นกตัวต้อยร้อยความเชื่อ

เรื่องโดย รักษ์ศักดิ์ สิทธิวิไล


          เกลอเอย นายรู้ไหม…ตัวอะไร ที่ชอบร้องเพลงเป็นจังหวะ แต-แตแต-แต้แวด ?

          คำตอบก็คือ นกกระแตแต้แว้ด (red-wattled lapwing) หรือ นกแต้แว้ด หรือ นกต้อยตีวิด หรือ นกกระต้อยตีวิด ไงเกลอ ชื่อเรียกของมันมีหลากหลาย เป็นไปตามลักษณะของเสียงร้องที่แต่ละชาติได้ยินนั่นเอง

(ฟังเสียงร้องของนกกระแตแต้แว้ดได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ICX1rKnhpsc)

          นกกระแตแต้แว้ด เป็นนกที่สีสวยน่าดู อยู่ในวงศ์นกหัวโต (Charadriidae) พบตั้งแต่ในเอเชียตะวันตก (ประเทศอิรัก ประเทศอิหร่านทางตะวันตกเฉียงใต้ อ่าวเปอร์เซีย) ตลอดจนถึงเอเชียใต้ (แคว้นบาลูจิสถาน ประเทศปากีสถาน, ประเทศอัฟกานิสถาน  ประเทศอินเดียทั้งหมดจนถึงเขต Kanyakumari ในรัฐชัมมูและกัศมีร์ และประเทศเนปาล) โดยมีพันธุ์ย่อยอื่น ๆ อีกในเอเชียอาคเนย์ พบได้ตามพื้นที่โล่งเกือบทุกสภาพทั่วประเทศ พบบ่อยตามท้องนา ทุ่งหญ้า ริมห้วย หนอง คลอง ทะเล และตามป่าละเมาะ


แผนที่การกระจายตัวของนกกระแตแต้แว้ด
ที่มาภาพ : https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Vanellus_indicus_map.svg

นักเฝ้ายามประจำทุ่ง

          นกกระแตแต้แว้ด เป็นนกหัวโต มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางประมาณ 32-35  เซนติเมตร ขายาวสีเหลือง มีแผ่นพังผืดที่โคนนิ้วเล็กน้อย กินพวกแมลง ไส้เดือน หอยทาก สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก และกินเมล็ดธัญพืชบางชนิดที่หาได้บนพื้นดิน เป็นนกที่เมื่อโตเต็มวัยแล้วมีความระแวดระวังสูงมาก ปากเปราะ ตื่นตัวตลอดทั้งในเวลากลางวันกลางคืน

          ดังในบทชมนก ปฐม ก กา จากหนังสือปถม ก กา หัดอ่าน หนังสือเรียนสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่ว่า

“หมู่นกต้อยตีวิด           ร้องหวิดหวิดแล้วบินบน
เหยี่ยวใหญ่ไล่เวียนวน    จวนตัวจนด้นหนามหนี
มุดด้นพ้นเหยี่ยวใหญ่      เหยี่ยวตะไกรไล่จิกตี
หนีเสือปะกุมภีร์            แทบชีวีจะวางวาย”

          กระแตแต้แว้ดเป็นนกนักระวังภัย ถ้าพบเห็นสิ่งใดเข้ามาใกล้ก็จะเร่งส่งเสียงร้องหวีดแหลม ดังเป็นจังหวะซ้ำ ๆ แต้แว้ด ๆ ๆ บางครั้งก็บินวนขึ้นไปในอากาศ บินว่อนไปมา คอยร้องเตือนภัยให้แก่ฝูงและสัตว์ชนิดอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง อาศัยจังหวะนี้ชิงหนีไปได้ทัน

          พฤติกรรมการหวงถิ่นจะมีมากขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงที่นกกระแตแต้แว้ดทำรังวางไข่ อยู่กันเป็นครอบครัว พ่อ แม่ และลูกนก 3-4 ตัว น่ารักมาก นกชนิดนี้ไม่ทำรังด้วยวัสดุธรรมชาติแบบนกทั่วไป แต่จะวางไข่บนพื้นดินโล่ง ๆ หรือบนแอ่งหลุมตื้น พอให้ไข่ไม่กลิ้งออกไปนอกรังได้ บางครั้งก็จะคาบเศษหิน เศษไม้ที่มีน้ำหนักเบามาเรียงรอบเป็นขอบเขตรัง ผู้พบเห็นนกกำลังสร้างรังในช่วงนี้ก็คิดแทนนกไปเองว่า นกมันคงหวงหินที่ใช้นอนนี้ จึงพกติดตัวไปด้วยเสมอ น่าจะเป็นของสำคัญ เป็นที่มาความเชื่อของคนโบราณที่เล่ากันว่า นกกระแตแต้แว้ดกลัวฟ้าถล่ม จึงต้องมีหมอน (หิน) ประจำตัว ไว้หนุนตอนนอนหงายเอาตีนชี้ฟ้าคอยยันฟ้าไว้จึงจะสบายใจหลับตาลงได้


รังและไข่ของนกกระแตแต้แว้ด และหมอนกระแตแต้แว้ด หินก้อนเล็ก ๆ ที่นกวางกันไข่กลิ้ง ส่วนคนนำมาเป็นเครื่องรางของขลัง

หมอนกระแตแต้แว้ด หน้าที่หลักคือปกปักรักษาไข่ ไม่ใช่สายมู

          เกลอเชื่อไหมก้อนหินเล็ก ๆ ที่นกนำมาวางกันไข่กลิ้งไปมานี่แหละ เป็นที่มาของเครื่องรางของขลังหายากที่ชื่อว่า “หมอนกระแตแต้แว้ด”  เครื่องรางของขลังที่ชาวบ้านเชื่อว่า พกติดตัวไว้ใช้ป้องกันฟ้าผ่าได้ แถมถ้านำไปให้ผู้มีอาคมปลุกเสกเพิ่มเติม สามารถอัปเกรดเป็น rare item เครื่องรางมหาอุด นะเมตตามหานิยม ผู้ครอบครองไว้จะแคล้วคลาดปลอดภัย (ชมคลิปหมอนกระแตแต้แว้ดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=3SE2l-fkmFQ)

          นกกระแตแต้แว้ด มีวิธีปกป้องไข่และลูกของมันที่แปลกไม่เหมือนใครโดยทั่วไปแม่นกจะวางไข่รอบละ 3-4 ฟอง ไข่มีสีเหลืองด่างดำ มีรูปร่างคล้ายกับไข่นกกระทา รังและไข่นกนั้นพบเห็นได้ยาก เพราะลวดลายของไข่พรางตา กลืนเข้ากับสีพื้นดินได้เป็นอย่างดี หลังพ่อแม่นกผลัดกันกกไข่ได้ประมาณ 28 วัน ลูกนกก็จะฟักออกมา


วิธีที่พ่อแม่นกปกป้องรังด้วยการล่อศัตรูไปอีกทาง

          เมื่อมีศัตรูเข้าใกล้รัง มันจะเสแสร้งว่าตัวมันได้รับบาดเจ็บ หรือชิงบุกเข้าโจมตี เพื่อล่อให้ศัตรูไล่ตามมันไปอีกทาง ก่อนจะบินหนีไป ล่อผู้ล่าให้ออกห่างจากรังและลูกน้อยที่อยู่บนพื้นโล่ง

(ชมคลิปตัวอย่างพฤติกรรมการปกป้องรังของนกได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=WMTIJ6mPR9c)

          ส่วนลูกนกที่ยังเล็กอยู่ ตอนยังบินไม่ได้ก็จะนอนเงียบ ๆ นิ่ง ๆ เอาไว้ รอให้ศัตรูตามพ่อแม่ไป ถ้าจวนตัวก็จะแกล้งนอนตาย ตัวแข็งทื่อชนิดที่ว่าเอาไม้เขี่ยก็ไม่ยอมไหวติงเลยเกลอ บางตัวก็พิเรนทร์นอนตีนชีฟ้าเพื่อหลอกศัตรูไม่ให้สนใจ นี่เองจึงเป็นที่มาของตำนานความเชื่อที่ว่า นกหวาดฟ้าจะถล่มอันลือเลื่อง ดังบันทึกถึงบางส่วนในอรรถกถา พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฎฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ 22 ที่ว่า

          “เหมือนสัตว์ 4 จำพวกเหล่านี้ ย่อมกลัวต่อสิ่งที่ไม่ควรกลัว (ดังมีที่มา) ว่า ข้าแต่มหาราช สัตว์ 4 จำพวกแล ย่อมกลัวต่อสิ่งที่ไม่ควรกลัวแล 4 จำพวกไฉนบ้าง ข้าแต่มหาราช ไส้เดือนแลย่อมไม่กินดิน เพราะกลัวว่า แผ่นดินจะหมด ข้าแต่มหาราช นกกะเรียนย่อมยืนเท้าเดียว (บนแผ่นดิน) เพราะกลัวว่าแผ่นดินจะทรุด ข้าแต่มหาราช นกต้อยตีวิดนอนหงาย เพราะกลัวว่าฟ้าจะถล่ม ข้าแต่มหาราช พราหมณ์ผู้ประพฤติธรรมแล ย่อมไม่ประพฤติพรหมจรรย์ (คือจะมีภรรยา) เพราะกลัวว่าโลกจะขาดสูญ ฉะนั้น”

(ดูคลิปตัวอย่างการนอนเอาขาชี้ฟ้าของลูกนกได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=HDpUNba230U)


ลูกนกกระแตแต้แว้ด

          บางคนนะเกลอก็ถือเคล็ดว่า ถ้าหากนกกระแตแต้แว้ดเกาะกิ่งไม้ที่ไหน ให้ตัดเอากิ่งไม้นั้นมาเก็บรักษาไว้ในบ้าน จะทำให้มีโชคลาภไหลมาเทมา แต่อนิจจาด้วยวิถีชีวิตนกที่หากินบนพื้นดิน นกกระแตแต้แว้ดที่มีนิ้วข้างละ 4 นิ้ว โดยยื่นไปข้างหน้า 3 นิ้ว ยื่นมาข้างหลัง 1 นิ้ว แต่นิ้วหลังลดรูปจนสั้นหายไปเกือบหมด นิ้วเท้าหลังที่สั้นมากและอยู่สูงกว่านิ้วด้านหน้านี้จึงใช้เกาะกิ่งไม้ไม่ได้เลย เท้ามันทำได้แค่ยืน เดิน และวิ่งไปบนพื้นเท่านั้น การจะหากิ่งไม้ที่นกกระแตแต้แว้ดเกาะแบบนกเกาะคอนทั่วไปนั้น…จึงเป็นไปไม่ได้


นิ้วของนกกระแตแต้แว้ด

          นอกจากนี้ยังมีความเชื่อกันอีกว่า นกกระแตแต้แว้ดเป็นนกที่ให้โชคลาภ ถ้าใครเลี้ยงไว้ดี ๆ จะมีทรัพย์สินเงินทองเพิ่มพูน เมื่อยามนกหมดลมสิ้นอายุขัยก็ให้เอากระดูกนกห่อด้วยผ้าขาวเนื้อดี เก็บไว้ที่ฐานพระ จะทำให้เจ้าของมีกินมีใช้อยู่ร่ำไปไม่รู้หมด แต่เกลอรู้หรือไม่…นกกระแตแต้แว้ดในประเทศไทยเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 ดังนั้นจึงห้ามล่า พยายามล่า ห้ามครอบครองตัวนก แม้กระทั่งห้ามเก็บหรือทำอันตรายต่อรัง ไข่ของนก รวมถึงซากนกโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย หากฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับหนักด้วยนะเออ

          เรื่องความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่มีถูก ไม่มีผิด เชื่อได้ ศรัทธาได้ ถ้าไม่ไปเบียดเบียน ทำร้าย ทำลายชีวิตใด ๆ การทำลายหนึ่งชีวิตอาจส่งผลเสียต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ จากหนึ่งหน่วยชีวิตอาจจะกระทบไปทั้งระบบนิเวศ แบบวลีติดหูที่ว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว คำกล่าวอ้างที่ว่าทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจใช้ไม่ได้กับทุกกรณี อย่างกรณีนกกระแตแต้แว้ดที่มีกฎหมายคุ้มครองอยู่ ดังนั้นก่อนจะเดินทางสายมู ก็ต้องมีความรู้ด้วยนะเกลอเอ๋ย

About Author