โคเนื้อที่เกษตรกรเลี้ยงส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พื้นเมืองและลูกผสมอเมริกันบราห์มัน ซึ่งนิยมส่งออกเป็นโคมีชีวิตไปเวียดนามและจีน แต่ในช่วงที่ผ่านมาเกษตรกรได้รับผลกระทบจากการส่งออกทำให้เกิดวิกฤติราคาโคเนื้อตกต่ำ ขณะที่โคเนื้อลูกผสมแองกัส วากิวและชาร์โรเล่ส์เป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศและขายได้ราคาดี เพื่อใช้ผลิตเนื้อโคตอบโจทย์ความต้องการบริโภคเนื้อโคขุนคุณภาพไขมันแทรก แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคยังคงประสบปัญหาการเลี้ยงในหลายด้าน ทั้งองค์ความรู้และเทคโนโลยี ต้นทุนอาหาร โรคระบาด และการตลาด

สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ร่วมกับหน่วยงานปศุสัตว์จังหวัดในเขตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้และหน่วยงานพันธมิตร ดำเนินโครงการพัฒนายกระดับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้เกษตรกรสามารถผลิตโคคุณภาพดี พัฒนากระบวนการเลี้ยงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้รับมาตรฐานฟาร์ม พัฒนาโคลูกผสมสู่ตลาดพรีเมียมและสร้างนวัตกรชุมชน (นักผสมเทียมอาสา)

ปลูกพืชอาหารสัตว์ ลดต้นทุนค่าอาหารเลี้ยงโคเนื้อ 

ในยุคที่ข้าวของมีราคาแพง ไม่เว้นแม้แต่ฟางอัดก้อน หญ้าอาหารโคหรืออาหารสัตว์สำเร็จรูป ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคที่ต้องแบกรับต้นทุนการผลิตที่สูง ด้วยระยะเวลาการเลี้ยงโคเนื้อที่ค่อนข้างนานกว่าจะได้รับผลตอบแทน ขณะที่พื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ประสบภัยแล้ง ขาดแคลนพืชอาหารสัตว์ เกษตรกรจำต้องกักตุนฟางอัดก้อนเพื่อใช้เลี้ยงโคเนื้อตลอดทั้งปี แต่การให้ฟางเป็นอาหารเพียงอย่างเดียว ทำให้โคได้รับโภชนะไม่ครบถ้วน ส่งผลต่อคุณภาพของโคและราคาจำหน่าย

ปัญญา เชื้อกล้า ผู้ใหญ่บ้านบ้านโนนสังข์ ต.ด่าน อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ มองเห็นปัญหาของลูกบ้านที่ต้องแบกรับต้นทุนค่าอาหารโค จึงได้รวมกลุ่มผู้เลี้ยงโคในชุมชนเมื่อปี พ.ศ. 2566 จัดตั้ง “กลุ่มผู้เลี้ยงโคกระบือบ้านโนนสังข์” มีสมาชิก 25 คน จำนวนโคและกระบือรวม 94 ตัว และได้ชักชวนสมาชิกเข้าร่วม “โครงการแปลงสาธิตผลิตพืชอาหารสัตว์” ของ สวทช. รับถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการปลูกพืชอาหารสัตว์และการเลือกใช้ผลพลอยได้ทางการเกษตรเพื่อลดต้นทุนการเลี้ยงโคเนื้อ และจัดทำแปลงสาธิตการผลิตพืชอาหารสัตว์ในพื้นที่ จำนวน 3  ไร่ ปลูกพันธุ์หญ้าเนเปียร์จวิ้นเฉาเน หญ้าเนเปียร์ปากช่อง หญ้าหวานอิสราเอล หญ้าแพงโกล่า หญ้ากินนีมอมบาซา และหญ้าไนล์

“นอกจากเป็นแปลงต้นแบบการปลูกหญ้าแล้ว ยังเป็นแหล่งพันธุ์ให้สมาชิกได้เลือกพันธุ์หญ้าที่เหมาะสมกับพื้นที่ตัวเอง นำไปปลูกเป็นอาหารเลี้ยงโค กระบือ และยังมีนโยบายส่งเสริมจากหน่วยงานในพื้นที่ให้เกษตรกรทำแปลงหญ้าอาหารสัตว์หนึ่งฟาร์มหรือหนึ่งรายต้องมีแปลงหญ้า 1 ไร่ จึงจะได้รับสนับสนุนปัจจัยในการเลี้ยงโคเนื้อ ทำให้สมาชิกได้ทำแปลงหญ้าของตนเองด้วย”

ปัญญา เล่าต่อว่า กลุ่มฯ ยังได้รับการสนับสนุนระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์จาก สวทช. เพื่อให้น้ำแปลงสาธิตในช่วงฤดูแล้ง ได้เรียนรู้การผลิตอาหารโคคุณภาพ TMR การจัดการวัตถุดิบในช่วงฤดูฝนที่หญ้าให้ผลผลิตสูง การใช้จุลินทรีย์หมักเพิ่มโภชนะ การคำนวณปริมาณอาหารโคและแร่ธาตุด้วยโปรแกรมอย่างง่าย ซึ่งเป็นความรู้ใหม่สำหรับพวกเขา

“ตัดหญ้าหนึ่งรอบได้เฉลี่ย 400–500 กิโลกรัม สมาชิกก็แบ่งกันไป 5-10 กิโลกรัม ตามจำนวนโคที่แต่ละคนมี ส่วนใครมีพื้นที่ปลูกหญ้าได้ ก็มาเอาต้นพันธุ์ไปปลูกและขยายพันธุ์เอง ในช่วงฤดูฝนมีผลผลิตหญ้ามาก จะแบ่งขายให้ชุมชนใกล้เคียง สร้างรายได้ให้สมาชิก”  ฉวี อักขี รองประธานกลุ่มฯ บอกเล่าถึงการจัดการผลผลิตในแปลงสาธิต

หลังจากที่ได้ทดลองปลูกพันธุ์หญ้าหลากสายพันธุ์ ฉวี พบว่า หญ้าไนล์เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่มากที่สุด ใช้เวลาปลูก 45 วัน ให้ผลผลิตต่อไร่ 1-2 ตัน และโคชื่นชอบ ส่วนหญ้ากินนี ทนแล้งได้ดี แต่ไม่เป็นที่นิยมของโค ขณะที่หญ้าเนเปียร์ต้องการน้ำเยอะ ใช้เวลาปลูก 60 วัน และลำต้นสูงต้องใช้เครื่องบดสับ 

กลุ่มผู้เลี้ยงโคกระบือบ้านโนนสังข์
บ้านโนนสังข์ ต.ด่าน อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ
โทรศัพท์ 088-368-2987
(ข้อมูลสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568)

ยกระดับฟาร์มโคเนื้อสู่มาตรฐานฟาร์ม GFM

เราได้เรียนรู้การจัดการบริหารฟาร์มให้เป็นระบบมากขึ้น หลักเกณฑ์ฟาร์ม GFM ไม่ได้เข้มงวดเหมือนมาตรฐาน GMP เกษตรกรสามารถทำได้” ไพรวัลย์ กตะศิลา เจ้าของฟาร์ม 117 หมู่ 11 ต.หนองแค อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ซึ่งยกระดับเป็นฟาร์ม GFM หลังได้รับถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีจาก สวทช. และปศุสัตว์จังหวัดศรีสะเกษ ในเรื่องการบริหารจัดการฟาร์มที่มีคุณภาพ การจัดการด้านอาหารสัตว์ พัฒนาฟาร์มโคเนื้อสู่มาตรฐานฟาร์มโคเนื้อที่มีระบบป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม (Good Farming Management: GFM) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโคเนื้อต้นน้ำสู่การเลี้ยงโคเนื้อคุณภาพสูงให้ได้มาตรฐานการรับรองที่สามารถแข่งขันในตลาดโคเนื้อทั้งในและต่างประเทศได้

ไพรวัลย์ เล่าว่า นอกจากรู้จักบริหารจัดการฟาร์มให้เป็นระบบมากขึ้นแล้ว เขายังเห็นความสำคัญของระบบการป้องกันโรคในฟาร์มเพื่อป้องกันการระบาดและการสูญเสีย ซึ่งเกษตรกรสามารถทำได้ เช่น
การทำรางน้ำรางอาหารโคให้ถูกสุขลักษณะ กางมุ้งรอบคอกวัวในช่วงกลางคืนเพื่อป้องกันยุง เหลือบ
ไร หรือริ้น แบ่งแยกพื้นที่คอกเลี้ยงจากที่อยู่อาศัยของคนให้ชัดเจน จำนวนโคแต่ละคอกไม่หนาแน่นเกินไป มีรั้วรอบขอบชิด มีถังขยะปิดมิดชิด และที่สำคัญควรตรวจสุขภาพสัตว์ประจำทุกปี พร้อมทั้งฉีดวัคซีนที่จำเป็นทั้งวัคซีนปากเท้าเปื่อยและลิมปีสกิน

“ช่วงหน้าฝน ผมได้ใช้หัวเชื้อจุลินทรีย์ของ สวทช. ดับกลิ่นในฟาร์ม ลดปัญหาเรื่องกลิ่นได้ดี การใช้งานไม่ยาก ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:25 ฉีดพ่นทุกสัปดาห์ ได้แนะนำให้ฟาร์มอื่นๆ ลองใช้ด้วย และการที่เราเป็นฟาร์ม GFM ก็สร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าได้ระดับหนึ่ง”

นายไพรวัลย์ กตะศิลา
117 หมู่ 11 ต.หนองแค อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ
โทรศัพท์ 093-075-4757
(ข้อมูลสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568)

นวัตกร: นักผสมเทียมโคชุมชน

“งานอาสาเป็นงานที่เหนื่อย แต่ผมภูมิใจที่ได้ใช้ความสามารถ ประสบการณ์ และนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยแก้ปัญหาให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคได้” บุญโฮม ไกรวิเศษ สะท้อนความรู้สึกต่อบทบาทนวัตกรชุมชนด้านการผสมเทียมและการดูแลสุขภาพโคเนื้อในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ  

จากที่เคยทำงานเป็นสัตวบาลประจำฟาร์มสุกรและผู้เชี่ยวชาญด้านสุกรขุนที่นครปฐม ภาระงานที่มากล้นทำให้ไม่มีเวลาให้ครอบครัว บุญโฮม จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำและกลับมาอยู่กับครอบครัวที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยหวังใช้ประสบการณ์งานจากฟาร์มสุกรมาต่อยอดเลี้ยงชีพที่บ้านเกิด

“ช่วงแรกรับทำวัคซีนสุกร ทำคลอดสุกร แต่ในพื้นที่ไม่ค่อยมีคนเลี้ยง รายได้เข้ามาไม่มาก ก็คิดว่าปศุสัตว์โค-กระบือน่าจะเหมาะกับในพื้นที่มากกว่า ผมไม่เคยทำ ก็คิดว่าไม่น่ายาก เรียนรู้ได้ และโชคดีที่ได้ไปอบรมการผสมเทียมของจังหวัด เปิดโลกความรู้ใหม่ให้ผมมาก”

บุญโฮม ได้รับโอกาสจากปศุสัตว์จังหวัดศรีสะเกษ ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมอบรม การถ่ายทอดเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโคเนื้อพันธุ์ดีพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ (การผสมเทียม) ณ ศูนย์วิจัยการผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพอุบลราชธานี จัดโดย สวทช. ศูนย์วิจัยการผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และปศุสัตว์จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเกษตรกรที่ผ่านการอบรมครั้งนี้ ปศุสัตว์จังหวัดจะส่งไปอบรมหลักสูตรมาตรฐานการผสมเทียมของกรมปศุสัตว์อีกครั้ง และขึ้นทะเบียนเป็นปศุสัตว์อาสาผสมเทียมในพื้นที่ได้

บุญโฮม เป็น 1 ใน 5 นวัตกรชุมชนด้านการผสมเทียมและการดูแลสุขภาพโคเนื้อในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ และได้ขึ้นทะเบียนเป็นปศุสัตว์อาสาผสมเทียม เขาใช้ความรู้ที่ได้จากการอบรมและประสบการณ์จากงานฟาร์มสุกรประยุกต์ใช้ทำงานอาสาเพื่อดูแลโคในพื้นที่ ช่วยเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จังหวัดอย่างเต็มกำลังทั้งการฉีดวัคซีน การป้องกันโรคระบาด การผสมเทียม การตรวจการตั้งท้อง และการทำคลอดโค

“ปัญหาที่ผู้เลี้ยงโคเนื้อพบเจอตอนนี้ คือ ราคาโคตกต่ำและการผสมพันธุ์โคติดลูกยาก ถ้าผสมแบบธรรมชาติมีโอกาสติดดีกว่าการผสมเทียม แต่อาจมีปัญหาเรื่องโรคติดต่อหรือเลือดชิด การผสมเทียมจึงช่วยลดความเสี่ยงการนำพาโรคได้ ทำให้เกษตรกรมีโอกาสได้รับลูกโคคุณภาพดีจากน้ำเชื้อของพ่อพันธุ์ที่ดี”

เทคโนโลยีการเหนี่ยวนำการตกไข่[1] เป็นอีกหนึ่งความรู้ที่ บุญโฮม ได้นำมาใช้ในงานผสมเทียม โดยใช้ฮอร์โมนกระตุ้นการเป็นสัดของแม่โคและผสมเทียมตามระยะเวลาที่กำหนด จึงช่วยเพิ่มโอกาสให้แม่โคตั้งท้องได้

“แม่พันธุ์โคเนื้อส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการเป็นสัด ทำให้พลาดโอกาสตั้งท้อง การใช้เทคโนโลยีเหนี่ยวนำการตกไข่จึงไม่จำเป็นต้องสังเกตอาการเป็นสัดของแม่โค ซึ่งการผสมเทียมจะใช้น้ำเชื้อสายพันธุ์โคพรีเมียมไม่ว่าจะเป็น แองกัส วากิว ชาร์โรเล่ส์ ที่ได้รับสนับสนุนจาก สวทช. เพื่อส่งเสริมการสร้างโคลูกผสมที่ตรงตามความต้องการตลาด ปัจจุบันโคเนื้อลูกผสมเหล่านี้ยังขาดแคลนและมีราคา 17,000 – 20,000 บาท/ตัว ซึ่งโคเนื้ออายุ 6 เดือนขึ้นไป ใช้ผลิตเป็นเนื้อคุณภาพสูง จะแก้ไขปัญหาราคาโคตกต่ำให้เกษตรกรได้”

นอกจากการทำหน้าที่ผสมเทียมแล้ว บุญโฮม ยังติดตามและตรวจการตั้งท้องแม่โคที่ผสมเทียมแล้ว พร้อมทั้งให้คำแนะนำการดูแลแม่โคกับเกษตรกรเจ้าของโค ทั้งการแยกพื้นที่แม่โคที่ผสมเทียมในช่วง 1-3 เดือนแรก เพื่อป้องกันการแท้ง การให้อาหารที่มีโภชนะครบถ้วนและหมั่นสังเกตสุขภาพแม่โค เพื่อให้เกษตรกรได้โคลูกผสมที่สมบูรณ์ และนั่นคือเป้าหมายสำคัญของ บุญโฮม กับบทบาทนวัตกร… นักผสมเทียมโคชุมชน นอกจากนี้เขายังรวบรวมสมาชิกก่อตั้ง “วิสาหกิจชุมชนโคเนื้อโคขุนเครือข่ายทุ่งกุลาร้องไห้บ้านเมืองแคน” เพื่อเลี้ยงโคแม่พันธุ์ผลิตโคเนื้อลูกผสมแองกัส ชาร์โรเล่ส์ส่งขายให้เครือข่ายผู้เลี้ยงโคเนื้อในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้อีกด้วย

บุญโฮม ไกรวิเศษ 
วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนบ้านสร้างแก้ว
ต.สร้างปี่ อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ
โทรศัพท์ 993-160-4015
(ข้อมูลสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568)

[1] สวทช. และเครือข่ายพันธมิตร ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเหนี่ยวนำการตกไข่และผสมเทียมโคเนื้อ นำร่องกับโคเนื้อ 20 ตัวในอำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ โคตั้งท้อง 11 ตัว โคเกิดลูกโคแล้ว 7 ตัว เป็นตัวผู้ 6 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว ซึ่งเป็นลูกผสมพันธุ์บราห์มันแดง 5 ตัว ลูกผสมพันธุ์แองกัส 1 ตัว และลูกผสมพันธุ์บีฟมาสเตอร์ 1 ตัว โดยได้รับความสนใจอย่างมากจากกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโค วิสาหกิจชุมชนและสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่ เทคโนโลยีดังกล่าวเหมาะสำหรับจัดการฝูงแม่พันธุ์โคให้ผลิตลูกโคเนื้อได้จำนวนมากในรุ่นเดียวกัน นำไปสู่ระบบการเลี้ยงและการขุนโคเนื้ออย่างเป็นระบบ ลดค่าใช้จ่ายการจัดการฟาร์มและเพิ่มรายได้จากการเสียโอกาสที่แม่โคทิ้งช่วงท้องว่างนาน

พัฒนายกระดับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม