ในยุคที่ผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ เช่น ข้อมูลและผลงานวิจัย จัดเป็น“สิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้” ที่สามารถสร้างประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่ทว่าการจัดเก็บที่ไม่เอื้ออำนวย มีข้อจำกัดในการเข้าถึงและการแบ่งปันให้เกิดประโยชน์ ในปี พ.ศ. 2559 คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) จึงมีแนวคิดปลดล็อกการแบ่งปัน การเข้าถึง และการใช้ซ้ำ ด้วยการพัฒนานโยบาย “วิทยาการแบบเปิด (Open Science)” ซึ่งองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ให้นิยามว่า วิทยาการแบบเปิดเป็นแนวคิดการทำงานทางวิทยาศาสตร์แบบองค์รวม (Inclusive construct) ที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้แบ่งปันข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อวงการวิทยาศาสตร์และสังคม ด้วยการสนับสนุนให้มีการเปิดเผยความรู้ (Open knowledge) ให้เข้าถึงได้ (Open access) และใช้ข้อมูลซ้ำได้ (Reproducibility) อย่างเสรี ซึ่งเชื่อมโยงกับไตรภาคีที่เป็นหัวใจหลักของวิทยาการแบบเปิดดังรูปที่ 1
รูปที่ 1 ความเชื่อมโยงของไตรภาคีที่เป็นหัวใจสำคัญของวิทยาการแบบเปิดสู่การแบ่งปันข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อวงการวิทยาศาสตร์และสังคม
ไตรภาคี คือ หัวใจหลักของวิทยาการแบบเปิด
วิทยาการแบบเปิดไม่สามารถทำงานได้โดยตัวเอง แต่ต้องพึ่งพาการส่งเสริมและนำไปใช้จนเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติต่อวงการวิจัย โดยเฉพาะการเพิ่มโอกาสการมองเห็นผลงานวิจัยและการเป็นที่รู้จัก (Visibility) การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงผลงานวิจัย (Accessibility) การเพิ่มโอกาสได้รับการอ้างอิงผลงานวิจัย (Citability) เป็นต้น ดังนั้น จึงต้องอาศัยองค์ประกอบ 3 ประการ หรือเรียกว่า ไตรภาคี ได้แก่
- ผู้มีบทบาทสำคัญ (Key actors) โดยผู้มีบทบาทสำคัญในวิทยาการแบบเปิดตามนิยามขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Co-operation and Development) หรือ OECD คือ ผู้ที่มีส่วนร่วมสำคัญในการผลักดันและสร้างนโยบายวิทยาการแบบเปิดที่มีผลกระทบในวงกว้างต่อระบบนวัตกรรมระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ
- กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (scientific process) ในบริบทของวิทยาการแบบเปิดจะเน้นวิธีการที่อาจแตกต่างไปจากกระบวนการดั้งเดิม เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการสร้างแนวคิด (Conceptualization) ไปจนถึงขั้นตอนการประเมินผลกระทบของผลงานที่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในขั้นตอนการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง (Literature review) สามารถใช้เอกสารจากคลังข้อมูลแบบเปิด (Open document repository) หรือ คลังเก็บเอกสารผลงานวิจัยในรูปแบบดิจิทัล เช่น arXiv, SSRN, HAL, Research square เป็นเอกสารอ้างอิง หรือในขั้นตอนการเผยแพร่ผลงานอาจตีพิมพ์บทความใน Open access journal ซึ่งเป็นวารสารวิชาการที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงบทความวิจัยฉบับเต็มได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยผู้แต่งบทความเป็นผู้จ่ายค่าตีพิมพ์และลิขสิทธิ์เป็นของผู้แต่ง เช่น Springer Nature, MDPI AG, PLOS เป็นต้น
- การแปรสภาพข้อมูลวิจัยแบบดิจิทัล หรือดิจิทัลไลเซชัน (digitalization) เป็นกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงกันระหว่างวิทยาศาสตร์ สังคม และธุรกิจ ที่สามารถสร้างผลกระทบจนเกิดการเปลี่ยนแปลงกิจการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific enterprise) ตลอดจนทำให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปมักจะเริ่มจากวิธีการง่าย ๆ ไดแก การจัดทำระบบบันทึกและจัดเก็บข้อมูลเป็นดิจิทัลตั้งแต่เริ่มต้นการวิจัย เช่น e-Lab notebook หรือ การแปลงข้อมูลเอกสาร (Hard copy) ให้เป็นข้อมูลดิจิทัล เช่น การสแกนสมุดบันทึกงานวิจัยให้เป็นไฟล์เอกสารที่สืบค้นได้ เป็นต้น
วิทยาการแบบเปิดให้เราเปิดได้แค่ไหน
หลายหน่วยงานที่ส่งเสริมวิทยาการแบบเปิดได้แนะนำให้ใช้แต่ไม่ได้ต้องการให้เจ้าของข้อมูลหรือผลงานวิจัยเปิดเผยทุกอย่าง เพียงแต่อยากให้ “เปิดเท่าที่ทำได้ ปิดเท่าที่จำเป็น (As open as possible, as closed as necessary)” โดยเจ้าของมีสิทธิอนุญาตให้หน่วยงานหรือบุคคลอื่น เข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ ซึ่งอาจขึ้นกับประเภทของข้อมูลหรือผลงานวิจัยนั้น เช่น การกำหนดเงื่อนไขเป็นสัญญาอนุญาต Creative commons (CC) (อ่านเพิ่มเติมที่ เป็นต้น
วิทยาการแบบเปิดไม่ใช่สิ่งใหม่ที่พึ่งเกิดขึ้น แต่ผู้คนยังขาดความเข้าใจที่ตรงกันในเรื่องดังกล่าว ทั้งความแตกต่างในการเปิดเผย (Openness) และเงื่อนไขการให้สิทธิ์การเข้าถึง ดังนั้นจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการสร้างความตระหนักรู้และทำความเข้าใจ วิทยาการแบบเปิดนี้ ซึ่งเป็นก้าวแรกที่สำคัญของการสร้างระบบนิเวศการแบ่งปัน การเข้าถึง และการใช้ข้อมูลซ้ำให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
เอกสารอ้างอิง
- European Commission, OPEN SCIENCE, (https://ec.europa.eu/info/sites/default/files/research_and_innovation/knowledge_publications_tools_and_data/documents/ec_rtd_factsheet-open-science_2019.pdf)
- UNESCO General Conference 41st session, Paris, 2021, Draft Recommendation on Open Science (https://unesdoc.unesco.org/ark:/48223/pf0000378841)
- Dai, Q., Shin, E., & Smith, C. (2018). Open and inclusive collaboration in science. https://doi.org/10.1787/2dbff737-en