จับกระแสวิทย์ Sci-Trend

ผลวิจัยยืนยัน “การออกกำลังกาย” คือ “ยาขนานเอก” รักษาโรคมะเร็ง

เรื่องโดย ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา


ในอดีตมักเชื่อกันว่าผู้ป่วยมะเร็งไม่ควรออกกำลังกาย เพราะอาจมีผลเสียทำให้ร่ายกายยิ่งอ่อนเพลีย ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้มากที่สุดเพื่อสงวนพลังงานไว้ต่อสู้กับโรค แต่ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีผลวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า “การออกกำลังกาย” อย่างเหมาะสมในผู้ป่วยมะเร็งไม่เพียงเป็นส่วนเสริมสร้างความแข็งแรงทั้งกาย-ใจในการต่อสู้กับโรคร้าย แท้จริงแล้วยังมีศักยภาพเป็น “ยาขนานใหม่” ที่ส่งผลทำลายเซลล์มะเร็งอีกด้วย

ล่าสุดบทความวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cancer Cell ได้ออกมาตอกย้ำถึงแนวคิดนี้ ด้วยการสังเคราะห์องค์ความรู้จากผลงานวิจัยจำนวนมากที่พิสูจน์ว่าการออกกำลังกายส่งผลต่อชีววิทยาของมะเร็งโดยตรง และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับอย่างเป็นระบบ ที่สำคัญยังตั้งเป้าผลักดันยกระดับการออกกำลังกาย จากเดิมที่มุ่งหวังเพียงการดูแลสนับสนุน ช่วยบรรเทาอาการข้างเคียง หรือทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น ไปสู่ “การรักษาที่มุ่งเป้า” (targeted therapy) เช่นเดียวกับการให้ยาเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี พร้อมกันนี้ยังเตรียมบูรณาการการออกกำลังกายเข้าไปในแผนการรักษามาตรฐานสำหรับผู้ป่วยมะเร็งอย่างจริงจัง

ในบทความได้อธิบายถึงกลไกของการออกกำลังกายที่ส่งผลต่อการยับยั้งเซลล์มะเร็งไว้ 3 ประการด้วยกัน

  1. ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น เหมือน “ฝึกทหาร” ใหม่
    การออกกำลังกายมีกลไกเข้าไปช่วยปรับเปลี่ยนระบบภูมิคุ้มกัน (immune modulation) เปรียบเสมือนเข้าไปฝึกทหารให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยกระตุ้นการปลดปล่อยและเพิ่มการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันด่านหน้าอย่าง cytotoxic T lymphocytes หรือ CTLs และ natural killer cells หรือ NK cells ให้มีปริมาณในกระแสเลือดสูงขึ้นและพร้อมออกลาดตระเวนทั่วร่างกาย มีงานวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า การออกกำลังกายเพียงไม่กี่สัปดาห์สามารถเพิ่มการแทรกซึมของเซลล์ภูมิคุ้มกันเหล่านี้เข้าไปในก้อนเนื้องอกได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เซลล์มะเร็งถูกตรวจจับและทำลายได้ดีขึ้นนอกจากนี้การออกกำลังกายยังส่งผลต่อการหลั่งสารเคมีที่เรียกว่า คีโมไคน์ (chemokines) ซึ่งทำหน้าที่เสมือนป้ายบอกทางช่วยนำทางให้เซลล์ภูมิคุ้มกันมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของเนื้องอกได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นการออกกำลังกายยังช่วยปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในก้อนเนื้องอก ด้วยการเปลี่ยนเซลล์ภูมิคุ้มกันบางชนิดที่เคยช่วยสนับสนุนมะเร็ง (M2-like macrophages) ให้กลายเป็นเซลล์ที่ช่วยกระตุ้นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันแทน และที่น่าสนใจคือกลไกนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงจุลินทรีย์ในลำไส้ (gut microbiome) โดยการออกกำลังกายช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์เหล่านี้ให้ผลิตสารเมตาบอไลต์ที่เป็นประโยชน์ เช่น ฟอร์เมต (formate) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์เม็ดขาวเช่น ทีเซลล์ ในการต่อสู้กับมะเร็งได้อีกทอดหนึ่ง
  1. รบกวนกระบวนการใช้น้ำตาลของเซลล์มะเร็ง ลดพลังงานที่เซลล์มะเร็งใช้แบ่งตัว
    การออกกำลังกายมีกลไกเข้าไปช่วยปรับเปลี่ยนระบบเผาผลาญ (metabolic remodeling) เป็นที่ทราบกันว่าเซลล์มะเร็งมีลักษณะการใช้พลังงานที่ผิดปกติ โดยพึ่งพาการเผาผลาญน้ำตาลอย่างมหาศาลเพื่อนำไปใช้ในการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว การออกกำลังกายแบบแอโรบิกจะเข้ามาขัดขวางกระบวนการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งโดยตรงผ่านหลายช่องทาง ด้วยการเข้าไปยับยั้งวงจรการส่งสัญญาณที่กระตุ้นการเติบโตของเซลล์มะเร็ง (เช่น PI3K pathway) และในขณะเดียวกันก็กระตุ้นเอนไซม์ AMPK ซึ่งเป็นเซนเซอร์พลังงานของเซลล์ให้ทำงาน เอนไซม์นี้จะส่งสัญญาณให้เซลล์ลดการใช้น้ำตาลที่ไม่จำเป็นลงนอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยให้ร่างกายโดยรวมตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินได้ดีขึ้น ทำให้ระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือดลดลง เปรียบเสมือนการตัดท่อน้ำเลี้ยงหรือจำกัดแหล่งพลังงานที่เซลล์มะเร็งชื่นชอบ โดยเฉพาะในมะเร็งบางชนิดที่ไวต่ออินซูลิน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่บางประเภท ยิ่งไปกว่านั้นการออกกำลังกายยังช่วยปรับปรุงโครงสร้างของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเนื้องอกให้กลับสู่ภาวะปกติ ลดภาวะขาดออกซิเจนในก้อนมะเร็ง ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันแทรกซึมเข้าไปโจมตีเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น และยังทำให้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดหรือการฉายรังสีเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  1. กล้ามเนื้อหลั่ง “สารต้านมะเร็ง” ระหว่างออกกำลังกาย
    การออกกำลังกายมีกลไกต่อบทบาทของสารสื่อประสาทจากกล้ามเนื้อ (myokines and extracellular vesicles) โดยระหว่างที่ออกกำลังกาย กล้ามเนื้อที่ทำงานหนักจะไม่ได้เป็นเพียงอวัยวะที่ออกแรงเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เสมือนโรงงานผลิตยาที่หลั่งสารชีวเคมีกว่าร้อยชนิดที่เรียกรวมกันว่า “ไมโอไคน์” (myokines) ออกมาสู่กระแสเลือด สารเหล่านี้มีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็งได้โดยตรง เช่น il-6 ที่หลั่งออกมาขณะออกกำลังกายจะทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ natural killer ให้เคลื่อนที่ไปทำลายเซลล์มะเร็งนอกจากไมโอไคน์แล้ว กล้ามเนื้อยังปลดปล่อยถุงอนุภาคขนาดเล็ก (extracellular vesicles หรือ EVs) ซึ่งภายในบรรจุโปรตีนและสารพันธุกรรมขนาดเล็ก (เช่น microRNA) ทำหน้าที่เหมือนพัสดุไปรษณีย์ที่เดินทางไปทั่วร่างกาย เมื่อไปถึงเซลล์มะเร็ง สารที่อยู่ภายในสามารถส่งสัญญาณให้เซลล์มะเร็งหยุดการเจริญเติบโต กระตุ้นการตายของเซลล์ หรือแม้กระทั่งปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบ ๆ เนื้องอกเพื่อช่วยให้เซลล์ภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น ปัจจุบันมีการศึกษาทางคลินิกที่กำลังวิจัยถึงบทบาทของ EVs ที่เกิดจากการออกกำลังกายในผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม ชี้ให้เห็นว่านี่คือกลไกที่วงการแพทย์กำลังให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรดีกลไกทั้งสามประการนี้ไม่ได้ทำงานแยกจากกัน แต่ทำงานประสานกันเป็นเครือข่ายที่ซับซ้อนและทรงพลัง ทำให้การออกกำลังกายไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเพื่อสุขภาพกายและใจ แต่เป็นกระบวนการทางชีววิทยาที่สร้างสภาวะแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการอยู่รอดของเซลล์มะเร็งได้อย่างแท้จริง

About Author