ประเทศไทยมีสมุนไพรกว่า 10,000 ชนิด โดยร้อยละ 15.5 ของชนิดสมุนไพร สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ซึ่งการสนับสนุนส่งเสริมองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตสมุนไพรตั้งแต่แปลงปลูกถึงการแปรรูป เป็นสิ่งสำคัญที่จะหนุนเสริมศักยภาพของสมุนไพรไทยให้ได้ทั้งคุณภาพและมาตรฐาน เพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดทั้งในและต่างประเทศ สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับชุมชนไปพร้อมกับการสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนของทรัพยากรทางชีวภาพของไทย
สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตพืชสมุนไพรอินทรีย์ให้กลุ่มเกษตรกรในจังหวัดพัทลุง ลำปางและตาก เพื่อยกระดับการผลิตสมุนไพรให้ได้ทั้งคุณภาพและปริมาณผลผลิตให้เหมาะสมต่อการนำไปใช้ประโยชน์ตามบริบทของชุมชน
เรามองในแง่การพึ่งตนเอง ปลูกขมิ้นชันแล้วเอามาใช้ประโยชน์ทางยาในชุมชน ถ้าใช้เองได้และใช้ดีด้วย ปลายทางก็เป็นเศรษฐกิจได้
-อุทัย บุญดำ-
‘สมุนไพร’ เพื่อการพึ่งตนเอง
วิถีของคนใต้คุ้นเคยกับพืชสมุนไพรทั้งตะไคร้ ขิง ข่า ขมิ้น ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในเครื่องแกงใต้ ชาวบ้านจึงมักปลูกไว้ใช้ในครัวเรือน หรือปลูกแซมในสวนยางพารา
“ศูนย์ฯ มาเน้นขับเคลื่อนสมุนไพรเมื่อช่วงปี 2562 จัดเวทีแลกเปลี่ยนการใช้ประโยชน์เชิงการแพทย์จากภูมิปัญญา แล้ว สวทช. ได้เข้ามาทำในเชิงงานวิจัยไปด้วย เราอยากได้องค์ความรู้มาหนุนเสริมภูมิปัญญา” อุทัย บุญดำ หรือ พ่อเล็ก ผู้ประสานงานเครือข่ายสินธุ์แพรทอง ต.ลำสินธุ์ อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง บอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นการยกระดับ “อาหารเป็นยา” จากสมุนไพร และการทำงานร่วมกับ สวทช. ภายใต้โครงการการยกระดับการผลิตพืชสมุนไพรคุณภาพด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
“เครือข่ายสินธุ์แพรทอง” เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงงานพัฒนาชุมชน เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีต้นทุนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ มีประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางอุดมการณ์การเมือง ที่หล่อหลอมให้เกิดการทำงานร่วมกันของทั้ง 9 หมู่บ้านในตำบลลำสินธุ์ เพื่อร่วมแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชนภายใต้ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน 5 ด้าน คือ สังคมชุมชน สิ่งแวดล้อมชุมชน เศรษฐกิจชุมชน อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม สมุนไพรและภูมิปัญญา โดยมีศูนย์เรียนรู้เครือข่ายสินธุ์แพรทอง เป็นจุดศูนย์กลาง
“ศูนย์ฯ มีแนวคิดเน้นเรื่องสุขภาพมากขึ้น ใช้อาหารเป็นยา เรามองในแง่การพึ่งตนเอง ปลูกขมิ้นชันแล้วเอามาใช้ประโยชน์ทางยาในชุมชน ถ้าใช้เองได้และใช้ดีด้วย ปลายทางก็เป็นเศรษฐกิจได้ แต่เราต้องรู้จักและเรียนรู้ก่อน มีสารสำคัญอะไร ปลูกอย่างไรให้ได้ตัวยามาก”
![](https://www.nstda.or.th/agritec/wp-content/uploads/2022/06/pic-herb-1-scaled-e1655476600451-1024x670.jpeg)
![](https://www.nstda.or.th/agritec/wp-content/uploads/2022/06/pic-herb-3-1024x683.jpg)
การปลูกสมุนไพรให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน เป็นจุดเริ่มการถ่ายทอดความรู้จาก สวทช. และดร.เทิดศักดิ์ โทณลักษณ์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยสมาชิก 30 รายร่วมเรียนรู้การปลูกขมิ้นชัน ไพล ตะไคร้หอม ทั้งระบบปลูกในโรงเรือน ปลูกในกระถางและปลูกนอกโรงเรือน เพื่อศึกษารูปแบบการปลูกที่ให้คุณภาพทั้งผลผลิต สารสำคัญและการให้น้ำ
“ปลูกในกระถางหรือในโรงเรือนลงทุนสูง แต่ควบคุมจัดการดินและน้ำได้ โดยเฉพาะถ้าปลูกเพื่อทำเป็นยา ใช้ได้สนิทใจกว่า บอกได้เต็มปากว่าปลอดภัยจากสารพิษ ปลูกแบบชาวบ้าน ต้นทุนน้อย แต่ผลผลิตที่ออกมามีสารตกค้างในดิน เคยส่งขมิ้นตรวจ เจอสารตกค้างพวกโลหะหนัก สารหนู” พ่อเล็ก เล่าถึงการเรียนรู้เชิงวิจัยที่ทำร่วมกับ สวทช. มา 2 ปี ซึ่งผลผลิตขมิ้นชันในปีแรก สมาชิกเก็บมาทำหัวพันธุ์และได้ส่งตรวจปริมาณสารเคอร์คูมินอยด์ได้ร้อยละ 6
“ที่ผ่านมาชาวบ้านปลูกก็อาศัยประสบการณ์ พอมาเรียนรู้กับ สวทช. และอาจารย์ก็ได้ความรู้ใหม่ รู้จักส่วนต่างๆ ของขมิ้น ส่วนไหนลำต้นจริง ลำต้นเทียม หน้าที่ทำอะไร การจัดการโรค การให้ปุ๋ยอินทรีย์ต้องใช้เมื่อไหร่ และได้เทคนิคการปลูกที่สำคัญคือ การคัดเลือกหัวพันธุ์ที่สะอาด ไม่เป็นโรคก่อนไปลงปลูก รวมทั้งรู้จักการเก็บข้อมูล สร้างนักวิจัยชุมชนและเรียนรู้กระบวนการร่วมกัน”
นอกจากเรียนรู้และเก็บข้อมูลการปลูกแล้ว สมาชิกยังได้ทดลองพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ เช่น น้ำพริกขมิ้นชัน ลูกประคบจากไพล โลชั่นไพล น้ำมันนวดไพล สเปรย์ตะไคร้หอม
![](https://www.nstda.or.th/agritec/wp-content/uploads/2022/06/pic-herb-4.jpg)
![](https://www.nstda.or.th/agritec/wp-content/uploads/2022/06/pic-herb-2-1024x683.jpg)
แนวคิดการพึ่งตนเองเป็นแนวคิดสำคัญของการขับเคลื่อนการทำงานของเครือข่ายสินธุ์แพรทอง ทั้งการพึ่งตนเองในด้านอาหาร พลังงานและเศรษฐกิจ ซึ่ง พ่อเล็ก บอกว่า การพึ่งตนเองได้ในทางเศรษฐกิจ คือ ปลูกเป็น แปรรูปเป็น และขายเป็น
“ศูนย์เรียนรู้สมุนไพรครบวงจร” คือเป้าหมายของพ่อเล็กและสมาชิก ที่จะเป็นพื้นที่เรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงเกษตรสุขภาพ มีเรื่องเล่าและกิจกรรมสมุนไพรจากแปลงปลูกมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) จนถึงการแปรรูปตามมาตรฐาน อย.
“เราเริ่มจากแบบเล็กๆ แต่มีความรู้การปลูก ปลูกให้ได้คุณภาพได้สารสำคัญ ในสังคมปัจจุบันถ้าไม่มีองค์ความรู้ จะค้าขายหรือยกระดับเป็นธุรกิจมันมีการแข่งขัน เราต้องมีองค์ความรู้พอสมควรแล้วถ้าเราจะทำเชิงการค้า เราจะยั่งยืนกว่า แต่เราต้องเรียนรู้ก่อน มันอาจจะช้า แต่มั่นคง”
เราหวังว่ากระชายดำจะเป็นพืชสร้างรายได้ให้ชาวบ้าน อย่างน้อยตอนนี้ก็มีตลาดรองรับ
-สายัณห์ ฉัตรแก้ว-
‘กระชายดำ’ เบิกทางสร้างรายได้จากสมุนไพร
ผลตรวจเลือดของเกษตรกรที่อยู่ในระดับไม่ปลอดภัย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายหน่วยงานพยายามส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตจากเกษตรเคมีมาเป็นเกษตรปลอดภัย เช่นเดียวกับที่องค์การบริหารส่วนตำบลวอแก้ว อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง ผลักดันให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชระบบปลอดภัยและมีตลาดรองรับให้เกษตรกร จนเกิดการรวมกลุ่มในนาม “วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลวอแก้ว” เมื่อปี 2558 ผลผลิตของกลุ่มทั้งข้าวอินทรีย์และพืชผักอินทรีย์ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand ส่งจำหน่ายในตลาดชุมชน ตลาด We Market ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต และโรงพยาบาลศูนย์ลำปาง
“กระชายดำเป็นพืชใหม่และเป็นโอกาสใหม่ให้ชาวบ้าน เราหวังว่ากระชายดำจะเป็นพืชสร้างรายได้ให้ชาวบ้าน อย่างน้อยตอนนี้ก็มีตลาดรองรับ” สายัณห์ ฉัตรแก้ว หัวหน้าสำนักปลัดอบต.วอแก้ว และผู้ประสานงานกลุ่มวิสาหกิจฯ บอกถึงโอกาสของชาวบ้านจากการปลูกกระชายดำเพื่อผลิตส่งให้บริษัทแปรรูปสมุนไพร ซึ่งเกิดจากการเชื่อมโยงตลาดของ สวทช. โดยราคารับซื้ออยู่ที่ 500-800 บาท/กก. ขึ้นอยู่กับลักษณะทางกายภาพและปริมาณสารสำคัญกลุ่มฟลาโวนอยด์และฟีนอลิกในกระชายดำและราคาตลาดในขณะนั้น
กระชายดำเป็นสมุนไพรที่น้อยคนในพื้นที่จะรู้จัก เมื่อมีตลาดรอรับซื้อแล้ว การปลูกให้ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพเป็นเรื่องสำคัญที่สมาชิกฯ คำนึงถึง สวทช. จึงได้เชื่อมโยงผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมทำงานกับกลุ่มวิสาหกิจฯ และอบต. ภายใต้โครงการสนับสนุนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อชุมชน (CTAP) เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตกระชายดำในระบบเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่การปลูกถึงแปรรูป
![](https://www.nstda.or.th/agritec/wp-content/uploads/2022/06/pic-herb-5-1024x683.jpg)
![](https://www.nstda.or.th/agritec/wp-content/uploads/2022/06/pic-herb-6-1024x683.jpg)
“เป็นสมุนไพรใหม่ ไม่เคยรู้จักมาก่อน ก็น่าสนใจที่จะลองปลูก ใช้พื้นที่ปลูกประมาณ 100 ตารางวา ดูแลไม่มาก ถ้าผลผลิตออกมาดี ก็จะปลูกต่อ จะได้มีผลผลิตทั้งผักอินทรีย์และสมุนไพรอินทรีย์” อังศุมาลิน สุทธวัฒน์ หนึ่งในสมาชิกที่อาสาทดลองปลูกกระชายดำ
“เนื่องจากเป็นพืชใหม่ในพื้นที่ มีสมาชิกฯ 10 คน อาสาทดลองปลูก ยังไม่คาดหวังเรื่องผลผลิตและรายได้ในปีแรก มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นเรียนรู้ให้กลุ่มฯ เก็บข้อมูลลักษณะพื้นที่ที่เหมาะสม การให้ปุ๋ยและน้ำ เพื่อพัฒนาการปลูกในปีต่อไป” สายัณห์ เล่าถึงการส่งเสริมปลูกกระชายดำในช่วงปีแรก โดยมีพื้นที่ปลูกรวม 3 ไร่ สมาชิกกลุ่มฯ ที่เข้าร่วมใช้พื้นที่ตามความเหมาะสมของตัวเอง บ้างใช้พื้นที่นา แปลงผัก พื้นที่ข้างบ้านหรือใต้ต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน ซึ่งจากการติดตามของ สายัณห์ ทำให้เห็นข้อแตกต่างของพื้นที่ปลูกกระชายดำ “กระชายดำต้องการที่ร่มรำไร การเจริญเติบโตของต้น ใบ การแตกหน่อดีกว่า การปรุงดินก็มีส่วน บางแปลงเป็นดินที่เคยทำนา อินทรียวัตถุน้อย บางแปลงเป็นพื้นที่สวน ปรุงดินดี ทรงพุ่มเยอะโต แตกหน่อดี ผลผลิตก็จะเยอะ”
จากการทดลองปลูกในปีแรก ผลผลิตที่คาดว่าจะได้ประมาณ 1,000 กก. ซึ่งส่วนหนึ่งจะเก็บเป็นหัวพันธุ์สำหรับฤดูกาลปลูกหน้า อีกส่วนจะนำมาแปรรูปฝานเป็นแว่น ตากแห้งและส่งตัวอย่างให้บริษัทที่รับซื้อตรวจสอบปริมาณสำคัญก่อนที่จะส่งจำหน่าย
“ตอนนี้กลุ่มฯ ได้สร้างโรงตากไว้รองรับการผลิตสมุนไพรตากแห้ง ซึ่งกระชายดำเป็นสมุนไพรนำร่อง และยังมีสมุนไพรอื่นๆ ที่ทางกลุ่มฯ เริ่มปลูกและเรียนรู้ เช่น ขมิ้นชัน ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่มรายได้ให้สมาชิกกลุ่มฯ ได้ต่อไป” สายัณห์ บอกทิ้งท้าย
การสร้างมูลค่าเพิ่มมักมองที่ปลายน้ำ แต่มูลค่าเริ่มได้ตั้งแต่แปลงเกษตร เราไม่ได้บอกว่าแปลงนี้คือแปลงเกษตรธรรมดา แต่แปลงนี้คือแปลงเกษตรอินทรีย์มาตรฐานระดับโลกที่จะฟื้นคืนป่าอาหารที่สมบูรณ์
-เสาวลักษณ์ มณีทอง-
เมื่อ ‘ขมิ้นชัน’ โกอินเตอร์ คืนความสมบูรณ์ป่าอาหาร
เสาวลักษณ์ มณีทอง และ ชลเทพ ปานดำ หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ที่กลับคืนถิ่นมาทำเกษตร ด้วยทักษะด้านไอทีของพวกเขาเป็นต้นทุนเข้าถึงแหล่งความรู้และการตลาด หนุนเสริมการกลับมาปลูกพืชสมุนไพรเพื่อแปรรูป โดยเริ่มจากผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับคุณแม่หลังคลอด
“เกษตรกรที่บ้านเราก็ปลูกกล้วย ตะไคร้ กะเพรากันอยู่แล้ว เราก็เอาตลาดมาให้และส่งเสริมการปลูกให้ได้ตามคุณภาพที่เราต้องการ ของที่เราส่งให้คนอื่น ก็เทียบกับเราทำให้ลูกเราพ่อแม่เรากิน โดยเฉพาะสมุนไพรเป็นสิ่งที่รักษาคน” ชลเทพ ซึ่งรับผิดชอบงานส่งเสริมเกษตรกร เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มของวิสาหกิจชุมชนแปรรูปสมุนไพรปลูกรัก ต.พระธาตุ อ.แม่ระมาด จ.ตาก ที่รับปลูกและแปรรูป โดยเน้นวัตถุดิบคุณภาพและมีมาตรฐานตั้งแต่แปลงปลูกถึงโรงงานแปรรูป
การทำสมุนไพรอินทรีย์จึงเป็นแนวทางที่ทั้งสองส่งเสริม โดยหาแหล่งความรู้จากหน่วยงานต่างๆ เช่นเดียวกับที่ได้ติดต่อ สวทช. เพื่อหาเทคโนโลยีสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ของกลุ่มฯ โดยเริ่มจากเทคโนโลยีการเลี้ยงไส้เดือนดินเพื่อทำปุ๋ยอินทรีย์จนมาถึงการเพิ่มผลผลิตขมิ้นชันในแปลงและการทำมาตรฐานเกษตรอินทรีย์
จากที่เคยส่งเสริมและรับซื้อสมุนไพรสำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับคุณแม่หลังคลอด จนวันหนึ่ง เสาวลักษณ์ รับซื้อขมิ้นชันจากกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับส่งเสริมหัวพันธุ์ แต่กลับไม่มีตลาดให้ เธอจึงรับซื้อแทนที่จะปล่อยทิ้งให้เน่าเสีย และนำมาแปรรูปเป็นผงขมิ้นชงดื่ม ซึ่งยังไม่เคยมีใครผลิตมาก่อน ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มฯ จึงได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า จากวันนั้นทำให้ทั้งสองหันมาส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกขมิ้นชันเป็นพืชเสริม ปัจจุบันมีเกษตรกรกว่า 300 ครอบครัวใน 5 อำเภอของจังหวัดตากที่ปลูกขมิ้นชันส่งให้กลุ่มฯ ได้แก่ อ.แม่ระมาด อ.พบพระ อ.อุ้มผาง อ.ท่าสองยาง และอ.แม่สอด
![](https://www.nstda.or.th/agritec/wp-content/uploads/2022/06/pic-herb-11-1024x683.jpg)
![](https://www.nstda.or.th/agritec/wp-content/uploads/2022/06/pic-herb-8-1024x683.jpg)
“เรามักมองการสร้างมูลค่าเพิ่มที่ปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์ต้องแปรรูป ต้องใส่นวัตกรรม แต่จริงๆ แล้วมูลค่าเริ่มได้ตั้งแต่ต้นทางคือ ดินที่ปลูก แปลงเกษตรที่มี เราไม่ได้บอกว่าแปลงนี้คือแปลงเกษตรธรรมดา แต่แปลงนี้คือแปลงเกษตรอินทรีย์มาตรฐานระดับโลก ที่ตั้งใจจะส่งเสริมการฟื้นคืนป่าอาหารที่สมบูรณ์” เสาวลักษณ์ เล่าถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการทำมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากล USDA ซึ่งเป็นใบเบิกทางให้ “ขมิ้นชัน” ของกลุ่มฯ ส่งออกหัวสดไปประเทศเนเธอร์แลนด์แล้ว 160 ตันเมื่อปลายปี 2564 และในช่วงปี 2562-2563 ได้ส่งขมิ้นชันหัวสดให้องค์การเภสัชกรรมกว่า 57 ตัน มีปริมาณสารเคอร์คูมินไม่ต่ำกว่า 8%
“เรามีศักยภาพการผลิต ผลผลิตมีคุณภาพได้มาตรฐาน และมีโรงงานแปรรูปที่ได้มาตรฐานทั้ง GMP HACCP จึงเป็นจุดเด่นของกลุ่มฯ”
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของกลุ่มฯ ประกอบด้วย ผลผลิตขมิ้นชันสด ขมิ้นชันแห้ง ขมิ้นชันผงสำหรับปรุงอาหาร ขมิ้นชันผงสำหรับชงดื่ม ผงชงดื่มกล้วยน้ำว้าดิบ ภายใต้แบรนด์ Plant Love และปันแสน
วันนี้ขมิ้นชันของกลุ่มฯ ส่งออกตลาดต่างประเทศ บรรลุความต้องการ “นำสมุนไพรไทยไปสู่ตลาดโลก” แต่ภายใต้เป้าหมายการตลาดนี้ ยังแฝงไว้ด้วยเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือ การสร้างป่าอาหารกลับคืนมา
![](https://www.nstda.or.th/agritec/wp-content/uploads/2022/06/pic-herb-9-1024x683.jpg)
![](https://www.nstda.or.th/agritec/wp-content/uploads/2022/06/pic-herb-7-1024x683.jpg)
“ขมิ้นชันเป็นพระเอกนำร่องที่ทำให้คนรู้จักและเชื่อมั่นเราว่าเกษตรกรปลูกแล้วขายได้จริง หลังจากขมิ้นชันได้รับการยอมรับแล้ว ชาวบ้านจะปลูกพืชอื่นเพิ่ม แล้ววันหนึ่งเราจะเปลี่ยนพื้นที่เขาหัวโล้นให้เป็นป่า เป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ได้ การคืนชีวิตให้แผ่นดินให้เป็นป่าอาหาร เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเป้าหมายของเรา” เสาวลักษณ์ เน้นย้ำเป้าหมายที่อยากให้บ้านกลับมาเป็นป่าที่สมบูรณ์อีกครั้งเหมือนภาพจำในวัยเด็กของเธอ ที่เติบโตมาพร้อมกับความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าในจังหวัดตาก
การผลิตสมุนไพรของกลุ่มฯ บนเส้นทางเกษตรอินทรีย์จึงไม่เพียงปลอดภัยต่อเกษตรกรผู้ผลิต ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม หากยังมีกระบวนการผลิตที่ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าทั้งเศษเหลือทิ้งจากการแปรรูปถูกแปรเปลี่ยนเป็นปุ๋ยอินทรีย์ การคืนกำไรสร้างความสมบูรณ์ให้ผืนป่าจากกิจกรรมปลูกต้นไม้ ทำฝายต้นน้ำ ตลอดจนสร้างงานสร้างรายได้ให้ชาวบ้านอีกด้วย
# # #
เครือข่ายสินธุ์แพรทอง ต.ลำสินธุ์ อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง
โทรศัพท์ 081 7981082, 089 5991361 | เว็บไซต์: สินธุ์แพรทอง.ไทย | www.facebook.com/sinpraethong
วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลวอแก้ว ต.วอแก้ว อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง
โทรศัพท์ 089 6342460 | www.facebook.com/เกษตรอินทรีย์วอแก้ว
วิสาหกิจชุมชนแปรรูปสมุนไพรปลูกรัก ต.พระธาตุ อ.แม่ระมาด จ.ตาก
โทรศัพท์ 082 6657143 | www.punsansook.com | www.facebook.com/plantlove.smce
(หนังสือ พลังวิทย์ พลังชุมชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย, ข้อมูลสัมภาษณ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565)