ปลูก ‘ผักอินทรีย์คุณภาพ’ ใน ‘โรงเรือนต้นทุนต่ำ’ ด้วย ‘ความรู้และเทคโนโลยี’

ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรปรวน โรงเรือนปลูกพืช เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เกษตรกรยังคงมีผลผลิตและรายได้ การใช้ประโยชน์จากโรงเรือนให้ได้ประสิทธิภาพมากไปกว่ากันแดดกันฝน แต่ให้มีผลผลิตผักที่ได้คุณภาพและปริมาณตามความต้องการของตลาด และสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องให้เกษตรกรได้นั้น เป็นสิ่งที่สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ให้ความสำคัญ จึงได้นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปถ่ายทอดสู่เกษตรกรผ่านโครงการการยกระดับเครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยีโรงเรือนและการบริหารจัดการผลิตพืชผัก[1] ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) จันทร์เพ็ญ เพ็ชรัตน์ เกษตรกรชาวหาดใหญ่ วิโรจน์ ทองละเอียด และลำจวน หนองภักดี สองเกษตรกรชาวกาฬสินธุ์ คือส่วนหนึ่งของเกษตรกรที่ได้เติมเต็มความรู้จากโครงการฯ นี้ [1] กลุ่มเป้าหมายในโครงการฯ ประกอบด้วย เครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์จังหวัดสงขลา (สมาชิกอยู่ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ คลองหอยโข่ง จะนะ รัตภูมิ และสะเดา) เครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์ในจังหวัดกาฬสินธุ์ (สมาชิกอยู่ในพื้นที่อำเภอฆ้องชัย ยางตลาด และคำม่วง) และเครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์ในจังหวัดมหาสารคาม (สมาชิกอยู่ในพื้นที่อำเภอยางสีสุราช) เพราะไม่รู้ จึงเรียนรู้
‘ชันโรง’ กับสร้างอาชีพชุมชนชายแดนใต้

“เราอยู่เฉยๆ ก็ได้ตังค์ แต่ทำให้คนอื่นมีรายได้ เขาอยู่ได้ เราอยู่ได้” คำบอกเล่าจาก มะราซะ มะโรง คุณครูอนุบาลและประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้เลี้ยงชันโรงอำเภอแว้ง จ.นราธิวาส ถึงรายได้เสริมของเขาที่อาจเป็นรายได้หลักให้อีกหลายชีวิตในชุมชนจากแมลงผสมเกสรที่ชื่อว่า “ชันโรง” หรือที่คนในพื้นที่ชายแดนใต้เรียกว่า “กลูโละ” ในช่วงสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 มาตรการปิดเมืองหรือล็อคดาวน์ เป็นจุดเริ่มให้ มะราซะ ได้รู้จักชันโรงผ่านเฟซบุ๊ก และสนใจหามาเลี้ยงแทนสัตว์น้อยใหญ่ที่เคยเลี้ยงเป็นงานอดิเรกและรายได้เสริม “เคยเลี้ยงไส้เดือน จิ้งหรีด ไก่สวยงาม แพะ วัว เลี้ยงแล้วมีต้นทุนค่าอาหาร ก็หยุดเลี้ยง มาเจอชันโรง ก็สนใจ ไม่ต้องหาอาหารให้ ไม่เป็นภาระ จึงหาความรู้วิธีเลี้ยงจากอินเทอร์เน็ตและจากคนในจังหวัดที่เลี้ยงเป็นอาชีพ ส่วนพันธุ์ได้มาจากคนตัดไม้ส่งโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ ถ้าเขาตัดไม้เจอชันโรง ก็ให้มาส่ง ช่วงนั้นรับซื้อขอนละ 500 บาท ก็ยังไม่รู้จักสายพันธุ์ แต่ขอให้เป็นชันโรงตัวดำๆ
คู่มือ “การผลิตผักอินทรีย์และการบริหารจัดการการผลิตในระบบโรงเรือน”

ลงทะเบียนเพื่อดาวน์โหลดคู่มือฯ คลิก ท่านจะได้รับ Link ดาวน์โหลดคู่มือฯ หลังกด submit ลงทะเบียนแล้ว ข้อมูลการลงทะเบียนของท่านจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายผลองค์ความรู้และเทคโนโลยีของ สท./สวทช. ตัวอย่างเนื้อหาในคู่มือฯ
พัฒนายกระดับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม

โคเนื้อที่เกษตรกรเลี้ยงส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พื้นเมืองและลูกผสมอเมริกันบราห์มัน ซึ่งนิยมส่งออกเป็นโคมีชีวิตไปเวียดนามและจีน แต่ในช่วงที่ผ่านมาเกษตรกรได้รับผลกระทบจากการส่งออกทำให้เกิดวิกฤติราคาโคเนื้อตกต่ำ ขณะที่โคเนื้อลูกผสมแองกัส วากิวและชาร์โรเล่ส์เป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศและขายได้ราคาดี เพื่อใช้ผลิตเนื้อโคตอบโจทย์ความต้องการบริโภคเนื้อโคขุนคุณภาพไขมันแทรก แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคยังคงประสบปัญหาการเลี้ยงในหลายด้าน ทั้งองค์ความรู้และเทคโนโลยี ต้นทุนอาหาร โรคระบาด และการตลาด สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ร่วมกับหน่วยงานปศุสัตว์จังหวัดในเขตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้และหน่วยงานพันธมิตร ดำเนินโครงการพัฒนายกระดับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้เกษตรกรสามารถผลิตโคคุณภาพดี พัฒนากระบวนการเลี้ยงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้รับมาตรฐานฟาร์ม พัฒนาโคลูกผสมสู่ตลาดพรีเมียมและสร้างนวัตกรชุมชน (นักผสมเทียมอาสา) ปลูกพืชอาหารสัตว์ ลดต้นทุนค่าอาหารเลี้ยงโคเนื้อ ในยุคที่ข้าวของมีราคาแพง ไม่เว้นแม้แต่ฟางอัดก้อน หญ้าอาหารโคหรืออาหารสัตว์สำเร็จรูป ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคที่ต้องแบกรับต้นทุนการผลิตที่สูง ด้วยระยะเวลาการเลี้ยงโคเนื้อที่ค่อนข้างนานกว่าจะได้รับผลตอบแทน ขณะที่พื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ประสบภัยแล้ง ขาดแคลนพืชอาหารสัตว์ เกษตรกรจำต้องกักตุนฟางอัดก้อนเพื่อใช้เลี้ยงโคเนื้อตลอดทั้งปี แต่การให้ฟางเป็นอาหารเพียงอย่างเดียว ทำให้โคได้รับโภชนะไม่ครบถ้วน ส่งผลต่อคุณภาพของโคและราคาจำหน่าย ปัญญา เชื้อกล้า ผู้ใหญ่บ้านบ้านโนนสังข์ ต.ด่าน อ.ราษีไศล
“บ้านไตรโค” จุดผลิตชีวภัณฑ์จัดการโรครากเน่าโคนเน่าในทุเรียน

“ใช้เคมี โรคหาย แต่ไม่นานก็เป็นอีก ใช้ขีวภัณฑ์เห็นผลช้า แต่ยั่งยืนกว่า” ถ้อยคำจาก พงษ์ธร เกษรบัว เกษตรกรวัย 75 ปี อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ผู้ผ่านประสบการณ์จัดการโรครากเน่าโคนเน่าในทุเรียนด้วยราไตรโคเดอร์มา ตลอดชีวิตการทำสวน พงษ์ธร ยึดแนวทางการทำเกษตรปลอดภัย ลด ละการใช้สารเคมีตั้งแต่ทำสวนผสมผสานทั้งพริกไทย เงาะ ลองกอง ก่อนลงมือทำทุเรียนจริงจังได้ 10 กว่าปี ในช่วงที่ทุเรียนราคาดี โดยเขาให้ความสำคัญกับดินเพื่อป้องกันการเกิดโรครากเน่าโคนเน่า โรคพืชสำคัญของทุเรียนที่เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งสภาพแวดล้อม (เช่น ความชื้นสูง การระบายน้ำในแปลงไม่ดี ดินเป็นกรดสูง) และการจัดการสวนที่ไม่เหมาะสม (เช่น การใช้สารเคมีมากเกินไป ความอ่อนแอของต้นทุเรียน เครื่องมือการเกษตรที่ไม่สะอาด) “ใช้ไตรโคเดอร์มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ซื้อแบบสำเร็จจากร้าน ก็เห็นผลอยู่
ถั่วเขียวพันธุ์ดี KUML 4 ที่ ‘หนองไผ่ เพชรบูรณ์’

“ถ้าต้องการเมล็ดพันธุ์ KUML เบอร์ 4 ก็ต้องมาที่หนองไผ่” สมศักดิ์ จันทร์เรียน ประธานวิสาหกิจแปลงใหญ่ถั่วเขียวตำบลท่าแดง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ บอกถึงเป้าหมายของกลุ่มฯ หลังจากที่ได้ยกระดับเป็น “ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML ระดับชุมชน” อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ มีพื้นที่ปลูกถั่วเขียวมากที่สุดของจังหวัด นอกจากถั่วเขียวเป็นพืชบำรุงดิน ช่วยลดการใช้ปุ๋ยในนาข้าว เพิ่มคุณภาพและปริมาณข้าวแล้ว ผลผลิตเมล็ดถั่วเขียวยังเป็นรายได้เสริมของเกษตรกรที่นี่มาเนิ่นนาน สมศักดิ์ คุ้นเคยกับพืชหลังนาชนิดนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยพันธุ์ถั่วเขียวที่รุ่นพ่อแม่ปลูกให้ผลผลิตน้อย ไม่ต้านทานโรคและแมลง ทำให้เขาเริ่มมองหาสายพันธุ์ใหม่มาทดแทน “ช่วงปี 2559 เกษตรกรที่กำแพงเพชรบอกว่ามีถั่วเขียวพันธุ์ KUML เป็นพันธุ์ใหม่ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คุยกันอยู่หลายรอบ ก็ตัดสินใจลงทุนซื้อมา 200 กิโลกรัม เพราะอยากได้พันธุ์ใหม่” เมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวพันธุ์ใหม่ล็อตแรก สมศักดิ์ ปลูกในช่วงฤดูฝนบนพื้นที่เขา
วิทย์เพื่อชุมชน ขับเคลื่อนเกษตรสู่ความยั่งยืน

ดาวน์โหลดหนังสือ
‘6 ข้าวสายพันธุ์ใหม่’ ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตข้าวในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้

ข้าวสายพันธุ์ใหม่ จำนวน 6 สายพันธุ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มข้าว ดังนี้ 1) กลุ่มพันธุ์ข้าวหอมนุ่มพรีเมี่ยม ได้แก่ สายพันธุ์หอมสยาม 2 ปรับปรุงฐานพันธุกรรมขาวดอกมะลิ 105 (ผลผลิตสูง) 2) กลุ่มพันธุ์ข้าวสีโภชนาการสูง ได้แก่ สายพันธุ์แดงจรูญ นิลละมุน ไรซ์เบอร์รี่ 2 3) กลุ่มพันธุ์ข้าวเหนียวเพื่ออุตสาหกรรมข้าวเม่า ได้แก่ สายพันธุ์ธัญสิรินต้นเตี้ย ข้าวเหนียวดำ