เรื่องโดย วงศ์เวชช เชาวน์ชูเวชช
“พูดชื่อไดโนเสาร์มาซักตัวซิ” พอได้ยินประโยคนี้แล้ว ชื่อไดโนเสาร์ตัวแรกที่โผล่ขึ้นมาในใจของใครหลายคนคงหนีไม่พ้น “ที. เร็กซ์” หรือ “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ (Tyrannosaurus rex)” ไดโนเสาร์กินเนื้อตัวใหญ่ น่าเกรงขาม แต่แขนสั้นพร้อมมือที่มีแค่สองนิ้ว
จากหนังเรื่อง จูราสสิค เวิลด์ (Jurassic World) และสื่อบันเทิงกระแสนิยม (pop culture) เกือบทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ดึกดำบรรพ์ต้องมีไดโนเสาร์ตัวนี้อยู่ด้วยเสมอ ทำให้เห็นว่าที. เร็กซ์นั้นคือไดโนเสาร์ดาราดังที่ครองใจผู้คนมาตลอดหลายทศวรรษสมชื่อตำแหน่ง “ราชันย์พันธุ์ไดโนเสาร์”
แบบจำลองซากดึกดำบรรพ์ ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ “ไทสัน” (ซ้าย) และ “สก๊อตตี้” (ขวา)
ที่จัดแสดงในงาน Dino Expo 2023 ณ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ปี ค.ศ. 2025 นี้ครบรอบ 120 ปีที่ชื่อ ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก เรื่องเล่าเราโลก ฉบับนี้ก็จะขอพาคุณผู้อ่านย้อนรอย 120 ปีแห่งการค้นพบ การศึกษาวิจัย และเรื่องราวต่าง ๆ ของราชันย์พันธุ์ไดโนเสาร์ตัวนี้
ปลุกชีพราชันย์
ย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1900 บาร์นัม บราวน์ (Barnum Brown) ผู้ช่วยภัณฑรักษ์ชาวอเมริกันจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Natural History Museum) ได้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ขนาดใหญ่จากหมวดหินเฮลล์ครีก (Hell Creek Formation) ในรัฐไวโอมิงและรัฐมอนแทนา สหรัฐอเมริกา ซากดึกดำบรรพ์นี้ประกอบไปด้วยกระดูกส่วนต่าง ๆ กว่า 34 ชิ้น เช่น กระดูกขา กระดูกเชิงกราน กระดูกสันหลัง ชิ้นส่วนกะโหลก หลังจากนั้นไม่นาน เฮนรี แฟร์ฟิลด์ ออสบอร์น (Henry Fairfield Osborn) หัวหน้าทีมภัณฑรักษ์ของบาร์นัมและหนึ่งในทีมขุดค้นได้ศึกษาวิจัยซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้และพบว่าเป็นไดโนเสาร์ชนิดใหม่ของโลก จึงตั้งชื่อว่า Tyrannosaurus rex
ชื่อสกุล “ไทแรนโนซอรัส” มาจากภาษากรีกสองคำ “ไทแรนนอส” (τύραννος) ที่มีความหมายว่า “ทรราชย์” และ “ซอรอส” (σαῦρος) ที่มีความหมายว่า “กิ้งก่า” ส่วนชื่อชนิด “เร็กซ์” (rex) เป็นภาษาลาตินที่แปลว่า “ราชา” ดังนั้นชื่อของไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ จึงมีความหมายว่า “ราชากิ้งก่าทรราชย์” (tyrant lizard king) สื่อถึงขนาดอันใหญ่โต น่าเกรงขาม สมศักดิ์ศรีราชาสัตว์โลกล้านปีของไดโนเสาร์ตัวนี้
บาร์นัม บราวน์ ผู้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ ตัวแรกของโลก
ที่มาภาพ : American Museum of Natural History
ภาพจำลองกระดูกของไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ ในปี ค.ศ. 1905
ที่มาภาพ : William D. Matthew, Public Domain
แล้วชื่อ “ที. เร็กซ์” ที่คนชอบเรียกกันมาจากไหน ? โดยทั่วไปในทางชีววิทยา ชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งสามารถเขียนย่อให้สั้นลงได้โดยย่อชื่อสกุล (Genus) ให้เหลือแค่ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวแรกของชื่อ เช่น “Homo sapiens” (มนุษย์) ก็ย่อได้เป็น “H. sapiens” ดังนั้น “Tyrannosaurus rex” จึงย่อเป็น “T. rex” หรือ ที. เร็กซ์ ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง แถมชื่อสองพยางค์ก็เป็นชื่อที่เรียกง่ายและติดหูคนทั่วไปอีกด้วย
ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ เป็นไดโนเสาร์ที่อยู่ในกลุ่มเทอโรพอด (theropod) หรือกลุ่มของไดโนเสาร์กินเนื้อที่เคยมีชีวิตอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือในยุคครีเทเชียสตอนปลายหรือประมาณ 66 ล้านปีก่อน ที. เร็กซ์มีขนาดลำตัวยาวกว่า 12 เมตรและหนักได้เกือบ 9 ตันทำให้มันเป็นหนึ่งในสัตว์กินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่ที่โลกเคยมีมา ลักษณะที่โดดเด่นของที. เร็กซ์ คือ หัวกะโหลกขนาดใหญ่พร้อมขากรรไกรที่มีฟันรูปคล้ายใบมีดกว่า 50 ซี่ไว้ใช้ฉีกเนื้อและบดกระดูกเหยื่ออย่าง ไทรเซราทอปส์ (Triceratops) หรือ เอ็ดมอนโตซอรัส (Edmontosaurus) ไดโนเสาร์กินพืชร่วมยุคของพวกมัน นอกจากนี้ลักษณะที่ถือได้ว่าเป็นจุดขาย (signature) ของที. เร็กซ์เลยก็คือ แขนที่สั้นมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนทั้งตัว พร้อมมือที่ลดรูปจนเหลือนิ้วแค่ 2 นิ้วเท่านั้น
ที. เร็กซ์เป็นไดโนเสาร์ผู้ล่าสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศของทวีปอเมริกาเหนือตอนปลายยุคครีเทเชียส อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในไดโนเสาร์ที่เผชิญการสูญพันธุ์ใหญ่ครั้งที่ 5 ของโลก ซึ่งคร่าชีวิตสิ่งมีชีวิตบนโลกไปกว่าร้อยละ 75 รวมถึงไดโนเสาร์เกือบทุกชนิดด้วย
นับตั้งแต่ค้นพบที. เร็กซ์ตัวแรก มีการขุดค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ชนิดนี้อีกนับร้อยนับพันชิ้นจากทั่วทวีปอเมริกาเหนือ หนึ่งในซากดึกดำบรรพ์ที. เร็กซ์ที่โด่งดังที่สุดก็คือ “AMNH 5027” ที่เป็นต้นแบบของโลโกนิยายและภาพยนตร์เรื่อง “จูราสสิค พาร์ค” (Jurassic Park) รวมถึง “ซู” (Sue) หนึ่งในซากดึกดำบรรพ์ที. เร็กซ์ที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดในโลก โดยกระดูกกว่าร้อยละ 85 ของซูถูกค้นพบในช่วงปี ค.ศ. 1990
แบบจำลองซากดึกดำบรรพ์ ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ “AMNH 5027” ที่เป็นต้นแบบของโลโกภาพยนตร์เรื่อง จูราสสิค พาร์ค
แบบจำลองซากดึกดำบรรพ์ “ซู” หนึ่งในซากดึกดำบรรพ์ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก ซึ่งชื่อเล่น “ซู” ตั้งให้เป็นเกียรติแก่ ซู เฮนดริกสัน นักบรรพชีวินวิทยาผู้ค้นพบ
ที. เร็กซ์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัย
ด้วยหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ของที. เร็กซ์ที่พบมากมาย ทำให้นักบรรพชีวินวิทยาจากทั่วทุกมุมโลกหันมาศึกษาวิจัยซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ชนิดนี้ ก่อให้เกิดงานวิจัยจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงองค์ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพวกมันที่เปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัยตลอด 120 ปีที่ผ่านมา อย่างเช่น ในช่วงปี ค.ศ. 1900-1960 นักบรรพชีวินวิทยายังมีความเข้าใจว่าไดโนเสาร์เป็นสัตว์เลือดเย็น เชื่องช้า ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลื้อยคลานอย่างจระเข้หรือตัวเงินตัวทอง จึงทำให้ภาพของที. เร็กซ์ในช่วงยุคนี้ถ่ายทอดออกมาเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ เดินตัวตรง และหางลากไปกับพื้น เหมือนอย่างที่เราเคยเห็นกันในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์สมัยก่อน
ภาพจำลองไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ ช่วงปี ค.ศ. 1910
ที่มาภาพ : Charles R. Knight, Public Domain
ต่อมาในช่วงปีค.ศ. 1970-1990 นักบรรพชีวินวิทยาได้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์กินเนื้ออีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า “ไดโนนีคัส แอนเทียร์โรพัส” (Deinonychus antirrhopus) ซึ่งเป็นไดโนเสาร์ที่มีกระดูกเบา ลำตัวตัวดูคล่องแคล่ว ไม่เหมือนสัตว์ที่อืดอาด เชื่องช้า การค้นพบนี้ทำให้นักบรรพชีวินวิทยาเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าไดโนเสาร์ไม่ได้เป็นสัตว์เลือดเย็น แต่เป็นสัตว์เลือดอุ่นที่เคลื่อนไหวว่องไวเหมือนอย่างนกในปัจจุบัน อีกทั้งรอยตีนไดโนเสาร์ที่ค้นพบทั่วโลกนั้นก็ไม่ได้แสดงถึงร่องรอยการลากหางของสัตว์กลุ่มนี้เลย ดังนั้นภาพของที. เร็กซ์ในยุคนี้จึงเปลี่ยนจากไดโนเสาร์ที่เดินตัวตรง เชื่องช้า และหางลากไปกับพื้น กลายเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อนักล่าที่เคลื่อนไหวว่องไวและหางชี้ตรงขนานกับพื้นอย่างที่เราได้เห็นในภาพยนตร์จูราสสิค พาร์ค
ไม่เพียงแค่กระดูกที่บ่งบอกให้เรารู้ถึงรูปร่างของที. เร็กซ์ ในช่วงปี ค.ศ. 2000 นักบรรพชีวินวิทยาได้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของ ตี้หลง พาราด็อกซัส (Dilong paradoxus) และ หยู่ไทแรนนัส หัวลี่ (Yutyrannus huali) ญาติเก่าแก่ของที. เร็กซ์จากประเทศจีน ซึ่งซากดึกดำบรรพ์ของตี้หลงและหยู่ไทแรนนัสปรากฏร่องรอยของ “ขน” ที่อยู่ล้อมรอบกระดูกของมัน ทำให้นักบรรพชีวินวิทยาสันนิษฐานว่าไดโนเสาร์ในกลุ่มไทแรนโนซอร์ รวมถึงที. เร็กซ์นั้น อาจมีขนปกคลุมลำตัวของพวกมันคล้ายกับนกในปัจจุบัน
ภาพจำลองของ “หยู่ไทแรนนัส หัวลี่” ญาติเก่าแก่ของ “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์”
ที่มาภาพ : Tomopteryx, CC BY-SA 4.0 via Wikimedia Commons
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี ค.ศ. 2010 ได้มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์รอยประทับ “ผิวหนัง” ของที. เร็กซ์และญาติใกล้ชิดของมัน ซึ่งล้วนแสดงให้เห็นว่าผิวหนังของที. เร็กซ์นั้นปกคลุมด้วยเกล็ดเรียบ ขนาดเล็ก ไม่ใช่ขนที่เคยเข้าใจกัน หรือถ้ามีขน ก็อาจเป็นขนสั้น ๆ ที่ขึ้นเล็กน้อยบริเวณด้านหลังของลำตัว
แผนภาพแสดงรอยประทับผิวหนังของ ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ และไดโนเสาร์กลุ่มไทแรนโนซอร์
ที่มา: Joshua Ballze
ที. เร็กซ์ที่เรารู้ ยังไม่รู้ และไม่อาจรู้
ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงปี ค.ศ. 2010 จนถึงปัจจุบันนี้ ทำให้นักบรรพชีวินวิทยารู้และเข้าใจที. เร็กซ์มากกว่าแค่ว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร เราสามารถรู้ได้ว่าพวกมันใช้ชีวิตอย่างไรเมื่อ 66 ล้านปีที่แล้ว ผ่านวิธีวิจัยใหม่ ๆ และการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยต่าง ๆ เช่น การศึกษาทางชีวกลศาสตร์ผ่านการจำลองกะโหลกและมวลกล้ามเนื้อของที. เร็กซ์ขึ้นมาใหม่ ทำให้เรารู้ว่ามันเป็นหนึ่งในสัตว์ที่มีแรงกัดที่ทรงพลังมากที่สุด หรือการนำกล่องสมองของที. เร็กซ์ไปสแกนในเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ก็ทำให้เรารู้ว่าไดโนเสาร์ชนิดนี้มีระบบประสาทที่ยอดเยี่ยม มีทัศนวิสัยที่ดีกว่าตาของมนุษย์ถึง 13 เท่า มีระบบประสาทรับกลิ่นที่จับกลิ่นซากศพหรือเหยื่อของมันได้อย่างดี รวมถึงระบบประสาทการได้ยินที่รับคลื่นความถี่ต่ำเพื่อติดตามเหยื่อและสื่อสารพวกเดียวกันได้แม้จะอยู่ไกลกันก็ตาม หรือแม้แต่การศึกษามูลของที. เร็กซ์ก็ทำให้เรารู้ถึงประเภทของเหยื่อที่พวกมันกินก่อนที่มันจะตายกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ ทุกสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับราชาไดโนเสาร์ชนิดนี้ล้วนเป็นผลงานวิจัยของนักบรรพชีวินวิทยาจากทั่วทุกมุมโลกที่ทุ่มเทศึกษาวิจัยทางบรรพชีวินวิทยาตลอด 120 ปีที่ผ่านมา
อ่านมาขนาดนี้แล้ว คุณผู้อ่านอาจคิดว่า “อย่างนี้งี้เราก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับที. เร็กซ์แล้วสินะ” คำตอบคือ “ไม่” เพราะสิ่งที่เรารู้มาจนถึงตอนนี้เป็นเพียงแค่ “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่พ้นน้ำเท่านั้น ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราไม่รู้เกี่ยวกับไดโนเสาร์ชนิดนี้ ที. เร็กซ์มีสีอะไร ? เสียงของที. เร็กซ์เป็นอย่างไร ? พวกมันเป็นนักล่าหรือนักกินซาก ? ไดโนเสาร์ชนิดนี้ล่าเหยื่อเป็นฝูงรึเปล่า ? ไทแรนโนซอรัสมีพฤติกรรมการเลี้ยงลูกอ่อนคล้ายกับนกในปัจจุบันไหม ? คำถามเหล่านี้ไม่สามารถหาคำตอบได้จากซากดึกดำบรรพ์ที่มีอยู่ และบางคำถามก็เป็นคำถามที่เราอาจไม่มีวันได้รับคำตอบ ถึงอย่างนั้นนักบรรพชีวินวิทยาก็กำลังศึกษาวิจัยเพื่อไขความลับของราชันย์ไดโนเสาร์นี้ด้วยวิธีวิจัยทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ และบางทีเด็กคนหนึ่งที่กำลังหลงรักที. เร็กซ์ในวันนี้ อาจเป็นคนไขปริศนาเหล่านั้นในอนาคตก็เป็นได้
แน่นอนว่ายังมีเรื่องราวอีกนับไม่ถ้วนของไดโนเสาร์ชนิดนี้ที่เรายังไม่รู้และอาจไม่มีวันรู้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องราวตลอด 120 ปีของที. เร็กซ์ไม่ได้เป็นแค่ “ซากที่หลงเหลือจากอดีต” แต่มันยังเป็น “แรงบันดาลใจ” ให้แก่นักบรรพชีวินวิทยารุ่นใหม่ ๆ และผู้คนทั่วโลก ให้หันมาสนใจประวัติศาสตร์โลกผ่านสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย หนังสือ ภาพยนตร์ หรือแม้แต่ของเล่นที่ตัวเราเองเคยเล่นตอนเด็ก ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เห็นว่าที. เร็กซ์คือสัญลักษณ์ของบรรพชีวินวิทยาในใจทุกกคน
ถึงแม้การครองราชย์ของที. เร็กซ์บนโลกนี้จะจบไปแล้วเมื่อ 65 ล้านปีก่อนก็ตาม แต่พวกมันก็ยังคงครองหัวใจผู้คนบนโลกมาตลอด 120 ปีที่ผ่านมา และจะครองใจต่อไปอีกนานเท่านาน
สดุดี ราชันย์ พันธุ์ไดโนเสาร์ !
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- Tyrannosaurus rex. American Museum of Natural History https://www.amnh.org/exhibitions/permanent/saurischian-dinosaurs/tyrannosaurus-rex
- A Century of T. rex. 2015. American Museum of Natural History https://www.amnh.org/explore/news-blogs/t-rex-centennial
- Barnum Brown: The Man Who Discovered Tyrannosaurus rex. 2011. American Museum of Natural History https://www.amnh.org/explore/videos/dinosaurs-and-fossils/barnum-brown-the-man-who-discovered-tyrannosaurus-rex
- Osborn, H. F. 1905. Tyrannosaurus and other Cretaceous carnivorous dinosaurs. Bulletin of the American Museum of Natural History 21(14): 259–265 https://digitallibrary.amnh.org/items/a02fc8e6-2c29-45cd-a95a-271d17d1786f
- Witmer, L. M. and Ridgely, R. C. 2009. New insights into the brain, braincase, and ear region of Tyrannosaurs (Dinosauria, Theropoda), with Implications for Sensory Organization and Behavior. The Anatomical Record 292(9): 1266–1296 https://anatomypubs.onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1002/ar.20983
- Bates, K. T. and Falkingham, P. L. 2012. Estimating maximum bite performance in Tyrannosaurus rex using multi-body dynamics. Biology Letters 8(4): 660-4 https://royalsocietypublishing.org/doi/10.1098/rsbl.2012.0056
- Xu, X., Wang, K., Zhang, K., Ma, Q., Xing, L., Sullivan, C., Hu, D., Cheng, S., and Wang, S. 2012. A gigantic feathered dinosaur from the Lower Cretaceous of China. Nature 484: 92–95