คอลัมน์ประจำ สภากาแฟ

Port Fever or Port Fail: รอบพอร์ตฯ ควรยกเลิกหรือยกเครื่อง ?

เรื่องโดย ผศ. ดร.ป๋วย อุ่นใจ


ช่วงนี้ผมค่อนข้างมีงานเยอะ เลยไม่ค่อยมีเวลาตามดรามา แต่วันนี้มีดรามาน่าสนใจ เรื่องราวนี้มีน้องและคุณแม่ของน้องคนหนึ่งส่งมาให้ดู เป็นดรามาในโซเชียลแพลตฟอร์มหนึ่งในห้องที่เด็ก ๆ เขาเอาพอร์ตโฟลิโอ (แฟ้มสะสมผลงาน) สำหรับเข้ามหาวิทยาลัยมาโชว์และมาเเชร์กัน

เรื่องของเรื่องคือมีเด็กคนหนึ่งมาเปิดพอร์ตฯ โชว์ในโซเชียล หลังจากมั่นใจว่าพอร์ตฯ ตัวเองนั้นเจ๋งพอที่จะทำให้เขาติดรอบสัมภาษณ์ในมหาวิทยาลัยดังหลายแห่ง ซึ่งก็เป็นอะไรที่ปัจจุบัน หลายคนทำกันเป็นปกติ ทั้งที่จริงไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง

แต่เรื่องมันแดงขึ้นมา ตอนที่มีผู้ใช้อีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นคุณแม่เพื่อนร่วมโรงเรียนมาโพสต์โต้แย้งว่าทำไม ผลงานที่ใส่ในพอร์ตฯ มันดูทะแม่ง ๆ เธอมั่นใจว่าผลงานที่ปรากฏอยู่ในแฟ้มที่โชว์อยู่นั้นไม่ใช่ของน้องคนที่โพสต์เปิดพอร์ตฯ แต่เป็นของลูกชายเธอ พร้อมตั้งคำถามไว้ว่า ทำไมคนที่อ้าง… ติดสัมภาษณ์ แต่คนที่ทำจริงกลับไม่ผ่านคัดเลือก

ราวฟ้าผ่าลงมากลางวง โพสต์ของคุณแม่ท่านนี้คือเสียงโหวกเหวกที่ดังกระหึ่มเชื้อเชิญให้ทัวร์มาลง ไม่ช้าไม่นาน เหล่าลูกทัวร์ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง จัดเต็ม จัดหนัก ซัดกันแบบแรง ๆ จนเจ้าของโพสต์ถึงขั้นร้อนอาสน์ ต้องรีบเร่งมาขอโทษขอโพย พร้อมทั้งยอมรับและจะออกมาแสดงความรับผิดชอบโดยการสละสิทธิ์การเข้าสัมภาษณ์ทั้งหมด

แน่นอนว่าบางคนก็เห็นด้วย และแค่อยากว่ากล่าวตักเตือนให้รู้สึกสำนึกผิด แต่อีกกลุ่มก็บอกว่าแค่ขอโทษยังเบาไป ที่จริงควรต้องโดนโทษอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งแบล็กลิสต์และการดำเนินการอื่น ๆ ในเชิงกฎหมาย

แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น เพราะที่พีกกว่าคือผลงานที่ลอกเพื่อนมา ดันไม่ใช่ของเพื่อน สรุปเพื่อนก็ไปก๊อบปี้ของคนอื่นมาเคลมเป็นผลงานตัวเองอีกรอบ กลายเป็นประเด็นให้สอบสวนต่อ

ทั้งหมดนี้ย้อนกลับมาสะท้อนให้เราคิดถึงปัญหาในเชิงระบบว่าแท้จริงแล้วระบบพอร์ตฯ นั้นดีจริงหรือควรยุบให้หายไป

รอบพอร์ตฯ ที่จริงมีมาเนิ่นนานแล้ว และออกแบบมาดีมาก จากความตั้งใจที่จะทำลายระบบ “สอบวัดดวงทีเดียวกำหนดชะตาไปเลยทั้งชีวิต” ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของเด็กบางกลุ่ม

ดังนั้นรอบพอร์ตฯ เลยเหมือนเป็นการเปิดให้เด็กที่เก่งปฏิบัติ เก่งคิด เก่งกิจกรรม มีแพสชันแต่ไม่เก่งสอบ ได้มีพื้นที่ยืนในระบบ ให้พวกเขาสามารถค้นหาตัวเอง และบอกเล่าเรื่องราวของชีวิตของพวกเขาในแบบที่เขาเป็น ให้ความหลากหลายของอัจฉริยภาพได้ปรากฏเป็นภาพสะท้อนที่สวยงามบนแผ่นกระดาษ คลิป หรือบางทีก็ไฟล์ PDF

มองเผิน ๆ คือความตั้งใจดี แต่เมื่อความตั้งใจดีแบบนี้มาอยู่ในระบบนิเวศที่ไม่พร้อมและค่านิยมแบบหยวน ๆ แต่ไม่ยอมแพ้ใคร ทุกอย่างก็เลยผิดเพี้ยนง่อนแง่นอย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้

ผมจำได้ว่าผมเคยถามติวเตอร์ดังท่านหนึ่งว่า “ทำไมตอนนี้รอบพอร์ตฯ เด็กต้องทำเปเปอร์ด้วย ให้เด็กได้มีโอกาสไปค้นพบตัวเองก่อนดีกว่าไหม จริง ๆ แล้วเปเปอร์ไม่ได้เป็นอะไรที่สลักสำคัญขนาดนั้นในการพิจารณา ที่สำคัญถ้าทำไม่ดี แล้วไปลงในวารสารที่เป็น predatory หรือพวกวารสารล่าเหยื่อ จ่ายครบ ลงได้ ไม่มีมาตรฐาน อาจจะเสียมากกว่าดีด้วยซ้ำ” คำตอบที่ผมได้ทำให้ผมถึงกับชะงักไปพักนึง “ก็คนอื่นมี เราก็ต้องมี เดี๋ยวพอร์ตฯ จะสู้เพื่อนไม่ได้

แต่ใช่ว่าเด็กทุกโรงเรียนจะมีโอกาสได้ทำโครงงานหรืองานวิจัยแบบเดียวกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วเด็กจะได้มีโครงงานหรือไม่ หรือจะมีกิจกรรมเสริมการเรียนรู้มากน้อยแค่ไหน ไม่ได้ขึ้นกับตัวนักเรียนขนาดนั้น แต่ขึ้นกับครู

ถ้าครูเก่งและรักในการโคชเด็กทำโครงงานประกวด เด็กก็มีโอกาสมากที่จะได้ทำโครงงานดี ๆ และมีโอกาสได้ไปแข่งขันในระดับต่าง ๆ ระดับภาค ระดับประเทศ หรือแม้แต่ไปแข่งในระดับอินเตอร์ ซึ่งแน่นอนว่าพอชนะได้รางวัลอะไรมาสักอย่าง ก็จะเป็นผลงานประดับพอร์ตฯ ระดับพรีเมียมมิต่างเปเปอร์

ทว่าใช่ว่าครูที่ชอบทำโครงงานจะหาได้ง่าย นั่นหมายความว่าถ้าครูในโรงเรียนเดินไม่ได้ พ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กก็ต้องขวนขวายหาทางไปเอาเอง และนี่คือความเหลื่อมล้ำแบบขั้นสุด เพราะเฉพาะคนที่มั่งมีเท่านั้นที่จะมีโอกาสที่จะหาโคชดี ๆ มาช่วยบ่มเพาะน้อง ๆ ให้เก่งได้ด้วยตัวเอง และถ้าอยากได้โคชดี ๆ ราคาต้องมีจ่าย เรียกได้ว่ากระเป๋าแทบฉีก

โคชทำพอร์ตฯ โคชวิจัย โคชเขียน โคชเปเปอร์ หลายรายราคาขึ้นไปแตะหลักแสน คือต้องยอมรับว่าบางรายก็ดี ช่วยสอน ช่วยบ่มเพาะเด็กให้เก่งจริง ๆ ด้วยตัวเอง ให้คำปรึกษา พาไปหาผู้เชี่ยวชาญ พาไปหาแล็บทำวิจัย พาไปแข่ง พาไปประกวด และพาให้เขียน แต่บางรายก็แสบ แทนที่จะช่วยกลับเอาข้อมูลเด็กมานั่งเทียนเขียนให้ บางทีก็ทำเปเปอร์ขึ้นมาแบบลวก ๆ แล้วส่งไปตีพิมพ์วารสารล่าเหยื่อโดยไม่สนใจว่าอนาคตเปเปอร์ที่มีชื่อเด็กนี้อาจจะย้อนกลับมาทำลายอนาคตของตัวเด็กเองด้วย

แน่นอนที่สุด นอกจากงานวิจัยและโคชแล้ว ค่ายเสริมการเรียนรู้ต่าง ๆ ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดที่ได้ฝนแรกแห่งฤดูวสันต์ ไม่ว่าจะเป็นค่ายแข่ง ค่ายวิจัย ค่ายติวเข้ม บางค่ายก็ตั้งชื่อให้ดูคล้ายมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยที่มีคุณภาพ แต่ความจริงเป็นใครก็ไม่รู้มาจัดเก็บเงินและออกใบประกาศนียบัตรที่ไม่มีคุณค่าและไม่มีมาตรฐานอะไรออกมาให้เด็กเอาไปประดับให้รกพอร์ตฯ บางโรงเรียนก็ต้องจัดกิจกรรมสารพัดเพื่อให้เด็ก “มีอะไรไปใส่พอร์ตฯ” มากกว่าจะให้เด็กได้ทำกิจกรรมเพื่อจะทำให้เด็กเติบโตและเรียนรู้ชีวิต

พอร์ตฯ ซึ่งควรเป็น “บทบันทึกการเติบโต” กลายเป็น “แคตตาล็อกแห่งความพยายามและใบประกาศ” เล่มงามที่ทำออกมาได้อย่างเนี้ยบ เหมือนจะแฟนซีและมีความคิดสร้างสรรค์ แต่พอมานั่งดูกันจริง ๆ กลับมีรูปแบบที่เหมือนกันอยู่ไม่กี่แบบ และนั่นเป็นเพราะแฟชั่นการเปิดพอร์ตฯ

ถ้าว่ากันตามหลักปฏิบัติของ TCAS และแนวทางของคณะต่าง ๆ “การเปิดพอร์ตฯ ให้สาธารณะดู” ไม่ถือว่าผิดกฎ ตราบใดที่เป็นของจริง ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ และไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ ที่ไม่ควรเปิด เช่น ข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่น เอกสารที่ต้องเก็บเป็นความลับของการแข่งขันหรือองค์กร

ที่จริงหลายมหาวิทยาลัยก็มีการเปิดเผยแนวทางและตัวอย่างพอร์ตฯ ออกมาให้ดู เพื่อให้เด็กที่อยากสมัครได้เห็นแนวทาง แต่แทนที่เด็กจะมองเป็นไกด์ไลน์ กลับกลายเป็นเทมเพล็ตที่ทำให้พอร์ตฯ ในรุ่นต่อ ๆ มาออกมาคล้ายกันจนน่าตกใจ หน้าตารูปเล่ม การจัดอาร์ตเวิร์ก การจัดวาง หรือแม้แต่สำนวนเนื้อหา โครงเรื่อง และการสะท้อนการเรียนรู้ (reflection)

ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะเด็กหลายคนอาจจะได้ “แรงบันดาลใจ” จากพอร์ตฯ ของรุ่นพี่ที่เคยติดสัมภาษณ์มากเสียจนทำของตัวเองออกมาทั้งเนื้อหาและฟอร์แมตเหมือนของเดิมเกือบเป๊ะ แก้แค่ชื่อ

คิดว่าทำออกมาแล้วน่าจะติด ถ้าปีก่อนติด ปีนี้ทำออกมาแบบแนวเดียวกัน โพรไฟล์คล้าย ๆ กันก็น่าจะติดไม่ต่างกันไหม คำตอบคือไม่มีการการันตีใด ๆ เนื่องจากกลุ่มผู้สมัครของเด็กในแต่ละปีนั้นไม่เหมือนกันซึ่งหมายความว่าต้องมาลุ้นกันตรงหน้าปีต่อปี

ที่แย่ยิ่งกว่าคือมีพวกรับจ้างทำพอร์ตฯ เอาไปทำเป็นเทมเพล็ต จ่ายมา ได้เล่ม ปั๊มออกมาเหมือนกันแทบทั้งเล่มซึ่งน่าเสียดาย เพราะมันขัดต่อเจตนารมณ์ที่รอบพอร์ตฯ ต้องการ นั่นคือ “เรื่องราวและความเป็นตัวของตัวเอง”

มาถึงจุดนี้ ผมเริ่มมองในอีกมุม แล้วถ้าเด็กไม่ได้จ้างโคช แต่หันไปพึ่งเอไอล่ะ เอไอจะทำอะไรให้เด็กรอบพอร์ตฯ ได้บ้าง ?

ผมเอาคำถามนี้ไปถาม ChatGPT และสิ่งที่มันตอบมาคือ “ทำได้แทบทุกอย่าง” ตั้งแต่คิดไอเดีย เขียนเลย์เอาต์ ร่างโครงพอร์ตฯ เขียนคำบรรยายผลงาน ตรวจแกรมมา ช่วยประมวลและสร้างไอเดียผลงานใหม่ ไปจนถึงจัดหน้า ทำเทมเพลตสวย ๆ ใน Canva/Figma เรียกว่ารับจบได้สบาย ๆ ขอแค่ให้ข้อมูลมาก็พอ

ประเด็นคือสิ่งที่เขียนมาในพอร์ตฯ นั้นสะท้อนความเป็นตัวตนของเด็กแค่ไหน ตรงกับชีวิตจริงของเด็กมากน้อยแค่ไหน และถ้าพอร์ตฯ ที่แนบมาคือตัวตนของเด็กจริง ๆ การโดนถามในห้องสัมภาษณ์ เด็กจะต้องเล่าเรื่องนี้ด้วยคำของตัวเองได้อย่างชัดถ้อยชัดคำไม่ตะขิดตะขวง

เพราะเวลาสัมภาษณ์ แค่จับทางคำตอบเป็นก็บอกได้แล้วคร่าว ๆ ว่าเด็กรู้จริงแค่ไหน มีแนวคิดในการทำวิจัยจริงหรือเปล่า ง่ายที่สุดคืออ่าน “ลำดับขั้นความคิด (taxonomy)” เช่น ลำดับขั้นความคิดแบบ DOK (depth of knowledge), ลำดับขั้นการคิดแบบบลูม (bloom taxonomy) หรือแม้แต่ลำดับขั้นความคิดในเชิงโครงสร้าง (SOLO taxonomy) ซึ่งการมองลำดับขั้นความคิดด้วยวิธีเหล่านี้จะสะท้อนแนวคิดและความสามารถของเด็กได้ชัดเจน

ถ้าเด็กมีลำดับขั้นทางการคิดในระดับสูง คือ คิด วิเคราะห์ วิพากย์ ต่อยอดได้เอง ไม่ใช่แค่จำมาพูดต่อเหมือนนกแก้วนกขุนทอง และส่วนใหญ่ถ้าลอกมา หรือมีคนบอกให้ทำตามคำสั่ง ไม่ได้เคยใช้ความคิดหรือขลุกอยู่กับสิ่งนั้นจริง ๆ ด้วยตนเอง คำตอบส่วนใหญ่ก็น่าจะติดอยู่ในลำดับขั้นความคิดในระดับต่ำถึงกลาง ยิ่งถ้าถามให้ตอบแบบไว ๆ บวกกับประหม่าในตอนสัมภาษณ์ด้วยแล้ว

แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่บางคนอาจมีแนวคิดฟุ้งซ่านไปไกลซึ่งอาจต้องมองละเอียดว่าคิดไกลเพราะรู้จริงหรือแค่ฟุ้งฝอยไปเรื่อยตามจินตนาการ

ถึงอย่างนั้นก็มีความเสี่ยงอยู่ดี ที่เด็ก หรือโคช หรือครูอาจจะให้เด็กจดจำแนวคิดในเชิงลึกมากกว่าที่เด็กคิดเองได้ ย้ำให้ฝังหัว แล้วเอามาตอบ และก็เป็นไปได้อีกเช่นกันที่เด็กบางคนอาจเอาแนวคิดทางปรัชญาการศึกษา ไปเขียนพรอมต์ (prompt) ถามเอไอ จำคำตอบมาจากเอไอ แล้วเอามาปรับพอร์ตฯ ตัวเอง หรือแม้แต่จำเอามาตอบกรรมการสัมภาษณ์

ถามว่าแบบนี้มหาวิทยาลัยรับได้ไหม คือถ้ามองกันแบบแฟร์ ๆ แบบนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวปกติใช่หรือไม่ เราจะรู้ได้ยังไงว่าเด็กคนไหนที่ก๊อบปี้คำเอไอมาพูดโดยไม่เข้าใจ คิดต่อยอดอะไรไม่ได้ และคนไหนเรียนรู้ไอเดียจากเอไอมาจริง ๆ และมีแนวคิดลุ่มลึกในหัวข้อนั้น ด้วยข้อมูลตรงหน้าและเวลาที่จำกัดของการสัมภาษณ์

นี่คือความท้าทายที่อาจารย์มหาวิทยาลัยผู้เป็นกรรมการต้องเจอ และหลายครั้งเราก็ได้เด็กที่ไม่เหมาะหลุดเข้ามาเรียน ท้ายที่สุดได้เข้ามาเรียนแบบไม่มีความสุข หลายคนซิ่วไปในปีต่อมา แต่บางรายหนักหน่อยก็อาจซึมเศร้าและอาจสับสนกับชีวิตตัวเองไปเลย

เช่นนี้เราควรพิจารณายกเลิกรอบพอร์ตฯ ไปเลยดีไหม? คำตอบสั้น ๆ เลย คือ “ไม่” แต่สิ่งที่เราควรคิดก็คือเราจะทำอย่างไรให้รอบพอร์ตฯ นั้นคัดเด็กและส่งเด็กไปให้ถึงฝั่งฝันได้จริง

ผมลองถามเอไอ “แล้วพอร์ตฯ ที่ดีควรมีอะไรบ้าง?” คำตอบที่ได้น่าสนใจ ChatGPT ตอบผมว่า “ในมุมกรรมการ พอร์ตฯ ที่ดีจริง มักมี 4 ส่วนซ้อนกันอยู่

  1. บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของผู้สมัคร เพราะทุกผู้สมัครมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นแตกต่างกัน พอร์ตฯ ที่ดีจึงต้องนำเสนอตัวตนของเด็กให้ชัดเจน ไม่ใช่จ้างทำมา หรือฟอร์แมตมาเหมือนโพรดักต์จากไลน์ผลิตอุตสาหกรรม
  2. เส้นทางการเจริญเติบโต ข้อนี้สำคัญเพราะพอร์ตฯ ไม่ได้ไว้แค่ลิสต์กิจกรรมแต่ต้องแสดงถึงแบบแผนของการพยายามที่จะพัฒนา ความสม่ำเสมอและคุณภาพ เพราะสิ่งเหล่านี้คือปัจจัยบ่งชี้ศักยภาพ
  3. ประสบการณ์จริงที่มีความหมาย ไม่ใช่แค่ “ไปเข้าค่ายหรือทำโครงงาน” อะไรแต่ต้องบอกให้ได้ว่าได้ทำอะไรจริง รับผิดชอบอะไรจริง เริ่มอย่างไร สะดุดตรงไหน ลุกอย่างไร และสิ่งที่ได้มานั้นมันเปลี่ยนแนวคิดอะไรให้เราบ้าง ผลงานที่เลือกมาควรเลือกอย่างชาญฉลาดควรมีความเกี่ยวข้อง คุณภาพ (ที่ตรวจสอบได้) มีคุณค่าต่อการพิจารณา
  4. การเล่าเรื่อง การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ พอร์ตฯ ที่ดี นักเรียนต้องเขียนอธิบายได้ว่าตัวเองเรียนรู้อะไรจากสิ่งที่ได้ทำอะไรลงไป จะเชื่อมโยงไอเดียจากอดีตถึงปัจจุบันไปอนาคตอย่างไร แต่ไม่ใช่แค่เล่าเรื่องตัวเองให้คนอื่นเข้าใจ ถ้าเล่าแค่นี้ง่ายและฉาบฉวยเกินไป การเล่าเรื่องที่ดีต้องสะท้อนอัตลักษณ์ของตัวตน ในแต่ละกิจกรรมจะต้องแสดงความสุกงอมทางความคิดออกมาให้เห็น และที่สำคัญควรเชื่อมโยงกับสายอาชีพ สาขาที่สมัครเรียนด้วย

ศิลปะในการนำเสนอก็สำคัญ ผมให้ทิปและทริกไว้นิดนึงครับ ถ้าคุณเป็นเด็กรอบพอร์ตฯ ลองใช้คีย์เวิร์ดที่ให้ไว้ก่อนหน้า เช่น บลูม, DOK, SOLO มาเขียนพรอมต์ (prompt) ให้เอไอช่วยไกด์ว่าแนวคิดที่กรรมการอยากได้คืออะไร บางทีคุณอาจจะเจอแนวทางในการคิดทำพอร์ตฯ และเขียนพอร์ตฯ แบบลึกลงไปอีกขั้น

มาถึงตรงนี้ผมก็มานั่งคิดต่อว่าแล้วจุดอ่อนของระบบนี้คืออะไร และอะไรเป็นตัวแปรที่จะขับเคลื่อนรอบพอร์ตฯ นี้ให้ไปถึงดวงดาวได้จริง แน่นอนทุกอย่างขึ้นกับตัวเด็กเอง เด็กต้องพร้อมลุย หนักเอาเบาสู้ ผู้ปกครองต้องเข้าใจและพร้อมสนับสนุนทั้งทางอารมณ์ การเงิน และอื่นๆ แต่ตรงนั้นบางทีเราจะไปเปลี่ยนอะไรก็คงยาก

แต่ตัวแปรที่สำคัญที่สุดที่น่าจะปรับเปลี่ยนได้ถ้าเราวางนโยบายดี ๆ ก็คือ…ครู

เพราะถ้าเด็กอยากทำโครงงาน แต่ไม่มีครูที่พร้อมจะลุยไปด้วยกัน คอยเป็นพี่เลี้ยงและผลักดันงานวิจัยให้เดินต่อได้ โอกาสไปถึง “ฝั่งฝัน” ก็ดูเลือนรางไปตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

เด็กอยากทำพอร์ตฯ ให้สวยงามและมีความหมายเพื่อต่อยอดไปสู่คณะที่ใช่ แต่ครูแนะแนวก็ไม่เข้าใจธรรมชาติของแต่ละวิชาชีพดีพอ แถมยังอาจต้องทำงานจิปาถะในโรงเรียน แล้วใครจะช่วยให้เด็กค้นพบตัวเองได้ ในเมื่อคนที่ควรเป็น “เข็มทิศ” เองก็ไม่มีแผนที่อยู่ในมือ แถมยังอาจไม่มีเวลา แบบนี้สุดท้ายเด็กจะทำพอร์ตฯ ดี ๆ ขึ้นมาได้อย่างไร คงมีแต่ความพยายามลอย ๆ และความงงงวยในใจตัวเอง (ถ้าไม่เอาเงินมาแก้ปัญหาแล้วจ้างโคช)

ผมเชื่อว่าถ้าเรามีครูที่ “เป็นครูโครงงาน” จริง ๆ ครูที่รู้วิธีมองหาโจทย์ที่เหมาะกับบริบทของโรงเรียน และออกแบบโครงงานวิจัยที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ตรงกับระดับของเด็ก ไม่ยากเกินไปจนกลายเป็นงานโชว์ของครู และไม่ง่ายเกินไปจนกลายเป็นงานฉาบฉวย เด็กได้แต่ทำตามใบสั่ง แค่นี้ก็เปลี่ยนเกมได้มากแล้ว ครูที่กล้าชวนเด็กคิด ชวนเด็กเถียง ชวนเด็กออกแบบ และให้เด็กได้ “เป็นเจ้าของงาน” ของตัวเอง เข้าใจทั้งแนวคิดและกระบวนการ ไม่ใช่แค่เป็นร่างทรงทดลองแทนครู ผมว่าระบบพอร์ตฯ จะเริ่มแสดงความสวยงามของมันออกมาได้โดยไม่ต้องมีใครออกมาโฆษณาหรือกางปีกป้อง

ยิ่งถ้าในโรงเรียนมีครูแนะแนวที่ทำหน้าที่มากกว่าการแจกใบสมัคร แต่ช่วยเด็กมองเส้นทางชีวิต มองศักยภาพและข้อจำกัดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ชวนให้เด็กลอง–พลาด–ลองใหม่ในพื้นที่ปลอดภัย และคอยสอนให้เด็ก “อ่านชีวิตตัวเอง” ย้อนกลับ แปลงประสบการณ์ในค่าย ชมรม โครงงาน และกิจกรรมจิปาถะให้กลายเป็นบทเรียน ไม่ใช่แค่ประกาศนียบัตรอีกหนึ่งใบไว้กรอกลงพอร์ตฯ โดยไม่ได้เข้าใจอะไรเพิ่มขึ้น พอร์ตฯ ที่ออกมาจากมือเด็กกลุ่มนี้จะไม่ใช่ไฟล์ PDF หนา ๆ แต่เป็นบันทึกการเติบโตที่พูดกับกรรมการได้จริง

อีกอย่างที่ควรปรับคือ เกณฑ์ เพราะถ้ามหาวิทยาลัยยอมลงมาช่วย “เปิดแผนที่” ให้ชัดเจนกว่านี้ แจ้งออกมาเลยให้ชัดว่าเกณฑ์ที่ใช้มองพอร์ตฯ คืออะไร อธิบาย DOK, Bloom, SOLO ให้กลายเป็นภาษากลางที่ทุกฝ่ายเข้าใจร่วมกัน ว่ากำลังมองหา “ความลึกของการคิด” “คุณภาพของการเรียนรู้” แบบไหน ไม่ว่าจะอยู่ในโรงเรียนใหญ่ในเมือง หรือโรงเรียนเล็กต่างจังหวัด แบบนี้ก็จะยุติธรรมขึ้นทั้งกับเด็กและกับกรรมการ

เราอาจลดการแข่งขันไม่ได้ พอร์ตฯ อาจยังต้องเป็นสนามแข่งอยู่เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยถ้ามีเกณฑ์ชัด มีหมุดหมายชัด มีครูที่รู้บทบาทของตัวเอง มีมหาวิทยาลัยที่สื่อสารเกณฑ์อย่างโปร่งใส รอบพอร์ตฯ จะไม่ใช่แค่ฤดูกาลที่ทุกคนมานั่งจัดแคตตาล็อกใบประกาศอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นเวทีที่เด็กได้เล่า “ตัวตนที่เขาใช้เวลาสร้างมา” อย่างสมศักดิ์ศรีของคำว่าการศึกษา (ส่วนจะได้ไม่ได้นั้นอีกเรื่อง)

อย่าลืมว่าพอร์ตฯ ไม่ใช่แค่สมุดสะสมใบประกาศแต่เป็น บันทึกของการเรียนรู้และเติบโตของเด็ก และถ้าเราออกแบบระบบพอร์ตฯ ให้มองเห็น “คน” มากกว่า “กระดาษ” วันหนึ่งบางทีพอร์ตฯ ของเด็กไทยอาจไม่ใช่แค่ตั๋วผ่านประตูมหาวิทยาลัย แต่เป็นหน้าต่างที่ทำให้เรามองเห็นอัจฉริยะที่ซ่อนอยู่ในประเทศนี้ได้ชัดขึ้นจริง ๆ แบบที่ข้อสอบกลางที่ไหนก็ไม่สามารถวัดได้มาก่อน

About Author