เรื่องโดย ณัฐพล โชติศรีศุภรัตน์ และ นัฐพงศ์ ศรีทองกูล
ผู้เขียนจำได้ว่าเคยไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าแล้วเจอเครื่องออกกำลังกายเครื่องหนึ่ง ผู้ขายกล่าวว่าถ้าใช้เครื่องนี้เราไม่ต้องออกกำลังกายให้เสียเหงื่อแม้สักหยด แค่ไปยืนบนเครื่อง ให้เครื่องมันสั่น ก็สามารถเผาผลาญไขมัน ลดน้ำหนักได้แล้ว ผู้เขียนไม่ได้สนใจเพราะเป็นคนชอบออกกำลังกายอยู่แล้ว แต่ก็นึกสงสัยว่าจริงหรือ การสั่นของเครื่องจะลดน้ำหนักได้อย่างไร อุปกรณ์มีหลักการทำงานอย่างไร ผู้อ่านหลายท่านอาจจะเคยเจอเหตุการณ์คล้ายแบบนี้เช่นกัน คือสงสัยต่อคำกล่าวอ้างต่าง ๆ เหล่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะการไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ตั้งคำถามต่อสิ่งต่าง ๆ นั้นแท้จริงแล้วเป็นแนวคิดทางปรัชญาที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังนำไปสู่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (scientific revolution) ในช่วงประมาณศตวรรษที่ 16 อีกด้วย

ไพร์โรแห่งเอลิส
ที่มาภาพ : Girolamo Olgiati, Public Domain via Wikimedia Commons
แนวคิดหรือทัศนคติที่ไม่เชื่อในสิ่งใดทันทีจนกว่าจะมีหลักฐานหรือเหตุผลเพียงพอนั้นเรียกว่า กังขาคติ หรือ วิมตินิยม ภาษาอังกฤษนิยมใช้คำว่า skepticism หรือจะใช้คำว่า scepticism ก็ได้เช่นเดียวกัน แนวคิดนี้มีมายาวนานนับพันปีแล้ว หนึ่งในนักคิดคนแรก ๆ ของกังขาคติที่มีการบันทึกไว้ในประวิติศาสตร์คือ ไพร์โรแห่งเอลิส (Pyrrho of Elis) นักปรัชญาชาวกรีกที่มีชีวิตอยู่ประมาณ 360–270 ปีก่อนคริสต์ศักราช เขาเชื่อว่ามนุษย์ไม่สามารถรู้ความจริงได้อย่างแน่นอน เพราะทั้งประสาทสัมผัสและเหตุผลของเรามีข้อจำกัดในการรับ ดังนั้นการอ้างความรู้หรือการตัดสินใจใด ๆ จึงอาจเป็นการหลงเชื่อโดยปราศจากเหตุผล การเชื่อข้ออ้างต่าง ๆ โดยไม่ตรวจสอบอย่างรอบคอบอาจนำไปสู่ความผิดพลาดได้
การสงสัยสิ่งต่าง ๆ โดยไม่เชื่ออะไรอย่างง่ายดายนั้นถือเป็นรากฐานสำคัญของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในยุโรประหว่างช่วงศตวรรษที่ 16 หนึ่งในนักปรัชญาที่สำคัญในยุคนั้นคือ เรอเน เดการ์ท (Rene Descartes) เขาใช้แนวคิดความสงสัยเป็นเครื่องมือตรวจสอบความเชื่อเดิม โดยสงสัยทุกสิ่งที่ถือว่าแน่นอนเพื่อหาหลักฐานที่มั่นคงที่สุด ดังประโยคสำคัญของเขาที่เราอาจจะเคยได้ยินคือ “I think, therefore I am” แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ฉันคิด ดังนั้นฉันจึงมีอยู่” เพราะเดการ์ทกังขาทุกสิ่งรอบตัว เขาต้องการหาพื้นฐานของความรู้ที่แน่นอนที่สุด แม้โลกภายนอกหรือร่างกายของตนเองอาจเป็นเรื่องหลอกลวงของประสาทสัมผัส แต่สิ่งที่เขายังมั่นใจว่ามีอยู่จริงคือตัวตนของเขา เพราะการที่เขาคิดอยู่ เป็นสิ่งยืนยันว่าเขาต้องมีตัวตนอยู่จริง ๆ
การที่มนุษย์ไม่ยอมรับคำกล่าวอ้างหรือทฤษฎีใด ๆ เพียงเพราะความนิยม ความเชื่อทางศาสนา หรืออำนาจของผู้มีอิทธิพล แต่เริ่มยึดหลักการตรวจสอบและเหตุผลเป็นเกณฑ์ในการประเมินความจริงซึ่งเป็นพื้นฐานของการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) ในการสังเกต ทดลอง และพิสูจน์ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ความสงสัยในความเชื่อแบบดั้งเดิมนี้ทำให้เกิดการท้าทายต่อโลกทัศน์เดิม จึงมีแรงผลักดันในการตรวจสอบและทดลองเพื่อพิสูจน์หรือปรับปรุงทฤษฎีเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งรอบตัว เราอาจเรียกแนวคิดนี้ว่า กังขาคติเชิงวิทยาศาสตร์ (scientific skepticism) คือการสงสัยที่นำไปสู่การหาหลักฐานเพื่อยืนยันสมมติฐานและทดลองซ้ำได้ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง 3 เหตุการณ์ประกอบของกังขาคติที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์วงการวิทยาศาสตร์
เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1543 เมื่อนิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus) สงสัยในความรู้ที่สอนส่งต่อกันมาตั้งแต่ยุคกรีกว่า โลกถือเป็นศูนย์กลางของเอกภพโดยมีดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก แต่เมื่อเขาสังเกตและคำนวณวงโคจรแล้วกลับพบว่าโลกต่างหากที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ สิ่งที่เขาสงสัยนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งเพราะเป็นการตั้งคำถามต่ออำนาจทางศาสนาและผู้มีอิทธิพลในยุคนั้น โคเปอร์นิคัสได้เสนอแนวคิดนี้ในหนังสือ De Revolutionibus Orbium Coelestium ในปี ค.ศ. 1543 เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดสำคัญในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ซึ่งจุดประกายให้เกิดการปฏิวัติแบบโคเปอร์นิคัส (Copernican revolution) และเป็นการวางรากฐานเชิงบุกเบิกให้แก่การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ (scientific revolution) ในเวลาต่อมา

แผนภาพแบบจำลองดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง จากต้นฉบับลายมือของโคเปอร์นิคัสที่ปรากฏในหนังสือ De Revolutionibus Orbium Coelestium
ที่มาภาพ : Nicolaus Copernicus, Public Domain via Wikimedia Commons
เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นในอีกหลายร้อยปีถัดมา ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์นี้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่นักเรียนจะต้องคุ้นชื่อกันดีนั่นคือ ไอแซก นิวตัน (Isaac Newton) เขาได้รับการย่อย่องให้เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ทรงอิทธิพลสูงสุดตลอดกาล ไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อได้อ่านชีวประวัติของเขา นิวตันทำงานอย่างหนัก บางวันเกิน 18 ชั่วโมงและนอนวันละ 3 ชั่วโมง บางวันทำงานหนักจนลืมรับประทานอาหารก็มี
นิวตันสงสัยความเชื่อดั้งเดิมของอริสโตเติล นักปรัชญาชาวกรีก ที่สืบต่อกันมาว่า วัตถุแต่ละชนิดมีที่อยู่ตามธรรมชาติของมัน เช่น ธาตุดินจะเคลื่อนที่ลงสู่จุดศูนย์กลางของโลก ส่วนธาตุไฟและอากาศจะลอยขึ้นสู่เบื้องบน ดังนั้นสิ่งที่เราเรียกว่าแรงโน้มถ่วงในมุมมองของอริสโตเติลจึงไม่ใช่แรงที่เกิดจากการดึงดูดระหว่างมวลหรือการโค้งงอของกาลอวกาศ แต่เป็นเพียงการที่วัตถุกลับไปสู่ที่ของมันเองตามธรรมชาติ การเคลื่อนที่ทุกแบบที่ฝืนธรรมชาติ เช่น การขว้างหินขึ้นฟ้า จึงต้องอาศัยแรงภายนอก แนวคิดนี้ครอบงำความเข้าใจของมนุษย์มานานกว่า 1 500 ปี เพราะมันดูเหมือนสอดคล้องกับประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน
กฎการเคลื่อนที่และกฎความโน้มถ่วงสากลของนิวตันอาจจะดูเป็นเรื่องปกติธรรมดาสามัญ เป็นความรู้ทั่วไปพื้นฐาน แต่เมื่อพิจารณาจากยุคนั้นการเปลี่ยนมุมมองความเชื่อเดิมนับเป็นสิ่งที่ยากและท้าทายมาก นิวตันเสนอกฎการเคลื่อนที่และกฎความโน้มถ่วงสากลเพื่ออธิบายการเคลื่อนที่ของสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่วัสดุขนาดเล็กไปจนถึงวัตถุขนาดใหญ่ เช่น ดาวเคราะห์ โดยใช้สมการคณิตศาสตร์มาอธิบาย เขาตีพิมพ์หนังสือ Philosophiæ Naturalis Principia Mathematica ในปี ค.ศ. 1687 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เพราะนำเสนอวิธีการที่ชัดเจนและตรวจสอบได้แทนคำอธิบายเชิงปรัชญา

หนังสือ Philosophiæ Naturalis Principia Mathematica ของนิวตันที่เขาตรวจแก้สำหรับเตรียมจัดพิมพ์ครั้งที่สอง
ที่มาภาพ : Isaac Newton, Public Domain via Wikimedia Commons
เหตุการณ์สุดท้ายเป็นเรื่องทางชีววิทยา เวลาผ่านมาหลายร้อยปี ล่วงมาจนถึงปี ค.ศ. 1859 ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ตั้งคำถามสำคัญที่ท้าทายต่อคริสตจักรเกี่ยวกับที่มาของสิ่งมีชีวิต เขาสงสัยและตั้งคำถามต่อความเชื่อเดิมมองสิ่งมีชีวิตว่าเป็นสิ่งคงที่และสร้างขึ้นโดยผู้มีอำนาจวิเศษ จากการที่เขาได้ศึกษางานของนักวิทยาศาสตร์ นักคิด นักปรัชญา เช่นงานของทอมัส มัลทัส (Thomas Malthus) และจากประสบการณ์ตรงระหว่างที่เขาเดินทางสำรวจโลกกับเรือหลวงบีเกิล (HMS Beagle)

นกฟินช์แห่งกาลาปากอส (Darwin’s finches) 4 ชนิด ในบันทึกของดาร์วิน
ที่มาภาพ : John Gould, Public Domain via Wikimedia Commons
ดาร์วินได้เก็บตัวอย่างพืช สัตว์ และซากฟอสซิลจากหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะที่หมู่เกาะกาลาปาโกส (Galapagos Islands) เขาพบว่านกที่อาศัยอยู่บนแต่ละเกาะมีลักษณะของจะงอยปากต่างกันไปตามอาหารที่กิน เช่น บางชนิดจะงอยปากแข็งไว้สำหรับกัดเมล็ด บางชนิดยาวไว้สำหรับจับแมลง ดาร์วินเริ่มตั้งคำถามว่าเหตุใดสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกันจึงแตกต่างกันได้ตามสิ่งแวดล้อม และทำไมพวกมันถึงปรับตัวได้อย่างเหมาะสมกับถิ่นอาศัยของตน ทั้งหมดนี้เองนำไปสู่การตีพิมพ์หนังสือ On the Origin of Species ในปี ค.ศ. 1859 เพื่อหักล้างความเชื่อเก่าและนำเสนอทฤษฎีใหม่ซึ่งอธิบายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต อันเป็นการวางรากฐานให้ชีววิทยาสมัยใหม่ที่ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และเหตุผลในการอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แทนคำอธิบายเหนือธรรมชาติ
จากตัวอย่างที่กล่าวมา กังขาคติเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญต่อการการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ การตั้งคำถามต่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ เป็นประโยชน์แก่มนุษย์อย่างยิ่ง ทั้งในระดับสังคมและระดับบุคคล เมื่อบุคคลนำแนวคิดแบบกังขาคติมาใช้ในชีวิตประจำวันก็จะไม่รีบด่วนเชื่อสิ่งใดเพียงเพราะได้ยินคนอื่นกล่าวอ้างมา แต่จะใช้เหตุผล ถามหาหลักฐาน อันเป็นประโยชน์อย่างมากในยุคปัจจุบันที่เหล่าอาชญากรหาวิธีใหม่ ๆ มาหลอกล่อให้เราตกเป็นเหยื่อ
เราได้ยินข่าวเรื่องแก๊งคอลเซนเตอร์ (phone fraud) กันอยู่เรื่อย ๆ แก๊งคอลเซนเตอร์คืออาชญากรรมที่มีโครงสร้างแบบองค์กร ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในการหลอกลวงทางโทรศัพท์หรือช่องทางออนไลน์ โดยอาศัยเทคนิคทางจิตวิทยาเพื่อหลอกลวงเหยื่อ โดยจากข้อมูลของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีรายงานว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 เป็นต้นมา คดีอาชญากรรมทางไซเบอร์มีมูลค่าความเสียหายรวมสูงกว่า 80,000 ล้านบาท สำหรับปี พ.ศ. 2568 เดือนมกราคมเพียงเดือนเดียว มีผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่กว่า 30,000 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 400 ล้านบาท โดยอายัดทรัพย์สินได้เพียง 73 ล้านบาท มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล ดังนั้นถ้าเราใช้แนวคิดกังขาคติมาเป็นเหมือนเกราะป้องกันจากมิจฉาชีพก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เช่น เมื่อมีคนโทรมาบอกว่าจะมอบเงินรางวัลให้โดยให้เราจ่ายเงินไปก่อน ก็ให้สงสัยไปก่อนเลยว่าเงินรางวัลมีอยู่จริงหรือเปล่า เมื่อมีตำรวจโทรมาบอกว่าโดนคดีอาญาให้โอนเงินไปเพื่อตรวจสอบการเงิน ก็ให้สงสัยไปก่อนว่าเขาเป็นตำรวจจริงหรือเปล่า อย่าเพิ่งเชื่อจนหมดใจ และควรปรึกษาคนในครอบครัวหรือคนใกล้ตัวก่อนตัดสินใจทำอะไร
การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์นอกจากจะทำให้เราได้รับความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งรอบตัวเราแล้ว เมื่อศึกษาลงไปดี ๆ กระบวกการแสวงหาความรู้ การคิดแบบเป็นวิทยาศาสตร์ยังช่วยให้เรามีการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ทำให้เรารู้เท่าทันและไม่ถูกหลอกง่าย ๆ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- Adler, J. (2019, December 5). Skepticism. In E. N. Zalta (Ed.), The Stanford Encyclopedia of Philosophy (Winter 2019 ed.). Retrieved from https://plato.stanford.edu/entries/skepticism/
- Brookes Spencer, J. (n.d.). Scientific revolution — Physics. In Encyclopædia Britannica. Retrieved October 22, 2025, from https://www.britannica.com/science/Scientific‑Revolution/Physics
- Goldstein, L. (2025, February 19). Thousands rescued from illegal scam compounds in Myanmar as Thailand launches huge crackdown. The Guardian. Retrieved October 17, 2025, from https://www.theguardian.com/world/2025/feb/19/myanmar-scam-call-centre-compound-rescues-thailand-crackdown

