สท.-ไบโอเทค-มูลนิธิชัยพัฒนา ขยายผลจัดตั้ง “ศูนย์ชีวภัณฑ์โครงการทหารพันธุ์ดีแห่งที่ 3” ณ ค่ายภูมิพล ลพบุรี

สท.-ไบโอเทค-มูลนิธิชัยพัฒนา ขยายผลจัดตั้ง “ศูนย์ชีวภัณฑ์โครงการทหารพันธุ์ดีแห่งที่ 3” ณ ค่ายภูมิพล ลพบุรี

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ร่วมกับทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และมูลนิธิชัยพัฒนา ลงพื้นที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ค่ายภูมิพล ต.เขาพระงาม อ.เมือง จ.ลพบุรี เพื่อประเมินพื้นที่และชี้แจงการจัดตั้งศูนย์ชีวภัณฑ์โครงการทหารพันธุ์ดี พร้อมทั้งถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี “ชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืชและแมลงศัตรูพืชทางการเกษตรและการผลิตขยายเชื้อราบิวเวอเรีย” ให้ทหารพันธุ์ดีทั้งภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติการผลิตและขยายเชื้อให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน รวมถึงการเก็บรักษาและนำไปใช้อย่างถูกวิธี กิจกรรมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากหม่อมราชวงศ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักกิจการพิเศษ มูลนิธิชัยพัฒนา และ ผศ.ฉันทนา วิชรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการปรับปรุงพันธุ์พืช มูลนิธิชัยพัฒนา เข้าร่วมกิจกรรมพร้อมรับมอบหัวเชื้อชนิดน้ำราไตรโคเดอร์มา ราเมตาไรเซียมและราบิวเวอเรีย สายพันธุ์ที่คัดเลือกโดยทีมวิจัยไบโอเทค รวมถึงอุปกรณ์เบื้องต้นสำหรับการผลิตและขยายเชื้อทั้งสามชนิด อนึ่ง สวทช. โดย สท. และไบโอเทค ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้

สท. นำคณะทูตเกษตรประจำประเทศไทยศึกษาดูงานเทคโนโลยีด้านเกษตร/เกษตรสมัยใหม่ที่อุดรธานี

สท. นำคณะทูตเกษตรประจำประเทศไทยศึกษาดูงานเทคโนโลยีด้านเกษตร/เกษตรสมัยใหม่ที่อุดรธานี

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ร่วมกับฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ สวทช. นำคณะทูตเกษตรประจำประเทศไทย ประกอบด้วย Dr. Gijs Theunissen ทูตเกษตรประเทศเนเธอร์แลนด์ Mr. Shaiful Naszri Abdul Wahid ทูตเกษตรประเทศมาเลเซีย Ms. Annalyn L. Lopez-Jamora ทูตเกษตรประเทศฟิลิปปินส์ และ Mr. Kanenaka Tadayuki ทูตเกษตรประเทศญี่ปุ่น พร้อมด้วยศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.  ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และน.ส.วิราภรณ์

สวทช.-มรภ.อุดรธานี จัดงาน Field day “ปทุมมา” หนุนเกษตรกรไทยก้าวสู่ตลาดโลก พร้อมรับมหกรรมพืชสวนโลกปี 2569

สวทช.-มรภ.อุดรธานี จัดงาน Field day “ปทุมมา” หนุนเกษตรกรไทยก้าวสู่ตลาดโลก พร้อมรับมหกรรมพืชสวนโลกปี 2569

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (มรภ.อุดรธานี) ร่วมกันจัดงานการถ่ายทอดเทคโนโลยีไม้ดอก “ปทุมมา” ตลอดห่วงโซ่การผลิต ภายใต้แนวคิด “ปทุมมา มนต์เสน่ห์แห่งพืชสวนโลก” ระหว่างวันที่ 14-15 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาท้องถิ่นบ้านตาด มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีเกี่ยวกับสายพันธุ์ปทุมมา กระบวนการผลิตอย่างครบวงจร และเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยี 2. สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ประกอบการในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ และ 3. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าการวิจัยพัฒนาพันธุ์และการผลิตปทุมมาของประเทศไทย และเตรียมความพร้อมสู่งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานีในปี 2569 พิธีเปิดงานมีขึ้นในวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ได้รับเกียรติจาก

มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี

มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (มรภ.อุดรธานี) ได้ลงนามความร่วมมือด้านการวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยีเกษตรและเกษตรสมัยใหม่ครบวงจร ระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2566-2571) โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ เพื่อร่วมกันสนับสนุนการวิจัย พัฒนา และบูรณาการองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้านเกษตรและเกษตรสมัยใหม่ เพื่อพัฒนาหลักสูตรและขยายผลถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการ เพื่อยกระดับทักษะความรู้เพิ่มขีดความสามารถด้านเกษตรของบุคลากรทั้งสองฝ่าย ผลักดันให้เกิดกลไกความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรและเกษตรสมัยใหม่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ ทดสอบ สาธิตการปรับใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ชุมชน ส่งเสริมอาชีพ สร้างเศรษฐกิจรายได้  องค์ความรู้และเทคโนโลยีการปลูก “ปทุมมา” ตลอดห่วงโซ่การผลิต เป็นหนึ่งในองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือนี้ โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. เล็งเห็นความสำคัญของการขยายผล ถ่ายทอดเทคโนโลยี สู่การใช้ประโยชน์ โดยมีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เป็นแหล่งเรียนรู้การขยายผลเทคโนโลยีปทุมมา/กระเจียวพันธุ์ใหม่ที่เป็นผลงานวิจัยร่วมระหว่าง สวทช. และ

โรงเรือนปลูกพืชไม้ไผ่ทรงหลังคาจั่ว 2 ชั้น

โรงเรือนปลูกพืชไม้ไผ่ทรงหลังคาจั่ว 2 ชั้น

สถาบันารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ได้ปรับปรุงรูปแบบโครงสร้างโรงเรือนไม้ไผ่ทรงหลังคาจั่ง 2 ชั้น จากรูปแบบเดิมที่ค่อนข้างซับซ้อน เกษตรกรสร้างเองได้ยาก ให้เป็นรูปแบบอย่างง่ายที่เกษตรกรสามารถสร้างได้ง่ายขึ้น ใช้ไม้ไผ่น้อยลง แต่ยังคงความแข็งแรงในระดับที่ยอมรับได้ ลดต้นทุนการสร้างลงได้ร้อยละ 37.5 เมื่อเทียบกับแบบเดิม มีราคาประเมินการก่อสร้างโรงเรือนขนาด 6×15 เมตร กรณีจ้างเหมาอยู่ที่ 20,000 บาท ประมาณอายุการใช้งาน 3 ปี ในการสร้างโรงเรือนนี้ เกษตรกรสามารถเตรียมไม้ไผ่ตามขนาดและความยาวที่กำหนดในแบบแปลน นำมาเชื่อมต่อกันเป็นโครงสร้างโรงเรือนด้วยสกรูเกลียว สท. ได้พัฒนาขนาดโรงเรือน 2 ขนาด คือ แบบหน้ากว้าง 4 เมตร ไม่มีเสากลาง และแบบหน้ากว้าง 6 เมตร มีเสากลาง โดยมีรูปแบบโครงสร้างหลังคาและมีระยะช่วงเสา

หอมแขกอินทรีย์ พลิกชีวิตคนทำเกษตร

หอมแขกอินทรีย์ พลิกชีวิตคนทำเกษตร

สภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาอยู่หลายปีหลังวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี พ.ศ. 2540 ทำให้ ทองอาน-หนูกร ไชยรส สองสามีภรรยา ตัดสินใจคืนถิ่นบ้านเกิดที่หนองคาย หลังปักหลักรับเหมาตกแต่งภายในที่เมืองกรุงนานหลายปี      ทองอาน-หนูกร กลับมาเริ่มต้นทำเกษตรบนที่ดิน ส.ป.ก. ในต.อุดมพร อ.เฝ้าไร่ จ.หนองคาย ลองผิดลองถูกกับพืชผักหลากชนิดทั้งแตงกวา ถั่วฝักยาว ฟักทอง กระเทียม ปลูกขายเป็นรายได้ของครอบครัว จนเมื่อปี พ.ศ. 2563 สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดหนองคาย และ สวทช.[1] เข้ามาแนะนำให้รู้จัก “หอมแขก” พร้อมกับส่งเสริมการปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์ [1] สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ดำเนินงานโครงการ “การยกระดับกลุ่มเกษตรกรด้วยความรู้และเทคโนโลยีการผลิตหอมแขกคุณภาพ” เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านการผลิตหอมแขกที่มีคุณภาพ ปลอดภัยและได้มาตรฐานตามหลักวิชาการ ผ่านการจัดทำแปลงสาธิตและยกระดับกลุ่มเกษตรกรให้เป็นผู้ผลิตหอมแขกผลสดคุณภาพ สร้างผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพและสามารถเชื่อมโยงกับตลาดได้

ปลูก ‘ผักอินทรีย์คุณภาพ’ ใน ‘โรงเรือนต้นทุนต่ำ’ ด้วย ‘ความรู้และเทคโนโลยี’

ปลูก ‘ผักอินทรีย์คุณภาพ’ ใน ‘โรงเรือนต้นทุนต่ำ’ ด้วย ‘ความรู้และเทคโนโลยี’

ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรปรวน โรงเรือนปลูกพืช เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เกษตรกรยังคงมีผลผลิตและรายได้ การใช้ประโยชน์จากโรงเรือนให้ได้ประสิทธิภาพมากไปกว่ากันแดดกันฝน แต่ให้มีผลผลิตผักที่ได้คุณภาพและปริมาณตามความต้องการของตลาด และสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องให้เกษตรกรได้นั้น เป็นสิ่งที่สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ให้ความสำคัญ จึงได้นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปถ่ายทอดสู่เกษตรกรผ่านโครงการการยกระดับเครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยีโรงเรือนและการบริหารจัดการผลิตพืชผัก[1] ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)    จันทร์เพ็ญ เพ็ชรัตน์ เกษตรกรชาวหาดใหญ่ วิโรจน์ ทองละเอียด และลำจวน หนองภักดี สองเกษตรกรชาวกาฬสินธุ์ คือส่วนหนึ่งของเกษตรกรที่ได้เติมเต็มความรู้จากโครงการฯ นี้ [1] กลุ่มเป้าหมายในโครงการฯ ประกอบด้วย เครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์จังหวัดสงขลา (สมาชิกอยู่ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ คลองหอยโข่ง จะนะ รัตภูมิ และสะเดา) เครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์ในจังหวัดกาฬสินธุ์ (สมาชิกอยู่ในพื้นที่อำเภอฆ้องชัย ยางตลาด และคำม่วง) และเครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์ในจังหวัดมหาสารคาม (สมาชิกอยู่ในพื้นที่อำเภอยางสีสุราช) เพราะไม่รู้ จึงเรียนรู้

รับมือ “โรคใบด่างมันสำปะหลัง” ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

รับมือ “โรคใบด่างมันสำปะหลัง” ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

“เรามองว่าโรคใบด่างมันสำปะหลังมีเชื้อไวรัสในท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง ไม่มียาหรือสารเคมีแก้ปัญหาโรคได้ สิ่งที่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด คือ การผลิตต้นพันธุ์สะอาด” คำบอกเล่าจาก เพ็ญนภา บานเย็น ผู้จัดการโครงการวิจัยเกษตร บริษัท พูลอุดม จำกัด บริษัทที่ดำเนินธุรกิจมันสำปะหลังแปรรูปและลงทุนจัดตั้งห้องปฏิบัติเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อรับมือกับโรคใบด่างมันสำปะหลัง โรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava ​Mosaic Disease: CMD) เริ่มพบการระบาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 สาเหตุจากเชื้อไวรัส Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) การแพร่ระบาดเกิดจากการใช้ท่อนพันธุ์ที่มีโรคและมีแมลงหวี่ขาวยาสูบเป็นแมลงพาหะ ต้นมันสำปะหลังที่ได้รับเชื้อไวรัสจะมีใบมันหงิกงอ ไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ส่งผลให้ผลผลิตเสียหายได้ถึง 80-100% และนั่นย่อมส่งผลต่ออุตสาหกรรมมากมายที่ต้องใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลัก ในช่วงปี พ.ศ. 2563 สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.)