คอลัมน์ประจำ สภากาแฟ

ปัญหาฟอสซิลกับ “ทรราชย์จิ๋วดึกดำบรรพ์” คู่แข่งฉกาจฉกรรจ์ของทีเรกซ์

เรื่องโดย ผศ. ดร.ป๋วย อุ่นใจ


เคยสังเกตไหมครับว่าหน้าตาของ “ไดโนเสาร์นักล่า” ในภาพยนตร์จูราสสิคพาร์คหรือจูราสสิคเวิร์ลด์ซีรีส์นั้นเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

ทำไมน่ะหรือ ? เป็นเพราะว่ามีคนขุดคุ้ยเจอหลักฐานทางบรรพชีวินวิทยาเพิ่มเติม และบางทีหลักฐานที่เจอใหม่ก็ดันไปลบล้างภาพลักษณ์เดิม ๆ ของไดโนเสาร์บางตัวที่เราเคยจินตนาการกันเอาไว้ในอดีต

อย่างเช่นพวกตระกูลไดโนเสาร์ล่าเนื้อขนาดไม่ใหญ่มากนักอย่างพวกแรปเตอร์ (raptor) ที่เคยมีภาพจำว่ามีหน้าตาละม้ายคล้ายสัตว์เลื้อยคลานที่มีรูปร่างปราดเปรียว ว่องไว  แนวคิดเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของไดโนเสาร์กลุ่มนี้ชัดเจนมากจนถูกเอาไปตั้งเป็นชื่อวงศ์ (family) ในเชิงอนุกรมวิธานว่า “โดรเมโอซอริด (Dromaeosaurid)” ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษากรีก 2 คำ โดรมิออส (δρομαῖος) ที่แปลว่าวิ่งไว ปราดเปรียว และซอรอส (σαῦρος) ที่แปลตรงตัวว่าสัตว์เลื้อยคลานในตระกูลกิ้งก่า จิ้งจก หรือจิ้งเหลน (lizard)

นั่นหมายความว่าภาพจำของพวกไดโนเสาร์ในกลุ่มนี้อย่างเล็บพิฆาตไดโนนีคัส (Deinonychus) หรือแรปเตอร์ก็คือสัตว์เลื้อยคลานที่ปราดเปรียว ก็จะเป็นประมาณ “จิ้งเหลนลมกรด (running lizard)” อะไรประมาณนั้น

ทว่าหลักฐานใหม่ที่เพิ่งขุดค้นพบขึ้นมาในระยะหลังเกี่ยวกับไดโนเสาร์ตระกูลนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของพวกมันในสายตาของนักวิทยาศาสตร์เริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่มองว่าน่าจะละม้ายคล้ายจิ้งเหลน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกมันน่าจะมีความคล้ายคลึงกันกับพวก “นก” มากกว่า เพราะเจอรอยประทับของไดโนเสาร์ในตระกูลนี้บางตัวมีร่องรอยเหมือนขนนกอยู่

และนั่นทำให้ไดโนเสาร์ในตระกูลนี้ที่สร้างขึ้นมาใหม่ในช่วงยุคหลัง จะไม่ใช่ “จิ้งเหลนลมกรด” อีกต่อไป แต่เป็นตัวอะไรสักอย่างที่อยู่ตรงกลางก้ำกึ่งระหว่างไดโนเสาร์ จิ้งเหลน และนก ยิ่งพวกที่ถูกค้นพบใหม่ด้วยแล้ว หน้าตาที่จินตนาการออกมานั้นบอกได้เลยว่าแทบจะไม่มีความเป็นจิ้งเหลนหลงเหลืออยู่เลย

อย่างไดโนเสาร์ตระกูลศรี (Shri) สองชนิดที่ค้นพบในทะเลทรายโกบี ทั้ง ศรี เทวี (Shri devi) (ที่ตีพิมพ์ออกมาในปี ค.ศ. 2021) และ ศรี ราแพกซ์ (Shri rapax) (เพิ่งเปิดตัวออกมาในปี ค.ศ. 2025) หน้าตาออกมาชัดเจนมาก มีปีกเหมือนนก มีขนเหมือนนก แม้ความปราดเปรียวจะไม่เท่าไหร่ถ้าเทียบกับภาพเก่าของไดโนเสาร์ตระกูลนี้ แต่มีปีกมีหางครบ ก็อาจจะว่องไวได้เหมือนกัน


ศรี เทวี
ที่มาภาพ : FunkMonk – Own work, CC BY-SA 3.0 via Wikimedia Commons


ศรี ราแพกซ์
ที่มาภาพ : Connor Ashbridge – Own work, CC BY 4.0 via Wikimedia Commons

แต่ถ้าถามว่าสรุปแล้วหน้าตาของไดโนเสาร์พวกนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ? คำตอบก็คือยังบอกไม่ได้ และที่จริงไม่มีใครเลยที่จะบอกได้

เพราะหลักฐานซากฟอสซิลที่เหลืออยู่ให้เราตีความนั้นมันอยู่ยงคงกระพันผ่านร้อนผ่านหนาวมานานนับล้านปี ที่เหลืออยู่ถ้าไม่กลายเป็นหิน ก็ผุกร่อนไปตามเวลา เพราะงั้นถ้าจะดูจากที่เหลือรอดมา ยังไม่ถูกทำลาย อย่างไรก็บอกยาก เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างคือการคาดเดา ไม่มีใครเคยเห็นของจริงหรือแม้แต่ซากที่สมบูรณ์จริง ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยสักคน

นั่นหมายความว่าภาพของไดโนเสาร์ที่ปรากฏในสารานุกรม วิกิพีเดีย หนังสือเด็ก หรือแม้แต่เปเปอร์วิชาการ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเสริมแต่งด้วยจินตนาการลงไป ทั้งจากตัวศิลปินที่สร้างภาพขึ้นมาและนักวิทยาศาสตร์ที่คอยจะช่วยกำกับไม่มากก็น้อย

และในบางทีจินตนาการกับหลักฐานก็ไม่สอดคล้อง…

นั่นคือสาเหตุที่เมื่อไหร่ก็ตามแต่ที่มีการค้นพบอะไรใหม่ในทางบรรพชีวินวิทยา ภาพจำไดโนเสาร์ที่เราเคยเห็นจนชินตาในหน้าหนังสือหรือภาพยนตร์ก็จะเปลี่ยนไปแบบที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ล่าสุดมีเปเปอร์ที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาในวารสาร Nature ปี ค.ศ. 2025 หนึ่งวันก่อนวันปล่อยผี นำเสนอหลักฐานใหม่ที่ทำให้สมมติฐานและทฤษฎีเกี่ยวกับการดำรงชีวิตและการเจริญเติบโตของไดโนเสาร์ล่าเนื้อชื่อดัง ไทแรนโนซอรัส เรกซ์ (Tyrannosaurus rex) หรือที่เรียกว่า ที. เรกซ์ (T. rex) ต้องสั่นสะเทือน

ทำไมน่ะหรือ…

เพราะว่าซากฟอสซิลโบราณที่แสนจะโด่งดัง “Dueling Dinosaurs” หรือ “ดวลไดโนเสาร์” ที่แคปเชอร์ฉากการต่อสู้ระหว่างไดโนเสาร์ล่าเนื้อสุดเหี้ยมกับคู่ปรับสามเขาที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความดุร้ายอย่าง “ไทรเซอราทอปส์ (Triceratops)” เก็บเอาไว้เป็นฟอสซิล


แบบจำลองซากฟอสซิล “ดวลไดโนเสาร์” จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ธรรมชาตินอร์ทแคโรไลนา

ที่มาภาพ : Geekgecko, Public Domain via Wikimedia Commons

เชื่อกันว่าตอนที่สองไดโนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ขี้โคลนก็ถล่มลงมาพอดี ทั้งคู่ก็เลยถูกฝังเอาไว้ด้วยกัน กลายเป็นหินไปด้วยกัน และกลายเป็นฟอสซิลในตำนานด้วยกันไปตั้งแต่ 67 ล้านปีก่อน

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่สามเขา แต่อยู่ที่ไดโนเสาร์นักล่า เพราะนักวิจัยส่วนหนึ่งเชื่อว่านักล่าตัวนี้คือ “ทีเรกซ์” ทรราชย์ชื่อดังแห่งยุคครีเทเชียส แม้ว่าจะมีคนถกเถียงและตั้งข้อสงสัยว่าจะใช่เหรอ เพราะตัวนี้ขนาดมันจิ๋วกว่าทีเรกซ์เยอะ ถ้าเทียบน้ำหนักแล้ว เล็กกว่ากันเกือบสิบเท่า แต่กลุ่มที่ชื่นชอบก็ยืนกรานว่าใช่ ตัวนี้คือที เรกซ์แน่นอน แต่น่าจะเป็นทีเรกซ์วัยเยาว์ที่เริ่มออกมาฝึกล่าเหยื่อ ตัวก็เลยเล็กกว่าปกตินิดนึง

มีหลายคนที่ยังปักใจเชื่อว่านักล่าจากฟอสซิลชื่อดัง “ดวลไดโนเสาร์” ไม่น่าจะใช่ทีเรกซ์ น่าจะเป็นไดโนเสาร์ล่าเนื้อชนิดใหม่ แต่กลุ่มคนที่เชื่อก็ไม่สนใจและรวบเอาข้อมูลนี้ไปใช้ตีความถึงวิถีชีวิต พฤติกรรมล่าเหยื่อ และการเจริญเติบโตของทีเรกซ์ แล้วเสนอออกมาเป็นทฤษฎีมากมาย

ข้อโต้แย้งนี้ตีกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1942 จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่จบ

และเมื่อรับทราบถึงปัญหานี้ ต่อมความสนใจของทีมวิจัยคู่หูดูโอ ลินเซย์ ซานโน (Lindsay Zanno) และเจมส์ นาโปลี (James Nopoli) จากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ธรรมชาตินอร์ทแคโรไลนา  (North Carolina Museum of Natural Sciences) และมหาวิทยาลัยสโตนีบรูก (Stony Brook University) ก็เริ่มทำงาน

เมื่อพวกเขาได้มีโอกาสเข้าถึงและมีโอกาสได้ศึกษาฟอสซิลดวลไดโนเสาร์ พวกเขาก็เลยเลือกที่จะวิจัยเพื่อฟันธงให้ชัดไปเลยว่าเจ้าตัวจิ๋วที่ออกมาล่าน้องสามเขานั้นน่ะที่จริงแล้วเป็นทีเรกซ์เด็ก หรือว่าเป็นอีกสปีชีส์ ?

การที่จะให้ผู้คนที่ปักใจเชื่อยอมรับไอเดียใหม่ ๆ นั้นยาก แค่เปรียบเทียบซากเฉย ๆ คงบอกอะไรไม่ได้ แม้จะบอกว่าขนาดหรืออัตราส่วนของขนาดกระดูกหรือแม้แต่จำนวนชิ้นกระดูกเทียบกันกับทีเรกซ์จะไม่ค่อยตรง แต่ท้ายสุดคนจะเถียงก็เถียงได้อยู่ดี ก็อัตราส่วนระหว่างหัวกับตัวของเด็กกับผู้ใหญ่ แม้ในคนยังต่างกันเลย แปลกตรงไหนที่ทีเรกซ์เด็กจะมีความต่างกับทีเรกซ์โตเต็มวัย พอโตแล้วก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีระบ้างก็เป็นได้ แล้วฟอสซิลก็ใช่จะเพอร์เฟกต์ อาจจะมีบางชิ้นที่หลุดหายหรือเสียหายไปบ้าง ดังนั้นการจะเถียงให้ทุกคนยอมรับจึงป็นสิ่งที่ท้าทายมาก

แต่ลินเซย์และเจมส์ก็เลือกวิธีที่แสนชาญฉลาด พวกเขาเลือกที่จะศึกษา “วงรอบการเจริญ (growth ring)” ของกระดูก หรือถ้าเทียบก็เหมือนกับวงปีของพืช ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะประเมินอายุของไดโนเสาร์ตัวนี้ได้จากการพิจารณาจำนวนวงที่เหมือนวงปีนี้ได้อย่างแม่นยำ

และแล้วไอเดียที่ว่าเจ้านักล่าตัวนี้คือทีเรกซ์รุ่นจิ๋วก็ต้องจบลง เพราะนักล่าแห่งดวลไดโนเสาร์นั้นไม่ใช่ไดโนเสาร์เด็ก มันมีอายุตอนที่ตายอยู่ที่ประมาณ 20 ปี โตเต็มวัยนานแล้ว และก็น่าจะดุร้ายใช่ย่อยอยู่เหมือนกันในยุคนั้น


ทีเรกซ์กับนาโนไทแรนนัส

ด้วยขนาดที่เล็กกว่าค่อนข้างมาก พวกเขาก็เลยเสนอให้จำแนกเป็นสกุลใหม่ว่า นาโนไทแรนนัส (Nanotyrannus) ซี่งแปลออกมาก็คือทรราชย์นาโน ล้อไปกับชื่อไทแรนโนซอรัส ที่แปลว่า กิ้งก่าทรราชย์

น่าสนใจ เพราะนี่อาจทำให้นักบรรพชีวินวิทยาต้องกลับมานั่งคิดใหม่ว่าวิถีชีวิต พฤติกรรม และพัฒนาการในระหว่างการเจริญเติบโตของทีเรกซ์ที่เคยตีความเอาตัวนี้มาเหมารวมด้วย แท้จริงแล้วควรต้องเป็นอย่างไร นอกจากนี้หลักฐานการมีอยู่ของผู้ล่าระดับท็อปของห่วงโซ่อาหารอีกชนิดอาจจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เราต้องเอามาตีความกันใหม่ว่า ระบบนิเวศแห่งยุคครีเทเชียสนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ในอดีต

แต่การโต้เถียงนี้ยังไม่จบ แม้ว่าจะมีหลักฐานที่ดูเหมือนจะหนักแน่น แต่ก็ยังมีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนที่ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับไอเดียทรราชย์จิ๋ว ออกทฤษฎีมากระแทกแรงขนาดนี้ก็น่าติดตามว่าในวงการจะมีใครเสนอไอเดียอะไรใหม่ ๆ เข้ามาอีกหรือเปล่า

บอกเลยว่าภาคต่อของเรื่องนี้สนุกแน่นอน…

About Author