อในราคาทุน นำไปงานได้ 2 วิธี คือ ผสมน้ำทาแผลที่ลำต้น และผสมน้ำฉีดรอบโคนต้น-ทรงพุ่ม[3] แต่ด้วยจำนวนก้อนเชื้อสดฯ ที่ผลิตได้ยังไม่มากพอสำหรับใช้งานแต่ละสวน สมาชิกจึงเน้นใช้กับต้นที่แสดงอาการของโรครากเน่าโคนเน่าแล้ว[4] ซึ่งพบกว่าหลังใช้งานช่วยรักษาแผลได้ และกลุ่มฯ วางแผนเพิ่มการผลิตเป็น 2 ครั้ง/เดือน

ก้อนเชื้อสดราไตรโคเดอร์มาที่ผลิตได้แต่ละรอบ สมาชิกกลุ่มฯ จะช่วยกันตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้นจากสีและลักษณะเม็ดข้าว และส่งตัวอย่างให้ สวทช. ตรวจในห้องปฏิบัติการ ซึ่งพบว่าไม่พบการปนเปื้อนและมีความหนาแน่นสปอร์ 109 สปอร์/กรัม เป็นไปตามคุณภาพของ สวทช.

นอกจากการผลิตและใช้ราไตรโคเดอร์มาเพื่อป้องกันจัดการโรครากเน่าโคนเน่าแล้ว สมาชิกกลุ่มฯ ยังสนใจผลิต ราเมตาไรเซียม เพื่อจัดการแมลงศัตรูของทุเรียน โดยเฉพาะเพลี้ยจักจั่น โดยใช้พื้นที่ของศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนมาบชโอน และต้องการเรียนรู้การตรวจเชื้อด้วยตัวเองอีกด้วย

แม้กลุ่มฯ จะเกิดขึ้นได้เพียงไม่นาน แต่พวกเขามุ่งมั่นที่จะผลิตและใช้ชีวภัณฑ์ป้องกันจัดการโรคพืชและแมลงศัตรูพืชในสวนทุเรียนให้ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงเพื่อประโยชน์ของสวนตนเอง หากยังจะเป็นต้นแบบให้เกษตรกรรายอื่นๆ ในพื้นที่ได้นำไปใช้ประโยชน์ด้วย

[1] ใช้ก้อนเชื้อสด 25 ถุง (ถุงละ 200 กรัม) ต่อน้ำ 500 ลิตร สำหรับฉีดพ่น 1 ไร่
[2] เกิดจากเชื้อสาเหตุ Phytophthora palmovara ต้นทุเรียนที่ได้รับเชื้อมีอาการเน่าที่โคนต้นหรือกิ่งที่ผิวเปลือกของลำต้นหรือกิ่งมีคราบน้ำเกาะติด ในช่วงเช้าจะมองเห็นหยดน้ำยางสีน้ำตาลแดงไหลจากรอยแผลบริเวณลำต้นหรือกิ่ง เมื่อถากเปลือกของลำต้นบริเวณที่มีคราบน้ำยาง เนื้อเยื่อเปลือกที่ถูกทำลายมีสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลเข้ม ส่วนอาการที่เกิดกับราก เนื้อเยื่อรากจะเปื่อยยุ่ย

# # #

วิสาหกิจชุมชนกลุ่มพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านมาบโอน
ต.เขาบายศรี อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
โทรศัพท์ 08 6148 8347
(ข้อมูลสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568)

คลิกอ่านสื่อความรู้ รู้จัก-รู้ใช้ ราไตรโคเดอร์มา TBRC4734

“บ้านไตรโค” จุดผลิตชีวภัณฑ์จัดการโรครากเน่าโคนเน่าในทุเรียน