พืช
ข้าวและพืชหลังนา

“ข้าว” เป็นพืชที่มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตคนไทยทั้งในแง่ของการผลิตและบริโภค จากการผลิต “ข้าว” เพื่อบริโภคภายในครัวเรือนสู่การผลิตเพื่อจำหน่ายในระบบอุตสาหกรรม ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตข้าวอันดับ 6 ของโลก และส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลก (ปี 2559) สร้างรายได้ให้ประเทศปีละหลายแสนล้านบาท
จากสภาพอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงส่งผลต่อการผลิตข้าวและพืชเกษตร สวทช. กำหนดยุทธศาสตร์วิจัยและพัฒนา การปรับตัวภาคการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระยะที่ 3 (2560-2564) เพื่อสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีเพื่อใช้ปรับปรุงพันธุ์พืชที่ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลิตพืชที่ให้ผลผลิตต่อพื้นที่สูง ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเทคโนโลยีการพยากรณ์และระบบเตือนภัย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียอันเกิดจากภัยพิบัติและศัตรูพืช
บทความ
“ข้าวหอมชลสิทธิ์ สู้วิกฤตน้ำท่วม” สู่ “หมู่บ้านผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพ”
ากสภาพปัญหาน้ำท่วมนาข้าวจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นประจำเกือบทุกปี ทำให้พืชผลทางการเกษตรโดยเฉพาะนาข้าวได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และกรมการข้าว ปรับปรุงพันธุ์ข้าวทนน้ำท่วม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา และคณะ จากหน่วยปฏิบัติการค้นหาและใช้ประโยชน์ยีนข้าว (หน่วยปฏิบัติการวิจัยร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค)) สวทช. ร่วมกับนักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรมการข้าว พัฒนาพันธุ์ข้าวหอมคุณภาพดีที่ทนน้ำท่วมฉับพลัน โดยผสมระหว่างพันธุ์ข้าวไออาร์ 57514 ที่ทนต่อน้ำท่วมฉับพลันกับพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ที่ไม่ทนน้ำท่วม ได้พันธุ์ชื่อว่า “ข้าวพันธุ์หอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน”
“ข้าวพันธุ์หอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน” จมอยู่ใต้น้ำได้นาน 2-3 สัปดาห์ ฟื้นตัวหลังน้ำลดได้ดี ความสูงต้นประมาณ 105-110 เซนติเมตร จำนวนรวงต่อกอประมาณ 15 รวง (นาดำ) ลำต้นแข็ง ไม่หักล้มง่าย นอกจากคุณสมบัติเด่นในการทนน้ำท่วมฉับพลันแล้ว พันธุ์หอมชลสิทธิ์ไม่ไวต่อช่วงแสง จึงปลูกได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 120 วัน ผลผลิตเฉลี่ย 800-900 กิโลกรัมต่อไร่ คุณภาพการหุงต้มคล้ายพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ปริมาณอะไมโลส ร้อยละ 14-18 และมีกลิ่นหอม

เมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน
ปลายปี 2556 พื้นที่ตำบลชัยบุรี อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ประสบปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน ทำให้ปริมาณน้ำในคลองไหลเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรม สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะพื้นที่นาข้าวซึ่งเพาะปลูกกันมากในเขตอำเภอเมืองพัทลุงและอำเภอควนขนุน องค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุงได้ขอรับการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลันจากมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อน สวทช. น้อมเกล้าฯ ถวาย “เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน” จำนวน 3 ตัน แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพระราชทานให้แก่เกษตรกรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพัทลุง
องค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุงได้ส่งมอบเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน “ข้าวหอมชลสิทธิ์” แก่กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ สร้างความปลื้มปิติให้กับเกษตรกรทั้ง 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเกษตรกรชาวนาหมู่ที่ 1 ต.ชัยบุรี กลุ่มทำนาท่าสำเภา หมู่ที่ 4 ต.ชัยบุรี กลุ่มทำนาบ้านอ้ายใหญ่ หมู่ที่ 2 ต.ชัยบุรี ศูนย์สาธิตวิสาหกิจชุมชน บ้านท่าช้างพื้นฟูเศรษฐกิจ หมู่ที่ 5 ต.พนางตุง กลุ่มเกษตรกรทำนาบ้านสุนทราออก ต.ปันแต และกลุ่มปลูกข้าว หมู่ที่ 4 บ้านโคกวา ต.ควนขนุน

หมู่บ้านผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพ
ปี 2558 ชาวนาในพื้นที่ภาคใต้ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวจากภูมิภาคอื่น ทำให้มีต้นทุนการปลูกข้าวสูง อีกทั้งอาจได้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ไม่ได้คุณภาพ ดังนั้นเพื่อความยั่งยืนในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง สวทช. ได้ร่วมกับ อบจ.พัทลุง ดำเนิน “โครงการหมู่บ้านแม่ข่าย วท. บ้านคอกวัว: หมู่บ้านข้าวหอมชลสิทธิ์” ที่ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง เป็นหมู่บ้านแม่ข่ายผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์สำหรับขยายผลสู่หมู่บ้านอื่น ในช่วงแรกของโครงการฯ ได้ผลักดันให้ชาวนาในบ้านคอกวัวรวมตัวจัดตั้ง “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์” มีสมาชิก 23 ราย และผลักดันให้กลุ่มฯ ได้รับมาตรฐาน Good Agricultural Practice (GAP) สำหรับการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว
ในปี 2561 สท/สวทช. ได้ขยายผลเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ไปที่ “บ้านโคกฉิ่ง” หมู่ที่ 11 ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง ซึ่งเป็นหมู่บ้านลูกข่าย โดยได้ร่วมกับผู้นำชุมชน และศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวพัทลุงจัดทำแปลงสาธิตการผลิตเมล็ดพันธุ์อย่างถูกวิธี มีคุณภาพ ซึ่งผลผลิตจากแปลงได้ส่งต่อให้เกษตรกรในพื้นที่ได้ใช้เพาะปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือนและจำหน่ายสร้างรายได้ให้ครอบครัว
“หอมชลสิทธิ์” ข้าวทนน้ำท่วม หอม นุ่ม ด้วยคุณภาพ
จังหวัดพัทลุงเป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญอีกแห่งของภาคใต้ มีพื้นที่ปลูกข้าวราว 3 แสนไร่ แต่ด้วยสภาพอากาศ “ฝนแปดแดดสี่” ของภาคใต้ส่งผลกระทบไม่น้อยต่อเกษตรกรที่สูญเสียทั้งพืชอาหารบริโภคและรายได้จากการจำหน่ายข้าว
ปี 2557 ชาวตำบลชัยบุรี อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง รู้จัก “ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน” หลังจากที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุงได้ขอสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์จากมูลนิธิชัยพัฒนา นำไปแจกจ่ายให้เกษตรกรได้เพาะปลูก ดังที่ “บ้านโคกฉิ่ง” หมู่ 11 ตำบลชัยบุรี แหล่งผลิตพันธุ์ข้าวนี้ที่มี สมมาตร มณีรัตน์ และทวี บุษราภรณ์ สองเกษตรกรผู้เชี่ยวชาญการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของบ้านโคกฉิ่ง รับหน้าที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์เมื่อปี 2560 บนพื้นที่ปลูกคนละ 5 ไร่ ก่อนส่งต่อเมล็ดพันธุ์ให้สมาชิก “วิสาหกิจกลุ่มข้าวหอมชลสิทธิ์บ้านโคกฉิ่ง” นำไปเพาะปลูกเพื่อบริโภค
“กลุ่มมีสมาชิก 21 คน ส่วนใหญ่จะปลูกข้าวหอมชลสิทธิ์ไว้กินในครัวเรือน มีบางรายที่ปลูกได้มาก ก็จะขาย และมีสมาชิกเริ่มสนใจปลูกเพื่อทำเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้น” ปรีชา อ่อนรักษ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจข้าวหอมชลสิทธิ์บ้านโคกฉิ่ง บอกเล่าถึงการปลูกข้าวหอมชลสิทธิ์ของสมาชิกกลุ่ม ซึ่งนอกจากเป็นประธานของกลุ่มฯ แล้ว ปรีชา ยังทำหน้าที่นักการตลาดให้กลุ่มฯ รับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิกและหาตลาดจำหน่าย โดยเขาประกันราคาข้าวให้สมาชิกที่ 8,000 บาท/ตัน ก่อนนำไปสีและจำหน่ายเป็นข้าวสารราคากิโลกรัมละ 30 บาท หากแพ็คสุญญากาศจำหน่ายกิโลกรัมละ 50 บาท ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์รับซื้อเมล็ดพันธุ์สด (ไม่อบแห้ง) ในราคากิโลกรัมละ 10 บาท และจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 18 บาท ซึ่งรายได้จากการขายข้าวสารและเมล็ดพันธุ์จะนำมาเฉลี่ยเป็นเงินปันผลให้สมาชิก

ก่อนหน้าที่สมาชิกกลุ่มฯ ได้รู้จักพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ พันธุ์ข้าวที่ปลูกในพื้นที่มีหลากหลายทั้งพันธุ์พิษณุโลก พันธุ์ชัยนาท พันธุ์หอมปทุม รวมถึงพันธุ์พื้นเมืองอย่างเล็บนกและสังข์หยด ผลผลิตข้าวเน้นการบริโภคในครัวเรือน แต่หลังจากที่ได้ลิ้มลองข้าวหอมชลสิทธิ์ ต่างรับรู้ได้ถึงความนุ่มและหอมของข้าวสายพันธุ์นี้ที่แตกต่างจากพันธุ์ข้าวที่บริโภคประจำ

ปรีชา เล่าว่า ปัจจุบันพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์เริ่มเป็นที่นิยมบริโภคของคนในพื้นที่และต่างอำเภอ เพราะความหอม ความนุ่ม อร่อยกว่าข้าวหอมปทุม เมล็ดพันธุ์เองก็มีเกษตรกรจากสงขลาสนใจที่ซื้อไปปลูก เพราะสายพันธุ์นี้ทนน้ำท่วมขังและทนโรค เห็นได้ชัดจากช่วงที่เพลี้ยลง ชาวบ้านที่ปลูกพันธุ์ข้าวอื่นได้รับความเสียหายหมด แต่พันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ฟื้นตัวได้
แม้ในปีแรกสมาชิกกลุ่มฯ ยังมีปลูกข้าวสายพันธุ์อื่นอยู่บ้าง แต่ในรอบการผลิตปี 61/62 พื้นที่ปลูกข้าวรวมกว่า 130 ไร่ของสมาชิกกลุ่มฯ ปลูกข้าวหอมชลสิทธิ์ 100% อีกทั้งยังมีพื้นที่เพาะปลูกอีกกว่า 100 ไร่ที่หมู่บ้านข้างเคียงที่พร้อมจะร่วมปลูกสายพันธุ์ข้าวนี้
“ปลูกเหมือนพันธุ์อื่น แต่พันธุ์นี้ทนน้ำท่วมดีกว่า หว่านได้ 3 วัน น้ำท่วม 20 คืน ข้าวยังโตต่อได้ แล้วได้ผลผลิตเยอะ 800 กก./ไร่ และราคาดีกว่า” เสียงสะท้อนจาก โสภา มุกตา สมาชิกกลุ่ม
ในฟากของผู้ที่คลุกคลีกับการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหลายชนิดมานาน ทวี บุษราภรณ์ เล่าว่า ทำเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ส่งขายให้กลุ่ม โดยทำ 2 ครั้ง/ปี ในช่วงมกราคม–เมษายนและพฤษภาคม–สิงหาคม ที่ผ่านมาได้ส่งตรวจคุณภาพที่ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวพัทลุง มีอัตราการงอก 98% การดูแลไม่ต่างจากสายพันธุ์ข้าวอื่นที่ต้องรู้ลักษณะสายพันธุ์ที่ปลูก และลงแปลงเรื่อยๆ สังเกตลำต้น ใบ สี หรือความสูง ถ้าไม่ใช่พันธุ์เรา ก็คัดทิ้ง
“ผลผลิตจะดีได้มาจากเมล็ดพันธุ์และการดูแลระหว่างปลูก แต่ไม่ว่าจะปลูกทำเมล็ดพันธุ์หรือปลูกข้าวขาย ก็ต้องดูแลใส่ใจเหมือนกัน” ป้าทวี ย้ำ
แม้สมาชิกวิสาหกิจกลุ่มข้าวหอมชลสิทธิ์บ้านโคกฉิ่งจะผลิตข้าวหอมชลสิทธิ์ได้เพียง 2 ปี แต่ผลผลิตที่ได้และการตอบรับอย่างดีจากตลาด ทำให้สมาชิกมีกำลังใจที่จะเดินหน้าผลิตพันธุ์ข้าวนี้ต่อไป โดยมี สวทช. สนับสนุนความรู้และเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสมดังข้อความที่ติดบนบรรจุภัณฑ์ของกลุ่มฯ ว่า “ข้าวหอมชลสิทธิ์ ข้าวทนน้ำท่วม กลิ่นหอมและเหนียวนุ่ม สินค้าคุณภาพ ผลิตด้วยความใส่ใจ”


สวทช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรมการข้าว พัฒนาข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน เป็นพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์ข้าว IR57514 มีคุณสมบัติทนน้ำท่วมฉับพลัน กับพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 โดยใช้เครื่องหมายโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับยีนทนน้ำท่วมและคุณภาพการหุงต้มในการคัดเลือก ข้าวหอมชลสิทธิ์มีกลิ่นหอม ทนน้ำท่วมฉบับพลันในทุกระยะการเจริญเติบโต ทนอยู่ในน้ำได้นาน 2–3 สัปดาห์ ไม่ไวต่อช่วงแสง ทำให้ปลูกได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี ผลผลิตข้าวเปลือกประมาณ 800 กิโลกรัมต่อไร่
วิสาหกิจกลุ่มข้าวหอมชลสิทธิ์บ้านโคกฉิ่ง
ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง
โทรศัพท์ 087 2914279, 091 0478043
สิ่งพิมพ์
- เมื่อข้าวคือหัวใจ สวทช. ช่วยอะไรได้บ้าง : พัฒนาพันธุ์ที่ใช่และเผยแพร่ไปสู่เกษตรกร
- เมื่อข้าวคือหัวใจ สวทช. ช่วยอะไรได้บ้าง : ค้นหาเมล็ดพันธุ์ที่ใช่ปลูกได้แม้ภัยมา
- เมื่อข้าวคือหัวใจ สวทช. ช่วยอะไรบ้างระหว่างปลูก : ปลูกข้าวเบาใจ ชาวนายิ้มได้ เพราะมีนวัตกรรมแสนดีมาช่วย
- ข้าวหอมชลสิทธิ์ สู้วิกฤตน้ำท่วม สู่หมู่บ้านผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพ
- ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน
- เมล็ดพันธุ์ดี ผลิตเองได้ เพียงรู้หลักและใส่ใจ
- แปรรูป-เพิ่มมูลค่าข้าวกล้อง
มันสำปะหลัง

“มันสำปะหลัง” พืชหัวที่เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่สำคัญรองจากข้าวและข้าวโพด ปลูกง่ายในพื้นที่เขตร้อนและร้อนชื้น ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังกว่า 8 ล้านไร่ เป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ สร้างรายได้ปีละหลายแสนล้านบาท ไทยเป็นผู้ส่งออกมันสำปะหลังรายใหญ่ของโลกและเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน
สวทช. ร่วมกับเครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (คอบช.) จัดทำแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี โปรแกรมมันสำปะหลัง (พ.ศ.2560-2564) เพื่อแก้ไขปัญหาด้านมันสําปะหลังของประเทศตลอดห่วงโซ่มูลค่าเพิ่ม 6 กรอบวิจัย ได้แก่ การประเมินเชื้อพันธุกรรมและปรับปรุงพันธุ์มันสําปะหลัง การเขตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตมันสําปะหลัง การเตือนการณ์ การป้องกัน กําจัดโรคและแมลงศัตรูมันสําปะหลังรวมทั้งวัชพืชมันสําปะหลัง การวิจัยและพัฒนา เครื่องจักรกลการเกษตรสําหรับมันสําปะหลัง การปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพกระบวนการผลิตมันสําปะหลัง แป้งดัดแปร และผลิตภัณฑ์ใหม่จากมันสําปะหลัง และการศึกษานโยบาย การตลาด และสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ อย่างเป็นระบบ และสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่มีมูลค่าสูง เพิ่มรายได้และสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่เกษตรกร ส่งผลให้มูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้น
สท./สวทช. ถ่ายทอดองค์ความรู้และส่งเสริมให้เกษตรกรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังด้วยเทคโนโลยี ทั้งการเลือกสายพันธุ์ให้เหมาะกับดิน การคัดเลือก-เก็บเกี่ยวท่อนพันธุ์ การใช้ระบบน้ำหยด หรือการจัดการโรคและแมลง เป็นต้น

มันสำปะหลังพันธุ์พิรุณ 2 – พิรุณ 4 ความเหมือนที่แตกต่าง
มันสำปะหลังพันธุ์พิรุณ 1 พิรุณ 2 และพิรุณ 4 พัฒนาขึ้นจากความร่วมมือของกรมวิชาการเกษตร
(ดร.โอภาษ บุญเส็ง) สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล (รศ.ดร.กนกพร ไตรวิทยากร และคณะ) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เกิดจากการผสมแบบสลับ (cross-reciprocal) โดยเลือกใช้พันธุ์ห้วยบง 60 เป็นต้นแม่ ซึ่งมีลักษณะปริมาณแป้งในหัวสดสูง ผลผลิตสูง ปริมาณไซยาไนด์สูง อัตราการเจริญเติบโตในช่วงแรกต่ำ และเลือกใช้พันธุ์ห้านาทีเป็นต้นพ่อ มีลักษณะปริมาณแป้งในหัวสดต่ำ ผลผลิตต่ำ ปริมาณไซยาไนด์ต่ำ และอัตราการเจริญเติบโตในช่วงแรกสูง
การพัฒนาเริ่มต้นผสมพันธุ์ตั้งแต่ปี 2549 ลูกผสมที่สร้างขึ้นส่วนหนึ่งนำไปใช้ศึกษาและพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุล (DNA-marker) เพื่อช่วยคัดเลือกปริมาณแป้งสูงและไซยาไนด์ต่ำ อีกส่วนหนึ่งนำไปคัดเลือกและประเมินพันธุ์ตามแบบวิธีมาตรฐาน (conventional breeding) พบว่า มีลูกผสมบางสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตและเปอร์เซ็นต์แป้งสูง สามารถนำมาพัฒนาเป็นสายพันธุ์ใหม่ได้ สวทช. จึงได้สนับสนุนโครงการต่อเนื่องเพื่อนำสายพันธุ์ที่มีศักยภาพด้านผลผลิตและเปอร์เซ็นต์แป้งมาปลูกทดสอบในสภาพแปลงทดลองและคัดเลือกตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์ด้วยวิธีมาตรฐาน โดยมีสายพันธุ์มันสำปะหลังที่มีศักยภาพด้านผลผลิตและเปอร์เซ็นต์แป้งดีเด่นที่คัดเลือกไว้ 3 สายพันธุ์ ดังนี้
พันธุ์ “พิรุณ 1” ได้รับการรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียนจากกรมวิชาการเกษตรเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2559 เป็นพันธุ์มันสำปะหลังที่ส่งเข้าอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง มีความต้านทานต่อโรคและแมลง ผลผลิตหัวมันสำปะหลังสดเฉลี่ย 6.65 ตัน/ไร่ สูงกว่าพันธุ์ระยอง 11 (17.6%) พันธุ์ห้วยบง 60 (9.5%) พันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 (20.9%) และพันธุ์ระยอง 7 (56.4%) มีปริมาณแป้งในหัวสดเฉลี่ย 28.7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งใกล้เคียงกับพันธุ์ห้วยบง 60 พันธุ์ระยอง 11 และพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 โดยมีลักษณะเด่น คือ ทรงต้นแตกกิ่งเหนือศีรษะ ลำต้นตั้งตรง แข็งแรงไม่ฉีกหักง่าย สะดวกต่อการดูแลรักษาและเก็บเกี่ยว ลำต้นเป็นแบบซิกแซกทำให้สังเกตพันธุ์ปนได้ง่าย ปลายหัวทู่ทำให้หัวหักยากกว่าปลายหัวแหลมเมื่อขุดหรือเก็บเกี่ยว มีก้านที่ขั้วหัวทำให้ตัดง่าย เกิดบาดแผลที่หัวน้อย เนื่องจากมีก้านที่ขั้วหัวทำให้หัวเน่ายาก สามารถเก็บรักษาหัวมันในลานก่อนเข้าโรงงานแป้งได้นานกว่าปกติ เหมาะกับดินร่วนปนทราย ดินร่วนปนเหนียว ดินเหนียวสีแดง ดินทรายร่วน และดินเหนียวสีดำ

พันธุ์ “พิรุณ 2” ได้รับการรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียนจากกรมวิชาการเกษตรเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2559 เจริญเติบโตเร็ว ผลผลิตหัวสดเฉลี่ย 5.8 ตัน/ไร่ มีเปอร์เซ็นต์แป้ง 24.7 เปอร์เซ็นต์ ให้ผลผลิตหัวสดสูงกว่าพันธุ์ห้านาทีเมื่อปลูกในสภาพไร่แบบอาศัยน้ำฝนอย่างเดียว ทรงต้นสวย ลำต้นตั้งตรง สีน้ำตาลอ่อน ไม่แตกกิ่ง ให้หัวจำนวนมาก ออกรอบโคนเป็นชั้น ทรงหัวแบบดอกบัวตูม มีก้านหัวสั้นทำให้ตัดหัวง่าย เหมาะสำหรับปลูกในดินเหนียวสีแดงมากที่สุด รองลงมา คือ ดินร่วนปนเหนียว และดินเหนียวสีดำ

พันธุ์ MBR49-2-109 ปัจจุบันอยู่ระหว่างยื่นขอขึ้นทะเบียนพันธุ์พืชจากกรมวิชาการเกษตร โดยใช้ชื่อว่า “พิรุณ 4” เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตหัวสดสูงกว่าพันธุ์ห้านาทีเมื่อปลูกในสภาพไร่แบบอาศัยน้ำฝนอย่างเดียว
ได้ผลผลิตหัวสดเฉลี่ย 5.74 ตัน/ไร่ มีเปอร์เซ็นต์แป้ง 25.4 เปอร์เซ็นต์ ยอดสีเขียวอ่อน ก้านใบสีแดง มีทรงต้นสวย แตกกิ่งที่ระดับเหนือศีรษะทำให้ง่ายต่อการเข้าไปปฏิบัติงาน มีก้านหัวสั้น เนื้อหัวสีขาว มีปริมาณไซยาไนด์ในระดับต่ำทุกสภาพแวดล้อม เป็นได้ทั้งพันธุ์อุตสาหกรรมและพันธุ์รับประทาน มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับทำแป้งฟลาวที่ปราศจากสารกลูเต็น (gluten) ใช้ทดแทนแป้งสาลีในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ นอกจากนี้เมื่อนำหัวมันสดไปนึ่งหรือเชื่อมจะให้เนื้อสีขาว เนื้อสัมผัสนุ่ม ไร้เสี้ยน รสชาติอร่อยกว่าพันธุ์ห้านาที
ขนมไทยจากมันสำปะหลัง ตอนที่ 1 ทำไมต้องใช้มันสำปะหลังทำ
ขนมไทยจากมันสำปะหลัง ตอนที่ 2
ขนมหวานของไทยที่มีแป้งมันสำปะหลังเป็นส่วนประกอบ
ขนมไทยจากมันสำปะหลัง ตอนที่ 3
ขนมหวานของไทยที่มีเนื้อมันสำปะหลังเป็นส่วนประกอบ
ขนมไทยจากมันสำปะหลัง ตอนที่ 4
ขนมหวานของไทยที่มีเนื้อมันสำปะหลังเป็นส่วนประกอบของไส้
พืชอื่นๆ (พริก/มะเขือเทศ/ยางพารา)
ปัจจัยการผลิตและอื่นๆ (สารชีวภัณฑ์/จุลินทรีย์/ปุ๋ยไส้เดือน/ปุ๋ยไม่พลิกกอง/เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ/activepak
สัตว์
โค
โคขุน ขุนโคด้วยอาหารหมักคุณภาพ
ทุกๆ วันก่อนไปทำงานและเลิกงานจากศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์พะเยา สุริยะ ทองสา จะแบ่งเวลามาดูแลโคสายพันธุ์ลูกผสมบราห์มัน-ชาโลเล่ย์ที่ “สุนิสาฟาร์ม” ต.แม่กา อ.เมือง จ.พะเยา ฟาร์มเลี้ยงโคเนื้อที่เขาตั้งใจทำไว้รองรับชีวิตหลังเกษียณ

ด้วยคลุกคลีอยู่ในแวดวงการเลี้ยงสัตว์ สุริยะ มองว่าหากเลี้ยงสัตว์เป็นรายได้เสริม “โค” หรือ “วัว” เป็นตัวเลือกที่ให้ราคางาม แม้จะมีต้นทุนค่าอาหารสูง แต่วัตถุดิบทางการเกษตรที่มีมากมายในท้องถิ่นเป็นตัวช่วยได้
“ถ้าลดต้นทุนได้มาก จะมีกำไรมาก แม้ว่าขายราคาเท่ากัน แต่ต้นทุนจะเป็นตัวกำหนดว่าได้กำไรมากหรือน้อย” เป็นแนวคิดการทำฟาร์มเลี้ยงโคเนื้อของ สุริยะ ที่เริ่มจากเลี้ยงปล่อยทุ่งและขายให้พ่อค้าทั่วไป ก่อนเปลี่ยนมาเลี้ยงวัวแบบไขมันแทรกหรือ “โคขุน” ส่งให้ “สหกรณ์โคขุนดอกคำใต้” ด้วยเหตุผลตลาดรับซื้อแน่นอนและราคารับซื้อสูงกิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 110 บาท ขณะที่วัวเนื้อทั่วไปราคากิโลกรัมละ 80 บาท
เมื่อตัดสินใจหันมาเลี้ยงวัวไขมันแทรก สุริยะ หาความรู้จากหน่วยงานที่สังกัดและค้นคว้าข้อมูลจากวารสารต่างๆ ทำให้พบว่านอกจากสายพันธุ์และการจัดการสภาพแวดล้อมในฟาร์มแล้ว “อาหาร” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัวมีไขมันแทรก
“เดิมเน้นให้หญ้าเนเปียร์ รูซี่ กินนี่ แต่วัวที่ต้องการไขมันแทรก ไม่เน้นหญ้า จะเน้นฟาง อาหารข้น อาหารประเภทแป้ง เคยเอาเปลือกข้าวโพดมาให้วัวกิน เพราะคิดว่าคล้ายฟางและเป็นของเหลือทิ้งอยู่แล้ว เห็นแล้วเสียดาย เอามาลองทำหลายอย่าง ให้กินสด หมักบ้าง ราดกากน้ำตาลบ้าง แล้วให้ฟักทองเสริม คนแถวนี้บอกวัวไม่กินเปลือกข้าวโพดหรอก แต่วัวที่ฟาร์มกลับกินดี”


เปลือกข้าวโพดและฟักทองเป็นวัตถุดิบที่ได้มาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เป็นจุดเริ่มให้ สุริยะ มองเห็นช่องทางที่จะ “ลดต้นทุน” ได้ และด้วยหน้าที่การงานประจำทำให้เขาได้รู้จักกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยพะเยา เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้กับทีมวิจัย จนได้ทดลองใช้ “จุลินทรีย์” ทำอาหารหมักสำหรับโค
“เวลาได้วัตถุดิบมาเยอะ ใช้ไม่ทัน เน่าเสียหมด ก็เอามาใส่ถังแล้วใส่จุลินทรีย์หมักและย่อย เป็นการถนอมอาหาร ทำให้ไม่ต้องหาซื้อวัตถุดิบบ่อย อย่างฟักทองเอามาหมักจุลินทรีย์ ส่งตรวจวิเคราะห์กับมหาวิทยาลัยพะเยา พบว่ามีค่าโปรตีนสูง และวัวกินอาหารได้ดีขึ้นด้วย”
หลังขุนวัวไขมันแทรกอยู่หนึ่งปี โดยมีอาหารหมักจากวัสดุการเกษตรเป็นตัวเสริม วัว 4 ตัวที่ สุริยะ ส่งขายให้สหกรณ์มีคุณภาพเกรด 3.5 ทำให้เขาได้เงินเกือบสี่แสนบาท มีต้นทุนประมาณสองแสนบาท
“ปีแรกได้วัตถุดิบฟรี แต่พอปีที่สอง กำไรลดลงหน่อย เพราะต้องซื้อวัตถุดิบ เกษตรกรเขารู้ว่าเราเอามาทำแล้วขายได้” สุริยะ ย้อนความด้วยรอยยิ้มและเล่าต่อว่า ต้นทุนปีต่อมาเริ่มคงที่ วัตถุดิบไหนราคาแพง ก็จะหาวัตถุดิบอื่นที่ถูกกว่า “อย่ามองว่ากิโลกรัมละบาทสองบาทน้อย เพราะเวลาสั่ง สั่งมาเป็นตัน มันลดได้เยอะ ลดได้เป็นพัน”
โดยทั่วไปการเลี้ยงวัวขุนไขมันแทรกที่ใช้อาหารสำเร็จรูปมีต้นทุน 80-90 บาท/ตัว/วัน ขณะที่ “สุนิสาฟาร์ม” มีต้นทุนอยู่ที่ 45-50 บาท/ตัว/วัน จากการใช้วัสดุการเกษตรตามฤดูกาล
“อาหารสำเร็จรูปมีโปรตีนที่แน่นอน แต่ที่ฟาร์มเลี้ยงด้วยอาหารผสม วัวกินได้มากขึ้น โปรตีนโดยรวมใกล้เคียงกันมาก ซึ่งวัตถุดิบที่ได้เอามาปรับสภาพด้วยจุลินทรีย์หมักให้มีโปรตีนเพิ่มขึ้น ช่วยย่อยอาหารให้ง่ายต่อการกิน วัวได้สารอาหารครบ คุณภาพวัวส่งขายได้เกรด 3.5-4”
“สุนิสาฟาร์ม” เน้นใช้วัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นและปรับประยุกต์ใช้เพื่อทำอาหารหมัก เช่น ช่วงใดมีมันสำปะหลังมากจะใช้มันสำปะหลังเป็นหลัก หรือหากมันขาดแคลนจะใช้กล้วย ซึ่งจากประสบการณ์ของ สุริยะ ทำให้รู้ว่าวัตถุดิบแต่ละอย่างมีปริมาณโปรตีนและพลังงานเท่าใด ต้องผสมสัดส่วนอย่างไรหรือเสริมอาหารสำเร็จรูปเพื่อให้ได้คุณค่าสารอาหารที่เหมาะกับวัวในแต่ละช่วงน้ำหนัก “โปรตีนในอาหารที่ต้องให้วัวอย่างต่ำอยู่ที่ 12% ต่อมื้อ ส่วนพลังงานให้มากเท่าไหร่ยิ่งดี”
วัตถุดิบแต่ละอย่างที่ได้มาทั้งเปลือกข้าวโพด ข้าวโพดอ่อน ข้าวโพดหวาน ฟักทอง กล้วย หรือมันสำปะหลัง สุริยะ จะนำลงถังหมักขนาด 150 ลิตร โรยจุลินทรีย์ 10 กรัมไว้ด้านบน แล้วปิดถังหมักทิ้งไว้ 7-10 วันก่อนนำไปเททับบนรำข้าว กากปาล์มและฟางในรางอาหารของวัว หากเป็นมันสำปะหลังสดจะหมักทิ้งไว้ 15 วัน เพื่อลดไซยาไนด์ในมันสำปะหลัง
“การใช้เทคโนโลยีนี้ไม่ยาก สนุกด้วยซ้ำ เวลาทำก็ได้ลุ้นผลวิเคราะห์จากม.พะเยาด้วยว่าจะเป็นอย่างไร เราเองได้สังเกตการกินของวัว หรือแม้แต่วัวที่ส่งขาย ตัวไหนมีเกรดไขมันดีเพราะอะไร สิ่งเหล่านี้จะสอนเราเอง ได้ความรู้และพัฒนาสูตรอาหารไปในตัว”
สุริยะ ส่งต่อความรู้และประสบการณ์การเลี้ยงโคขุนโดยใช้อาหารหมักจากวัสดุการเกษตรที่หาได้ในพื้นที่เป็นตัวเสริม ให้กับเพื่อนสมาชิก “กลุ่มเลี้ยงโครวมพลคนดอยโตน” และเกษตรกรผู้เลี้ยงวัวในพะเยา ลำปาง สระแก้ว หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
“เกษตรกรต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ไม่อย่างนั้นจะเป็นลูกค้าหรือลูกไล่บริษัทหรือฟาร์มใหญ่ที่ทำอาหารสำเร็จรูปมาขาย แต่ถ้าพึ่งตัวเองได้ด้วยเทคโนโลยีด้วยผลวิเคราะห์ ไม่จำเป็นต้องไปใช้อาหารสำเร็จรูปเลย”

สวทช. สนับสนุน ดร.ขรรค์ชัย ดั้นเมฆ คณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา วิจัยและพัฒนาการผลิตอาหารสัตว์ต้นทุนต่ำจากเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ปัจจุบันผลงานวิจัยดังกล่าวได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคเอกชน ผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์หมักอาหารสัตว์สำหรับหมักวัตถุดิบประเภทแป้งและประเภทเยื่อใย
สิ่งพิมพ์
วิดีโอ
ไรน้ำนางฟ้า
จากงานวิจัยสู่ธุรกิจ “ฟาร์มไรน้ำนางฟ้า”
ด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง
“เราเริ่มเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าแบบติดลบด้วยซ้ำ ถ้าเราไม่รู้คือเป็นศูนย์ แต่ติดลบคือเราเข้าใจผิด ทำให้เราทำหลายๆ อย่างไม่ถูกต้อง” นุจรี โลหะกุล ถอดบทเรียนที่ได้จากการต่อยอดงานวิจัย “ไรน้ำนางฟ้า” สู่ธุรกิจฟาร์มเพาะเลี้ยงของครอบครัว

หลังอบรมและเรียนรู้การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุพรรณบุรี นุจรี กลับมาทดลองและฝึกฝนการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าในบ่อวงซีเมนต์ขนาด 90 ซม. ที่บ้านพักย่านสมุทรปราการ ควบคู่ไปกับธุรกิจเลี้ยงไส้เดือนดินที่จำหน่ายในชื่อ “เพื่อนดิน”
“มีลูกค้าที่ซื้อไส้เดือนเป็นประจำเพื่อเอาไปเป็นอาหารให้ปลาหมอสี ลองตักไรน้ำให้เขาไปลองใช้ เขาใช้อยู่ 2 เดือน เห็นว่าลูกปลาขึ้นหัวโหนกเร็ว สีและรูปทรงปลาสวยมาก หลังจากนั้นก็ขอซื้อและกลายเป็นลูกค้าประจำ”

เสียงตอบรับจากลูกค้าที่ได้ใช้ไรน้ำนางฟ้าในฟาร์มเพาะพันธุ์ปลา จุดประกายให้ นุจรี มองเห็นโอกาสที่จะสร้างธุรกิจใหม่ให้ตัวเองได้ และจากการสำรวจตลาดจำหน่ายในไทย เธอพบว่ายังไม่มีอาหารสัตว์น้ำที่มีโปรตีนสูงและยังมีตัวเร่งสีในธรรมชาติเหมือนไรน้ำนางฟ้า
ปี 2559 นุจรี ตัดสินใจขยับขยายพื้นที่การเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าไปที่อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา บนพื้นที่ 3.5 ไร่ โดยใช้พื้นที่เริ่มต้น 1 ไร่ ออกแบบโรงเลี้ยง บ่อเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าและบ่อเลี้ยงคลอเรลล่า (สาหร่ายสีเขียว) เอง ใช้ความรู้จากที่อบรมมาบวกกับประสบการณ์ที่ทดลองเลี้ยงที่บ้านพัก โดยมีอภิรักษ์ โล่ห์ชิตกุล สามี และธนโชติ โล่ห์ชิตกุล ลูกชาย ร่วมผลักดันฟาร์มไรน้ำนางฟ้า “Big & Bright” ธุรกิจใหม่นี้ไปด้วยกัน

“ลักษณะฟาร์มที่นี่ผิดหมดเลย บ่อเลี้ยงไรน้ำทำเป็นวงกลม สูงเกินไป น้ำไม่วน ดูดเก็บตะกอนยาก ตั้งโรงเลี้ยงกั้นบ่อเลี้ยงคลอเรลล่า ทำบ่อสูงอีก แดดลงไม่ถึง น้ำไม่ค่อยเขียว หรือแม้แต่ระบบน้ำที่วางก็ไม่เหมาะสม น้ำทิ้งเยอะ” นุจรี บอกถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากโครงสร้างต่างๆ ในฟาร์ม รวมถึงสภาพแหล่งน้ำและสภาพอากาศที่ส่งผลต่อการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้า ทำให้ช่วงสองปีแรกนุจรีและสมาชิกครอบครัวต้องรับมือและหาทางแก้ปัญหาเพื่อให้สัตว์น้ำตัวเล็กๆ เหล่านี้อยู่รอด ซึ่งนั่นก็หมายถึงความอยู่รอดของธุรกิจครอบครัวด้วย
“ท้อจนถึก” ธนโชติ บอก ขณะที่ นุจรี เสริมว่า ตอนแรกทำเกินกำลัง จนลูกและสามีคอยดึงให้ทำเท่าที่ทำได้ ไปช้าๆ เมื่อเจอปัญหาค่อยๆ คิดหาทางแก้ และเราต้องพร้อมที่จะปรับตัว การรู้ทฤษฎีเป็นสิ่งสำคัญมากที่เป็นจุดเริ่มต้น แต่เราต้องปรับตัวตามสภาพพื้นที่ ที่ยังอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะยอมที่จะปรับตัว แรกๆ ไม่อยากทำ แต่พอเราเริ่มปรับตัว เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ใช้บ่อที่มีอยู่แต่ปรับวิธีการเลี้ยงใหม่ ทุกอย่างไม่ต้องเหมือนที่วิทยาลัยฯ ก็ช่วยแก้ปัญหาได้
“การนำงานวิจัยไปทำธุรกิจต้องเข้มงวดกับทฤษฎีมาก ในการเริ่มต้นไม่ควรดัดแปลงอะไร จนกระทั่งเราทำไปสักระยะ รวบรวมปัญหาและวิเคราะห์หาสาเหตุ จากนั้นปรับตัว ทฤษฎีที่เรียนมาเป็นเหมือนเสาเข็มเป็นหลักให้เรา ถ้าไม่มีหลัก เราจะไม่รู้ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนตรงไหนเพื่อให้ได้ผล”
การผลิตไรน้ำนางฟ้าของฟาร์มเดินหน้าไปพร้อมๆ กับการแก้ปัญหาต่างๆ เช่นเดียวกับการปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้า เมื่อ ธนโชติ ใช้ช่องทาง Digital Marketing เพื่อเข้าถึงผู้ใช้งานไรน้ำนางฟ้าตัวจริง
“ตอนแรกเน้นไปที่ฟาร์มเลี้ยงปลาสวยงาม แต่พบว่าไม่เหมาะกับเรา ฟาร์มต้องการไรน้ำเยอะ แต่เราทำเล็กๆ แบบครอบครัว ก็เลยเปลี่ยนมาที่ผู้ใช้งานจริง คือ คนเลี้ยงปลาสวยงามตามบ้าน ทำให้ได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น และมีลูกค้าประจำ 80% ที่สั่งไรน้ำจากเราทุกเดือน”
เฟซบุ๊ค “HT Fairy Shrimp Farm ไรน้ำนางฟ้าเพื่อปลาสวยงาม” ไม่เพียงเป็นช่องทางจำหน่ายไรน้ำนางฟ้าไทยและไรน้ำนางฟ้าสิรินธร หากยังให้ข้อมูลวิชาการจากงานวิจัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า ซึ่งไม่เพียงลูกค้าในประเทศ ยังมีลูกค้าจากต่างประเทศทั้งเวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินเดีย และบราซิลที่ให้ความสนใจสั่งซื้อทั้งแบบเป็นตัวแช่แข็งและแบบไข่ ซึ่ง นุจรี กำลังดำเนินการขึ้นทะเบียนฟาร์มและขอใบอนุญาตส่งออก
แม้ปัญหาจากโครงสร้างของฟาร์มจะได้รับการแก้ไขพร้อมๆ กับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า แต่พวกเขาบอกว่า ถ้าเปรียบเหมือนเด็ก ตอนนี้รอดตายแล้ว แต่จะให้เติบโตแข็งแรง ต้องใช้ระยะเวลา โดยเฉพาะการทำเป็นธุรกิจที่ต้องมีหลักการของตัวเองที่ชัดเจน ซึ่งพวกเขาใช้หลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวทาง
“คำว่าความพอเพียง หมายความว่า แต่ละขั้นตอนที่เดินไป เรามีเงินทุนเท่าไหร่ เราจะปรับเปลี่ยนได้มากน้อยแค่ไหน เรามีกำลังคนเท่าไหร่ และที่สำคัญตลาดมีเท่าไหร่ ถ้าเรามีตลาดน้อย แต่เราไปโหมผลิตเยอะ มันไม่ใช่ล่ะ แต่ถ้าการผลิตโตไปพอๆ กับการขาย พอๆ กับตลาดที่เรามี เรามองว่าเรามีความสุข แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่แค่ตรงนี้ เราอยากโต เราอยากขยาย เพียงแต่ว่าแต่ละก้าว เราไม่ทุ่มอย่างบ้าคลั่ง เราไปอย่างมั่นคง ช้าๆ และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา”
จากวันที่รู้จัก “ไรน้ำนางฟ้า” จนมาถึงวันนี้ นุจรี ยังคงเรียนรู้ ทดลอง และเปิดรับเทคโนโลยีที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยง การขนส่งผลิตภัณฑ์ รวมถึงคิดต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ โดยอาศัยหลักวิชาการจากงานวิจัยที่สร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งตัวเธอและผู้บริโภค
“เราไม่ได้อยู่ในแวดวงเกษตรมาก่อน อย่างไรน้ำนางฟ้า คนถามบ่อยมากว่า มีโรคมั้ย เอาไปเลี้ยงปลาแล้วปลาจะตายมั้ย จะเอาโรคไปติดต่อกันมั้ย เราเป็นคนเลี้ยงก็ต้องบอกว่าดี แต่ถ้ามีงานวิชาการที่ทำวิจัยมาแล้วรองรับว่าไม่มีโรคและไม่ติดต่อ เราสามารถพูดได้ ความน่าเชื่อมี ตรงนี้งานวิจัยช่วยได้มาก”

สวทช. สนับสนุนทุนวิจัยให้ศ.ดร.ละอองศรี เสนาะเมือง และดร.นุกูล แสงพันธ์ ศึกษาวิจัย “ไรน้ำนางฟ้าชนิดใหม่ และการเพาะเลี้ยงในเชิงเศรษฐกิจ” ซึ่งไรน้ำนางฟ้าไทยมีโปรตีน 65% มีสารเร่งสีสูง ขณะที่ไรน้ำนางฟ้าสิรินธรมีโปรตีน 75% มีสารเร่งสีน้อยกว่า
ไรน้ำนางฟ้า: จากงานวิจัยสู่ธุรกิจอนาคตไกล
“เราไม่ได้อยู่ในแวดวงเกษตรมาก่อน อย่างไรน้ำนางฟ้า คนถามบ่อยมากว่า มีโรคมั้ย เอาไปเลี้ยงปลาแล้วปลาจะตายมั้ย มันจะเอาโรคไปติดต่อกันมั้ย เราเป็นคนเลี้ยงก็ต้องบอกว่าดี แต่ถ้ามีงานวิชาการที่ทำวิจัยมาแล้วรองรับว่าไม่มีโรคและไม่ติดต่อ เราสามารถพูดได้ ความน่าเชื่อมี ตรงนี้งานวิจัยช่วยพี่มากๆ”
ปุ๋ยมูลไส้เดือนดินและน้ำหมักมูลไส้เดือนดินภายใต้แบรนด์ “เพื่อนดิน” เป็นธุรกิจแรกของคุณนุจรี โลหะกุล หรือคุณเจี๊ยบ ที่ต่อยอดจากการเข้าร่วมอบรมเรียนรู้จนสามารถผันชีวิตจากมนุษย์เงินเดือนมาเป็นเจ้าของธุรกิจเต็มตัว “ปุ๋ยไส้เดือนดิน” ยังพาคุณเจี๊ยบให้รู้จักกับ “ไรน้ำนางฟ้า” อีกหนึ่งงานวิจัยด้านเกษตรที่ปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจของผู้หญิงเก่งคนนี้อีกเช่นกัน

จากงานออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “เพื่อนดิน” ในงานประชุมวิชาการของ สวทช. คุณเจี๊ยบได้รู้จักกับงานวิจัย “ไรน้ำนางฟ้า” ด้วยความน่าสนใจของสัตว์น้ำตัวเล็กๆ ที่เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงและยังให้สารเร่งสีสำหรับสัตว์น้ำด้วย คุณเจี๊ยบจึงตัดสินใจเข้าร่วมอบรมเรียนรู้การเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าเมื่อปี 2555
“อบรมกลับมาก็ไม่คิดจะทำเป็นธุรกิจ เพราะไรน้ำนางฟ้าเลี้ยงยากมาก เรายังไม่มีความรู้มากพอ ไข่ที่ได้มาจากการอบรมก็แช่ไว้ในตู้เย็นอยู่หลายเดือน จนพอมีเวลาว่างจากฟาร์มไส้เดือน ก็เอาไข่ที่ได้มาลองเลี้ยงในกะละมัง ทำตามที่เรียนมา แล้วทดลองให้เป็นอาหารปลาที่เลี้ยงไว้ที่บ้าน ก็เริ่มเห็นผลว่าปลาชอบ ปลาสีสวย วันนึงมีลูกค้ามาขอซื้อไส้เดือนไปเป็นอาหารปลาหมอสี พี่ก็เลยลองตักไรน้ำนางฟ้าที่เลี้ยงไว้ให้เขาไปทดลองใช้ ปรากฏว่าหลังจากนั้นกลายเป็นลูกค้าประจำ”
จากทดลองเลี้ยงในกะละมัง คุณเจี๊ยบได้ขยายการเลี้ยงลงในบ่อวงซีเมนต์ขนาด 90 ซม. จำนวน 12 บ่อภายในบ้าน และเริ่มสำรวจตลาดจำหน่ายที่จตุจักรซึ่งเป็นตลาดใหญ่ คุณเจี๊ยบพบว่า ในตลาดยังไม่มีอาหารสัตว์น้ำที่มีโปรตีนสูงและยังมีตัวเร่งสีในธรรมชาติเหมือนไรน้ำนางฟ้า ตลาดจำหน่ายไรน้ำนางฟ้าจึงมีโอกาสสูง แต่เมื่อมองกำลังการผลิตจากบ่อวงขนาดเล็กที่บ้าน เห็นว่าไม่สามารถผลิตส่งขายตลาดใหญ่ได้เพียงพอ คุณเจี๊ยบจึงตัดสินใจซื้อที่ดินที่อ.ปากช่อง จ.นครราชสีม เพื่อทำฟาร์มไรน้ำนางฟ้า โดยใช้บ่อวงใหญ่ขนาด 2 เมตร จำนวน 16 บ่อ ปัจจุบันขยายบ่อวงเป็นขนาด 4 เมตร ช่วยให้อัตราการไหลทิ้งของอาหารน้อยลง และไรน้ำกินอาหารได้ทั่วถึงมากขึ้น

“ไรน้ำนางฟ้าเลี้ยงยากมาก มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องควบคุมให้ดีทั้งคุณภาพน้ำและอาหารของไรน้ำนางฟ้าคือ คลอเรลลา (สาหร่ายสีเขียว) แม้จะเพาะเองได้ แต่ยังไม่สามารถทำให้คลอเรลลาคงที่ มีโจทย์ให้เรียนรู้ให้แก้ปัญหาตลอดในการเลี้ยงไรน้ำ แต่ก็ยังสนุกที่จะเรียนรู้ ไรน้ำนางฟ้ายังใหม่มากสำหรับเมืองไทย และตลาดไรน้ำนางฟ้าในประเทศยังเล็ก ถ้าคนรู้และทดลองใช้ เขาจะกลายเป็นลูกค้าประจำเพราะจะเห็นผลชัดเจนว่าปลาชอบมาก แข็งแรงและสีสวย”
นอกจากการเลี้ยงน้ำเขียวหรือคลอเรลลาให้มีคุณภาพเพื่อเป็นอาหารของไรน้ำนางฟ้าแล้ว การตรวจสอบคุณภาพน้ำซึ่งเป็นบ้านของไรน้ำนางฟ้าก็สำคัญเช่นกัน ไม่เช่นนั้นแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่าง “โรติเฟอร์” แพลงก์ตอนสัตว์ขนาดเล็กจะมาเยี่ยมเยียน และจะทำให้สิ่งที่ลงทุนไปสูญเปล่าทันที
“พี่ไม่ใช้น้ำจากแหล่งอื่นเลยนอกจากน้ำบาดาลในฟาร์มตัวเอง นอกจากโรติเฟอร์แล้ว แอมโมเนียเป็นอุปสรรคสำคัญอีกอย่างในการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้า ถ้ามีแอมโมเนียในน้ำ ไรไม่กินอาหาร ซึ่งวิธีง่ายที่สุดในการไล่แอมโมเนียคือปล่อยน้ำทิ้ง เอาน้ำใหม่ใส่ แต่จะสิ้นเปลืองน้ำ ซึ่งตอนนี้ที่ฟาร์มใช้วิธีเอาน้ำที่ใช้แล้วมาบำบัดโดยใส่อออกซิเจนเพื่อไล่แอมโมเนีย ทำให้ใช้น้ำได้คุ้มค่าและสูบน้ำบาดาลน้อยลง”

ปัจจุบันคุณเจี๊ยบสามารถผลิตไรน้ำนางฟ้าได้ 50-60 กิโลกรัม/เดือน โดยมีลูกค้าคนไทยและต่างประเทศทั้งรายย่อยและฟาร์มเลี้ยงปลาสวยงาม ซึ่งคุณเจี๊ยบได้ “น้องกิ๊ก-คุณธนโชติ โลห์ชิตกุล” ลูกชายเข้ามาช่วยดูแลการตลาดไรน้ำนางฟ้า ทำให้เฟซบุ๊ค “HT Fairy Shrimp Farm ไรน้ำนางฟ้าเพื่อปลาสวยงาม” ที่เคยเปิดไว้นานแล้ว กลับมามีความเคลื่อนไหวและกลายเป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญ
“หลังจากที่ลูกชายเรียนจบก็มาช่วยทำงานที่บ้าน เขาเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับไรน้ำนางฟ้า แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำหน้าที่ตรงไหนดี เวลาเขาไปส่งไรน้ำให้ลูกค้ากับพี่ เขาจะคุยกับลูกค้านานมาก แล้วมาเล่าความต้องการของลูกค้าให้เราฟัง จนพี่คิดว่าเขาน่าจะเหมาะทำการตลาดให้เรา เพราะพี่ทำการตลาดไม่เป็นเลย”
นอกจากการให้ข้อมูลความรู้ผ่านหน้าเฟซบุ๊ค พร้อมทั้งรับออเดอร์และจัดส่งแล้ว สิ่งหนึ่งที่น้องกิ๊กจะเน้นย้ำเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าเสมอคือ “มีไรน้ำนางฟ้าจำหน่ายตลอด” เนื่องจากที่ผ่านมาปัญหาหนึ่งของการทำตลาดไรน้ำนางฟ้าคือ สินค้าขาดตลาด โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่มีผลต่อการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้า ซึ่งการขยายขนาดบ่อวงเป็น 4 เมตรไม่เพียงช่วยให้การไหลทิ้งของอาหารน้อยลง แต่ยังช่วยให้คุณเจี๊ยบสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อทำสต็อคไว้จำหน่ายได้ด้วย
ปัจจุบันคุณเจี๊ยบเลี้ยงไรน้ำนางฟ้า 2 สายพันธุ์ คือ ไรน้ำนางฟ้าไทย และไรน้ำนางฟ้าสิรินธร ซึ่งไรน้ำนางฟ้าไทยจะมีโปรตีนที่ 65% แต่มีสารเร่งสีสูงมาก ขณะที่ไรน้ำนางฟ้าสิรินธรมีโปรตีน 75% แต่มีสารเร่งสีน้อยกว่า ตลาดผู้ผลิตไรน้ำนางฟ้าในปัจจุบันส่วนใหญ่จะขายเป็นไข่ให้คนไปเพาะเอง หรือไม่ก็ขายขนาดตัวเล็กจิ๋ว แต่ที่ฟาร์มคุณเจี๊ยบจะขายไรน้ำนางฟ้าตัวเต็มวัย ใช้เวลาเลี้ยง 15 วันแล้วแช่แข็งแพ็คส่งลูกค้า ซึ่งหัวใจสำคัญของการเก็บไรน้ำนางฟ้าคือ ต้องไม่แช่แข็งซ้ำ ถ้าละลายแล้วไปแช่ใหม่ ตัวไรจะยุ่ย ปลาไม่ชอบ
นอกจากความเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าจนถึงการส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าแล้ว คุณเจี๊ยบและลูกชายยังติดตามงานวิจัยใหม่ๆ เกี่ยวกับไรน้ำนางฟ้า เพื่อเป็นข้อมูลพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนให้ดียิ่งขึ้น

“ไม่กลัวว่าจะมีคู่แข่งเพิ่ม ก็ต้องวัดกันที่คุณภาพ ต้องฝึกฝีมือตัวเอง ทำออกมาให้ดี ให้ลูกค้าติดใจ จะช่วยให้วงการนี้พัฒนา ถ้ามีพี่เป็นผู้ผลิตรายเดียวตลาดจะโตได้อย่างไร หลายคนมาช่วยกันทำ ถ้าส่งออกได้ เงินก็เข้าประเทศ รายได้ประเทศก็เพิ่มขึ้น”
ปัจจุบันยอดสั่งซื้อไรน้ำนางฟ้าในประเทศมีต่อเนื่อง เช่นเดียวกับลูกค้าต่างประเทศทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย และบราซิลที่ให้ความสนใจสัตว์น้ำตัวจิ๋วนี้ ซึ่งคุณเจี๊ยบอยู่ระหว่างดำเนินการเครื่องหมายการค้าเพื่อขยายการส่งออกไรน้ำนางฟ้าไปตลาดต่างประเทศ
ฝ่ายจัดการความรู้เพื่อเกษตรและชุมชน
สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.)

