Cover Story คอลัมน์ประจำ

วิทยาศาสตร์ของทุ่งน้ำหลากและการอยู่ร่วมกับธรรมชาติด้วยวิศวกรรมนิเวศ

เรื่องโดย สมาธิ ธรรมศร


จังหวัดสระบุรีมีอาณาเขตติดกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีแม่น้ำป่าสักพาดผ่านและถูกรายล้อมด้วยทุ่งกว้าง เมื่อพิจารณาจากลักษณะภูมิประเทศ วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านจึงหนีไม่พ้นการทำประมงและปลูกข้าว


แม่น้ำป่าสักไหลผ่านรอยต่อของจังหวัดสระบุรีและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

สมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็ก ประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วงเวลาที่ทุ่งนาฉ่ำชุ่มไปด้วยน้ำ เพราะมวลน้ำจากแม่น้ำป่าสักจะเคลื่อนเข้ามาทาบทับท้องทุ่ง แล้วเปลี่ยนผืนนาให้กลายเป็นเวิ้งน้ำที่มีเนินดินน้อยใหญ่โผล่เป็นหย่อม ภาพดังกล่าวสะท้อนตัวตนผ่านภูมินาม (toponym) ได้แจ่มชัด เพราะสถานที่ใกล้เคียงหลายแห่งมีชื่อเรียกที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘โคก’ ซึ่งหมายถึง ‘พื้นที่สูง’ เช่น โคกงาม โคกเสลา โคกมะขาม และอีกหลายโคก


บ้านเกือบทุกหลังจะมีเรือเตรียมไว้พายตอนน้ำท่วม

เมื่อแม่น้ำเอ่อล้นเข้าสู่ท้องทุ่ง สิ่งที่ไหลมาไม่ได้มีแค่น้ำ แต่กระแสน้ำยังพัดพาตะกอน แร่ธาตุ และสัตว์น้ำ มาพร้อมกัน ทุ่งน้ำหลากจึงถูกแต่งแต้มด้วยพืชพรรณหลากชนิด และมีสัตว์มากหน้าหลายตาเข้ามาพักพิง เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา เต่า แมลง ไปจนถึงนก ทิวทัศน์ที่งดงามเหล่านี้กลายเป็นต้นกำเนิดของ ‘การพายเรือเที่ยวทุ่ง’ ซึ่งเป็นกิจกรรมยอดนิยมในสมัยรัชกาลที่ 4 และ 5


วิวของทุ่งกว้างที่น้ำสามารถไหลเข้ามาถึง

จากเหตุผลที่เล่ามา ที่ราบน้ำท่วมถึง (floodplain) ที่ทอดยาวขนาบแนวแม่น้ำและถูกน้ำเอ่อท่วมเป็นบางช่วงเวลาของปีอย่างสม่ำเสมอ จึงกลายเป็นเขตการเปลี่ยนผ่านของแหล่งน้ำและพื้นดิน (aquatic-terrestrial transition zone) ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างระบบนิเวศ (ecotone) สองแห่งที่มีบทบาทสำคัญต่อการถ่ายโอนมวลและพลังงาน (mass and energy transfer) รวมถึงเป็นแหล่งรักษาความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณรอบแม่น้ำ


แนวป่าบริเวณที่ราบน้ำท่วมถึงริมแม่น้ำป่าสัก

ผู้เขียนจำได้แม่นว่าช่วงที่ท้องนาถูกเปลี่ยนเป็นทุ่งน้ำ ผู้ใหญ่ที่บ้านจะพายเรือพาผู้เขียนไปดูนกและตกปลา แต่กิจกรรมที่ผู้เขียนโปรดปรานคือการใช้สวิงช้อนกุ้งตัวใหญ่กลับไปเผากินมากกว่า หรือถ้าเจอกุ้งฝอยก็จะนำไปทำแพกุ้งฝอยทอดหรือกะปิ


กุ้งแม่น้ำขนาดใหญ่ตัวสุดท้ายที่เคยจับได้เมื่อหลายปีก่อน

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ท้องทุ่งจะถูกน้ำกลบทับอยู่หลายวันหรือบางครั้งก็นานนับเดือน แต่ชาวนากลับไม่ค่อยประสบปัญหาเท่าไรนัก เพราะพวกเขาปลูก ‘ข้าวขึ้นน้ำ’ ที่สามารถอยู่รอดในน้ำท่วมสูงได้ดี (ปัจจุบันข้าวกลุ่มนี้ไม่เป็นที่นิยมแล้วเนื่องจากให้ผลผลิตต่ำ) บ้างก็เปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นบนโคกที่น้ำไม่ท่วม หรือบางคนก็เปลี่ยนอาชีพจากดำนาปักข้าวเป็นดำน้ำจับปลาส่งขายตลาดและร้านอาหารในเมืองเป็นการชั่วคราว

ด้วยเหตุนี้น้ำหลากท่วมทุ่งในช่วงปลายปีจึงเป็นปัจจัยที่กำหนดวิถีชีวิตและเหตุการณ์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาชีพ การคมนาคม การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ ไปจนถึงการยกทัพทำศึกในสมัยโบราณ และเมื่อพิจารณาตามเงื่อนไขแวดล้อม ณ ช่วงเวลานั้น น้ำท่วมจึงเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มี ‘คุณ’ มากกว่า ‘โทษ’ ซึ่งตรงข้ามกับมุมมองในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง นักวิทยาศาสตร์สรุปบทบาทและความสำคัญของน้ำท่วมที่ราบลุ่มตามฤดูกาลเอาไว้เป็นทฤษฎี ชื่อว่า แนวคิดชีพจรน้ำท่วม (flood pulse concept)

แต่เมื่อกาลเวลาผันผ่านสู่ปัจจุบัน ท้องทุ่งจำนวนไม่น้อยได้ถูกเปลี่ยนเป็นหมู่บ้าน โรงงานอุตสาหกรรม และพื้นที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวตลอดปี แนวคิดการบริหารจัดการน้ำจึงแปลงโฉมตามไปด้วย โดยมวลน้ำส่วนใหญ่จะถูกบังคับให้ไหลอยู่ภายในอาณาเขตของแม่น้ำ ไม่ได้ไหลผ่านทุ่งอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ส่งผลให้วิถีชีวิตดั้งเดิมล้มหายตายจาก แม่น้ำกัดเซาะตัวเองเร็วขึ้น ชุมชนริมแม่น้ำถูกน้ำท่วมสูงบ่อยครั้ง (ท่วมก่อน ลดทีหลัง) และยังทำให้มวลน้ำก้อนใหญ่ไหลไปยังพื้นที่ท้ายน้ำมากขึ้น กลายเป็นสาเหตุหนึ่งของ ‘น้ำท่วมซ้ำซาก’ บริเวณพื้นที่ใกล้แม่น้ำ และ ‘น้ำแล้งซ้ำซ้อน’ ในพื้นที่ไกลแม่น้ำ


การบังคับให้น้ำไหลอยู่ภายในธารน้ำ ส่งผลให้ชุมชนริมแม่น้ำถูกน้ำท่วมเป็นประจำ

ผู้เขียนคิดว่าการรับมือน้ำท่วมด้วยวิธีทางวิศวกรรมแบบเก่าเพียงอย่างเดียว ไม่สอดรับกับยุคสมัยใหม่อีกต่อไปแล้ว เราจึงต้องอาศัยความรู้ทางวิศวกรรมนิเวศ (ecological engineering) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นฐาน ตัวอย่างเช่น การฟื้นฟูระบบนิเวศเดิม การปลูกพืชที่หลากหลายและเหมาะสมกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ การกำหนดช่วงเวลาทำเกษตรกรรมบนทุ่งรับน้ำ การปล่อยให้น้ำไหลเข้าทุ่งเพื่อลดน้ำท่วมที่ปลายน้ำ และการฟื้นฟูเครือข่ายคูคลองร่วมกับแหล่งกักเก็บน้ำขนาดเล็กที่กระจายตัวตามพื้นที่ที่เหมาะสม โดยพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่ระบบนิเวศยังอุดมสมบูรณ์

ใช่หรือไม่ว่าหนึ่งในหนทางเอาชีวิตรอดบนโลกที่ภัยพิบัติรุนแรงขึ้นทุกวัน ไม่ใช่การพยายามเอาชนะธรรมชาติ แต่เป็นการย้อนกลับไปทำความเข้าใจภูมิปัญญาดั้งเดิม แล้วผสมผสานเข้ากับองค์ความรู้สมัยใหม่ เพื่อหาทางอยู่ร่วมกับระบบนิเวศอย่างกลมกลืนและยั่งยืน เพราะผู้เขียนเองก็รู้สึกคิดถึงทุ่งน้ำหลาก และอยากให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสการพายเรือเที่ยวทุ่งด้วยเหมือนกัน


แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  • สมาธิ ธรรมศร. (2558). รู้วิทย์ พิชิตภัยพิบัติ.
  • เอนก นาวิกมูล. (2536). เที่ยวทุ่งเมื่อหน้าน้ำ.
  • Junk et al. (1989). The Flood Pulse Concept in River-Floodplain Systems.
  • W.J. Mitsch and S.E. Jørgensen. (1989). Ecological Engineering: An Introduction to Ecotechnology.
  • http://webold.ricethailand.go.th/rkb3/title-index.php-file=content.php&id=3.htm

เกี่ยวกับผู้เขียน

  • สมาธิ ธรรมศร นักวิชาการด้านฟิสิกส์ โลกศาสตร์ และดาราศาสตร์

About Author