เรื่องโดย ผศ. ดร.ป๋วย อุ่นใจ
“อวกาศหอมไหม ?” เจอคำถามนี้เข้าไป เมื่อได้ยินคำตอบ อาจจะถึงอึ้ง
บางคนว่ามันเหมือนเหล็กไหม้
บางคนว่าเหมือนกลิ่นควันเชื่อมโลหะ
บางคนเปรียบว่าคล้ายเนื้อย่างไหม้ ๆ
และบางคนบอกว่าเหมือนกลิ่นดินปืน
ทำไมคำตอบจากทีมนักบินอวกาศถึงได้แปลกประหลาด ไม่ตรงตามทฤษฎี ตามหลักแล้วอวกาศเป็นสุญญากาศ และเมื่อเป็นสุญญากาศก็จะไม่มีอากาศหรืออนุภาคใด ๆ เข้ามาสัมผัสกับจมูกของเราทำให้เกิดกลิ่น ดังนั้นอวกาศควรไร้กลิ่นสิ
แต่พวกนักบินกลับมักยืนยันเหมือนกันว่าแทบทุกครั้งที่กลับเข้ามาในสถานีอวกาศ ตอนที่เข้ามาตรงบริเวณที่เรียกว่า แอร์ล็อก (airlock) ซึ่งเป็นห้องปรับความดันอากาศ พวกเขามักจะได้กลิ่นอะไรสักอย่างที่คล้ายกลิ่นโลหะไหม้ กลิ่นเชื่อมโลหะ กลิ่นเนื้อย่างเกรียม ๆ บนเตาถ่าน
ซึ่งน่าสนใจ …

ห้องแอร์ล็อกของสถานีอวกาศนานาชาติที่นักบินใช้ปรับความดันก่อนและหลังออกไปเดินในห้วงอวกาศ
ที่มาภาพ : NASA, Public Domain via Wikimedia Commons
“จริง ๆ ในอวกาศ คุณไม่ควรจะได้กลิ่นอะไรเท่าไรนัก” เฮเลน ชาร์มาน (Helen Sharman) นักบินอวกาศคนแรกของสหราชอาณาจักรกล่าว
ตอนนั้นเธอไปประจำการอยู่ที่สถานีอวกาศมีร์ (Mir) ของสหภาพโซเวียต ในฐานะนักเคมี ศึกษาวัสดุที่เหมาะจะเอามากรุ เอามาสร้างยาน

สถานีอวกาศมีร์ (Mir) ของสหภาพโซเวียต
ที่มาภาพ : NASA, Public Domain via Wikimedia Commons
ก่อนที่จะเดินทาง อะเลคเซย์ เลโอนอฟ (Alexei Leonov) นักอวกาศรุ่นใหญ่ที่ดูแลนักบินอวกาศจากชาติอื่น ๆ บนมีร์ยื่นกิ่งสมุนไพรเล็ก ๆ ให้เธอ มันเป็นไม้วอร์มวูด (wormwood)
“จริง ๆ อวกาศมันไม่ได้มีกลิ่นอะไรเท่าไรนัก” เธอเล่า “ในสภาพแรงโน้มถ่วงต่ำ อากาศร้อนลอยตัวได้ดีไม่ค่อยดี ถ้าจะดมให้ได้กลิ่น บางทีต้องขยี้แล้วดมในถุง”
เพื่อให้คลายความคิดถึงบ้าน เฮเลนเล่าว่าเธอขยี้กิ่งวอร์มวูดกิ่งนั้นเป็นระยะ ๆ เพื่อสูดกลิ่นสมุนไพรหอม ๆ เพราะมนุษย์ต้องการ “กลิ่นของชีวิต”
และในบางช่วงเวลาเธอก็อยากที่จะได้กลิ่นอะไรสักอย่าง ในสภาพแวดล้อมที่อากาศ (และกลิ่น) นั้นเป็นของแรร์ !
คิดเล่น ๆ อะเลคเซย์เป็นรัสเซีย ส่วนเฮเลนมาจากสหราชอาณาจักร สิ่งที่พกขึ้นไปคือกิ่งสมุนไพร ถ้าเป็นนักบินอวกาศไทย มิแคล้วคงเป็นยาดม (สปอนเซอร์ยาดมต้องมาแล้ว)
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือในยามที่เธอทำภารกิจ เธอต้องทดลองเอาแผ่นวัสดุไปทดสอบที่นอกสถานี ให้มันได้ลองสัมผัสกับอวกาศแล้วรอเวลา และเมื่อดึงมันกลับเข้ามาผ่านช่องแอร์ล็อก สิ่งแรกที่ตีกลับเข้ามาในจมูกคือ “กลิ่น”
“มันเหมือนกับตอนที่เราเป็นเด็ก เวลาเราเดินเข้าไปในอู่ซ่อมรถ…มันมีกลิ่นเหมือนกลิ่นเชื่อมโลหะ”
กลิ่นโลหะไหม้ กลิ่นไฟฟ้าชอร์ต กลิ่นดินปืนที่เพิ่งลั่น
“นั่นแหละการทดลองที่ฉันชอบที่สุด” เธอพูด “ชอบเพราะมัน…มีกลิ่น”
นักบินคนอื่นก็เล่าเหมือนกันว่ากลิ่นนั้นเหมือนโอโซน เหมือนเนื้อย่างเกรียม หรือสายไฟละลาย
นี่คือ…กลิ่นของอวกาศ !
ยังไม่มีใครแน่ใจว่ากลิ่นแปลก ๆ พวกนี้มาจากไหน และมาได้อย่างไร แต่เฮเลนเชื่อว่าพวกมันอาจจะเกิดจาขึ้นมาจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน
ทั้งนี้เพราะอวกาศรอบสถานีอวกาศมีร์นั้นยังไม่ใช่สุญญากาศแท้ ณ ความสูงที่มันอยู่ยังพอจะมีชั้นบรรยากาศที่ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง และที่สำคัญน่าจะยังมีออกซิเจนอะตอม (atomic oxygen) หรือ O ล่องลอยอยู่
อะตอมของออกซิเจนเหล่านี้อาจจะเกาะติดอยู่บนชุดอวกาศและเครื่องมือทดลองต่าง ๆ ที่ส่งออกไปนอกสถานี และเมื่อดึงกลับเข้ามาในข้างใน มันก็อาจทำปฏิกิริยากับออกซิเจนโมเลกุลที่ในสถานี กลายเป็นโอโซน
ออกซิเจนอะตอม (O) + ออกซิเจน (O2) ได้เป็น โอโซน (O3)
ผลพลอยได้คือกลิ่นแรง ๆ คล้ายกลิ่นโลหะ กลิ่นที่เหมือนเหล็กถูกสีแรง ๆ จนเกิดประกายไฟ
แต่นั่นก็เป็นแค่สมมติฐาน บางคนเชื่อว่ากลิ่นนั้นอาจเก่ากว่านั้นมาก มันอาจเป็นกลิ่นของดาวฤกษ์ที่ตายไปแล้ว เมื่อดาวระเบิดตัวเอง มันสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่ที่เรียกว่า พอลิไซคลิกอะโรแมติกไฮโดรคาร์บอน (polycyclic aromatic hydrocarbons)
โมเลกุลเหล่านี้ล่องลอยอยู่ทั่วจักรวาล แม้ไม่ได้มีเยอะมาก แต่ก็มี พวกมันเป็นสารตั้งต้นของการก่อกำเนิดใหม่ของดวงดาว
บนโลกเราเจอมันในถ่านหิน ในน้ำมันดิบ ในควันจากอาหารไหม้ มันคือ “กลิ่นของการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์” หรือ “กลิ่นของโมเลกุลของเขม่าควัน”
กลิ่นของโอโซน เศษดาวตาย เหล็ก ไฟ ฝุ่นดาว และปฏิกิริยาออกซิเดชัน บางโมเลกุลมีกลิ่นเหมือนน้ำมันสน บางโมเลกุลมีกลิ่นเหมือนยากันยุง บางตัวเหมือนยางมะตอยไหม้กลางแดด ทั้งหมดรวมกัน กลายเป็น “กลิ่นแห่งจักรวาล” ที่ติดชุดนักบินกลับมาบนโลก
เฮเลนยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “มันคือกลิ่นที่ฉันไม่มีวันลืม”

และบางทีในกลิ่นโลหะไหม้นั้นอาจมีเสียงสะท้อนของบิกแบง (big bang) เหตุการณ์การระเบิดครั้งใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยปะทุไหม้แล้วดับลงและเป็นต้นกำเนิดของทุกสรรพชีวิตเมื่อหลายพันล้านปีก่อน เหตุการณ์ที่ทำให้เรามีลมหายใจอยู่ตรงนี้ การที่เราหายใจได้คือการสร้างพลังงานเพราะมีออกซิเจนและแก๊สต่าง ๆ
บางทีองค์ความรู้ในเรื่องกลิ่นอาจจะนำพาเราไปไกลกว่านั้น
ไปสู่การค้นหา “ชีวิต”

