“เดี๋ยวนี้ทำนาก็สู้ทำผ้าไม่ได้” คำบอกเล่าจาก ลำไพร ยางสุข ประธานกลุ่มอาชีพทอผ้าไหมบ้านม่วงสวรรค์ ต.ไพรขลา อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ สะท้อนถึงความสำคัญของงานทอผ้าพื้นเมืองที่มีบทบาทต่อเศรษฐกิจครัวเรือน ไม่ต่างจาก สุภา อิ่มบุตร ประธานกลุ่มทอผ้าแม่สุภาผ้าไทย ต.ทุ่งหลวง อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ที่ส่งเสริมให้สมาชิกกลุ่มสร้างรายได้จากงานทอผ้าเดือนละไม่ต่ำกว่าหมื่นบาท

จากงานอดิเรกหลังเสร็จสิ้นการทำนาในแต่ละวัน ทอผ้าไว้ใช้เองในครัวเรือนสู่การค้าซื้อขายและสร้างรายได้ที่จับต้องได้เร็วกว่าทำนา กลายเป็นอาชีพหลักของเธอทั้งสองที่ต่างผ่านช่วงเวลากินอยู่หลับนอนคากี่ทอ เพื่อสร้างสรรค์ชิ้นงานให้เป็นเม็ดเงินส่งลูกเรียนจบปริญญา

เติมความรู้ เสริมงานศิลป์ สร้างอัตลักษณ์ลายผ้าประจำถิ่น

“บ้านม่วงสวรรค์เป็นหมู่บ้านปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและผลิตผ้าไหมเยอะ จากเป็นอาชีพเสริมมีแม่ค้ามารับซื้อ 300-500 บาท/ผืน เดี๋ยวนี้เป็นอาชีพหลัก ราคาผ้าก็หลักพัน ถ้าย้อมสีธรรมชาติบางผืนก็เป็นหมื่น”

เดิมทีในหมู่บ้านต่างคนต่างทอผ้า แต่หลังจากได้รวมกลุ่มและขึ้นทะเบียนกลุ่มทอผ้าเมื่อปี พ.ศ. 2550 เปิดโอกาสให้ได้ออกร้านจำหน่ายและเรียนรู้จากหน่วยงานต่างๆ ปัจจุบันกลุ่มอาชีพทอผ้าไหมบ้านม่วงสวรรค์มีสมาชิก 24 คน แต่ละคนทอผ้าเองทุกกระบวนการเป็นวิถีประจำวัน ไม่ผลิตตามออเดอร์ มีแม่ค้ามารับซื้อผลงานถึงหมู่บ้าน ลำไพร บอกว่า ลายผ้าและการทอบอกได้ว่าเป็นผลงานของใคร ลายผ้าเดียวกัน คนทอต่างกัน งานที่ได้ก็ต่างกัน

“ความรู้จากหน่วยงานก็เอามาพัฒนาลายตัวเอง พัฒนาฟืมและวิธีทอให้ดีขึ้น อย่างผ้าบ้านม่วงสวรรค์มีจุดเด่นที่เชิงตีนทั้งสองข้าง สมัยก่อนไม่โอบแดง จะย้อมดำ เชิงตีนจะดำ เราก็พัฒนาให้เด่นขึ้น และผ้าของเราจะมีสีเยอะและสีไม่ตก เพราะเราย้อมสีอิ่ม เราต้มนานทำให้ไหมดูดสีได้นาน และใช้เอนไซม์เอนอีซแช่ไหมก่อนด้วย ทำให้สีเด่น” 

ลำไพร และสมาชิกกลุ่มฯ รู้จักเอนไซม์เอนอีซ (ENZease)[1] จากการแนะนำของนักวิชาการ สวทช. ที่ได้ร่วมกับ ดร.กิตติ์ธนัตถ์ ญาณพิสิษฐ์ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านสิ่งทอพื้นเมืองแพรวากาฬสินธุ์ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ทำให้สมาชิกได้รู้จัก สวทช. ที่นำองค์ความรู้ต่างๆ มาให้ชุมชนได้นำไปพัฒนาคุณภาพของเส้นไหม และนำไปสู่การเพิ่มพูนความรู้การย้อมสีธรรมชาติและการออกแบบลายอัตลักษณ์

[1] ผลงานวิจัยของ สวทช. ที่นำมาประยุกต์ใช้ลอกกาวไหม โดยเป็นเอนไซม์ที่สามารถลอกแป้งและกำจัดสิ่งสกปรกบนผ้าฝ้ายได้พร้อมกันในขั้นตอนเดียว ทำงานได้ดีในช่วงค่าพีเอช (pH) 5.5 และอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ใช้ทดแทนสารเคมีในขั้นตอนการผลิตผ้าฝ้ายได้ 100% ใช้เวลาเพียง 1-3 ชั่วโมง และชุมชนได้นำมาทดลองใช้กับการทำความสะอาดเส้นไหม ได้คุณภาพเส้นไหมเทียบเท่ากับการใช้ด่างเคมี ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงทั้งค่าสารเคมี ค่าแรงงาน ค่าเครื่องมือ รวมถึงการใช้น้ำ พลังงาน และต้นทุนการบำบัดน้ำเสียลดลง นอกจากนี้ สวทช.  ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเอนไซม์ซิลค์โปร (Silk Pro) สำหรับใช้กับผ้าไหมโดยเฉพาะ และเตรียมขยายผลให้ชุมชนทอผ้าไหมต่อไป

“หน่วยงานไหนมาสนใจหมด เพราะอยากได้ความรู้มาพัฒนางานผ้าของกลุ่มฯ ให้มีคุณภาพและขายราคาที่สูงขึ้น แต่ก่อนลอกกาวไหมก็ใช้เคมี ต้องแช่เป็นชั่วโมง แล้วเปลี่ยนมาเป็นสบู่ พอมาเจอเอนไซม์ของ สวทช. ก็ยิ่งดี แช่ไหม 30 นาที ประหยัดเวลา ไม่เป็นอันตราย ลอกกาวออกง่ายด้วย แช่แล้วไปต้มกับน้ำสบู่ให้ได้กลิ่นหอม เส้นไหมที่ได้ก็สวย นิ่ม ไม่มีคราบสกปรกติด ย้อมเข้าข้อง่าย ส่วนสีธรรมชาติ เราก็เคยใช้ใบไม้มาย้อมแต่ไม่สวย พอ สวทช. พาไปเรียนกับอ.วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ทำให้เข้าใจขึ้นมาก ถ้าไม่ได้ไป จะเสียใจมาก ได้ความรู้เยอะมาก จากที่เคยคิดว่าย้อมครามยาก หมักโคลน กรดจะเยอะ ผ้าไม่ทน แต่อาจารย์สอนละเอียดจนเราเข้าใจ พอลองทำก็ง่ายกว่าใช้เคมี ไม่ยากอย่างที่คิด

ด้วยสีสันและลายผ้าที่โดดเด่น ผ้าไหมทอมือพื้นเมืองของกลุ่มฯ จึงเป็นที่นิยมในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง สมาชิกแต่ละคนผลิตได้ 3-4 ผืน/เดือน ราคาจำหน่ายเฉลี่ยผืนละ 3,000 บาท แต่หลังจาก ลำไพร และแกนนำ ได้เติมเต็มความรู้จาก สวทช. ด้วยการย้อมสีธรรมชาติและสกัดสีจากใบพืชในพื้นที่ อาทิ ใบสักทอง ใบมะม่วง ใบยูคาลิปตัส ใบขี้เหล็ก หมากคูน เป็นต้น ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ผ้าพื้นเมืองจากสีธรรมชาติที่เริ่มเป็นที่ต้องการและมีราคาจำหน่ายสูงถึงหลักหมื่นบาท

“ราคาสูงเพราะใช้เวลา แต่ทำไม่ยาก เพราะเราเข้าใจวิธีทำแล้ว ย้อมสีธรรมชาติก็สวยแบบธรรมชาติ เวลาดูแล้วลื่นหัวใจลื่นสายตา ม่วนตาม่วนใจ งามแบบธรรมชาติ เคมีก็สวยแบบเคมี” 

ด้วยทักษะงานทอผ้าที่มีอยู่ในตัว บวกกับความใฝ่รู้และไม่หยุดพัฒนาผลงานของตัวเอง ทำให้ผลิตภัณฑ์ผ้าคลุมไหล่ของกลุ่มฯ ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มาตรฐานวิสาหกิจชุมชน มาตรฐานผลิตภัณฑ์ 5 ดาว และผ้าไหมมัดหมี่ได้รับมาตรฐานนกยูงสีทอง สีน้ำเงิน จากกรมหม่อนไหม นอกจากนี้ ลำไพร และสมาชิก ยังร่วมกับ ดร.กิตติ์ธนัตถ์ ออกแบบลายอัตลักษณ์ผ้าของอำเภอชุมพลบุรี โดยนำจุดเด่นของแต่ละตำบลทั้งน้ำไหล โฮล ปลาไหล ข้าวหอมมะลิ และดาวกระจาย โดยได้รับคัดเลือกให้เป็นลายผ้าประจำอำเภอ มีชื่อลายว่า “ลายโฮลชุมพลบุรี”

“ชุมพลบุรีเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมของจังหวัดแต่ไม่เคยมีลายเอกลักษณ์ของอำเภอมาก่อน ดีใจและภูมิใจมากที่ลายผ้าของกลุ่มฯ ได้รับคัดเลือกเป็นลายผ้าประจำอำเภอ ขอบคุณ สวทช. และอาจารย์ที่มาให้ความรู้และช่วยพวกเรา” ลำไพร บอกทิ้งท้าย

กลุ่มอาชีพทอผ้าไหมบ้านม่วงสวรรค์
ต.ไพรขลา อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์
โทรศัพท์ 08 3248 9779
(ข้อมูลสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568)

สืบสานงานผ้าไหมด้วยความรู้ สร้างรายได้ให้ชุมชน

กี่ทอมือ 4 กี่ ตั้งเรียงหน้าพร้อมเสียงกระทบของฟืมที่ดังเป็นจังหวะตามแรงมือของหญิงสาวแต่ละคน ใกล้ๆ กัน ชายวัยกลางคนและแม่เฒ่าต่างขะมักเขม้นเก็บไหมที่ปั่นแล้วเข้าระวิง (เครื่องมือสำหรับกรอ)

กิจกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นบนพื้นที่ย่อมๆ ของบ้าน สุภา อิ่มบุตร เป็นเสมือนโรงงานทอผ้าผืนงามที่พร้อมแปรเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ สร้างรายได้ให้สมาชิกกลุ่มทอผ้าแม่สุภาผ้าไทยและชุมชนบ้านตาหยวก ต.ทุ่งหลวง อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด

วิถีของผู้หญิงที่บ้านตาหยวกมี “ผ้าอยู่ในชีวิต” การทอผ้าไหมเป็นกิจวัตรที่ทำทุกวันทั้งก่อนและหลังไปทำนามาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ย่า จวบจนมารวมกลุ่มเมื่อปี พ.ศ. 2557 ผลิตผลงานส่งขายให้แม่ค้า ก่อนที่ สุภา จะรับหน้าที่ด้านตลาดให้กับกลุ่ม และจดทะเบียนในชื่อ “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้าไหมแม่สุภา” เมื่อปี พ.ศ. 2567 ปัจจุบันมีสมาชิก 30 คน

“สมัยก่อนมีแม่ค้ามารับไปขาย ไม่ก็ไปออกขายเองตามงาน ยอดขายไม่ได้มาก ก็อยากหาตลาดเอง ช่วงปี 2558 เริ่มทำโพสต์ขายบนเฟซบุ๊กและหาลูกค้าจากหน่วยงานต่างๆ ทำอยู่ 2-3 ปี จนคนเริ่มรู้จัก ญาติๆ หลานๆ อยากทำ ก็เลยมารวมทำที่บ้าน ชาวบ้านเห็นก็สนใจ มาขอทำ เอาไหมไปมัด ไปกวักหรือย้อม แบ่งงานให้ชุมชน คนแก่อยู่บ้านเฉยๆ ก็มีรายได้ เขาก็ดีใจ เด็กรุ่นใหม่จากที่ไปทำงานกรุงเทพฯ ได้ทอผ้าอยู่บ้าน ถ้าทอเก่งๆ อาทิตย์หนึ่งได้หลายผืน ได้หลายพันบาท”  

กี่ทอของกลุ่มฯ มีถึง 20 กี่ สะท้อนถึงความนิยมผ้าไหมของกลุ่มแม่สุภาได้อย่างดี สุภา บอกว่า ลงทุนกี่เยอะ เพื่อรองรับออเดอร์ที่เข้ามามากและเพื่อรายได้ของชาวบ้าน

“ที่นี่มีผ้าไหมทุกสีที่ลูกค้าต้องการ อย่างลูกค้าจากกรุงเทพฯ ต้องการสีพาสเทล เราทำให้ได้ เราใช้เครือสีขาว 6-7 เครือ บางคนว่าเสี่ยง แต่เรามองว่าทำแล้วของไม่เสีย ทำให้เราได้ตลาดภาคกลางที่ชอบโทนสีอ่อนๆ พอเราทำได้ แม่ค้าก็เข้ามา เรากล้าเสี่ยง เพราะเราอยากช่วยชาวบ้าน”

นอกจากความกล้าลงทุนแล้ว “การสร้างความแตกต่าง” เป็นอีกจุดเด่นของงานผ้าไหมกลุ่มแม่สุภาทั้งลายผ้าและสีที่เพิ่มโอกาสทางตลาดให้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มฯ

“เราไม่ยึดติดลายหรือสีดั้งเดิม เอาลายโฮลผสมสาเกตุ ขายสุรินทร์ก็ได้ ขายร้อยเอ็ดก็ได้ และเรากล้าใส่เครือหลากหลาย ใส่เครือม่วงแต่ทอเขียว ใส่เครือเขียวแต่ทอฟ้า ใส่เครือเหลืองทอแดง”

ช่วงปี พ.ศ. 2566 สุภา มีโอกาสอบรมการย้อมสีธรรมชาติและพัฒนาลายผ้าจาก สวทช. ทำให้เธอได้เรียนรู้เทคนิคและต่อยอดพัฒนางานผ้าไหม

“แต่ก่อนเรารู้ว่าย้อมครั่ง ก็ย้อมเลย ไม่เคยรู้การใช้มอแดนซ์และการฟิกซ์ (fix) สีมาก่อน รู้แต่จากคนแก่ว่าถ้าอยากได้สีเข้มให้ใส่น้ำด่าง ย้อมครั่งแต่ละช่วงเวลาให้สีต่างกัน แต่พอได้มาอบรม ทำให้เราย้อมไหมครั้งเดียวแต่ได้หลายสี อย่างย้อมไหม 6 ปอย เราแบ่งไหม 2 ปอยไปฟิกซ์สีกับน้ำปูนใส อีก 2 ปอยฟิกซ์สีกับสารส้ม ที่เหลือฟิกซ์สีกับสนิม แล้วยังได้เทคนิคทอไล่เฉดสี เพิ่มลูกเล่นลวดลายผ้าจากการขิด การจก เป็นความรู้ใหม่ที่ช่วยพัฒนางานผ้าของเราได้มาก”  

เอนไซม์เอนอีซ (ENZease) เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ สุภา นำมาปรับใช้ในกระบวนการฟอกไหม แม้มีราคาที่สูงกว่าการใช้ด่าง แต่เธอมองว่า ประหยัดทั้งพลังงานและเวลา

“ใช้ทุกครั้งที่ต้องฟอกไหม ครั้งละฝา หนึ่งแกลลอนใช้ได้หลายครั้ง ก็ถือว่าคุ้ม ไหมที่แช่เอนไซม์แล้วลอกกาวง่ายขึ้นและไหมดูดสีง่าย ระยะเวลาต้มน้อยกว่า ประหยัดค่าแก๊ส แล้วก็ประหยัดเวลา มีเวลาไปทำอย่างอื่น”

“รางวัลชมเชย ประเภท ผ้ามัดหมี่สองตะกอ” จากการประกวดผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” และงานหัตถกรรม ระดับประเทศ ปี พ.ศ. 2567 เป็นผลงานที่ สุภา นำเทคนิคการย้อมสีธรรมชาติและการฟิกซ์สีจนได้เส้นไหมเหลืองทองจากใบยูคาลิปตัส นำไปทอเป็นผ้า 2 ตะกอ เพิ่มการขิดลายคำเภา ทำให้ผืนผ้ามีผิวสัมผัสแตกต่างผ้า 2 ตะกอทั่วไป

ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมของกลุ่มฯ มีทั้งที่ย้อมด้วยสีเคมีและสีธรรมชาติ สมาชิกส่วนใหญ่ยังใช้เส้นไหมที่ย้อมด้วยสีเคมีเป็นวัตถุดิบหลัก ด้วยมีตลาดที่กว้างกว่า แม้ราคาผ้าจากสีธรรมชาติจะสูงกว่าหลายเท่า

“ผ้าที่ใช้สีย้อมจากธรรมชาติกว่าจะผลิตได้ใช้เวลาและตลาดยังน้อย กว่าจะขายได้ไม่ทันค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ก็พยายามให้สมาชิกเริ่มทำผ้าจากสีธรรมชาติ เราทำเป็นตัวอย่างและใช้ราคาขายเป็นแรงจูงใจ ราคาที่สูงอยู่ที่ลายผ้า วิธีทำและเทคนิคที่ใช้ ถ้าจะทอผ้าเอาราคา ต้องทำให้ปราณีต หรือส่งไปคัดสรรก็ผ่านมาตรฐาน”

เสียงกระทบของฟืมยังคงดังเป็นจังหวะ ความยาวของผ้าค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามทักษะและความเชี่ยวชาญของผู้ทอ กิจกรรมของสมาชิกกลุ่มฯ ยังคงดำเนินต่อไป เพื่อสร้างสรรค์ชิ้นงานผ้าไหมคุณภาพชิ้นใหม่ส่งถึงลูกค้า

กลุ่มทอผ้าแม่สุภาผ้าไทย
ต.ทุ่งหลวง อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
โทรศัพท์ 08 7037 5677
(ข้อมูลสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568)

ภูมิปัญญาผสานนวัตกรรม ยกระดับ “ผ้าทอพื้นเมืองทุ่งกุลา”