“ไข้เลือดออก” เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อโรคไวรัสเดงกี (dengue virus) และเป็นโรคหนึ่งในที่ระบาดมากที่สุดของโลก โดยในแต่ละปีมีผู้ป่วยหลายร้อยล้านคน และมีแนวโน้มแพร่กระจายกว้างขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และมีข้อสังเกตหนึ่งที่นักวิจัยให้ความสนใจคือเหตุใดที่ผู้ติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกบางคนกลับไม่แสดงอาการเจ็บป่วย ซึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจกลไกที่ทำให้ร่างกายจัดการกับเชื้อไวรัสได้โดยไม่มีผลข้างเคียง
โดยปกติผู้ติดเชื้อไข้เลือดออกที่ไม่แสดงอาการ มักจะไม่รู้ตัวว่ามีการติดเชื้ออยู่ อีกทั้ง การตรวจพบผ่านระบบสาธารณสุขป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากผู้ติดเชื้อมีลักษณะเหมือนกับคนปกติ ไม่มีการไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจร่างกาย และระยะเวลาที่สามารถตรวจพบไวรัสในกระแสเลือดได้ค่อนข้างจำกัด ทีมวิจัย ได้มีระบบการติดตามสมาชิกครอบครัวของผู้ป่วยไข้เลือดออกตามครัวเรือน แสดงให้เห็นถึงข้อบ่งชี้สำคัญเกี่ยวกับวิธีที่ร่างกายสามารถควบคุมเชื้อไวรัสได้โดยไม่แสดงอาการเจ็บป่วย ผลลัพธ์จากงานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงแนวทางใหม่นำไปสู่การพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“จากการศึกษาวิจัย ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ในการติดตามสมาชิกครอบครัวผู้ป่วยกว่า 179 ราย พบว่าผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการอย่างแท้จริงมีเพียง 8 ราย ในช่วงที่ยังตรวจพบไวรัสในกระแสเลือด ซึ่งถือว่าเป็นกรณีที่หาได้ยากมาก และมีคุณค่าต่อการวิจัยอย่างยิ่ง เพราะหากไม่มีข้อมูลจากกลุ่มนี้ เราอาจไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมบางคนจึงกำจัดเชื้อไข้เลือดออกได้โดยไม่เกิดอาการเจ็บป่วยเลย” โดย รองศาสตราจารย์ ดร. แพทย์หญิงพรพรรณ มาตังคสมบัติ ชูพงศ์ นักภูมิคุ้มกันวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการทั้ง 8 ราย รวมถึงผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยและอาการรุนแรง ได้กลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการสร้างแผนที่ภูมิคุ้มกันระดับเซลล์ความละเอียดสูง ที่ได้จากการวิเคราะห์เซลล์ภูมิคุ้มกันมากกว่า 134,000 เซลล์ด้วยเทคนิคการถอดรหัสอาร์เอ็นเอระดับเซลล์ และการถอดรหัสตัวรับของเซลล์ภูมิคุ้มกัน”
สองภาพที่แตกต่างของภูมิคุ้มกันต่อไข้เลือดออก
“ข้อมูลระดับเซลล์ที่ได้จากงานวิจัยเผยให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของผู้ที่มีอาการป่วยและผู้ที่ไม่แสดงอาการ” โดย ดร.วรดล สังข์นาค นักภูมิคุ้มกันวิทยาและนักชีวสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ผู้ที่ไม่แสดงอาการมีรูปแบบการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันหลายชนิดที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD8 T cells เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด NK cells รวมถึงเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สร้างแอนติบอดี เช่น เซลล์ที่สร้างแอนติบอดีชนิด IgA ที่มีความแตกต่างจากผู้ป่วยที่มีอาการ”
ดร.ถิรพุทธิ์ พูลพานิชกูล นักภูมิคุ้มกันวิทยาและนักชีวสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเสริมว่า “ในทางตรงกันข้าม ผู้ป่วยที่มีอาการกลับแสดงสัญญาณภูมิคุ้มกันในทิศทางที่อาจก่อให้เกิดการตอบสนองที่มีผลข้างเคียงที่มีความรุนแรงมากกว่า โดยมีข้อบ่งชี้ของกระบวนการที่แอนติบอดีมีส่วนช่วยให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์มากขึ้น ร่วมกับข้อบ่งชี้ที่เกี่ยวข้องกับภาวะการอักเสบเพิ่มขึ้น ซึ่งลักษณะเหล่านี้เราพบได้น้อยกว่าในกลุ่มผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ”
ศักยภาพของเทคโนโลยีการถอดรหัสอาร์เอ็นเอระดับเซลล์

รองศาสตราจารย์ ดร.วรดม เจริญสวรรค์ นักวิจัยด้านชีววิทยาระดับโมเลกุลและชีวสารสนเทศ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ได้จากงานวิจัยเปิดให้นักวิจัย
อื่น ๆ เข้าถึงได้ และคาดว่าจะเป็นฐานสำคัญสำหรับงานวิจัยด้านไข้เลือดออกและโรคอื่น ๆ ในอนาคต ถือได้ว่าเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าและช่วยเปิดโอกาสให้เกิดการศึกษาระบบชีวภาพในมิติต่าง ๆ ได้กว้างขึ้น”
แนวทางสู่การพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกที่ดียิ่งขึ้น
แม้ว่าวัคซีนไข้เลือดออกรุ่นปัจจุบันจะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ แต่ยังเผชิญความท้าทายหลายประการ รวมถึงประสิทธิภาพที่อาจแตกต่างกันในแต่ละสายพันธุ์ของไวรัส งานวิจัยใหม่นี้ช่วยวางแนวทางสำหรับการออกแบบวัคซีนรุ่นต่อไป รองศาสตราจารย์ ดร. แพทย์หญิงพรพรรณ มาตังคสมบัติ ชูพงศ์ ได้แสดงความเห็นว่า “การออกแบบวัคซีนในอนาคตอาจได้ประโยชน์จากเลียนแบบการตอบสนองของภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติในผู้ที่ไม่แสดงอาการ อาทิ การกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาวชนิด CD8 T cells ขณะเดียวกันก็ควรลดหรือยับยั้งกลไกที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคที่รุนแรง”
นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบข้อบ่งชี้ทางชีววิทยาอื่น ๆ ที่มีความแตกต่างระหว่างผู้ที่ไม่แสดงอาการกับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงได้ อาทิ โปรตีนที่หลั่งจากเซลล์ภูมิคุ้มกันที่เรียกว่าไซโตไคน์ “ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มีข้อบ่งชี้ที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งไซโตไคน์บางชนิด ที่อาจเป็นสาเหตุของผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นคำอธิบายหนึ่งว่าเหตุใดผู้ป่วยบางคนถึงมีอาการรุนแรง ในขณะที่บางคนสามารถกำจัดไวรัสได้โดยไม่มีผลข้างเคียง” โดย ดร. ณัฐณิชา จิรเวชชากุล อดีตนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งปัจจุบันเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ผลการวิจัยในภาพรวมเหล่านี้ช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นของสมดุลระหว่างกลไกภูมิคุ้มกันที่ช่วยควบคุมไวรัสกับกระบวนการอักเสบที่ทำให้เกิดอาการของโรค
จากความสำเร็จของการวิจัยโดยความร่วมมือของคณะผู้วิจัยมหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเวคคัม แซงเกอร์ ประเทศอังกฤษ และเครือข่ายผู้ร่วมวิจัยในระดับนานาชาติ นำไปสู่งานวิจัยใหม่ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Science Translational Medicine ซึ่งถือได้ว่าเป็นการจัดทำ “แผนที่ระดับเซลล์” ของภูมิคุ้มกันในผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้อย่างละเอียดเป็นครั้งแรกของโลก
ความสำเร็จของงานวิจัยครั้งนี้เกิดจากการบูรณาการ ความเชี่ยวชาญแบบสหวิทยาการของหลายหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยมหิดล การทำงานร่วมกับนักวิจัยจากสถาบันชั้นนำระดับโลก เช่น สถาบันเวคคัม แซงเกอร์ ประเทศอังกฤษ และพันธมิตรในประเทศและในระดับนานาชาติอื่น ๆ ส่งผลงานวิจัยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับขีดความสามารถของงานวิจัยไทยบนเวทีโลก

