“เรามองว่าโรคใบด่างมันสำปะหลังมีเชื้อไวรัสในท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง ไม่มียาหรือสารเคมีแก้ปัญหาโรคได้ สิ่งที่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด คือ การผลิตต้นพันธุ์สะอาด” คำบอกเล่าจาก เพ็ญนภา บานเย็น ผู้จัดการโครงการวิจัยเกษตร บริษัท พูลอุดม จำกัด บริษัทที่ดำเนินธุรกิจมันสำปะหลังแปรรูปและลงทุนจัดตั้งห้องปฏิบัติเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อรับมือกับโรคใบด่างมันสำปะหลัง

โรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava ​Mosaic Disease: CMD) เริ่มพบการระบาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 สาเหตุจากเชื้อไวรัส Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) การแพร่ระบาดเกิดจากการใช้ท่อนพันธุ์ที่มีโรคและมีแมลงหวี่ขาวยาสูบเป็นแมลงพาหะ ต้นมันสำปะหลังที่ได้รับเชื้อไวรัสจะมีใบมันหงิกงอ ไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ส่งผลให้ผลผลิตเสียหายได้ถึง 80-100% และนั่นย่อมส่งผลต่ออุตสาหกรรมมากมายที่ต้องใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลัก

ในช่วงปี พ.ศ. 2563 สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้จัดอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อให้กลุ่มผู้ประกอบการและโรงแป้งมันสำปะหลัง ซึ่ง บริษท พูนอุดม จำกัด เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่เข้ารับการอบรมและได้จัดตั้งห้องปฏิบัติเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพื่อผลิตท่อนพันธุ์ปลอดโรคและผลิตได้จำนวนมากในระยะเวลาสั้น โดยมีนักวิจัยไบโอเทคและนักวิชาการ สท. ให้คำปรึกษา แนะนำการจัดตั้งห้องปฏิบัติการฯ พร้อมส่งมอบต้นแม่พันธุ์ปลอดโรค (master stock) กว่า 20,000 ต้น ให้บริษัทฯ นำไปขยายพันธุ์ต่อ

เกือบ 5 ปีที่ เพ็ญนภา รับผิดชอบดูแลห้องปฏิบัติการฯ แห่งนี้เพื่อผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรคส่งต่อให้เกษตรกรเครือข่ายของบริษัทฯ ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิและบุรีรัมย์ และมีแผนพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้ท่อนพันธุ์ปลอดโรคมากขึ้นเพื่อกระจายไปยังเกษตรกรในพื้นที่อื่นๆ

“ตอนนี้เราผลิตต้นพันธุ์ได้ 5,000-20,000 ต้น/เดือน เป้าต่อไปที่ 50,000 ต้น และให้ได้ 100,000 ต้นในอีก 2-3 ปี ต้นพันธุ์แต่ละต้นเมื่อแตกกิ่งจะได้ 2-3 ลำ ในหนึ่งลำเกษตรกรจะตัดเป็นท่อนๆ ไปปลูกต่อ ดังนั้นเมื่อเราเริ่มต้นจากท่อนพันธุ์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแค่ 5,000 ต้น เราอาจเพิ่มจำนวนท่อนพันธุ์ที่ปลายทางได้ประมาณ 3-5 เท่า และถ้าเรามีต้นพันธุ์ 100,000 ต้น เราจะเพิ่มพื้นที่ได้เป็นร้อยๆ ไร่ ซึ่งพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังในประเทศมีเป็นล้านไร่ การผลิตหลักแสนต้นยังไม่เพียงพอ แต่เราจะพยายามผลิตให้ได้มากที่สุด”

นอกจากเรียนรู้กระบวนการการผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรคด้วยเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแล้ว การเข้าใจต้นมันสำปะหลัง เป็นอีกเรื่องสำคัญที่ เพ็ญนภา ได้เรียนรู้เพื่อปรับใช้ในกระบวนการผลิต

“อัตราการรอดชีวิตของต้นพันธุ์หลังลงแปลงเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเราต้องเข้าใจต้นมันสำปะหลังก่อน และปรับวิธีการต่างๆ ให้เหมาะกับการเจริญเติบโตของเขา อย่างเช่น ต้นมันสำปะหลังชอบอากาศที่ถ่ายเทสะดวก การอนุบาลในโรงเรือนจึงไม่เหมาะ การเข้าใจและเรียนรู้ต้นมันสำปะหลังเพื่อสุดท้ายแล้วให้ต้นพันธุ์ปลอดโรคเหล่านี้เจริญเติบโตได้ในแปลงและมีอัตรารอดชีวิตประมาณ 80%”

ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหารบริษัทฯ ต่อการรับมือโรคใบด่างมันสำปะหลัง ทำให้บริษัทฯ มีเทคโนโลยี ระบบโครงสร้างพื้นฐานและความเข้มแข็งด้านองค์ความรู้สำหรับสร้างระบบการผลิตขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังได้ยั่งยืนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้เกษตรกรเครือข่ายของบริษัทฯ กว่า 2,000 ครัวเรือน สามารถปลูกมันสำปะหลังเป็นอาชีพต่อไปได้

“โรคใบด่างมันสำปะหลังเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ทำให้เกิดการใช้เทคโนโลยีนี้ขึ้นมา แต่สิ่งสำคัญที่มากกว่านั้น คือ วิกฤตต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตและจะรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เราต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไรกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม หรือโรคใหม่ๆ ที่อาจเข้ามา อย่างภัยแล้งทำให้ท่อนพันธุ์ขาดแคลนได้ ถ้าไม่มีต้นพันธุ์สำหรับผลิตท่อนพันธุ์ใหม่เข้าไปจะทำให้เกษตรกรสูญเสียโอกาส หรือท่อนพันธุ์มีราคาที่สูงกว่าเดิม เกษตรกรต้องลงทุนสูงขึ้น”

นอกจากการใช้ต้นพันธุ์ปลอดโรคที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นทางออกหนึ่งของการรับมือโรคใบด่างมันสำปะหลังแล้ว ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ strip test[1] เป็นเครื่องมือที่เกษตรกรสามารถใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังได้ด้วยตนเอง ดังที่ หนูนา หลวงไชย์ ประธานเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์กลุ่มจังหวัดอีสานล่าง 2 ต.นาคาย อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี บอกว่า ชุดตรวจโรคใบด่างฯ ใช้งานง่าย ช่วยคัดกรองเบื้องต้นได้ ดีกว่าปล่อยให้เกิดการระบาด แล้วทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากเผาทำลาย

หนูนา ใช้ชุดตรวจโรคใบด่างฯ มาแล้ว 2 ปี จากการสนับสนุนของ สท. ภายใต้โครงการสร้างเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในระบบอินทรีย์ ปี 2566-2567 โดยเธอใช้ตรวจท่อนพันธุ์ก่อนนำไปปลูกลงแปลง และสุ่มตรวจในแปลงอีกครั้งเมื่อต้นมันสำปะหลังอายุ 3-4 เดือน

“สุ่มตรวจจากท่อนพันธุ์ก่อน เอาใบอ่อนบนท่อนพันธุ์มาตรวจ และกองไหนที่ลักษณะใบบางๆ แตกต่างจากใบอื่น จะเอามาตรวจด้วย ถ้าเจอว่ามีเชื้อ ก็จะเอาท่อนพันธุ์ไปเผาทำลายทั้งกอง บางทีตรวจไม่เจอตอนเป็นท่อนพันธุ์ ไปเจอตอนที่ลงแปลงแล้ว ก็จะถอนทิ้งทั้งต้น เพื่อไม่ให้ระบาด”  

[1] วิจัยและพัฒนาโดยทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช.

หนูนา เล่าว่า ก่อนมาใช้ชุดตรวจโรคใบด่างฯ อาศัยสังเกตโรคจากลักษณะใบ ต้นไหนมีใบหงิก ผิดรูปร่าง  เป็นไปได้ว่าอาจได้รับเชื้อ ต้องรีบถอนทิ้ง แต่เกษตรกรส่วนใหญ่เสียดาย บางแปลงเจอต้นสองต้นหรือเจอตอนช่วงลงหัวแล้ว ก็ปล่อย ทำให้ระบาดได้

“ถ้าเจอช่วงที่ยังเล็ก ต้องถอนทิ้งทั้งต้น จะไม่เสียหายมากและไม่แพร่เชื้อ แต่ถ้า 5 เดือนมันลงหัวแล้ว ก็จัดการกิ่งที่ใบแสดงอาการ หัวมันอาจเอาไปขายได้ แต่ต้นนั้นจะใช้เป็นท่อนพันธุ์ต่อไปไม่ได้แล้ว”

สมาชิกกลุ่มฯ ได้เรียนรู้การใช้ชุดตรวจโรคใบด่างฯ เช่นกัน และนำไปใช้สุ่มตรวจท่อนพันธุ์ ที่ผ่านมา หนูนา และสมาชิก ได้รับสนับสนุนชุดตรวจโรคใบด่างฯ จาก สวทช. แต่หากมีภาคเอกชนรับถ่ายทอดเทคโนโลยีและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ หนูนา บอกว่า เธอก็พร้อมที่จะซื้อใช้อย่างน้อยได้คัดกรอง ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ ดีกว่าเอามาปลูกโดยไม่รู้ว่ามีเชื้อของโรคหรือไม่

# # #

แหล่งข้อมูล
บทความ สานพลังพิชิต ฝ่าวิกฤตโรคใบด่างมันสำปะหลัง. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ. https://www.nstda.or.th/home/news_post/bcg-delight-casava-cmd-collaboration/.

คลิปวิดีโอ ต้นพันธุ์สะอาด ทางรอดวิกฤตมันสำปะหลัง. สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. https://www.youtube.com/watch?v=P9ZzKzHZneE

สัมภาษณ์เกษตรกร วันที่ 9 เมษายน 2568.

รับมือ “โรคใบด่างมันสำปะหลัง” ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม