“เราอยู่เฉยๆ ก็ได้ตังค์ แต่ทำให้คนอื่นมีรายได้ เขาอยู่ได้ เราอยู่ได้” คำบอกเล่าจาก มะราซะ มะโรง คุณครูอนุบาลและประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้เลี้ยงชันโรงอำเภอแว้ง จ.นราธิวาส ถึงรายได้เสริมของเขาที่อาจเป็นรายได้หลักให้อีกหลายชีวิตในชุมชนจากแมลงผสมเกสรที่ชื่อว่า “ชันโรง” หรือที่คนในพื้นที่ชายแดนใต้เรียกว่า “กลูโละ”


ในช่วงสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 มาตรการปิดเมืองหรือล็อคดาวน์ เป็นจุดเริ่มให้ มะราซะ ได้รู้จักชันโรงผ่านเฟซบุ๊ก และสนใจหามาเลี้ยงแทนสัตว์น้อยใหญ่ที่เคยเลี้ยงเป็นงานอดิเรกและรายได้เสริม
“เคยเลี้ยงไส้เดือน จิ้งหรีด ไก่สวยงาม แพะ วัว เลี้ยงแล้วมีต้นทุนค่าอาหาร ก็หยุดเลี้ยง มาเจอชันโรง ก็สนใจ ไม่ต้องหาอาหารให้ ไม่เป็นภาระ จึงหาความรู้วิธีเลี้ยงจากอินเทอร์เน็ตและจากคนในจังหวัดที่เลี้ยงเป็นอาชีพ ส่วนพันธุ์ได้มาจากคนตัดไม้ส่งโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ ถ้าเขาตัดไม้เจอชันโรง ก็ให้มาส่ง ช่วงนั้นรับซื้อขอนละ 500 บาท ก็ยังไม่รู้จักสายพันธุ์ แต่ขอให้เป็นชันโรงตัวดำๆ รับหมด”
อิตาม่า ถ้วยดำ ปากแตร และชันแข็ง รวมกว่า 20 รัง เป็นสายพันธุ์ชันโรงที่ มะราซะ ลงทุนเริ่มต้นด้วยเงิน 20,000 บาท จากการจำนำรถมอเตอร์ไซค์ ด้วยหวังรายได้จาก “น้ำผึ้งชันโรง” ที่มีราคาสูงถึง 1,500 บาท (750 มิลลิลิตร)
“ที่บ้านเรามีคนเลี้ยงชันโรงแต่ไม่เยอะ ที่นี่จะเป็นสายพันธุ์ใหญ่พวกอิตาม่า ปากหมู เพราะสภาพพื้นที่ติดเขา สายพันธุ์เล็กอย่างขนเงินจะอยู่แถวอำเภอสายบุรี อยู่ตามบ้าน”
มะราซะ ใช้พื้นที่บริเวณหลังบ้านตั้งวางรังชันโรง โดยมีพืชอาหารตามฤดูกาลของพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น ดอกทัง มะม่วงเบา มะมุด ทุเรียน มังคุด ลองกอง เงาะ มะพร้าว ดอกข้าว สละอินโด รวมถึงต้นโคลงเคลง เขาคืนทุนได้ตั้งแต่ปีแรกที่เลี้ยงจากน้ำผึ้งชันโรง 30 กิโลกรัม ซึ่งเรื่องราวการเลี้ยงชันโรงของเขาถ่ายทอดผ่านเฟซบุ๊กดึงดูดความสนใจของเพื่อนๆ บนโลกออนไลน์


“ตัวเองเป็นภูมิแพ้ คนเฒ่าคนแก่เคยบอกว่าสมัยก่อนเด็กเป็นหอบให้กินน้ำผึ้งชันโรง เราก็คิดว่าโรคหอบหายได้ ภูมิแพ้ก็น่าจะหายได้ จึงสนใจเลี้ยง ตามมาดูที่สวน แล้วไปหาพันธุ์มาเลี้ยงบ้าง จาก 10 รัง ตอนนี้ก็มี 50 รัง” ลุกมาน นิเลาะ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสุคิริน หนึ่งในผู้ที่ติดตามการเลี้ยงชันโรงของมะราซะ และกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้เลี้ยงชันโรงอำเภอแว้งที่มีสมาชิก 8 คน[1] ซึ่งต่างมีหน้าที่การงานหลากหลาย แต่มองเห็นประโยชน์จาก “ชันโรง” ทั้งรายได้เสริมจากน้ำผึ้ง ด้านสุขภาพ และองค์ความรู้การเลี้ยงชันโรง
“สมาชิกทำงานประจำกัน มีทั้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล รปภ.ธนาคาร เจ้าหน้าที่ อบต. เจ้าหน้าที่สนามบิน เจ้าของธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ สวทช. เพิ่งมารวมเป็นกลุ่มเมื่อปี 2565 เพื่อขอรับความรู้และงบสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ช่วงนั้นยังอยู่ในช่วงโควิด ก็อาศัยประชุมออนไลน์ พูดคุยแลกเปลี่ยนปัญหาการเลี้ยง มีไปเยี่ยมฟาร์มและแลกเปลี่ยนสายพันธุ์กัน”
ปัจจุบัน มะราซะ มีรังชันโรงเกือบ 100 รัง สมาชิกมีเฉลี่ยที่ 20 รัง ได้น้ำผึ้งเฉลี่ย 1 กิโลกรัม/รัง โดยมีพืชอาหารของชันโรงที่คล้ายกันเป็นพืชธรรมชาติที่หมุนเวียนตลอดทั้งปี หนึ่งในพืชอาหารของท้องถิ่นได้สร้าง “น้ำผึ้งสีม่วงอัญมณี” ที่กลายเป็นผลิตภัณฑ์เด่นของกลุ่มฯ ภายใต้ชื่อสินค้า D-Wang โดยมีราคาจำหน่ายสูงถึง 1,800 บาท (750 มิลลิลิตร)
[1] ประกอบด้วย 1) บ้านสวนชันโรงเชิงเขากรือซอ 2) BK ชันโรงแว้ง 3) บ้านสวนชันโรงลังกาสุกะ 4) บ้านนิ ชันโรง 5) ชันโรงบ้านนิคมสร้างตนเองแว้ง 6) บ้านสวนชันโรงขวัญเรือน 7) บ้านสวนชันโรงตลาดแว้ง 8) ศูนย์เรียนรู้การเลี้ยงผึ้งและชันโรง ต.โละจูด อ.แว้ง จ.นราธิวาส


“ได้น้ำผึ้งออกสีม่วง บางครั้งก็เหมือนสีน้ำมันเครื่องดำๆ แต่รสชาติอร่อยมาก หวานนำ เปรี้ยวปลายนิดๆ และมีกลิ่นหอม ก็ตกใจว่าเกิดจากอะไร ไปถามจากกลุ่มอื่นในจังหวัด ก็ไม่มีใครได้แบบนี้ มีที่แว้งที่เดียว ทาง สวทช. และมหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา เอาไปตรวจสอบในห้องแล็บ เลยรู้ว่ามาจากดอกโคลงเคลง”
ต้นโคลงเคลงเป็นวัชพืชในสวนยางพาราและเป็นพืชอาหารของชันโรงตั้งแต่เดือนมิถุนายน-มกราคม โดยชันโรงเก็บน้ำหวานจากกระเปาะของดอกโคลงเคลง 70–80% จึงทำให้น้ำผึ้งมีสีม่วงดำ ในน้ำผึ้งยังมีสาร DHA MGO และ Leptosperin ที่พบในน้ำผึ้งมานูก้า ซึ่งเป็นน้ำผึ้งอันดับหนึ่งของโลก นอกจากนี้ยังพบสาร Flavonoids, Phenolic compounds และ Hydroxymethylfurfural ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
การสังเกตเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ มะราซะ และสมาชิก พัฒนาการเลี้ยงชันโรงเพื่อให้ได้น้ำผึ้งคุณภาพ รวมถึงการแลกเปลี่ยนความรู้จากเครือข่ายผู้เลี้ยงชันโรงในจังหวัดนราธิวาส
“เราเลี้ยงแยกชนิด ไม่ปนกัน เพราะจะเกิดการแย่งรัง ตัวเล็กจะแย่งรังตัวใหญ่ หรือชนิดเดียวกันก็ไม่ตั้งใกล้กัน อย่างอิตาม่า แต่ละรังนิสัยไม่เหมือนกัน บางรังน่ารัก บางรังดุ ต้องตั้งห่างกันประมาณ 5 เมตร และหันปากทางเข้าไปคนละทาง ไม่อย่างนั้นเวลาเก็บน้ำหวาน ถ้ามีบางตัวบินหลงข้ามรัง จะทำให้รังนั้นหนีออกทั้งรัง หรือการเก็บน้ำผึ้ง จะไม่เก็บช่วงฤดูฝนเพราะช่วงนั้นชันโรงออกไปหาอาหารไม่ได้ เขาจะกินน้ำผึ้งเป็นอาหาร ถ้าเราไปเก็บน้ำผึ้งช่วงนั้น เขาจะไม่มีอาหาร ทำให้ทิ้งรัง”


นอกจากน้ำผึ้งชันโรง D-Wang เป็นผลิตภัณฑ์หลักของกลุ่มฯ แล้ว มะราซะ ยังจำหน่ายรังชันโรงในขอนไม้ กล่องเลี้ยงและถาดน้ำหวาน สารล่อ (ฟีโรโมน) รวมถึงขี้ชัน ทำให้เขามีรายได้เสริมต่อปีไม่ต่ำกว่าหลักแสนบาท แต่เขาเลือกที่จะรับรายได้เพียงบางส่วนและเปลี่ยนเป็นสิ่งของสำหรับเด็กกำพร้าและคนด้อยโอกาสในชุมชน
“เราเคยลำบากมาก่อน พอมีโอกาสก็อยากช่วย ตั้งแต่เลี้ยงชันโรง 100 กว่ารัง ไม่มีอุปกรณ์สักอย่าง เลื่อยตัดไม้ไม่มี เครื่องดูดน้ำหวานไม่มี เพราะเราจ้างเขาทำ เราบริหารอย่างเดียว กระจายรายได้ให้ชุมชน ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องไปทำงานไกลบ้าน เด็กๆ ก็มีรายได้เก็บฝาขวดน้ำมาขายเรา”
นอกจากการได้มาตรฐานน้ำผึ้ง GMP ฮาลาล เป็นหนึ่งในแผนการทำงานของกลุ่มฯ เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายน้ำผึ้งชันโรงแล้ว การสร้างงานสร้างอาชีพให้คนในชุมชนเป็นสิ่งที่พวกเขาตั้งใจไว้เช่นกัน
“เราเริ่มขยายเครือข่ายการเลี้ยงชันโรงในพื้นที่ ไปถ่ายทอดความรู้ให้คนที่สนใจ และมองไปถึงการสร้างงานให้เยาวชนหรือคนด้อยโอกาสในพื้นที่ด้วย เช่น จ้างทำโรงเลี้ยง ทำกล่องผลิต กับอีกแนวทางจะเอารังชันโรงไปตั้งไว้ที่บ้านเขา แล้วจ้างเขาเก็บน้ำผึ้งเลย” มะราซะ บอกทิ้งท้าย
# # #
วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้เลี้ยงชันโรงอำเภอแว้ง
ต.แว้ง อ.แว้ง จ.นราธิวาส
โทรศัพท์ 09 8391 7176
(ข้อมูลสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568)