เรื่องโดย ภาณุ ตรัยเวช
คุณคิดว่าตัวเองคงเอาชีวิตไม่รอด เรือชนเข้ากับอะไรบางอย่าง มันอาจเป็นหินโสโครก วาฬยักษ์ หรืออสูรกายในตำนาน เสากระโดงหักโค่นลงมา คลื่นซัดเรือโคลงเคลง คุณต้องสละเรือ ว่ายฝ่าคลื่นไปข้างหน้าอย่างสุดแรง …นี่คือความเสี่ยงที่คุณรู้ดีตั้งแต่วันที่ตัดสินใจเป็นกะลาสี
ว่ากันว่าในมหาสมุทรมี “แม่น้ำ” ไหลไปทางทิศตะวันออก ถ้าสำเภาหาแม่น้ำที่ว่านี้เจอ แทนที่จะใช้เวลาสามเดือนแล่นจากอเมริกาไปยุโรป ก็ประหยัดเวลาไปได้ถึงหนึ่งเดือน ถ้าเอาสินค้าไปเทียบท่าได้ก่อนเรือลำอื่น ก็ขายได้กำไรมากกว่าชาวบ้าน แต่ทางเข้าแม่น้ำมีอสูรกายเฝ้าอยู่ เรือจำนวนมากจมหายไป สำเภาของคุณก็คือหนึ่งในนั้น
เช้าตรู่วันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1780 พายุพัดเบา ๆ คลื่นลมไม่ได้แรงมาก แต่อยู่ ๆ เรือทั้งลำก็ส่งเสียงดังลั่น แผ่นไม้แตกเปรี๊ยะ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว น้ำไหลเข้ามาตามรูโหว่ พอรู้ตัวอีกทีคุณกำลังจ้วงแขนอย่างอ่อนล้า ฝ่ายอดคลื่นสูงในทะเล
พอทำใจว่าคงไม่รอดแน่แล้ว มือของคุณก็ปะเข้ากับอะไรบางอย่าง “ทราย !” ไม่ผิดแน่นอน คุณกำมันแน่น ใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายยันตัวเองขึ้นจากน้ำ ทิ้งตัวลงนอนหอบแฮ่ก ๆ บนพื้นก่อนที่ภาพจะตัดไป คุณไม่รู้ว่าตัวเองหมดสติไปนานเท่าไหร่ จนมีบางอย่างเปียก ๆ ลื่น ๆ ปะบนใบหน้า เมื่อลืมตาขึ้นก็พบม้าตัวหนึ่งกำลังใช้ลิ้นเลียใบหน้าคุณ พอมองไปรอบ ๆ มีฝูงม้านับร้อยตัวกำลังวิ่งอย่างอิสระอยู่บนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้
ถ้าไม่นับนกที่อพยพมาทำรัง แมวน้ำที่แวะเวียนมาในบางฤดูกาล บนเกาะแห่งนี้ไม่มีสัตว์บกใด ๆ เลย นอกจากม้า นี่มันเกาะพิสดารอะไรกัน ?
เกาะพิสดารที่ว่านี้ชื่อ ซาบล์* (Sable Island) เป็นเกาะที่มีอยู่จริง ตั้งอยู่ชายฝั่งตะวันออกของแคนาดา ในรัฐโนวาสโกเชีย บริเวณที่กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์และกระแสน้ำเย็นลาบราดอร์มาเจอกัน กระแสน้ำกัลฟ์ก็คือ “แม่น้ำ” ที่เราพูดถึงในตอนต้น สำเภาตั้งแต่ยุคไวกิงจนถึงเรือระวางเหล็กล้วนใช้กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์เป็นทางด่วนเพื่อประหยัดเวลาทั้งนั้น ถึงจะสะดวกรวดเร็ว แต่ตรงทางเข้ากระแสน้ำมีเกาะซาบล์ตั้งอยู่ เกาะแห่งนี้เองคืออสูรกายที่จมสำเภาลำแล้วลำเล่าตลอดสี่ร้อยปีที่ผ่านมา มีเรือจมโดยเฉลี่ยทุก ๆ สองปี
ที่มาภาพ : Internet Archive Book Images, Public Domain via Flickr
ภาพถ่ายดาวเทียมของเกาะซาบล์ “สุสานแห่งแอตแลนติก” เกาะทรายรูปพระจันทร์เสี้ยวที่อยู่ห่างจากชายฝั่งรัฐโนวาสโกเชียของประเทศแคนาดา 300 กิโลเมตร ถ่ายในปี ค.ศ. 1994
ที่มาภาพ : NASA, Public Domain
เกาะร้างที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากหญ้าขึ้นเป็นหย่อม ๆ และฝูงม้า อันตรายตรงไหน ? ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าซาบล์มาจากไหน เกาะแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณน้ำตื้นบนไหล่ทวีป ห่างจากชายฝั่งโนวาสโกเชีย 300 กิโลเมตร ความลึกของน้ำโดยเฉลี่ยไม่เกิน 60 เมตร (ใกล้เคียงกับอ่าวไทย) แต่มีระยะแค่ประมาณ 50 กิโลเมตรเท่านั้น เลยจากตรงนี้ออกไปมีหน้าผาใต้ท้องทะเล ระดับความลึกจะเพิ่มพรวดพราด เข้าสู่เขตมหาสมุทรอย่างแท้จริง
ที่มาภาพ : Paul Gierszewski, CC BY-SA 4.0, via Wikimedia Commons
ชื่อของเกาะซาบล์มาจากคำว่า Sable เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ทราย เนื่องจากลักษณะของเกาะเป็นกองทรายขนาดใหญ่ที่ขุดพื้นเกาะลงไปแล้วจะไม่พบอะไรเลยนอกจากทราย เปรียบให้เห็นภาพโดยนึกถึงสมัยเด็ก ๆ เวลาเราใช้ยางลบแล้วกวาดเศษยางมารวมกันบนโต๊ะ นั่นแหละคือเกาะซาบล์
เกาะซาบล์มีลักษณะโผล่พ้นน้ำแบบในปัจจุบันมาตั้งแต่ประมาณ 6,000 ปีที่ผ่านมา แต่อาจมีการสะสมของตะกอนตรงบริเวณนี้ย้อนไปถึง 40,000 ปี ในอดีตทวีปอเมริกาเหนือถูกธารน้ำแข็งปกคลุม ระดับน้ำทะเลต่ำกว่าในปัจจุบัน บริเวณไหล่ทวีปแทบทั้งหมดเป็นทุ่งน้ำแข็ง ธารน้ำแข็งเคลื่อนที่เชื่องช้า บดขยี้เศษอิฐเศษหิน ผลักเม็ดทรายไปข้างหน้า เมื่ออากาศอุ่นขึ้น ธารน้ำแข็งละลาย หลงเหลือไว้เพียงเม็ดทรายกระจายอยู่ตามพื้นทะเล
เม็ดทรายไปกองรวมกันเป็นเกาะได้อย่างไรนั้นต้องอาศัยแรงอีกชนิดในธรรมชาติ คือกระแสน้ำ กัลฟ์ไหลขึ้นเหนือ ลาบราดอร์ไหลลงใต้ กระแสน้ำสองสายกวาดทรายบนไหล่ทวีปให้ไปเจอกันบริเวณที่เกาะซาบล์ตั้งอยู่พอดี กระแสน้ำสร้างและเปลี่ยนแปลงเกาะอยู่ตลอดเวลา เกาะซาบล์ไม่ได้ตั้งอยู่นิ่ง ๆ มันขยับเขยื้อนได้ ขึ้นกับว่ากระแสน้ำจะกัดเซาะทรายฝั่งไหนและเอาทรายไปถมฝั่งไหน โดยเฉลี่ยเกาะซาบล์เคลื่อนที่อย่างช้า ๆ ไปทางทิศตะวันออกปีละประมาณ 100 เมตร
ไม่มีกะลาสีคนไหนรู้แน่ชัดว่าสันทรายและน้ำตื้นตั้งอยู่ตรงไหนกันแน่ วันหนึ่งร่องน้ำที่เคยปลอดภัยอาจกลายเป็นหลุมฝังศพเรือในอีกวันหนึ่ง ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน นักสำรวจชาวโปรตุเกสพยายามวาดแผนที่เกาะซาบล์ ระบุความลึกของน้ำให้ชัดเจน แต่มันเป็นความพยายามอันเปลืองเปล่า เกาะซาบล์เปลี่ยนแปลงไปมา ปีหนึ่งผ่านไป อยู่ดี ๆ ดอนทรายก็งอกขึ้นมากลางทะเล การเปลี่ยนแปลงที่คาดเดาไม่ได้นี้เป็นเหมือนอสูรกายที่ตามหลอกหลอนกะลาสีมาเป็นร้อยปี
ปี ค.ศ. 1799 เรือแฟรนซิส (Frances) จมที่เกาะซาบล์ ในหมู่ผู้โดยสารมีแพทย์ส่วนพระองค์กษัตริย์อังกฤษและภรรยารวมอยู่ด้วย ภรรยาของนายแพทย์ผู้นี้ได้รับของขวัญจากพระราชินีเป็นแหวนเพชรเม็ดโตซึ่งต่อมาได้กลายเป็นตำนานอันโด่งดังของโนวาสโกเชีย ทั้งมีคนผ่าท้องปลาเจอแหวน เก็บแหวนได้ริมหาด พบศพผู้หญิงสวมแหวนเกยตื้น มีผีผู้หญิงตามหลอกหลอนใครที่เอาแหวนของนางไป ผลกระทบอีกอย่างของเหตุการณ์เรือแฟรนซิสจม คือ รัฐบาลแคนาดาตัดสินใจตั้งสถานีช่วยเหลือผู้ประสบภัยถาวรบนเกาะ นายสถานีมีหน้าที่ส่งเรือชูชีพออกไปรับกะลาสีเรือแตก ปฐมพยาบาล และเลี้ยงดูผู้ประสบภัยจนกว่าจะมีเรือมารับ
สองร้อยปีผ่านไปสถานีที่ว่าก็ยังตั้งอยู่ มีเรื่องราวและข่าวลือมากมาย ลูกสาวนายสถานีชอบเล่นเปียโนมาก พ่อก็เลยจัดส่งเปียโนไปที่เกาะ วันไหนคลื่นลมสงบ ชาวประมงบนฝั่งจะได้ยินเสียงเปียโนลอยมาตามลม หลายสิบปีผ่านไป ลูกสาวตายแล้ว เปียโนก็ผุผังเป็นซาก แต่ชาวประมงแถบนั้นก็ยังคงหลอน หูแว่ว ได้ยินเสียงเปียโนอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ตำนานอีกเรื่องว่าด้วยนายสถานีละโมบ ใช้เกาะซาบล์เป็นโรงพยาบาลบ้า เศรษฐีคนไหนมีญาติสติไม่สมประกอบ สามารถเอามาทิ้งบนเกาะได้ ตำนานนี้มาจากเรื่องจริงที่พิสดารพอกัน คนแถบนั้นใครติดเหล้าหนัก ๆ จะถูกนำไปปล่อยตัวบนเกาะซาบล์ จนกว่าจะหายจากอาการลงแดง
ในศตวรรษที่ 20 เรดาร์ใต้น้ำช่วยให้เรือเดินสมุทรไม่ต้องกังวลกับสันทรายมากเท่าแต่ก่อน สถานีช่วยเหลือผู้ประสบภัยเปลี่ยนเป็นสถานีอุตุนิยมวิทยาสำหรับศึกษากระแสน้ำและลมพายุแทน ถึงกระนั้น ในปี ค.ศ. 1999 ก็ยังอุตส่าห์มีเรือแมร์ริแมก (Merrimac) มาจมที่เกาะแห่งนี้จนได้ นับเป็นครั้งสุดท้ายที่มีเรือมาจมที่นี่
เกาะซาบล์ยังมีปริศนาอีกข้อ ฝูงม้าบนเกาะมาจากไหนกันแน่ ประมาณปี ค.ศ. 1755 อังกฤษกับฝรั่งเศสทำสงครามแย่งชิงอาณานิคมอาเคเดียในโนวาสโกเชีย ฝรั่งเศสได้รับชัยชนะ ชาวอังกฤษถูกบังคับเนรเทศให้ไปตั้งรกรากที่อื่น พวกเขานำข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงปศุสัตว์เพื่อการยังชีพขึ้นสำเภาไปด้วย ระหว่างการอพยพ เรือสองลำ คือ เรือไวโอเล็ต (Violet) และเรือดุ๊ก วิลเลียม (Duke William) จมลงที่เกาะซาบล์ ม้าบนเกาะน่าจะมาจากเรือสองลำนี้ นักพันธุศาสตร์ตรวจสอบดีเอ็นเอม้าซาบล์แล้วพบว่า มีส่วนใกล้เคียงกับม้าอาเคเดียจริง ๆ
ปริศนาเรื่องม้าไม่ใช่แค่ว่าพวกมันมาจากไหน แต่ที่น่าสงสัยคือ พวกมันอาศัยและแพร่พันธุ์อยู่บนกองทรายเล็กจิ๋วนี้ได้อย่างไร ตั้งแต่มีสถานีช่วยเหลือผู้ประสบภัย นายสถานีก็พยายามเอาสัตว์อื่น ๆ ไปเพาะพันธุ์บนเกาะ เช่น กระต่าย วัว หมู ไก่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แม้กระทั่งหนู สัตว์ที่ไม่ได้ตั้งใจจะเอาขึ้นไปแพร่พันธุ์ ก็ยังเฟื่องฟูอยู่แค่ไม่กี่รุ่น ก่อนจะสูญพันธุ์ไปจนหมด
สถานีวิจัยเกาะซาบล์ (Sable Island Station) เป็นศูนย์กลางการวิจัยและการเฝ้าระวังสภาพอากาศ รวมถึงศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศของเกาะซาเบิล
ฝูงม้าซาบล์ที่อาศัยอยู่บนเกาะ
ชาวโนวาสโกเชียเอ็นดูม้าซาบล์ พวกมันคือสัตว์พิสดาร อาศัยอยู่บนเกาะพิสดาร เต็มไปด้วยเรื่องราวพิสดาร ดังนั้นนอกจากจะมีนักอุตุนิยมวิทยาบนเกาะ ยังต้องมีนักชีววิทยาคอยดูแลสุขภาพม้าด้วย พวกมันกินหญ้าที่ปนทรายเยอะ ฟันจึงไม่ค่อยแข็งแรง และเพราะผสมพันธุ์กันเอง ลูกออกมาเป็นม้าเลือดชิด อ่อนแอ รัฐบาลต้องนำม้าสายพันธุ์ใหม่ ๆ ไปปล่อยบนเกาะ ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด
เกาะซาบล์อาจอยู่กับพวกเราอีกไม่นาน ด้านตะวันออกของเกาะมีหุบเหวใต้ทะเลซึ่งเกิดจากกระแสน้ำใต้ธารน้ำแข็งในอดีตกัดเซาะพื้นดินเป็นร่องลึก ปัจจุบันร่องลึกนี้เป็นที่อยู่อาศัยของหมึกและวาฬหลากหลายชนิด ขณะที่กระแสน้ำยังพัดพาเกาะซาบล์ไปทางทิศตะวันออกเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งในอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า ทรายอาจจะร่วงพรูลง นับเป็นอันสิ้นสุดตำนานเกาะพิสดารที่สุดแห่งหนึ่งที่มนุษย์เราเคยรู้จัก
*ซาบล์ มาจากคำฝรั่งเศส sable /sabl/ แปลว่า “ทราย” คำลงท้าย le เป็นเสียงเบาและสั้นจึงถอดเป็น “ล์” ตามหลักเกณฑ์ทับศัพท์ภาษาฝรั่งเศสของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา