สุนัขไทยหลังอานกับร่องรอยพันธุกรรมบนแผ่นหลัง

นางสาวชฎาพร ทาถุการ ดร.วรพงศ์ สิงห์ชาติ ดร.ฐิติพงศ์ พันทุม รศ. ดร.ประทีป ด้วงแค รศ. ดร.ณรงค์ฤทธิ์ เมืองใหม่ น.สพ.รัฐนินท์ พัชรกุลวรวัฒน์ และ ศ. ดร.ครศร ศรีกุลนาถ


สุนัข (Canis lupus familiaris) เป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงชนิดแรกที่มนุษย์เลือกอยู่ร่วมเคียงข้างมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากนักล่าในฝูงป่ากลายเป็นผู้ร่วมล่าสัตว์ เพื่อนเฝ้าบ้าน และในหลายสังคม สุนัขกลายเป็นสมาชิกครอบครัวหรือแม้แต่ผู้ช่วยในภารกิจเฉพาะด้าน เช่น การรักษาความปลอดภัย การช่วยเหลือคนพิการ ค้นหาและกู้ภัย ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสุนัขจึงมิได้เป็นเพียงการเลี้ยงดู แต่หล่อหลอมกลายเป็นความผูกพันทางสังคมและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งและซับซ้อนขึ้นตามกาลเวลา

สุนัขมีวิวัฒนาการไปพร้อมกับวิถีชีวิตท้องถิ่นจนกลายเป็นพันธุ์เฉพาะที่สะท้อนภาพภูมิประเทศ ภูมิปัญญา และค่านิยมของผู้คนในแต่ละวัฒนธรรม ประเทศไทยเองก็มีสุนัขพื้นเมืองหลายพันธุ์ที่เติบโตคู่กับชุมชนท้องถิ่น หนึ่งในนั้นคือ “สุนัขไทยหลังอาน” (Thai Ridgeback) ซึ่งมีลักษณะเฉพาะโดดเด่นตรงแนวขนที่ย้อนทิศทางกลางหลัง นับเป็นลักษณะทางพันธุกรรมหายากที่พบในสุนัขเพียงไม่กี่พันธุ์ทั่วโลก

อัตลักษณ์ของสุนัขไทยหลังอาน

สุนัขไทยหลังอานไม่ได้เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงที่มีรูปลักษณ์โดดเด่น หากยังเป็นภาพสะท้อนของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในบริบทของสังคมไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกที่สั่งสมมายาวนาน แนวขนอานที่ขึ้นย้อนตรงกลางหลังอันเป็นเอกลักษณ์บ่งชี้ถึงรหัสพันธุกรรมที่หายาก พฤติกรรมและลักษณะเฉพาะของสุนัขไทยหลังอานเกิดจากการปรับตัวให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตในชุมชนชนบทที่นิยมเลี้ยงไว้เพื่อล่าสัตว์และเฝ้าบ้าน

สุนัขไทยหลังอานมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในเขตภาคตะวันออกของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดตราด จันทบุรี และระยอง สันนิษฐานว่าสืบเชื้อสายจากหมาป่าท้องถิ่นและสุนัขพื้นเมืองในเขตร้อนของเอเชียตะวันออก ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองมาตรฐานสายพันธุ์กับสหพันธ์สุนัขระหว่างประเทศ (Fédération Cynologique Internationale: FCI) ในปี พ.ศ. 2546 โดยจัดอยู่ในกลุ่ม Group 5: Spitz and Primitive Types

รูปร่างของสุนัขไทยหลังอานเป็นแบบ “กะทัดรัดแต่ทรงพลัง” มีกล้ามเนื้อแน่น หนังตึง ขนสั้นแนบลำตัว สีขนที่ปรากฏตามมาตรฐานพันธุ์ ได้แก่ สีดำ สีแดง สีน้ำเงินเทา (สีสวาด) และสีกลีบบัว โดยมีลักษณะเด่นคือ แนวขนกลางหลังที่ขึ้นสวนทางแนวขนหลัก ซึ่งจำแนกได้ถึง 8 แบบ ได้แก่ อานลูกศร อานเทพนม อานเข็ม อานโบว์ลิง อานพิณ อานใบโพธิ์ อานม้า และอานไวโอลิน


ภาพแสดงสีขนที่ปรากฏตามมาตรฐานพันธุ์ ได้แก่ สีดำ สีแดง สีน้ำเงินเทา (สีสวาด) และสีกลีบบัว

ภาพแสดงแนวขนกลางหลังที่ขึ้นสวนทางแนวขนหลัก จำแนกได้ถึง 8 แบบ

นอกจากลักษณะขนอานแล้ว สุนัขไทยหลังอานยังมีลักษณะเด่น 9 ประการที่นิยมใช้ในเชิงการพิจารณาพ่อ-แม่พันธุ์และการประกวด ได้แก่ หน้าดำ เล็บดำ ลิ้นดำ หางดำ ปากทู่ ตัวสั้น หูตั้ง หลังอาน และหางดาบ ซึ่งเป็นคุณลักษณะมงคลและสะท้อนความบริบูรณ์ของพันธุกรรมสายแท้

ภาพแสดงลักษณะจำเพาะของสุนัขไทยหลังอาน
ที่มาของข้อมูล : Fédération Cynologique Internationale, 2004

พฤติกรรมของสุนัขไทยหลังอานสะท้อนรากวัฒนธรรมของการเลี้ยงแบบปล่อยอิสระในวิถีชุมชนชนบท เป็นสุนัขที่ฉลาด ระแวดระวัง รักเจ้าของ และมีสัญชาตญาณเฝ้าระวังภัยอย่างสูง สุนัขชนิดนี้มักจงรักภักดีต่อผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว ต้องการพื้นที่และการฝึกอย่างเข้าใจ ไม่เหมาะกับผู้เลี้ยงมือใหม่ที่ขาดประสบการณ์

การรู้จักและเข้าใจอัตลักษณ์ของสุนัขไทยหลังอานจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของความงามหรือความหายาก หากยังเป็นการเปิดหน้าต่างสู่รากพันธุกรรมของสุนัขพันธุ์พื้นเมืองไทย การอนุรักษ์ลักษณะเฉพาะเหล่านี้ไม่ใช่แค่การรักษาพันธุ์ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการรักษาองค์ความรู้ดั้งเดิม วิถีชีวิตชุมชน และศักยภาพของประเทศไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพโดยใช้ทรัพยากรท้องถิ่นที่มีคุณค่าระดับโลก

ความท้าทายด้านพันธุกรรมจากการผสมเลือดชิดในสุนัขไทยหลังอาน

แม้การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ตามลักษณะภายนอกที่ตรงตามมาตรฐานเพียงอย่างเดียวจะช่วยส่งเสริมรูปลักษณ์ที่ต้องการ แต่ในระยะยาวอาจนำไปสู่การผสมเลือดชิด (inbreeding) ซึ่งทำให้สัตว์มีลักษณะทางพันธุกรรมที่เหมือนกันมากขึ้น ส่งผลให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมลดลง และเพิ่มโอกาสเกิดปัญหาทางสุขภาพหรือความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม การอนุรักษ์พันธุกรรมของสุนัขไทยหลังอานจึงควรผสานทั้งเกณฑ์ทางลักษณะและข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว

ลักษณะขนที่ขึ้นย้อนทิศตามแนวสันหลังของสุนัขไทยหลังอานเป็นลักษณะเฉพาะที่พบในสุนัขเพียงไม่กี่พันธุ์ในโลก แม้ไม่ได้มีหลักฐานบันทึกอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับต้นกำเนิด แต่การศึกษาทางโบราณคดีและข้อมูลด้านสายพันธุกรรมชี้ว่าสุนัขไทยหลังอานน่าจะถือกำเนิดและมีวิวัฒนาการร่วมกับผู้คนในภาคตะวันออกของไทยมาเป็นเวลาหลายร้อยปี

ปัจจุบันสุนัขพันธุ์นี้ได้รับการรับรองจากทั้งสหพันธ์สุนัขระหว่างประเทศ (FCI) และสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัขแห่งสหรัฐอเมริกา (American Kennel Club: AKC) ว่าเป็นหนึ่งในพันธุ์พื้นเมืองโบราณ โดยมีบทบาททั้งในฐานะสัตว์เลี้ยง สัตว์รักษาความปลอดภัย และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทย อย่างไรก็ตามจำนวนประชากรที่มีจำกัด การคัดเลือกพันธุ์เพื่อความสวยงาม ตลอดจนการขาดการบริหารจัดการพันธุกรรมอย่างเป็นระบบ กลายเป็นความท้าทายสำคัญต่อการอนุรักษ์พันธุ์แท้ของสุนัขไทยหลังอานในระยะยาว

จากความก้าวหน้าทางพันธุศาสตร์และเทคโนโลยีดีเอ็นเอในปัจจุบันทำให้นักวิจัยประเมินระดับความหลากหลายทางพันธุกรรมของสุนัขไทยหลังอานได้อย่างแม่นยำมากขึ้น งานวิจัยภายใต้โครงการเครือข่ายการอุดมศึกษาเพื่ออุตสาหกรรม (Hi-FI Consortium) ที่ชฎาพร ทาถุการ และทีมวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับโรงพยาบาลสัตว์มายด์เพ็ทส์และเครือข่ายฟาร์มสุนัขไทยหลังอานทั่วประเทศ พัฒนาแนวทางการบ่งชี้พันธุ์ของสุนัขพันธุ์ไทยหลังอานด้วยเทคโนโลยีดีเอ็นเอ

ในการศึกษานี้ทีมวิจัยได้เก็บตัวอย่างจากสุนัขพันธุ์ไทยหลังอานจำนวน 105 ตัว จาก 11 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อประเมินความหลากหลายทางพันธุกรรมและโครงสร้างประชากร ประชากรสุนัขไทยหลังอานมีความหลากหลายทางพันธุกรรมสูง อัตราการผสมเลือดชิดต่ำ และไม่พบสัญญาณของ “ปรากฏการณ์คอขวด” (bottleneck effect) ซึ่งหมายความว่าสุนัขไทยหลังอานยังคงมีความหลากหลายทางพันธุกรรม

ข้อค้นพบสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การแลกเปลี่ยนพ่อแม่พันธุ์ระหว่างฟาร์มต่าง ๆ ช่วยลดความเสี่ยงของการผสมเลือดชิด และเอื้อให้เกิดการแบ่งปันกลุ่มยีน (gene pool) ในระดับประชากรอย่างกว้างขวาง ช่วยคงไว้ซึ่งความหลากหลายทางพันธุกรรมของสุนัขไทยหลังอาน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญต่อการอนุรักษ์พันธุ์แท้และการพัฒนาพันธุ์อย่างยั่งยืนในอนาคต


การเก็บตัวอย่างสุนัขไทยหลังอานในฟาร์มเพื่อทำวิจัย

แนวทางการอนุรักษ์สุนัขไทยหลังอาน

การอนุรักษ์สุนัขไทยหลังอานในยุคปัจจุบันไม่อาจพึ่งพาเพียงการรักษารูปลักษณ์ภายนอกตามมาตรฐานพันธุ์เท่านั้น แต่จำเป็นต้องผสานข้อมูลทางพันธุกรรมเข้าไปในกระบวนการบริหารจัดการพันธุ์อย่างเป็นระบบ โครงการวิจัยนี้จึงได้เสนอแนวทางการอนุรักษ์ที่มีความเป็นรูปธรรม โดยจัดทำ “คู่มือแนะนำการผสมพันธุ์เบื้องต้นในสุนัขพันธุ์ไทยหลังอาน (E-book)” ที่นำไปใช้ได้จริงในระดับฟาร์มและระดับเครือข่ายผู้เพาะพันธุ์

คู่มือการผสมพันธุ์เบื้องต้นฉบับนี้ได้แนะนำวิธีตรวจสอบว่าสุนัขสองตัวควรนำมาผสมพันธุ์กันหรือไม่ โดยอาศัยการตรวจดีเอ็นเอ ช่วยให้รู้ว่าสุนัขสองตัวมีสายเลือดใกล้ชิดกันแค่ไหน หากพบว่ามีความใกล้ชิดกันมากเกินไป (เช่น เป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน) ก็ไม่ควรผสมพันธุ์ เพราะอาจทำให้ลูกสุนัขมีปัญหาสุขภาพจากการผสมเลือดชิด หรือหากตรวจแล้วพบว่าสุนัขมีดีเอ็นเอจากแม่คนละสายกัน ก็มั่นใจได้ว่าไม่ได้เป็นญาติกันทางแม่ ซึ่งช่วยให้วางแผนการผสมพันธุ์ได้ปลอดภัยและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

e-book คู่มือแนะนำการผสมพันธุ์เบื้องต้นในสุนัขพันธุ์ไทยหลังอาน

นอกจากนี้โครงการยังได้พัฒนาแนวทางการรับบริการตรวจตัวอย่างทางพันธุกรรม ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เพาะพันธุ์ส่งตัวอย่าง เช่น เลือด เนื้อเยื่อกระพุ้งแก้มของสุนัข มาเพื่อตรวจสอบพ่อแม่พันธุ์และวิเคราะห์ระดับความหลากหลายทางพันธุกรรมได้ โดยมีกระบวนการดำเนินงานที่เป็นขั้นตอน พร้อมคำแนะนำในการจัดเก็บตัวอย่างอย่างถูกวิธีและการส่งต่อไปยังห้องปฏิบัติการ แนวทางทั้งหมดนี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงของการผสมเลือดชิด แต่ยังส่งเสริมให้เกิดระบบฐานข้อมูลพันธุกรรมของสุนัขไทยหลังอานในระดับชาติ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการอนุรักษ์พันธุกรรมของสุนัขไทยอย่างยั่งยืน


แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  • Thatukan, C., Patta, C., Singchat, W., Jaito, W., Chalermwong, P., Panthum, T., Kumnan, N., Wongloet, W., Wattanadilokchatkun, P., Thong, T., Ahmad, S. F., Muangmai, N., Han, K., Koga, A., Duengkae, P., Patcharakulvorawat, R., & Srikulnath, K. (2024). Small but mighty: Genetic diversity of the Thai Ridgeback dog population. Biochemical Genetics. https://doi.org/10.1007/s10528-024-10858-7
  • Fédération Cynologique Internationale. (2004). Thai Ridgeback. https://www.fci.be/en/nomenclature/THAI-RIDGEBACK-338.html

About Author