องค์การนาซา (NASA) และองค์การอวกาศยุโรป (ESA) ได้เผยแพร่ภาพเหตุการณ์พายุสุริยะครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2015 บันทึกโดยยานสำรวจสุริยะและเฮลิโอสเฟียร์ (Solar and Heliospheric Observatory: SOHO) ในช่วงเวลา 3 ชั่วโมง โดยแสดงให้เห็นการปะทุของมวลโคโรนา (coronal mass ejection) และการพ่นเส้นใยพลาสมาขนาดใหญ่ (solar filament) บางส่วนของเส้นใยเหล่านี้ตกลงสู่ดวงอาทิตย์อีกครั้ง แต่ส่วนใหญ่ได้พุ่งออกสู่อวกาศในรูปของกลุ่มอนุภาคที่สว่างไสวเป็นปรากฏการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจและเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจพฤติกรรมของดวงอาทิตย์มากยิ่งขึ้น
ยาน SOHO ปล่อยขึ้นสู่อวกาศเมื่อเดือนธันวาคม 1995 ถูกออกแบบมาเพื่อศึกษาดวงอาทิตย์อย่างเจาะลึกจากภายในสู่ภายนอก เดิมทีภารกิจนี้มีกำหนดจะสิ้นสุดในปี 1998 แต่ด้วยความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยาน SOHO ยังคงปฏิบัติหน้าที่เก็บข้อมูลอันทรงคุณค่ามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจดวงอาทิตย์ได้ดีขึ้น แต่ยังนำไปสู่การค้นพบใหม่ๆ อีกมากมาย รวมถึงการค้นพบดาวหางกว่า 5,000 ดวง
ทำความเข้าใจกับพายุสุริยะและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
การปะทุมวลโคโรนา (Coronal Mass Ejection – CME) คือการระเบิดครั้งใหญ่ของพลาสมาและสนามแม่เหล็กจากชั้นโคโรนา (corona) หรือบรรยากาศชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์ การปะทุเหล่านี้สามารถขับไล่มวลสารที่มีน้ำหนักหลายพันล้านตันออกไปในอวกาศด้วยความเร็วสูงมาก ตั้งแต่ 250 ไปจนถึง 3,000 กิโลเมตรต่อวินาที เมื่อ CME ที่มีความรุนแรงและมีทิศทางพุ่งตรงมายังโลก จะก่อให้เกิดพายุสนามแม่เหล็กโลก (Geomagnetic Storm) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น ระบบดาวเทียมสื่อสาร, ระบบนำทางด้วยดาวเทียม (GPS), เครือข่ายไฟฟ้า และยังเป็นอันตรายต่อนักบินอวกาศอีกด้วย
อนาคตของการศึกษาดวงอาทิตย์และสภาพอวกาศ
เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากสภาพอวกาศ องค์การนาซายังคงเดินหน้าศึกษาดวงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนกันยายน 2025 นี้ จะปล่อยยานอวกาศ 3 ลำ เพื่อศึกษาอิทธิพลของดวงอาทิตย์ที่มีต่อระบบสุริยะ ได้แก่
- ยาน IMAP (Interstellar Mapping and Acceleration Probe)
ภารกิจนี้จะทำหน้าที่เสมือน “นักทำแผนที่จักรวาล” โดยจะสำรวจและทำแผนที่ขอบเขตของเฮลิโอสเฟียร์ (heliosphere) ซึ่งเป็นฟองสบู่ขนาดใหญ่ที่เกิดจากลมสุริยะและทำหน้าที่ปกป้องระบบสุริยะของเราจากรังสีคอสมิกกาแล็กซี (galactic cosmic rays) ที่เป็นอันตราย - ยานสังเกตการณ์ธรณีโคโรนาคาร์รัทเธอร์ส (Carruthers Geocorona Observatory)
ภารกิจนี้มีเป้าหมายในการศึกษาธรณีโคโรนา (geocorona) หรือบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลก (exosphere) โดยจะตรวจจับแสงอัลตราไวโอเลตที่ปล่อยออกมา การศึกษานี้จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่าพายุสุริยะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศโลกอย่างไร - ยาน SWFO-L1 (Space Weather Follow On-Lagrange 1)
ยานลำนี้เป็นขององค์การสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) และจะทำหน้าที่เป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้า โดยจะประจำการอยู่ที่ Lagrange 1 (L1) ซึ่งเป็นจุดที่มีแรงดึงดูดระหว่างโลกและดวงอาทิตย์สมดุลกัน ทำให้สามารถสังเกตการณ์ลมสุริยะและการปะทุของมวลโคโรนาก่อนที่จะเดินทางมาถึงโลกได้
ทั้งสามภารกิจนี้จะถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศพร้อมกันในภารกิจร่วม เพื่อให้การพยากรณ์สภาพอวกาศมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น และช่วยปกป้องเทคโนโลยีบนโลกและในอวกาศให้ปลอดภัยจากอิทธิพลอันทรงพลังของดวงอาทิตย์
ข้อมูลอ้างอิง : NASA / A Brief Outburst

