หอมแขกอินทรีย์ พลิกชีวิตคนทำเกษตร

หอมแขกอินทรีย์ พลิกชีวิตคนทำเกษตร

สภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาอยู่หลายปีหลังวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี พ.ศ. 2540 ทำให้ ทองอาน-หนูกร ไชยรส สองสามีภรรยา ตัดสินใจคืนถิ่นบ้านเกิดที่หนองคาย หลังปักหลักรับเหมาตกแต่งภายในที่เมืองกรุงนานหลายปี      ทองอาน-หนูกร กลับมาเริ่มต้นทำเกษตรบนที่ดิน ส.ป.ก. ในต.อุดมพร อ.เฝ้าไร่ จ.หนองคาย ลองผิดลองถูกกับพืชผักหลากชนิดทั้งแตงกวา ถั่วฝักยาว ฟักทอง กระเทียม ปลูกขายเป็นรายได้ของครอบครัว จนเมื่อปี พ.ศ. 2563 สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดหนองคาย และ สวทช.[1] เข้ามาแนะนำให้รู้จัก “หอมแขก” พร้อมกับส่งเสริมการปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์ [1] สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ดำเนินงานโครงการ “การยกระดับกลุ่มเกษตรกรด้วยความรู้และเทคโนโลยีการผลิตหอมแขกคุณภาพ” เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านการผลิตหอมแขกที่มีคุณภาพ ปลอดภัยและได้มาตรฐานตามหลักวิชาการ ผ่านการจัดทำแปลงสาธิตและยกระดับกลุ่มเกษตรกรให้เป็นผู้ผลิตหอมแขกผลสดคุณภาพ สร้างผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพและสามารถเชื่อมโยงกับตลาดได้

ปลูก ‘ผักอินทรีย์คุณภาพ’ ใน ‘โรงเรือนต้นทุนต่ำ’ ด้วย ‘ความรู้และเทคโนโลยี’

ปลูก ‘ผักอินทรีย์คุณภาพ’ ใน ‘โรงเรือนต้นทุนต่ำ’ ด้วย ‘ความรู้และเทคโนโลยี’

ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรปรวน โรงเรือนปลูกพืช เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เกษตรกรยังคงมีผลผลิตและรายได้ การใช้ประโยชน์จากโรงเรือนให้ได้ประสิทธิภาพมากไปกว่ากันแดดกันฝน แต่ให้มีผลผลิตผักที่ได้คุณภาพและปริมาณตามความต้องการของตลาด และสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องให้เกษตรกรได้นั้น เป็นสิ่งที่สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ให้ความสำคัญ จึงได้นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปถ่ายทอดสู่เกษตรกรผ่านโครงการการยกระดับเครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยีโรงเรือนและการบริหารจัดการผลิตพืชผัก[1] ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)    จันทร์เพ็ญ เพ็ชรัตน์ เกษตรกรชาวหาดใหญ่ วิโรจน์ ทองละเอียด และลำจวน หนองภักดี สองเกษตรกรชาวกาฬสินธุ์ คือส่วนหนึ่งของเกษตรกรที่ได้เติมเต็มความรู้จากโครงการฯ นี้ [1] กลุ่มเป้าหมายในโครงการฯ ประกอบด้วย เครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์จังหวัดสงขลา (สมาชิกอยู่ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ คลองหอยโข่ง จะนะ รัตภูมิ และสะเดา) เครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์ในจังหวัดกาฬสินธุ์ (สมาชิกอยู่ในพื้นที่อำเภอฆ้องชัย ยางตลาด และคำม่วง) และเครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์ในจังหวัดมหาสารคาม (สมาชิกอยู่ในพื้นที่อำเภอยางสีสุราช) เพราะไม่รู้ จึงเรียนรู้

รับมือ “โรคใบด่างมันสำปะหลัง” ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

รับมือ “โรคใบด่างมันสำปะหลัง” ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

“เรามองว่าโรคใบด่างมันสำปะหลังมีเชื้อไวรัสในท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง ไม่มียาหรือสารเคมีแก้ปัญหาโรคได้ สิ่งที่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด คือ การผลิตต้นพันธุ์สะอาด” คำบอกเล่าจาก เพ็ญนภา บานเย็น ผู้จัดการโครงการวิจัยเกษตร บริษัท พูลอุดม จำกัด บริษัทที่ดำเนินธุรกิจมันสำปะหลังแปรรูปและลงทุนจัดตั้งห้องปฏิบัติเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อรับมือกับโรคใบด่างมันสำปะหลัง โรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava ​Mosaic Disease: CMD) เริ่มพบการระบาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 สาเหตุจากเชื้อไวรัส Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) การแพร่ระบาดเกิดจากการใช้ท่อนพันธุ์ที่มีโรคและมีแมลงหวี่ขาวยาสูบเป็นแมลงพาหะ ต้นมันสำปะหลังที่ได้รับเชื้อไวรัสจะมีใบมันหงิกงอ ไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ส่งผลให้ผลผลิตเสียหายได้ถึง 80-100% และนั่นย่อมส่งผลต่ออุตสาหกรรมมากมายที่ต้องใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลัก ในช่วงปี พ.ศ. 2563 สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.)

ถั่วเขียวพันธุ์ดี KUML#8 ที่ ‘เมืองจันทร์ ศรีสะเกษ’

ถั่วเขียวพันธุ์ดี KUML#8 ที่ ‘เมืองจันทร์ ศรีสะเกษ’

“เราได้ของดี ไม่ปล่อยแล้ว เสน่ห์ของ KUML เมล็ดโต เก็บง่าย ทำให้ดินสมบูรณ์ ไม่ต้องพึ่งเคมี” ถนัด ขันติวงษ์ รองประธานกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวชุมชนอำเภอเมืองจันทร์ ต.เมืองจันทร์ อ.เมืองจันทร์ จ.ศรีสะเกษ เล่าถึงถั่วเขียว KUML#8 ที่เขาและสมาชิกกลุ่มฯ ได้นำมาปลูกเป็นพืชหลังนา ไม่ต่างจากพื้นที่ทำนาแห่งอื่น พันธุ์ถั่วเขียวที่เกษตรกรในอำเภอเมืองจันทร์ปลูกสืบกันมามีขนาดเมล็ดเล็ก เก็บเกี่ยวยาก ให้ผลผลิตน้อยและราคาต่ำ จึงทำให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชหลังนาชนิดอื่น จนเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2565 เกษตรอำเภอเมืองจันทร์ได้นำถั่วเขียวเข้ามาส่งเสริมในพื้นที่อีกครั้ง แต่เป็นพันธุ์ KUML ซึ่ง ถนัด เป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ได้รับเมล็ดพันธุ์ 5 กิโลกรัม สำหรับปลูกในพื้นที่ 1 ไร่ ด้วยเหตุผลที่ต้องการลด ละ เลิกการใช้สารเคมี

‘ชันโรง’ กับสร้างอาชีพชุมชนชายแดนใต้

‘ชันโรง’ กับสร้างอาชีพชุมชนชายแดนใต้

“เราอยู่เฉยๆ ก็ได้ตังค์ แต่ทำให้คนอื่นมีรายได้ เขาอยู่ได้ เราอยู่ได้” คำบอกเล่าจาก มะราซะ มะโรง คุณครูอนุบาลและประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้เลี้ยงชันโรงอำเภอแว้ง จ.นราธิวาส ถึงรายได้เสริมของเขาที่อาจเป็นรายได้หลักให้อีกหลายชีวิตในชุมชนจากแมลงผสมเกสรที่ชื่อว่า “ชันโรง” หรือที่คนในพื้นที่ชายแดนใต้เรียกว่า “กลูโละ” ในช่วงสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 มาตรการปิดเมืองหรือล็อคดาวน์ เป็นจุดเริ่มให้ มะราซะ ได้รู้จักชันโรงผ่านเฟซบุ๊ก และสนใจหามาเลี้ยงแทนสัตว์น้อยใหญ่ที่เคยเลี้ยงเป็นงานอดิเรกและรายได้เสริม “เคยเลี้ยงไส้เดือน จิ้งหรีด ไก่สวยงาม แพะ วัว เลี้ยงแล้วมีต้นทุนค่าอาหาร ก็หยุดเลี้ยง มาเจอชันโรง ก็สนใจ ไม่ต้องหาอาหารให้ ไม่เป็นภาระ จึงหาความรู้วิธีเลี้ยงจากอินเทอร์เน็ตและจากคนในจังหวัดที่เลี้ยงเป็นอาชีพ ส่วนพันธุ์ได้มาจากคนตัดไม้ส่งโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ ถ้าเขาตัดไม้เจอชันโรง ก็ให้มาส่ง ช่วงนั้นรับซื้อขอนละ 500 บาท ก็ยังไม่รู้จักสายพันธุ์ แต่ขอให้เป็นชันโรงตัวดำๆ

ภารกิจ ‘หนอนแมลงทหารดำ’ กู้โลก ด้วยสองมือเด็กๆ บ้านสามขา

ภารกิจ ‘หนอนแมลงทหารดำ’ กู้โลก ด้วยสองมือเด็กๆ บ้านสามขา

หลังมื้ออาหารกลางวันเป็นเวลาที่เด็กๆ ได้วิ่งเล่นกับเพื่อนที่สนามหญ้าของโรงเรียน บ้างนั่งคุยหยอกล้อตามม้านั่งรอบสนาม แต่สำหรับ น้องได-จิรัฎฐ์ จันนา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และเพื่อนๆ อีก 3-4 คน พวกเขามีภารกิจประจำที่โรงเลี้ยงแมลงและโรงเลี้ยงไก่พื้นเมืองของโรงเรียนบ้านสามขา ต.หัวเสือ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ด.ช.จิรัฎฐ์ จันนา นักเรียนชั้นป. 5 โรงเรียนบ้านสามขา นายอุทิศ จ๊ะปิน คุณครูโรงเรียนบ้านสามขา นายสมบัติ จันทร์สุริยะ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านสามขา “ช่วงวัยหนอนต้องให้อาหารสม่ำเสมอ ตัวหนอนจะโต แข็งแรง แต่ต้องให้ไม่เยอะเพราะอาหารจะทับกัน มีน้ำเยอะ หนอนไม่ชอบ” น้องได พูดพลางเปิดฝาครอบกระบะ เพื่อตรวจสอบปริมาณอาหารที่เหลือในกระบะ แล้วตักเศษอาหารใส่เพิ่มลงไปให้เหล่าหนอนแมลงทหารดำ ขณะที่ในโรงเลี้ยงไก่ ทันทีที่ น้องคอม-พงศกร

คู่มือ “การผลิตผักอินทรีย์และการบริหารจัดการการผลิตในระบบโรงเรือน”

คู่มือ “การผลิตผักอินทรีย์และการบริหารจัดการการผลิตในระบบโรงเรือน”

ลงทะเบียนเพื่อดาวน์โหลดคู่มือฯ คลิก ท่านจะได้รับ Link ดาวน์โหลดคู่มือฯ หลังกด submit ลงทะเบียนแล้ว ข้อมูลการลงทะเบียนของท่านจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายผลองค์ความรู้และเทคโนโลยีของ สท./สวทช. ตัวอย่างเนื้อหาในคู่มือฯ

สท.-ไบโอเทค-มูลนิธิชัยพัฒนา เดินหน้าจัดตั้ง “ศูนย์ชีวภัณฑ์โครงการทหารพันธุ์ดีแห่งที่ 2” ณ มทบ.24

สท.-ไบโอเทค-มูลนิธิชัยพัฒนา เดินหน้าจัดตั้ง “ศูนย์ชีวภัณฑ์โครงการทหารพันธุ์ดีแห่งที่ 2” ณ มทบ.24

เมื่อวันที่ 4-5 สิงหาคม 2568 สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ร่วมกับทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และมูลนิธิชัยพัฒนา ลงพื้นที่มณฑลทหารบกที่ 24 ค่ายประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี เพื่อประเมินพื้นที่และชี้แจงการจัดตั้งศูนย์ชีวภัณฑ์โครงการทหารพันธุ์ดี พร้อมทั้งถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี “ชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืชและแมลงศัตรูพืชทางการเกษตรและการผลิตขยายเชื้อราบิวเวอเรีย” ให้ทหารพันธุ์ดีทั้งภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติการผลิตและขยายเชื้อให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน รวมถึงการเก็บรักษาและนำไปใช้อย่างถูกวิธี กิจกรรมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากหม่อมราชวงศ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักกิจการพิเศษ มูลนิธิชัยพัฒนา และพลตรี ประเสริฐ ข่าทิพย์พาที ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 เข้าร่วมกิจกรรมพร้อมรับมอบหัวเชื้อชนิดน้ำราไตรโคเดอร์มา ราเมตาไรเซียมและราบิวเวอเรีย สายพันธุ์ที่คัดเลือกโดยทีมวิจัยไบโอเทค รวมถึงอุปกรณ์เบื้องต้นสำหรับการผลิตและขยายเชื้อทั้งสามชนิด อนึ่ง สวทช. โดย สท. และไบโอเทค ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ มูลนิธิชัยพัฒนาและกองทัพบก