“มารู้วิธีปลูกผักอินทรีย์เอาตอนอายุเยอะแล้ว ถ้ารู้เร็วกว่านี้ก็น่าจะดี” ถ้อยคำที่แฝงความเสียดายของ ทองลักษณ์ คูคำ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 บ้านหนองหว้า ต.เมืองคง อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ หลังปรับเปลี่ยนการปลูกพืชผักระบบเคมีเป็นระบบอินทรีย์ได้เพียงหนึ่งปี


“ทำนาเป็นเงินเก็บ ปลูกผักเป็นเงินใช้จ่าย” เป็นวิถีของชาวบ้านหมู่ 9 ที่ปลูกผักสวนครัวในระบบเคมีมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า บางบ้านจากเงินใช้จ่ายกลายเป็นเงินเก็บที่สามารถซื้อรถกระบะและส่งลูกเรียนจบปริญญา
“ทำเคมีมีรายได้เยอะช่วงหน้าหนาว ได้มากสุด 10,000 บาท/เดือน แต่มีต้นทุนปุ๋ยเคมี ทำปลอดภัยมีรายได้ทุกวัน อย่างน้อย 200 บาท/วัน จากที่ไม่เคยได้แล้วมาได้ทั้งปี ต้นทุนปุ๋ยก็ไม่เยอะ เพราะเราปรุงดินตั้งแต่แรก และที่สำคัญสุขภาพเราปลอดภัย”
ช่วงปลายปี พ.ศ. 2566 ทองลักษณ์ ได้รับการประสานจากเกษตรอำเภอราษีไศลสอบถามความต้องการรับองค์ความรู้การปลูกผักระบบอินทรีย์จาก สวทช. และเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมตัวลูกบ้าน 20 ราย เป็น “กลุ่มผู้ปลูกผักบ้านหนองหว้า”
“เราอยากปรับเปลี่ยนอยู่แล้ว อยากได้ความรู้เพิ่ม ใช้แต่เคมีก็ห่วงสุขภาพ แล้วการรวมกลุ่มกันจะได้มีเจ้าหน้าที่มาให้คำแนะนำได้”
แม้ปลูกผักขายกันอยู่แล้ว แต่เมื่อได้เรียนรู้กับ สวทช. ทองลักษณ์ และสมาชิก กลับเปิดโลกการปลูกผักของพวกเธอ ตั้งแต่การเตรียมดิน การใช้ปุ๋ยคอก การเพาะกล้า ไปจนถึงการดูแลและเก็บเกี่ยว
“เราไม่รู้จักวิธีปรุงดินมาก่อน ไถแปลงแล้วปลูกเลย แล้วใส่แต่ปุ๋ยเคมี ทำให้ดินแข็ง ปลูกผักก็ไม่งาม ปุ๋ยคอกก็ไม่หมัก ได้ขี้วัวมาใส่เลย แต่เดี๋ยวนี้ดินดีมาก ใช้โดโลไมท์และปุ๋ยหมักปรุงดิน ค่า pH ดินจาก 4.5 ปรับได้เป็น 5.5 เพาะกล้าก็ไม่เคยทำ ใช้วิธีหว่าน ได้ก็ได้ ไม่ได้ทำใหม่ แต่พอได้มาเรียน ไม่ยากนี่ ได้ผลผลิตทุกต้นและผักแข็งแรง”
การใช้สารสกัดสมุนไพร น้ำหมัก หรือแม้แต่ชีวภัณฑ์ เป็นอีกเรื่องใหม่ที่ ทองลักษณ์ และสมาชิกได้เรียนรู้เพื่อใช้จัดการโรคพืชและแมลงศัตรูพืช
“ตอนทำเคมี เราเห็นแมลงถึงฉีด ไม่เคยป้องกัน จึงต้องใช้เคมีหนัก ฉีดแล้วตาย แต่พอใช้น้ำหมักสะเดา ป้องกันแมลงได้ เราเน้นป้องกัน ต้องขยันใช้ ตอนแรกขี้เกียจ ตอนนี้เป็นนิสัยแล้ว เพราะเห็นผักสวย แมลงก็ลด”


จันทร์เพ็ญ คำแสน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน อีกหนึ่งสมาชิกที่ร่วมเรียนรู้และยอมปรับเปลี่ยนวิธีผลิต หลังเห็นผลลัพธ์ที่ได้จากการตัดแต่งกิ่งมะเขือเทศและพริก
“เมื่อก่อนใช้เคมี ปลูกมะเขือเทศ 1 งาน ไม่ได้ทำค้าง ปล่อยเลื้อยตามดิน ช่วงนั้นราคาดีได้เงิน 50,000 บาท แต่เก็บผลผลิตได้ไม่กี่รอบ ถ้าตอนนั้นรู้วิธีขึ้นค้างและตัดแต่งกิ่ง น่าจะได้ผลผลิตและเงินเยอะกว่านั้นอีก เพราะการตัดแต่งช่วยให้ผลดก ใหญ่ ธาตุอาหารไปเลี้ยงลูกได้สมบูรณ์ แปลงไม่รก เวลาฉีดพ่นป้องกันแมลงก็ทำได้ทั่วถึงด้วย”
สมาชิกกลุ่มฯ แบ่งสรรพื้นที่นาของตนเองมาทำแปลงปลูกผักคนละประมาณ 2-3 งาน ใช้แรงงานในครัวเรือนเป็นหลัก ปลูกผักสวนครัวหลากชนิดตามความถนัด ทั้งผักชี สาระแหน่ มะเขือเทศ พริก กะเพรา โหระพา ขึ้นฉ่าย ฟักทอง แตงกวา รวมถึงสลัด โดยปลูกทั้งในโรงเรือนและนอกโรงเรือน ซึ่งโรงเรือนปลูกพืชต้นทุนต่ำเป็นอีกหนึ่งความรู้ใหม่สำหรับพวกเธอ
“เราไม่เคยใช้โรงเรือนปลูกพืช แต่ก่อนมีแดด ก็ไม่ลงทำสวน แต่พอมีโรงเรือน ลงไปทำได้ทั้งวันและปลูกผักได้ทุกฤดู อย่างผักชีจากที่เคยทำได้เฉพาะหน้าหนาว หน้าฝนปลูกแล้วไม่ได้ขายเลย ต้นเหลือง พอมีโรงเรือนก็ปลูกในช่วงหน้าร้อนหน้าฝนได้ ปรุงดินและใช้ชีวภัณฑ์ ต้นโตได้ดี ตอนนี้สมาชิกใช้โรงเรือนกันแล้ว 12 คน ใช้ไม้ไผ่เป็นโครงสร้างหลัก”
การรวมกลุ่มเกิดขึ้นเพื่อต้องการความรู้ แต่ในด้านการตลาด แต่ละคนต่างส่งจำหน่ายแม่ค้าที่ตลาดอำเภอราษีไศลเป็นหลัก และหลังจากที่ปรับเปลี่ยนเป็นระบบอินทรีย์ กลุ่มฯ เริ่มเป็นที่รู้จักในพื้นที่และมีลูกค้าแวะเวียนมาซื้อที่แปลงผักเอง
“พริก กะเพรา มะเขือเทศ ผักสวนครัว ถ้ามีในแปลงเก็บทุกอย่างขายได้ เป็นข้อดีที่ปลูกหลายอย่าง ได้เป็นเงินหมด บางคนได้ถึงวันละ 2,000 บาท”


หลังเติมเต็มความรู้จาก สวทช. สมาชิกส่วนใหญ่ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระยะปรับเปลี่ยน ส่วนที่เหลือเริ่มอยากปรับเปลี่ยนการผลิตจากเคมี ทองลักษณ์ บอกว่า คนที่ไม่เริ่มทันทีเพราะยังชินกับระบบเคมีที่ใช้ง่ายกว่า บางคนมองว่าทำมาแต่เกิด ก็ได้ขาย พอมาเรียนรู้ไม่ชินและไม่มั่นใจว่าจะทำได้ แต่พอได้ชิมผักของเพื่อนและเห็นผลผลิตของเพื่อน เริ่มอยากจะลงมือทำ
หนึ่งปีกว่ากับการเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีผลิต ผลลัพธ์ที่ได้เป็นพืชผักดกสวยงามและเป็นที่ต้องการของลูกค้า จันทร์เพ็ญ บอกว่า การที่ สวทช. มาสอนมาให้ความรู้ มาติดตาม เราต้องทำให้รู้ว่าเราทำจริง จากที่เราไม่เคยอยากทำ เราต้องทำให้เห็นผลงาน ทำจนติดเป็นนิสัย แล้วเป็นผลดี เราได้ผลผลิต ได้เงินทุกวันจากที่ไม่เคยได้
ขณะที่ ทองลักษณ์ แกนนำหลักของกลุ่มฯ เตรียมเพิ่มทั้งพื้นที่ปลูก ชนิดผักและจำนวนโรงเรือน “เมื่อก่อนขี้เกียจไปเก็บผัก มันร้อน ผักไม่งาม ไม่มีกำลังใจ แต่พอมีความรู้ มีโรงเรือน ทำแล้วมีความสุข เห็นรายได้ชัด มีกำลังใจที่จะทำ ถ้าไม่มี สวทช. เข้ามา ก็ทำตามที่เคยทำ อยากใส่อะไรก็ใส่ อยากให้ปลอดภัยก็ใช้เว้นระยะเก็บเกี่ยวเอา เพียงปีเดียวเราเปลี่ยนได้แบบนี้ ก็ภูมิใจและดีใจที่ได้รู้จัก สวทช.”
# # #
กลุ่มผู้ปลูกผักบ้านหนองหว้า
หมู่ 9 ต.เมืองคง อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ
โทรศัพท์ 08 5024 5119
(ข้อมูลสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568)