เรื่องโดย ชวลิต วิทยานนท์
ปูขนจีน (Eriochir sinensis) เจ้าปูน้ำจืดแสนแพงชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดจากเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ที่นั่นเลี้ยงปูขนกันทั้งในฟาร์มและในนาข้าว จัดเป็นอาหารพื้น ๆ แต่พอมาเมืองไทยกลายเป็นเมนูปูขนนึ่งในภัตตาคารจีนสุดหรูที่ลูกหลานจีนนิยมกินกัน
ปูขนที่นิยมกินมี 2 ชนิด คือ ปูขนจีนและปูขนญี่ปุ่น (Eriocheir japonica) ที่มีขนาดเล็กกว่านิดนึง มีลักษณะที่ต่างกันคือ หนามด้านหน้ากระดอง มี 3 อัน ขณะที่ปูขนจีนมี 4 อัน
เกือบ 60 ปีก่อน มีการสั่งปูขนเข้ามาขายในบ้านเรามาก จึงมีคนเริ่มอยากเลี้ยงขาย ขณะนั้นเป็นช่วงสงครามเย็น ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนไม่ดีนัก รัฐบาลจึงห้ามนำเข้าสัตว์น้ำต่าง ๆ จากจีน โดยอ้างว่าอาจมีเชื้อโรคติดมา และอาจมีผลต่อสิ่งแวดล้อม เช่น เจ้าปูขนอาจไปทำให้ชายฝั่งคลองเสียหาย เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ที่ปูขนหลุดรอดไปในแหล่งน้ำแล้วแพร่พันธุ์ สร้างความเสียหายหลายแสนแก่ระบบนิเวศของหลายประเทศในยุโรป
จะว่าไปแม้เจ้าปูขนจะเติบโตในน้ำจืด แต่พวกมันต้องอพยพไปวางไข่ในแหล่งน้ำเค็มหรือน้ำกร่อย แล้วค่อยอพยพกลับมาอาศัยในน้ำจืดทั้งแม่ปูลูกปู และแม้บ้านเราจะติดทะเล แต่เราไม่พบปูขนตามธรรมชาติในน่านน้ำไทย เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำมีผลต่อการสืบพันธุ์ พวกมันไม่ชอบอุณหภูมิสูง ชอบน้ำเย็น ๆ
เจ้าสองตัวนี้ขนาดประมาณฝ่ามือ ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างดังของไทย ราคาตัวละเกือบแปดร้อยบาท
เมื่อสิบกว่าปีก่อนโครงการหลวงได้นำปูขนจากฟาร์มในประเทศจีนเข้ามาศึกษาและทดลองเลี้ยงขยายพันธุ์ที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ได้สำเร็จ อาจสงสัยว่าดอยอินทนนท์ไม่ติดทะเลแล้วเลี้ยงได้ด้วยเหรอ ที่นั่นมีระบบหมุนเวียนน้ำเค็มที่สร้างขึ้นมาเฉพาะเพื่อให้แม่ปูวางไข่ ปูขนที่เพาะเลี้ยงได้มีไว้จำหน่ายให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ได้ลองลิ้มชิมรส จัดเป็นเมนูหรูที่หากินได้ปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ชาวเขาในพื้นที่โครงการ นอกจากนี้โครงการหลวงยังได้ส่งพ่อแม่พันธุ์ปูขนไปทดลองเพาะเลี้ยงที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาชายฝั่งสมุทรสาครกับที่อื่น ๆ อีกด้วย แต่ไม่ได้ผลที่แพร่หลายนัก