บ่อพันขัน กับการท่องเที่ยวบนฐานภูมิปัญญาและวิทยาศาสตร์ ตอนที่ 1

เรื่องโดย ภก. ดร.วีระพงษ์ ประสงค์จีน  ปฏิวัติ อ่อนพุทธา
สายฝน แก้วสมบัติ  และจิรพร อัฐมาลา

บ่อพันขันคือแหล่งท่องเที่ยวที่ผสมผสานคุณค่ามรดกทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน ภูมิประเทศ ระบบนิเวศและธรรมชาติที่งดงาม และวิถีชีวิตกับวัฒนธรรมอันล้ำค่าได้อย่างลงตัว

พื้นที่บ่อพันขันตั้งอยู่ตรงบริเวณรอยต่อของ 3 อำเภอในจังหวัดร้อยเอ็ด ได้แก่ อำเภอหนองฮี อำเภอสุวรรณภูมิ และอำเภอโพนทราย พื้นที่บริเวณบ่อพันขันบางส่วนจมอยู่ใต้พื้นน้ำ และจะปรากฏเป็นแนวพื้นหินทรายกว้างใหญ่ในฤดูแล้ง ครอบคลุมพื้นที่บริเวณกว้าง มีร่องรอยความเค็มของดินปรากฏโดยมีลักษณะเป็นสีขาวของเกลือ เนื่องจากบ่อพันขันเป็นแหล่งผลิตเกลือสินเธาว์ของชุมชนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

มรดกทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี

บริเวณโดยรอบพื้นที่บ่อพันขันเต็มไปด้วยร่องรอยอารยธรรมโบราณกว่าสองพันปี (ยุคก่อนประวัติศาสตร์) ดังหลักฐานการศึกษาของนักวิชาการหลายท่าน เช่น ศาสตราจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม และคณะ ที่ได้ศึกษาแหล่งโบราณคดีในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้มายาวนาน รวมทั้งศาสตราจารย์ชาลส์ ไฮแอม (Charles Higham) จากมหาวิทยาลัยโอตาโก (University of Otago) ประเทศนิวซีแลนด์ ที่ได้เดินทางมาขุดค้นในพื้นที่โนนเดื่อ (บ้านตำแย) ริมบ่อพันขัน (บ้านหญ้าหน่อง) และดอนตาพัน (ตำบลศรีสว่าง) พบหลักฐานความเป็นอยู่ของผู้คนในแถบนี้ทั้งเกษตรกรรม การเลี้ยงปศุสัตว์ และภาชนะดินเผายุคก่อนประวัติศาสตร์

แหล่งหินดึกดำบรรพ์และชั้นหินตะกอนโบราณที่พบในพื้นที่บ่อพันขัน
พื้นที่บ่อพันขันเป็นแหล่งผลิตเกลือสินเธาว์ระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ พบเศษภาชนะดินเผาโบราณกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ภาชนะดินเผาเหล่านี้ได้รับการตั้งชื่อว่า ภาชนะดินเผาแบบทุ่งกุลาและภาชนะดินเผาแบบร้อยเอ็ด นอกจากนี้ยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ คือ ข้าว เกลือ เหล็ก ซึ่งสะท้อนวิถีชีวิตอยู่ดีมีสุขของชุมชน

เศษภาชนะดินเผาที่พบในพื้นที่
ความรุ่งเรืองเหล่านี้ได้สืบต่อมาจนถึงจุดเริ่มต้นของสมัยประวัติศาสตร์ในดินแดนแถบทุ่งกุลาร้องไห้ โดยเห็นได้จากหลักฐาน เช่น จารึกพระเจ้าจิตรเสนแห่งอาณาจักรโบราณเจนละ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย ที่แหล่งโบราณคดีดอนขุมเงิน ซึ่งล้วนมีอายุในสมัยพุทธศตวรรษที่ 12

ภูมิประเทศ ระบบนิเวศ และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

เสน่ห์ของพื้นที่บ่อพันขันยังคงเด่นชัดด้วยภูมิประเทศที่เป็นลานหินทรายแดงอันกว้างใหญ่ มีร่องรอยการกัดเซาะของน้ำตามธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ พื้นที่บางส่วนยังเป็นดินเค็มและมีแหล่งเกลือสินเธาว์ มีแหล่งน้ำธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน มีระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตทั้งบนบก ในน้ำ และบนท้องฟ้า

ความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้ทำให้พื้นที่บ่อพันขันงดงามและเปี่ยมชีวิตชีวา สอดคล้องกับแนวคิดของศาสตราจารย์เจมส์ เอ็ม. รูเบินสไตน์ (James M. Rubenstein) ที่ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า สถานที่ (place) คือ จุดหรือตำแหน่งที่จำเพาะบนพื้นผิวโลกที่สามารถแสดงคุณลักษณะเฉพาะตัว มีคน มีสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งปลูกสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งในโลกนี้ประกอบไปด้วยระบบที่มีชีวิต (biotic system) และระบบที่ไม่มีชีวิต (abiotic system) อันได้แก่ อากาศภาค (atmosphere) หมายถึง อากาศที่คลุมโลก อุทกภาค (hydrosphere) หมายถึง น้ำทั้งน้ำบนผิวดินและน้ำใต้ดิน ธรณีภาค (lithosphere) หมายถึง ชั้นเปลือกโลก หิน ดิน ทราย และชีวภาค (biosphere) หมายถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก ทั้งจุลินทรีย์ พืช สัตว์

วิถีชีวิตและวัฒนธรรมอันงดงาม

ปัจจุบันพื้นที่บ่อพันขันยังคงรักษาไว้ซึ่งวิถีชีวิตเกษตรกรรมที่เรียบง่ายและกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม ชาวบ้านยังคงสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างเหนียวแน่น สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างคน ธรรมชาติ และวัฒนธรรมได้อย่างงดงาม ควรค่าแก่การเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์

เกลือบ่อพันขัน รากฐานแห่งอารยธรรมรุ่งเรือง

ในสมัยโบราณเกลือไม่ได้เป็นเพียงเครื่องปรุงรสอย่างในปัจจุบัน แต่เป็นแร่ธาตุสำคัญที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ สามารถใช้แทนเงินและเชื่อมโยงเครือข่ายการค้า รวมถึงวัฒนธรรมข้ามดินแดนในหลายอารยธรรม บ่อพันขันเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตเกลือสินเธาว์สำคัญในที่ราบสูงอีสานตอนกลาง บ่งชี้ถึงความรุ่งเรืองในยุคนั้น อย่างไรก็ตามแม้เวลาจะผ่านไปหลายพันปี วิถีการทำเกลือของชาวบ้านที่บ่อพันขันยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน

คำว่า “บ่อพันขัน” มีการตีความหลากหลาย บ้างก็ว่ามีที่มาที่ไปจาก “น้ำส่างครก” คือ บ่อน้ำจืดขนาดเล็กเท่าครกที่เกิดขึ้นระหว่างรอยแตกของแผ่นหินทรายแดงในพื้นที่บ่อพันขัน ตรงบริเวณนี้มีน้ำผุดออกมาตลอดเวลา ใช้ขันตักน้ำเป็นพันขันก็ไม่หมด จึงเป็นหนึ่งในที่มาของชื่อ “บ่อพันขัน” ปัจจุบันน้ำส่างครกบ่อพันขันตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลเด่นราษฎร์ อำเภอหนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด

ในปี พ.ศ. 2483 นักวิจัยด้านเกษตรศาสตร์ชาวอเมริกัน ศาสตราจารย์รอเบิร์ต ลาริมอร์ เพนเดิลตัน (Robert Larimore Pendleton) ได้เดินทางมาศึกษาสภาพภูมิศาสตร์และพบการผลิตเกลือสินเธาว์ในพื้นที่ซึ่งระบุว่าเป็นบ่อเกลือเมืองสุวรรณภูมิ เขาเรียกว่า Baw Gloea Phan Khan อ่านว่า บ่อ-เกลือ-พัน-ขัน คำว่า “บ่อ” ของคนสมัยก่อนหมายถึง บ่อเกลือ บ่อเหล็ก บ่อแร่ธาตุ ในสมัยนั้นมีผู้คนหลายร้อยครัวเรือนมาปลูกกระท่อมอาศัยเพื่อต้มเกลือกันที่นี่

การต้มเกลือในยุคก่อนไม่ได้ใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบทุกวันนี้ น้ำแร่รสเค็มของสารละลายเกลือจะผุดออกมาตามรอยแยกของแผ่นหินทรายสีแดงขนาดใหญ่ หรือถ้ามองจากมุมสูงจะเห็นแผ่นหินเชื่อมกันเป็นผืนกว้างคล้ายกับชิ้นผ้าที่นำมาเย็บเป็นจีวรของพระสงฆ์ที่เรียกว่า “ขัณฑ์” โดยจีวรพระที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้มี 7 ขัณฑ์ และ 9 ขัณฑ์ สิ่งนี้สอดคล้องกับตำนานที่เล่าว่าในอดีตมีพญานาคตนหนึ่งมีพิษร้าย พระมหาโมคคัลลานะปราบพญานาคตนนั้นโดยใช้จีวรขนาดใหญ่ขนาดพันขัณฑ์ของท่านคลุมพญานาคไว้ใต้ผืนดิน พิษของพญานาคซึมผ่านจีวรของพระมหาโมคคัลลานะ และกลายเป็น “ส่าเกลือ” หรือแหล่งเกลือสินเธาว์นั่นเอง

ไม่ว่าจะเป็น “บ่อพันขัน” ตามที่ผู้คนทั่วไปนิยมใช้เพราะเข้าใจว่าเป็นเป็นเพียงน้ำส่างครก หรือ “บ่อเกลือพันขัณฑ์” ที่แฝงมิติทางสังคมและสิ่งแวดล้อม การศึกษาเรื่องราวและข้อมูลจากอดีตตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันจะช่วยให้เราเข้าใจถึงรากฐานทางระบบนิเวศ วิถีชีวิตของผู้คน และภูมิทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่แห่งนี้ได้ลึกซึ้งขึ้น สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวบนฐานวิทยาศาสตร์ในพื้นที่บ่อพันขันให้เกิดความงอกงามและยั่งยืนตามหลักการของ Global Sustainable Tourism Council (GSTC) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs)

ในตอนต่อไปจะพาไปรู้จักกับหลักการดังกล่าว ผ่านเส้นทางการท่องเที่ยวที่สำคัญและน่าสนใจในพื้นที่บ่อพันขัน


About Author