ทั่วไป

การบูรณาการการสอนและการวิจัย หัวใจของความเป็นครูในระดับอุดมศึกษา

การบูรณาการการสอนและการวิจัยถือเป็นรากฐานสำคัญของความเป็นครู โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา ซึ่งต้องอาศัยทั้งองค์ความรู้เชิงลึกและประสบการณ์จากการปฏิบัติจริงเพื่อถ่ายทอดให้นักศึกษาเกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง ศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิงลีณา สุนทรสุข อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นหนึ่งในนักวิชาการผู้ยึดมั่นในหลักการนี้มาอย่างยาวนานตลอดกว่า 27–28 ปีของการทำงาน โดยท่านเริ่มต้นเส้นทางวิชาชีพจากการสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อนจะได้รับทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและเอก ณ Oregon State University สหรัฐอเมริกา และรับทุน Humboldt Foundation เพื่อทำวิจัยหลังปริญญาเอกที่ Saarland University ประเทศเยอรมนี

ตลอดเส้นทางอาชีพ ท่านได้รับมอบหมายหน้าที่ด้านบริหารหลายตำแหน่ง อาทิ หัวหน้าภาควิชาเภสัชเคมี รองคณบดีฝ่ายวิชาการ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัย ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์คุณภาพเภสัชภัณฑ์ รวมถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินทะเบียนยาให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข บทบาทเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญ ความมุ่งมั่น และความรับผิดชอบที่ท่านมีต่อวิชาชีพเภสัชศาสตร์และวงการสาธารณสุขไทย โดยมีผลงานทางวิชาการและการวิจัย ครอบคลุม 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ ด้านวิชาการ ด้านวิจัย ด้านการเรียนการสอน และด้านบริการวิชาการ ในด้านวิชาการ ท่านเคยดำรงตำแหน่ง Visiting Professor ที่ University of Kansas ภายใต้ทุน Fulbright และที่ University of Brawijaya ประเทศอินโดนีเซีย อีกทั้งยังเคยได้รับทุนสนับสนุนจาก USAIDs ร่วมกับ USP-PQM plus ทำวิจัยเพื่อยกระดับระบบกำกับดูแลเภสัชภัณฑ์ใน 14 ประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง นอกจากนี้ ยังเป็นประธานจัดประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้าน Digital Health Product ซึ่งเป็นสาขาใหม่ที่กำลังขับเคลื่อนระบบสุขภาพของโลก

ด้านงานวิจัย ท่านให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์และควบคุมคุณภาพยาและสมุนไพร รวมถึงการตรวจสารตกค้างในสิ่งแวดล้อมและอาหาร โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลงานตีพิมพ์จำนวน 74 เรื่อง มียอดการอ้างอิงกว่า 1,900 ครั้ง และมีค่า H-index เท่ากับ 23 พร้อมทั้งเคยได้รับรางวัลวิจัยระดับชาติและนานาชาติรวม 10 รางวัล รวมถึงผลงานหนังสือ ตำรา และอนุสิทธิบัตรอีกหลายรายการ ตลอดจน ภาคบริการวิชาการที่มีส่วนสำคัญต่อสังคม เช่น การตรวจยาปฏิชีวนะตกค้างในแหล่งน้ำธรรมชาติ การเฝ้าระวังสารปนเปื้อนในปศุสัตว์ รวมถึงการจัดโครงการรณรงค์การใช้ยาอย่างถูกต้องและเหมาะสมเพื่อเผยแพร่ความรู้แก่สาธารณชน นับเป็นการนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปรับใช้สังคมอย่างแท้จริง

สำหรับในด้านการเรียนการสอน ซึ่งเป็นแก่นหลักของความเป็นครู ท่านได้ถ่ายทอดความรู้แก่นักศึกษากว่า 27 รุ่น เป็นประธานหลักสูตรหลายหลักสูตร รวมทั้งทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ส่งเสริมให้นักศึกษาได้รับรางวัลวิทยานิพนธ์ดีเด่นและทุนวิจัยจากทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ท่านยังเป็น mentor ให้กับนักวิจัยและอาจารย์รุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาทักษะและสร้างเครือข่ายด้านวิชาการในระยะยาว

ศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิงลีณา สุนทรสุข ได้มองถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษาไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านจากการสอนแบบผู้สอนเป็นศูนย์กลาง สู่การเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered Learning) ที่เน้น Active Learning การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา ผ่าน Problem-based Learning, Case Study และ Simulation รวมถึงการบูรณาการเทคโนโลยีเพื่อรองรับการเรียนรู้บนแพลตฟอร์มดิจิทัล ในขณะเดียวกัน เนื้อหาหลักสูตรเภสัชศาสตร์จำเป็นต้องขยายให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ขั้นสูง ยาชีววัตถุ เภสัชศาสตร์สาธารณสุข เภสัชเศรษฐศาสตร์ และความรู้ด้าน AI เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงของระบบสุขภาพยุคใหม่ บทบาทของอาจารย์จึงเปลี่ยนสู่การเป็นโค้ช ผู้แนะนำ และผู้สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสม

ในมุมมองด้านอนาคตของวิชาชีพเภสัชกรรม ศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิงลีณา เชื่อว่ากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านสำคัญ เภสัชกรยุคใหม่ต้องมีความรู้แบบสหสาขาวิชา เข้าใจระบบสาธารณสุขภาพรวม และต้องก้าวทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ AI, Big Data, Telepharmacy, Personalized Medicine รวมถึงนวัตกรรม เช่น การพิมพ์ยาแบบ 3 มิติ (3D Printing) และ ATMPs ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อระบบการผลิตและการดูแลสุขภาพ

ศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิงลีณา สุนทรสุข ได้ย้ำถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะสถาบันที่ขับเคลื่อนอุดมศึกษาไทยสู่ระดับนานาชาติ โดยควรให้ความสำคัญกับการออกแบบหลักสูตรฐานสมรรถนะ (Skill-Based Curriculum Design) และผลักดันงานวิจัยและบริการวิชาการที่ตอบโจทย์สังคม เพื่อให้มหาวิทยาลัยมหิดลยังคงเป็น “ปัญญาของแผ่นดินอย่างยั่งยืน” ต่อไป พร้อมทั้งแสดงความขอบคุณต่อสภาคณาจารย์ ผู้บริหาร คณาจารย์ และบุคลากรมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการทำงานตลอดระยะเวลาอันยาวนาน จนนำไปสู่การได้รับรางวัลอาจารย์ตัวอย่าง ประจำปี 2568 สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ

About Author