ทั่วไป

ครูผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยีชีวภาพของมหาวิทยาลัยมหิดล ด้วยแนวคิด Flexi-edutainment Blended Learning ประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนอย่างสร้างสรรค์และได้ผลเชิงประจักษ์

“การเป็นครูมิได้เริ่มต้นจากจะไม่ได้เริ่มต้นที่อาชีพหรือตำแหน่ง แต่เริ่มต้นจากความรู้สึกที่ว่าเรารักในการเรียนรู้ และอยากแบ่งปันความรู้แก่ผู้อื่น เป็นช่วงเวลาที่ได้เห็นแววตาของเด็ก ๆ ความเข้าใจของผู้เรียน เมื่อเห็นพวกเขาเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือสามารถช่วยให้พวกเขาก้าวข้ามผ่านอุปสรรคในการเรียนได้ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่รู้สึกว่าตรงนี้มีความเป็นครูเพิ่มมากขึ้น มีความหมายและมีคุณค่า”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศักดิ์ ร่มแสง ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นครูว่า การเรียนรู้สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้จริง ๆ การเรียนรู้เป็นพลังที่สามารถสร้างการปลี่ยนแปลงได้ในระดับส่วนบุคคล หรือแม้กระทั่งในสังคม ยิ่งเมื่อได้ทำงานวิจัยและได้รู้เชิงลึกทางด้านวิทยาศาสตร์สาขาเทคโนโลยีชีวภาพที่เรียนจากมหาวิทยาลัยมหิดลนี้ ก็ตระหนักได้ว่าความรู้จะมีคุณค่าที่แท้จริงก็ต่อเมื่อได้ถูกส่งต่อและต่อยอดอย่างมีความหมาย การได้สอนนักศึกษาหรือผู้เรียนจากหลากหลายแหล่ง จึงไม่ใช่เพียงการถ่ายทอดเนื้อหาที่ได้เรียนไปเท่านั้น แต่ด้วยหัวใจที่อยากจะเห็นผู้อื่นประสบความสำเร็จ อยากจะสร้างผู้เรียนรุ่นถัดไปที่คิดวิเคราะห์ได้ และสร้างสิ่งใหม่ ๆ ด้วยตัวเขาเอง บทบาทของความเป็นครูจึงมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในห้องเรียน แต่ต้องเป็นผู้จุดประกาย แนะแนวทาง และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เรียนก้าวต่อไปด้วยตนเอง เพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติต่อไป

ในปัจจุบัน การสอนวิทยาศาสตร์มีความแตกต่างจากอดีตอย่างชัดเจน ในอดีตมักเน้นการถ่ายทอดเนื้อหาและทฤษฎีเพื่อให้ผู้เรียนได้จดจำเป็นหลัก โดยมีครูเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ ผู้เรียนมีบทบาทเป็นผู้รับสาร และการประเมินผลก็จะถูกจำกัดอยู่ที่ความสามารถในการจำหรือการทำข้อสอบให้ถูกต้องได้ หรือแม้กระทั่งวิธีที่ถ่ายทอดความรู้พื้นฐาน ก็ไม่ได้ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะ ในกระบวนการคิดวิเคราะห์ หรือแก้ปัญหา หรือความเข้าใจในเชิงลึก เพื่อที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้เหมือนกับปัจจุบันนี้ การสอนวิทยาศาสตร์ได้เปลี่ยนแนวทางไปสู่การเรียนรู้ที่ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student –Center Learning) มากขึ้น ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการคิด ทดลอง สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยครูทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะ (Facilitator) ครูมีหน้าที่ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้และสร้างสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งคำถามและค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ผ่านกระบวนการ Active Learning หรือการเรียนรู้เชิงลึก เช่น การทำโครงงาน การวิเคราะห์กรณีศึกษา และการทดลองเชิงปฏิบัติการ ทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างเป็นระบบและเกิดการเชื่อมโยงกับโลกที่เป็นจริง นำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต สามารถนำความรู้มาใช้ในชีวิตจริงได้ (Authentic Learning) นอกจากนี้ ยังมีการใช้นวัตกรรมการสอน เช่น Blended Learning, Flipped Classroom, Virtual Lab และ Simulation ซึ่งมีบทบาทสำคัญซึ่งช่วยให้กระบวนการเรียนการสอนมีความยืดหยุ่น สามารถเรียนรู้ได้ตามจังหวะของตนเอง ช่วยให้ครูประเมินผลได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งความเข้าใจ ทักษะการคิด หลักการคิดทางวิทยาศาสตร์ และสามารถนำไปแก้ปัญหาได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของนักวิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการย้ายจากการถ่ายทอดเนื้อหามาสู่การพัฒนาความสามารถและสมรรถนะของผู้เรียน ครูต้องเป็นผู้ชี้แนะแนวทางประสบการณ์ เพื่อสร้างผู้เรียนให้มีทักษะความอยากรู้ สร้างความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดลไม่เป็นเพียงแค่แหล่งค้นคว้าและการเรียนรู้เท่านั้น แต่ต้องเป็นแหล่งบ่มเพาะต้นกล้าให้มีการสร้างความรู้และทักษะแห่งอนาคตความรู้เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน ตามปรัชญาของมหาวิทยาลัยมหิดล “ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่มวลมนุษยชาติ”

การสร้างความสุขในการเรียนให้ผู้เรียนมีความสุข แม้ในรายวิชาที่ยากลำดับต้น ๆ ในคณะวิทยาศาสตร์ ได้ใช้แนวทางที่เรียกว่า Flexi-edutainment Blended Learning ซึ่งเป็นการผสานการเรียนรู้แบบยืดหยุ่นร่วมกับสื่อดิจิทัลที่มีความบันเทิงและเข้าถึงง่าย โดยมีการออกแบบกิจกรรมให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยการใช้คลิปวิดีโอต้นแบบในการปฏิบัติการที่มีลักษณะเป็นซีรีส์ที่เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน และมีการประเมินผลที่หลากหลายและเหมาะสมอย่างต่อเนื่อง เช่น รายคาบและรายสัปดาห์ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาของผู้เรียนแต่ละคนอย่างต่อเนื่อง สามารถก้าวขึ้นไป และเสริมทัศนคติที่ดี เข้าใจความจำเป็นต่อวิชาชีพนั้น ๆ  รวมถึงการสื่อสารทางด้านวิทยาศาสตร์ ไปถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต และนำผลลัพธ์การเรียนรู้ต่าง ๆ ไปต่อยอดได้ จึงทำให้เกิดหลักสูตรอบรม และโครงการพัฒนานักศึกษาต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น หลักสูตรความปลอดภัยทางชีวภาพแบบไฮบริดของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นหลักสูตรไฮบริดแรกในประเทศไทย และโครงการค่ายบ่มเพาะนักเทคโนโลยีชีวภาพรุ่นเยาว์ของสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้เผยแพร่นวัตกรรมต่าง ๆ ไปในเวทีประชุมวิชาการ วงเสวนาทางด้านการศึกษา ทั้งในระดับหน่วยงาน สถาบัน และระดับชาติ ทำให้นักศึกษาได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีความสุข สนุกสนาน และเกิดผลกระทบเชิงบวกในการพัฒนาตนเองและวงการการศึกษาอีกด้วย

นอกจากนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศักดิ์ ร่มแสง ได้รับฉายา “พ่อหมี งานเยอะ” ซึ่งเป็นฉายาที่ได้รับจากนักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกที่อบอุ่น เป็นมิตร อัธยาศัยดี และเข้าถึงง่าย ด้วยความที่รับบททั้งวิชาชีพครู การสร้างผลงานวิชาการที่มีคุณภาพ และเป็นหัวหน้าครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ การบริหารจัดการเวลามีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยใช้แนวคิด Work Integrated Lifestyle คือ การบูรณาการชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างสมดุล โดยเชื่อว่าชีวิตที่สมดุลมิใช่การแยกงานกับชีวิตส่วนตัวออกจากกัน แต่เป็นการทำให้ทั้งสองส่วนนี้เติมเต็มซึ่งกันและกัน และต้องทำไปพร้อม ๆ กันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การทำงานมีคุณค่า และการใช้ชีวิตให้มีความสุข

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศักดิ์ ร่มแสง ได้มองถึงการศึกษาไทยในอนาคตว่า ผู้เป็นครูควรเป็นพลังในการขับเคลื่อนสังคมให้เติบโตอย่างสมดุล ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) การศึกษาไม่เพียงแต่เป็นการถ่ายทอดความรู้ แต่จะต้องเป็นพลังในการขับเคลื่อนสังคม หากมีการตั้งคำถามว่า เราจะออกแบบกระบวนการเรียนรู้อย่างไร เพื่อเสริมพลังให้ผู้เรียนเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนโลกไปสู่ความยั่งยืนที่แท้จริง คำถามไม่ได้เรียกร้องเพียงแค่การปรับปรุงหลักสูตร แต่เป็นการเรียกร้องให้เรากล้าคิดทำใหม่ทั้งระบบการศึกษา ซึ่งเราจะต้องเปลี่ยนจากเดิมเน้นการถ่ายทอดเนื้อหา มาสู่การสร้างจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม เราจะต้องเปลี่ยนการวัดผลด้วยความรู้เปลี่ยนไปสู่การปลุกพลังและความมุ่งหมายของชีวิต เราต้องเปลี่ยนการเรียนแยกเป็นรายวิชาไปสู่การเรียนรู้แบบบูรณาการที่เชื่อมโยงกับปัญหาในโลกจริง การออกแบบการเรียนรู้เพื่ออนาคต มีองค์ประกอบอยู่ 3 อย่าง 1. ความจริงแท้ 2. ความเท่าเทียม 3. การเปลี่ยนแปลงภายใน คือ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยเป็นผู้มีความเมตตา ความคิดสร้างสรรค์ กล้าที่จะเปลี่ยนโลก ซึ่งเราอาจไม่สามารถสร้างโลกได้ด้วยเพียงทักษะหรือเทคโนโลยีหรือวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ต้องมีการพัฒนาหัวใจของผู้เรียนไปควบคู่กับสมอง เพื่อให้เขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ หน้าที่ของครูต้องออกแบบพื้นที่การเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้พลังนั้นได้เบ่งบานอย่างเต็มศักยภาพ “การศึกษาไทยไม่เพียงแค่สอนให้เก่ง แต่ต้องสอนให้กล้าที่จะเปลี่ยนโลกได้อย่างยั่งยืน”

การบ่มเพาะให้ศิษย์มีทักษะชีวิตเรียนรู้มากกว่าการถ่ายทอดวิชาความรู้ในห้องเรียน แต่ศิษย์สามารถนำความรู้นั้นไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศักดิ์ ร่มแสง เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณความเป็นครู อีกทั้ง ยังได้รับรางวัลมหาวิทยาลัยมหิดล ประจำการศึกษา 2567 ซึ่งเป็นอันทรงเกียรติจากมหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศักดิ์ ร่มแสง ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสำเร็จที่ได้รับนี้ไม่ได้มาจากตนเองเท่านั้น แต่มาจากพลังของทุกคนรอบข้างที่คอยช่วยเหลือ ผลักดัน และสนับสนุนมาโดยตลอด ทั้งเพื่อนอาจารย์ ผู้บริหาร อาจารย์ผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุน นักศึกษาและศิษย์เก่า ครอบครัวทั้งที่บ้านและที่ห้องปฏิบัติการ รางวัลนี้จะเป็นแรงผลักดันให้ทำงานเต็มความสามารถต่อไป ด้วยคติประจำใจที่ว่า “จะใช้พลังปัญญาช่วยเหลือสังคมให้ดียิ่งขึ้น คอยเป็นกำลังใจ เติมพลังบวกและแบ่งปันรอยยิ้มให้คนรอบข้างเสมอ”

About Author